ณ ตำหนักเทพหอทองคำอินชิงเสวียนยืนเหม่อลอยอยู่ในมิตินั้น เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะสัมผัสถึงแม่ได้ เงยหน้าขึ้นทันที“เด็จแม่”เขากางแขนเล็กๆ ทันที และวิ่งไปหาอินชิงเสวียน“เด็กดี”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา แล้วจูบแก้มจ้ำม่ำของเขา“คิดถึงแม่หรือไม่”เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างแรง“คิดถึง”“เด็กดีเก่งมาก”อินชิงเสวียนถูไถใบหน้าเล็กๆ ที่เรียบเนียนของเขาไปมา หัวใจพลันอ่อนยวบลงทันทีเหมยชิงเกอก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ริ้วรอยบนใบหน้าดูเรียบเนียนขึ้น คนทั้งคนเหมือนจะเยาว์วัยขึ้นหลายปีเมื่อเห็นว่านางมีสีหน้าแช่มชื่น อินชิงเสวียนก็โล่งใจ“สองวันที่ผ่านมาสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าที่อยู่ข้างนอกตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า”เหมยชิงเกอถามด้วยความเป็นห่วงอินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง และพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล เห็นผู้อาวุโสมีสีหน้าไม่เลว คงดีขึ้นมากแล้ว”เหมยชิงเกอพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “น้ำพุวิญญาณสุดยอดมากจริงๆ ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจกำลังวังชาก็เกือบจะฟื้นตัวเช่นกัน”ในตอนแรกนางไม่กล้าใช้น้ำพุวิญญาณมากเกินไป แต่เมื่อเห็นว
หลังรับประทานอาหาร อินชิงเสวียนพูดคุยกับแม่อยู่พักหนึ่ง แล้วจึงออกจากมิติข้างนอกมืดแล้ว เป็นเวลาประมาณสามทุ่มเมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกหน่อยกว่าจะถึงเที่ยงคืน อินชิงเสวียนจึงเดินกลับไปที่เตียงหิน นั่งขัดสมาธิ และค่อยๆ ย่อยพลังงานที่ปล้นมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ใช้มันให้กลายเป็นของตัวเองเพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ในระดับใดแล้ว เพื่อความปลอดภัย นางยังไม่ต้องการต่อสู้กับผู้อาวุโสหันเมื่อใดที่นางตาย มิตินั้นจะตายพร้อมกับนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมยชิงเกอและเสี่ยวหนานเฟิงอาจถูกส่งออกจากมิติ หรืออาจหายไปพร้อมกับมิตินั้นแม้จะเป็นอย่างหน้า แต่ก็ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมด้วยพลังของเหมยชิงเกอ ไม่มีทางที่นางจะสามารถปกป้องเสี่ยวหนานเฟิงได้แค่ตัวเองเข้มแข็งพอเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์พูดได้มากพอเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็สงบจิตใจอย่างสมบูรณ์ ในไม่ช้าก็เข้าสู่สภาวะผสานกายใจเป็นหนึ่งเดียวไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ได้ยินเสียงจิ้งหรีดส่งเสียงร้องข้างนอกอินชิงเสวียนลืมตาขึ้นทันที ลูกตาสีดำตัดกับตาขาวชัดเจนคู่นั้น เปล่งประกายระยิบระยับนางดีดปลายเท้าขึ้นไป ร่างนั้นก็เล็ดลอดออกจากป
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้จักวรยุทธ์ของตำหนักเทพ”ผู้อาวุโสหันตะโกนเสียงดัง ใช้นิ้วทั้งห้าเป็นกรงเล็บ หมายขย้ำลำคอของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไร เคลื่อนไหวเร็วขึ้นๆ จนต่อสู้กับผู้อาวุโสหันได้อย่างทัดเทียมผู้อาวุโสหันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ตำหนักเทพมียอดฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ทางด้านของเย่จิ่งหลานก็ต่อสู้อย่างทัดเทียมกับอาคันตุกะสามคนเช่นกันผู้อาวุโสหันตะโกนด้วยโทสะ “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ มีเจตนาใดถึงมาบุกในตำหนักเทพ?”เย่จิ่งหลานพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “ทำไม จะมาตำหนักเทพของพวกเจ้าไม่ได้งั้นรึ”“กล้าบุกเข้ามาในตำหนักเทพ ฆ่าไม่เว้น!”