ทันทีที่ฉางเฮิ่นเทียนจากไป อินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลานก็มาถึงผู้อาวุโสหันออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“บนเขาแร้นแค้น อาหารก็ค่อนข้างจืดชืด ไม่รู้ว่าจะถูกปากทั้งสองคนหรือไม่”เย่จิ่งหลานประกบมือขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสหันคิดหนักแล้ว พวกเราไม่เลือกกินอาหาร แค่ของง่ายๆ ก็พอแล้ว”เมื่อมาถึงโต๊ะหิน เย่จิ่งหลานก็ตระหนักว่าคำพูดใจกว้างของตัวเองพูดเร็วไปสักหน่อยในจานเป็นผักใบเขียวทั้งหมด พอเอาเข้าปากก็รู้สึกเหมือนเคี้ยวหญ้า สุดที่จะกลืนกินได้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังอินชิงเสวียน เมื่อเห็นนางกินแค่พอเป็นพิธีไม่กี่คำเหมือนกัน ค่อยรู้สึกยุติธรรมขึ้นหน่อยผู้อาวุโสหันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินจากเทียนเฉิงว่า คุณชายน้อยเย่ถนัดในการสร้างกลไกเครื่องจักร ในเมืองหลวงมีผู้มีความสามารถมากมายจริงๆ”เย่จิ่งหลานกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “คุยกันง่ายเลย ไม่ทราบว่าทางสู่วิถีแห่งสวรรค์เป็นสถานที่เช่นไร หรือว่ามีกลไกซ่อนอยู่ในประตู?”ผู้อาวุโสหันพูดอย่างไม่อาจเข้าใจได้ “อาจจะใช่ บางทีอาจไม่ใช่ รออีกไม่กี่วัน คุณชายน้อยก็จะได้เห็นแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น จะรู้ทุกอย่างเอง”เย่จิ่งหลานเกลียดคำพูดที่คลุ
อินชิงเสวียนรู้สึกหงุดหงิด ยกเท้าเตะก้อนหินใส่ยอดหน้าของเย่จิ่งหลาน“หุบปากเน่าๆ ของเจ้าซะ”เย่จิ่งหลานหัวเราะ เบี่ยงตัวหลบทันที“ข้าในวันนี้ไม่ใช่คุณชายน้อยที่ถูกเจ้าหิ้วไปไหนมาไหนคนนั้นแล้ว”อินชิงเสวียนเตะหินอีกก้อนหนึ่ง เย่จิ่งหลานยกสองนิ้วขึ้นมาจับไว้ได้ ปรายหางตามองอินชิงเสวียนด้วยท่าทางขิงๆ“เป็นอย่างไร”อินชิงเสวียนพูดอย่างล้อเลียน “มีความสามารถมากทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าเป็นหัวตะกั่วเลียนแบบเงิน ที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมหรือเปล่า”เย่จิ่งหลานอยากจะบอกว่า เจ้าก็ลองสิจะได้รู้ แต่คำพูดล้อเล่นแบบนี้ เขาไม่กล้าพูดมั่วซั่ว หากทำให้ยัยนี่ขุ่นเคือง แม้แต่เพื่อนก็อาจจะไม่ได้เป็นอีกต่อไปตอนนี้กำลังพอดี ไม่ใกล้ไม่ไกล ทั้งเป็นความสนิทที่ไม่ใกล้ชิดเกินไป ทั้งยังไม่ห่างเหินเกินไปด้วยแม้ว่าเย่จิ่งหลานจะยั้งใจไม่ให้มีความคิดอื่นไม่ได้ แต่ก็เข้าใจ เมื่อใดที่ล้ำเส้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอินชิงเสวียนก็จะจบลงอินชิงเสวียนไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย นางมีความสง่างามเหมือนดอกดารารัตน์ ทั้งยังสูงส่งดังลูกพลัมยามเหมันต์ นางไม่สนใจชื่อเสียงเงินทอง และไม่สนใจสถานะหรือตำแหน่ง หากชาตินี้เย่จิ่งอวี้จำนางไ
ฉุยอวี้ถามโดยเร็ว “หรือว่าเจ้ามีข่าวที่แน่ชัดแล้ว?”“เปล่า แต่ข้าค่อนข้างแน่ใจ ขอให้ผู้อาวุโสทั้งสองอธิบายลักษณะนิสัยและโทนเสียงของเจ้าตำหนักโดยละเอียดด้วย”เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของอินชิงเสวียน ฉุยอวี้ก็เริ่มสนใจ รีบเล่าถึงกิริยาวาจาทั้งหมดของเจ้าตำหนักทันที จากนั้นจึงหยิบพู่กันออกมาวาดภาพเหมือนเมื่อเปรียบเทียบกับภาพวาดลวกๆ ที่แสดงบนทีวี ศาสตร์การวาดภาพของฉุยอวี้นั้นเสมือนจริงมากกว่าแม้แต่เฟิงเอ้อร์เหนียงที่เมื่อเห็นมันก็อดไม่ได้ที่จะชมนาง“ผ่านมาหลายปี ทักษะการวาดภาพของศิษย์พี่ฉุยยังใช้ได้ดีทีเดียว”ฉุยอวี้ยิ้มเอียงอาย“เวลาว่าง ก็มักจะวาดภาพเขียนอักษรบรรเทาความเศร้าใจ ยังไม่ถึงขึ้นดีขนาดนั้น แค่พอเข้าตาก็ดีแล้ว”เฟิงเอ้อร์เหนียงหยิบภาพวาดขึ้นมาแล้วพูดว่า “ภาพวาดนี้เหมือนจริงมาก คล้ายมากจริงๆ”“เช่นนั้นก็ดี ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง ท่านสองคนพักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปดูลูกหน่อย”อินชิงเสวียนเก็บภาพเหมือนนั้นไว้ แล้วเข้าไปในมิติเหมยชิงเกอกำลังเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงบนพื้นหญ้า ไม่ได้เจอกันหลายวัน ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะโตขึ้นมาก ดวงตาคิ้วคางปากเริ่มเห็นโครงชัดขึ้น ประพิมพ์
