เรือนอนุซูฉี
ก่อนที่รองแม่ทัพหนุ่มจะเดินทางกลับไปจวนแม่ทัพเขาได้แวะไปคารวะมารดาของคู่หมั้นสาว ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงอนุภรรยาของจวนนี้ แต่นางก็คือมารดาที่ให้กำเนิดว่าที่ภรรยาของเขามา ชายหนุ่มไม่รังเกียจที่นางต่ำต้อยหรือไม่มีกำลังในการสนับสนุนภรรยาของเขา แต่นางก็เป็นมารดาที่น่านับถือ มิเช่นนั้นแล้วเขากับนางคงจะไม่มีวันที่จะได้เจอกัน
“รองแม่ทัพฟางนี่เขาดูเป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตไกลจริงๆ นะเหมยเอ๋อร์” อนุซูฉีเอ่ยชื่นชมคู่หมั้นของบุตรสาวหลังจากที่เขาลากลับไป
“เจ้าค่ะท่านแม่ ท่านพี่เขาเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นทำในหน้าที่ของเขา”
หลินซูเหมยบอกมารดาด้วยน้ำเสียงสดใส อนุซูฉีมองบุตรสาวด้วยแววตาเอ็นดู บุตรสาวของนางกำลังมีความรักเสียแล้ว แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะอีกไม่นานสองหนุ่มสาวก็จะได้แต่งงานออกเรือนไปอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว หากแต่งงานกันเพราะความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันมันย่อมดีกว่าการแต่งงานกันเพราะความต้องการของใครแค่ฝ่ายเดียว
“พรุ่งนี้ท่านพี่เขาอยากให้ข้าไปพบที่ตลาด เดี๋ยวข้าค่อยไปขออนุญาตท่านพ่อกับแม่ใหญ่ออกไปพบเขาเจ้าค่ะ” หลินซูเหมยบอกมารดาถึงแผนการที่นางจะทำในวันพรุ่งนี้
“ดีแล้วล่ะลูก ถึงอย่างไรเราก็มิควรข้ามหน้าข้ามตาท่านพ่อกับนายหญิงใหญ่” มือบางยกขึ้นไปลูบลงบนเส้นผมยาวสลวยของบุตรสาว
“ลูกเข้าใจเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่พักผ่อนก่อนเถิดนะเจ้าคะ สองสามวันที่ผ่านมาลูกเห็นท่านแม่ไออยู่บ่อยๆ” หลินซูเหมยบอกมารดาด้วยน้ำเสียงห่วงใย นางสังเกตเห็นว่ามารดาไอบ่อยๆ ในช่วงกลางคืน
“แม่มิเป็นอันใดหรอก เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ถ้าแม่ปักลายบนปลอกหมอนนี้เสร็จ แม่ก็จะพักเอง”
อนุซูฉีบอกบุตรสาวพร้อมกับส่งรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าให้นาง ก่อนที่จะก้มหน้าปักลายผ้าลงบนปลอกหมอนต่อ หลินซูเหมยมองดูมารดาก่อนที่จะส่ายหน้าไปมาให้กับความดื้อรั้นของนาง หลินซูเหมยจึงเดินกลับห้องนอนของตนไป เสี่ยวเอ๋อเดินรั้งท้ายของคุณหนูห้าไป เมื่อไปถึงหลินซูเหมยจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้
“คุณหนูห้าเจ้าคะ…” จู่ๆ เด็กสาวรับใช้ก็เรียกขานตนขึ้นมา
“มีอันใดหรือเสี่ยวเอ๋อ”
“บ่าวกำลังคิดถึงเรื่องฝีมือการทำขนมของคุณหนูขึ้นมา จะเป็นอันใดไหมเจ้าคะถ้าคุณหนูจะทำขนมขายรอท่านรองแม่ทัพฟางกลับมาจากศึกในครั้งนี้ ท่านตากับท่านยายของคุณหนู ท่านเพิ่งจะเปิดร้านค้าขายขนมอยู่ในตลาดทางทิศตะวันตกของเมืองหนานอันพอดีเลยเจ้าคะ"