อาคันตุกะเซี่ยเฉียนคุนอยู่ในตำหนักเทพมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่เคยประลองยุทธ์ ตอนนี้เมื่อเห็นคนนอก ก็รวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่ออวดกำลังของตนทันทีวันนี้ได้รู้ว่ามีของวิเศษที่ขัดกฎธรรมชาติเช่นน้ำพุวิญญาณ ซึ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น การฝึกวรยุทธ์ต้องการแสวงหาเพียงอย่างเดียว นั่นคือการไปถึงจุดสูงสุดของวรยุทธ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ สามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่เลือกวิธีการเย่จิ่งหลานจิ๊ปากพูดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเล่าจื๊อฮ่องเ
ผู้อาวุโสหันรู้สึกหวาดกลัวคนผู้นี้มีพลังพอๆ กับเขา หรือจะเป็นเจ้าตำหนัก จินตงไหล?“เจ้าคือใคร”อินชิงเสวียนยังไม่ตอบ แสงสีม่วงที่แผ่ออกมาจากตัวเหมือนกับผู้อาวุโสหันไม่ผิดเพี้ยนนางใช้นิ้วเป็นดัชนีกระบี่ แสงระหว่างนิ้วพุ่งขึ้นหลายนิ้ว พุ่งแทงคอของผู้อาวุโสหันรวดเร็วราวกับสายฟ้า“ดี วันนี้ข้าจะดูซิว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหน”ผู้อาวุโสหันพลิกฝ่ามือเป็นมีด ฟาดไปที่ข้อมือขวาของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ก็ไม่ใช่ไก่กาที่ไม่รู้เชิงยุทธ์นานแล้ว ขณะที่เปลี่ยนท่าเคลื่อนไหว ก็มีพลังเหลือเฟือ กำหมัดชกไปที่ข้อมือของผู้อาวุโสหันด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาดเมื่อเห็นว่านางเปลี่ยนท่าได้เร็วแค่ไหน ผู้อาวุโสหันก็ตกใจอีกครั้งคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือ และมีประสบการณ์การต่อสู้มากมายเฟิงเอ้อร์เหนียงและฉุยอวี้ยังไม่มีความสามารถนี้ แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีทักษะบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จักวรยุทธ์ของตำหนักเทพ แม้ว่านางเคยไปที่หอสะสมตำรา แต่ก็ไปถึงแค่ขั้นล่าง ยังมีพลังภายในอยู่ในระดับเริ่มต้นที่ต่ำกว่าระดับล่าง แม้ว่านางจะเป็นเทพเซียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนวิชาสุดยอดเช่นนี้ภายในไม่กี่ชั่ว
“คุณชายน้อยเย่อยู่หรือไม่”ผู้อาวุโสหันถามขึ้น แทบรอไม่ไหวที่จะผลักประตูหินให้เปิดออกเย่จิ่งหลานกำลังหลับสนิท เมื่อเสียงฝีเท้าของผู้อาวุโสหันมาถึงข้างเตียง เขาค่อยเปิดผ้าห่มอย่างเกียจคร้าน“มีอะไรหรือ”เย่จิ่งหลานลุกขึ้นนั่งกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง มองผู้อาวุโสหันและเหล่าศิษย์ที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างง่วงนอนเมื่อเห็นว่าร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า กางเกงถูกดึงขึ้นเหนือเข่า กางเกงเต็มไปด้วยรอยย่น ดูไม่เหมือนคนเพิ่งนอน ผู้อาวุโสหันรู้สึกโล่งใจเขาหัวเราะหึๆ และพูดว่า “เกิดเรื่องขึ้นในตำหนักเทพ ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณชายน้อยเย่ จึงแวะมาดูหน่อย”เย่จิ่งหลานขยี้ตา“ข้าสบายดี ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ”ผู้อาวุโสหันพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีคนบุกเข้าไปในหอตำราสะสม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่เป็นไรแล้ว ข้าจะไปดูที่อื่นเดี๋ยวนี้”“อ้อ ผู้อาวุโสหันกลับดีๆ”หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบก็มุดเข้าไปในผ้าห่ม หันหลังนอนหลับไปอีกผู้อาวุโสหันมองย้อนกลับไปที่เขา ปิดประตูหินแล้วออกไปหลังจากเดินฉับๆ ร่างนั้นก็มาถึงที่พักของอินชิงเสวียนเมื่อเปิดประตูหิน ทั้งสามคนกำลังหลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงต่า