“ไม่ต้องสงสัยแล้ว รีบเข้าไปเถอะ ฝ่าบาทยังรออยู่!”หลี่เต๋อฝูเร่งเร้าแม้ว่าอารมณ์ของฝ่าบาทจะสงบ ทว่ายังมีอานุภาพน่าสะพรึงกลัว หลี่เต๋อฝูไม่อยากทนรับอีกแล้ว ดีไม่ดีอีกประเดี๋ยวคงได้อึดอัดอีก เขายังอยากมีชีวิตอยู่อีกหลายปี รอรับใช้องค์ชายน้อยอยู่นะอินจิงพยักหน้า พูดกับอินปู้อวี่ “ไปกันเถอะ”หากเป็นวาสนาก็ไม่ใช่คราวเคราะห์ ถ้าเป็นคราวเคราะห์ก็หลบไม่พ้นในเมื่อถูกหาเจอแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดอีกสองพ่อลูกหิ้วชายเสื้อคลุมเดินเข้าไปในห้องหนังสือของฝ่าบาท โค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมอินจ้ง อินปู้อวี่ ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”เย่จิ่งอวี้ค่อยๆ หันกลับมา“ท่านขุนนางทั้งสองลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”สองพ่อลูกคำนับพร้อมกัน และยืนเคียงข้างกันด้วยความเคารพเย่จิ่งอวี้สะบัดเสื้อคลุมออกนั่งบนเก้าอี้มังกร เรียวตาหงส์คู่นั้นมองจับไปยังคนทั้งสอง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “ให้ท่านขุนนางทั้งสองออกไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน เป็นความประมาทเลินเล่อของข้าแล้ว บัดนี้ข้าในที่สุดก็จำเรื่องราวเหล่านั้นได้แล้ว หวังว่าจะไม่สายเกินไป”พวกเขาทั้งสองรู้สึกยินดีทันที รี
“ออกไปเถอะ จวนของพวกท่านยังว่างอยู่ หากขาดเหลืออะไร สามารถบอกหลี่เต๋อฝูได้ ตราบใดที่ข้ามี จะประทานให้แน่นอน”เย่จิ่งอวี้ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงทุ้มลึกนั้น ทำให้ไม่อาจสงสัยสิ่งใดได้อีกอินจ้งโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมไม่กล้าขออะไรมาก ได้กลับเมืองหลวงก็ซาบซึ่งมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อมองดูเส้นผมสีดอกเลาของอินจ้ง เย่จิ่งอวี้ก็ถอนหายใจเบาๆ “เหตุการณ์เจียงวูในอดีต ข้ารู้สึกผิดต่อตระกูลอินมาก ข้าทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยให้ท่าน หากท่านต้องการอะไร อย่าได้เกรงใจ”อินจ้งกล่าวด้วยความเคารพ “ได้กลับเมืองหลวง อินจ้งก็รู้สึกซาบซึ้งมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเบาๆ “เช่นนั้นก็ออกไปเถิด”“กระหม่อม ทูลลา”สองพ่อลูกโค้งคำนับ ถอยกลับออกจากห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่หน้าหน้าต่างสักพักหนึ่ง แล้วไปที่ตำหนักชิงฮว๋าซึ่งเป็นที่พำนักของเย่ไห่ถังเย่ไห่ถังกำลังเล่นกับขวดน้ำหอมขนาดเท่าฝ่ามือด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายนางไม่รู้ว่าขณะนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร นางยังไม่กล้าคุยกับเสด็จพี่ น่าเบื่อจริงๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เย่ไห่ถังก็เงยหน้าขึ้นอย่างเกียจ
ประตูไม้บานใหญ่เปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดกลิ่นอับชื้นพุ่งออกมาจากตำหนัก ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็เปียกชื้นทันทีเขากะพริบตาถี่ๆ สะกดก้อนสะอื้นฝาดๆ ในลำคอ“ตำหนักเย็น สามารถยกเลิกได้!”เย่ไห่ถังเดินไปหาเย่จิ่งอวี้อย่างระมัดระวัง แอบสำรวจสีหน้าของเขา“เสด็จพี่ ท่าน...ทำไมจู่ๆ ท่านถึงพูดเรื่องนี้ออกมาล่ะ?”