หลินซูเหมยคิดตาม ตั้งแต่นางมาเกิดใหม่ในร่างของหลินซูเหมย นางก็จดจำได้เพียงเหตุการณ์ที่อยู่ในจวนแห่งนี้เท่านั้น นางลืมนึกไปถึงท่านตากับท่านยายของนางเสียสนิท ถึงแม้พวกท่านจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่ได้บุตรเขยเป็นขุนนางจึงทำให้สองตายายสามารถเปิดร้านค้าขายเล็กๆ ในเมืองหนานอันแห่งนี้ได้สบาย
“ความคิดของเจ้าไม่เลวเลยเสี่ยวเอ๋อ แต่เรื่องนี้ข้าต้องไปปรึกษาท่านพ่อ แม่ใหญ่และก็แม่เล็กของข้าก่อน” อย่างน้อยก็ไม่ควรข้ามหน้าข้ามตาผู้ใหญ่ หากพวกท่านรู้มาทีหลัง อาจจะทำให้นางถูกตำหนิหรือบางทีก็อาจจะถูกลงโทษ ที่ทำการอันใดแล้วไม่ขออนุญาต
“เจ้าค่ะ ตอนไปคารวะนายท่านกับฮูหยิน คุณหนูก็อย่าลืมนะเจ้าคะ นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ขนมของคุณหนูได้กลายเป็นที่รู้จักของเมืองหนานอัน ขนมอร่อยๆ มิควรเก็บไว้แค่ในจวนของเราเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อบอกคุณหนูห้าออกมาก่อนที่จะเดินไปจัดที่นอนให้กับนาง
เช้าวันต่อมาหลินซูเหมยไปทำความเคารพบิดาและแม่ใหญ่ที่เรือนใหญ่ นางทำอ้ำๆ อึ้งๆ จนหลินหยางและหลินฮูหยินถึงกับเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่ หลินฮูหยินจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกมา
“เจ้าเป็นอันใดไปหรือ… เหมยเอ๋อ”
“เปล่าเจ้าค่ะ… คือ….ลูกมีเรื่องอยากจะมาปรึกษาท่านพ่อกับท่านแม่ใหญ่” สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันก่อนที่จะมองไปยังร่างเล็กของเด็กสาวตรงหน้า
“มีอันใดจะปรึกษาก็เอื้อนเอ่ยออกมาเถิด อย่ามัวแต่ลังเลอยู่เลย พ่อกับแม่ใหญ่ไม่ตำหนิเจ้าหรอกถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่ผิดอันใด” ใต้เท้าหลินบอกบุตรสาวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ข้าอยากจะทำขนมไปส่งให้ร้านของท่านตาท่านยายขาย ท่านพ่อกับท่านแม่ใหญ่เห็นเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ” หลินซูเหมยเอ่ยถามบิดาและหลินฮูหยินออกมาพรางสังเกตอาการของผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ดีสิ… เจ้าว่างเว้นจากการเรียนแล้วนี่ อีกอย่างฝีมือการทำขนมของเจ้าก็อร่อยไม่แพ้ผู้ใดในเมืองหนานอัน ทำให้กินกันแค่ในจวนคงจะเสียดายแย่”
หลินฮูหยินเห็นด้วย เพราะรู้สึกชื่นชมกับรสชาติของขนมที่บุตรีของสามีทำออกมาให้นางได้ลองลิ้มชิมรสในแต่ละครั้ง อีกอย่างนางก็มองว่าเด็กสาวมีความคิดที่ดีที่อยากหารายได้และไม่ปล่อยเวลาว่างของตนให้ผ่านไป
“ขอบพระคุณท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ” หลินซูเหมยคำนับหลินฮูหยินก่อนที่จะขอบคุณนางออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ลูกยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะที่มาขออนุญาตท่านพ่อกับท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ” ทั้งหลินหยางและหลินฮูหยินต่างหันมามองหน้ากันก่อนที่จะยิ้มออกมา