“คนล่ะ?”อินชิงเสวียนหยุดยืนอยู่ในป่าไผ่เย่จิ่งหลานยิ้มอย่างภาคภูมิใจ“มีมิติอยู่ เจ้ากลัวอะไร”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา“เจ้าไม่ให้คนเข้าไม่ใช่หรือ”“นั่นเป็นเมื่อวาน”เย่จิ่งหลานหัวเราะแห้งๆ “เมื่อวานยุ่งนิดหน่อย ข้าทำความสะอาดแล้ว เข้าไปกันเถอะ”แสงแวบปรากฏยังเบื้องหน้าของอินชิงเสวียน นางก็ได้เข้ามาในโรงพยาบาลเล็กๆ ของเย่จิ่งหลาน แล้วข้างในไม่มีอะไรพิเศษ ยังเป็นเหมือนเดิมอินชิงเสวียนเดินผ่านทางเดินยาว ทันใดนั้นก็พบคนสองคนถูกห่อด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวนอนอยู่ในห้องผู้ป่วย“นี่ใครน่ะ”“ข้าทำแบบจำลองมนุษย์ไว้สองร่าง สิ่งของทางการแพทย์ไม่น่าดูหรอก เจ้าดูแล้วก็มีแต่จะคลื่นไส้ ไปดูธิดาเทพดีกว่า”เย่จิ่งหลานดึงอินชิงเสวียนไปข้างหน้า สีหน้าของอินชิงเสวียนเต็มไปด้วยความสงสัย“จริงรึ”“ข้าจะโกหกเจ้าทำไม เพื่อนจากยุคเดียวกันไม่โกหกกันแน่นอน ธิดาเทพอยู่ในห้องรับแขก”เย่จิ่งหลานเปิดประตู ก็เห็นธิดาเทพในชุดขาวยืนทื่อๆ ตรงกลางพื้นเมื่อเห็นคนสองคนเข้ามาในห้อง ธิดาเทพก็ไม่แปลกใจหรือหวาดกลัวเลย ถึงขนาดที่ว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ นางยังคงประสานมือ วางมือทั้งสองข้างขนานกับอก ยืนตัวตรง
“ไม่รู้สิ หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นทุกวันนี้อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เจ้าอย่าพึ่งวิทยาศาสตร์ไปทุกอย่าง”เย่จิ่งหลานวางแผ่นตรวจมลง “เจ้าอยู่นี่กับนางสักพัก ข้าจะไปดูว่าตัวอย่างเลือดออกมาหรือยัง”อินชิงเสวียนทำอะไรไม่ถูก“ได้”นางยื่นมือออกไปประคองอินหลี พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เขาแค่ช่วยตรวจร่างกายของเจ้า พวกเราจะไม่ทำร้ายเจ้า”อินหลีเป็นเหมือนหุ่นเชิดที่ไม่มีชีวิต ปล่อยให้อินชิงเสวียนเล่นตามสบายอินชิงเสวียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้“ไปนั่งตรงนั้นเถอะ”อินชิงเสวียนพยุงอินหลีไปที่ห้องนั่งเล่น นิ้วเผลอไปแตะข้อมือของนางโดยไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นนางก็ตกใจกับกำลังภายในอันทรงพลังในร่างกายของอินหลีอินหลีไม่เป็นวรยุทธ์ แล้วทำไมถึงมีพลังอันทรงพลังเช่นนี้อยู่ในร่างกายขณะที่กำลังตกใจ เย่จิ่งหลานจึงเดินออกจากห้องทดลองพร้อมกับแผ่นทดสอบในมือ“ดูเหมือนว่าข้าเดาถูก พวกเจ้าไม่ใช่ญาติกัน เหตุผลที่หน้าตาคล้ายกัน เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น”เขาชูผลการตรวจขึ้นสูง โบกไปมาต่อหน้าอินชิงเสวียนในนั้นมีข้อมูลเปรียบเทียบมากมายที่ระบุไว้ แต่อินชิงเสวียนดูไม่รู้เรื่อง เพียงแต่จำประโยคด้านล่างของรายง
ทั้งสองออกจากมิติโดยไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตอินหลีจะไม่ไปไหนมั่วซั่ว เจ้าโง่ถูกจูงจมูกสองคนนั้นก็ถูกเย่จิ่งหลานทำให้หมดสติ แม้ว่าพวกเขาจะตื่นขึ้นมา ก็ไม่ทำร้ายอินหลี“เจ้าจะไปไหน” เย่จิ่งหลานถามอินชิงเสวียนอ้าปาก ทันใดนั้นก็คิดถึงความเป็นไปได้“เจ้าเปิดมิติอีกหน่อย ข้าอยากเข้าไปดู”ทันทีที่พูดจบ คนก็เข้าไปในมิติอีกครั้งอินชิงเสวียนเดินเข้าไปในห้องประชุมอย่างรวดเร็ว ใช้ทักษะช่วงชิงโชคลาภกับอินหลีโดยตรงทันใดนั้นวรยุทธ์กับพลังภายในส่วนหนึ่งก็ไหลเข้ามาในตัว ซึ่งรวมถึงกำลังภายอีกเล็กน้อยด้วยอินชิงเสวียนแยกแยะทักษะวรยุทธ์เหล่านี้อย่างละเอียด และพบว่าทั้งหมดมาจากตำหนักเทพ“เจ้าพบอะไรหรือเปล่า”เย่จิ่งหลานเอนตัวพิงประตูอย่างไม่ใส่ใจ ยกมือขึ้นกอดอกอินชิงเสวียนปิดประตูเดินออกมา สีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย“ดูเหมือนว่าข้าจะค้นพบความลับเรื่องใหญ่แล้ว หากข้าเดาไม่ผิด พลังของอินหลีอาจมาจากเจ้าตำหนักของตำหนักเทพ”“เจ้าตำหนัก?”เย่จิ่งหลานมองไปที่อินชิงเสวียนด้วยสีหน้าแปลกใจ“แล้วทำไมเขาถึงมอบพลังให้กับอินหลี?”อินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บางทีอาจเป็นเพราะเหตุผลที่หลีกเลี่ยง