เย่จิ่งอวี้เอามือปิดปาก ไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่คิดว่าไม่จำเป็นต้องให้มีอยู่อีกต่อไป”เย่ไห่ถังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “ถูกต้องเพคะ ถูกส่งไปตำหนักเย็น ก็ไม่ต่างจากการรอคอยความตาย อดีตพระชายาได้จากไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้มีอีก หากเสด็จพี่เลือกสนมในอนาคต จะต้องปฏิบัติต่อพวกนางอย่างดี ไม่จำเป็นต้องเนรเทศพวกนางมาที่นี่”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น “ข้าจะไม่เลือกสนมอีกแล้ว ไม่ว่าสตรีตระกูลอินจะอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ตาม นางจะเป็นฮองเฮาของข้าตลอดไป”“ฮะ!”เย่ไห่ถังอุทาน หรือว่าเสด็จพี่จำได้แล้ว?“เสด็จพี่ ท่าน...”เย่จิ่งอวี้เบือนหน้าหนี ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ “ทำไมรึ”เย่ไห่ถังส่ายศีรษะโดยเร็ว“ไม่มีอะไร”เย่จิ่งอวี้งอมือ หมายจะดีดหน้
ณ ตำหนักเทพหอทองคำอินชิงเสวียนยืนเหม่อลอยอยู่ในมิตินั้น เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะสัมผัสถึงแม่ได้ เงยหน้าขึ้นทันที“เด็จแม่”เขากางแขนเล็กๆ ทันที และวิ่งไปหาอินชิงเสวียน“เด็กดี”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา แล้วจูบแก้มจ้ำม่ำของเขา“คิดถึงแม่หรือไม่”เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างแรง“คิดถึง”“เด็กดีเก่งมาก”อินชิงเสวียนถูไถใบหน้าเล็กๆ ที่เรียบเนียนของเขาไปมา หัวใจพลันอ่อนยวบลงทันทีเหมยชิงเกอก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ริ้วรอยบนใบหน้าดูเรียบเนียนขึ้น คนทั้งคนเหมือนจะเยาว์วัยขึ้นหลายปีเมื่อเห็นว่านางมีสีหน้าแช่มชื่น อินชิงเสวียนก็โล่งใจ“สองวันที่ผ่านมาสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าที่อยู่ข้างนอกตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า”เหมยชิงเกอถามด้วยความเป็นห่วงอินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง และพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล เห็นผู้อาวุโสมีสีหน้าไม่เลว คงดีขึ้นมากแล้ว”เหมยชิงเกอพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “น้ำพุวิญญาณสุดยอดมากจริงๆ ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจกำลังวังชาก็เกือบจะฟื้นตัวเช่นกัน”ในตอนแรกนางไม่กล้าใช้น้ำพุวิญญาณมากเกินไป แต่เมื่อเห็นว
หลังรับประทานอาหาร อินชิงเสวียนพูดคุยกับแม่อยู่พักหนึ่ง แล้วจึงออกจากมิติข้างนอกมืดแล้ว เป็นเวลาประมาณสามทุ่มเมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกหน่อยกว่าจะถึงเที่ยงคืน อินชิงเสวียนจึงเดินกลับไปที่เตียงหิน นั่งขัดสมาธิ และค่อยๆ ย่อยพลังงานที่ปล้นมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ใช้มันให้กลายเป็นของตัวเองเพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ในระดับใดแล้ว เพื่อความปลอดภัย นางยังไม่ต้องการต่อสู้กับผู้อาวุโสหันเมื่อใดที่นางตาย มิตินั้นจะตายพร้อมกับนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมยชิงเกอและเสี่ยวหนานเฟิงอาจถูกส่งออกจากมิติ หรืออาจหายไปพร้อมกับมิตินั้นแม้จะเป็นอย่างหน้า แต่ก็ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมด้วยพลังของเหมยชิงเกอ ไม่มีทางที่นางจะสามารถปกป้องเสี่ยวหนานเฟิงได้แค่ตัวเองเข้มแข็งพอเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์พูดได้มากพอเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็สงบจิตใจอย่างสมบูรณ์ ในไม่ช้าก็เข้าสู่สภาวะผสานกายใจเป็นหนึ่งเดียวไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ได้ยินเสียงจิ้งหรีดส่งเสียงร้องข้างนอกอินชิงเสวียนลืมตาขึ้นทันที ลูกตาสีดำตัดกับตาขาวชัดเจนคู่นั้น เปล่งประกายระยิบระยับนางดีดปลายเท้าขึ้นไป ร่างนั้นก็เล็ดลอดออกจากป