“หืม… มีอีกอย่างนั้นหรือ” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามออกมา
“คือ…ยามเชินลูกขอออกไปตลาดได้ไหมเจ้าคะ ท่านรองแม่ทัพฟางนัดพบกับลูกที่ตลาดน่ะเจ้าค่ะ”
คำตอบของบุตรสาวทำเอาหลินหยางและหลินฮูหยินฉีกยิ้มออกมา เขาเข้าใจวัยหนุ่มสาวดี อาจจะอยากพบเจอกันข้างนอกบ้างเป็นเรื่องธรรมดา และเขาก็พอจะดูออกว่ารองแม่ทัพหนุ่มนั้นเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่ล่วงเกินบุตรีของตนก่อนที่จะถึงวันแต่งงาน
“เจ้าไปเถอะ…. ไปทำความรู้จักกันบ้าง ถึงยามเมื่อเขาและเจ้าแต่งงานกันไปจะได้ไม่มองกันเป็นคนแปลกหน้า อีกอย่างเขามาพักเพียงแค่สามสี่วัน มีเวลาส่วนตัวไม่มาก” หลินหยางบอกบุตรสาว หลินซูเหมยจึงคำนับลาบิดาและหลินฮูหยินกลับจวนเพื่อไปเตรียมตัว
“เสี่ยวเอ๋อ… ดูแลลูกสาวของข้าให้ดีๆ ล่ะ”
ก่อนที่สาวรับใช้ข้างกายของบุตรสาวจะเดินตามนางไป เสียงเข้มของประมุขของบ้านก็ดังตามหลัง เสี่ยวเอ๋อชะงักเท้าหันกลับไปตอบรับพร้อมคำนับลาอีกครั้งแล้วรีบสาวเท้าเดินตามคุณหนูของนางไป
รถม้าเคลื่อนออกจากจวนสกุลหลินยามเชิน* หลินซูเหมยนั่งอยู่ภายในรถม้าที่วิ่งไปตามเส้นทาง เสี่ยวเอ๋อมองคุณหนูห้าก่อนที่จะยิ้มออกมา“คุณหนูเจ้าคะ… ในสายตาของคุณหนู ท่านรองแม่ทัพฟางเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”นางเอ่ยถามคุณหนูออกมาด้วยความอยากรู้ นางเองก็ยังไม่เคยมีความรักและไม่รู้ว่าชีวิตนี้นางจะได้แต่งงานไปกับใครสักคนหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าชีวิตของนางจะถูกลิขิตให้มาเป็นบ่าวรับใช้คุณนายเล็กและคุณหนูห้าตั้งแต่เด็กๆ แล้ว“ท่านพี่เป็นคนดี เขาไปออกรบเพื่อป้องกันบ้านเมืองมิให้ข้าศึกเข้ามารุกราน ปกป้องประชาชนแคว้นต้าตงของเราให้อยู่กันอย่างสงบสุข” น้ำเสียงที่ชื่นชมอีกฝ่ายออกมาอย่างปิดไม่มิดทำให้เสี่ยวเอ๋อฉีกยิ้มออกมา แสดงว่ารองแม่ทัพฟางผู้นี้จะถูกใจคุณหนูห้าของนางอยู่ไม่น้อย“แล้วคุณหนูมิกลัวว่าเขาจะพลาดพลั้งให้กับข้าศึกบ้างหรือเจ้าคะ”“กลัวสิ… แต่ข้ามองว่าท่านพี่ได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุดแล้ว พวกเราคนที่อยู่เบื้องหลังทำอันใดให้บ้านเมืองของเราให้สงบสุขได้ก็ควรทำ เห็นสิ่งใดที่ไม่ดีไม่ถูกไม่ควรก็อย่าไปให้การ
หลังกลับมาจากการไปพบกับคู่หมั้นหนุ่มที่ตลาด หลินซูเหมยก็รู้สึกใจหายแปลกๆ หญิงสาววัยแรกแย้มเดินตรงไปด้านหลังจวน ซึ่งเป็นสวนดอกไม้และสระน้ำที่มีศาลาริมน้ำอยู่ เสี่ยวเอ๋อที่ติดตามมาก็ไม่ได้แย้งคุณหนูห้าของนางแต่อย่างใด นางเดินตามคุณหนูห้าของนางไปเงียบๆ เพราะนางเข้าใจว่าคุณหนูห้าคงจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์คู่หมั้นของนาง ที่มีแผนการเดินทางไปชายแดนทางทิศเหนือของแคว้นต้าตงในวันรุ่งขึ้นร่างบางเดินไปหยุดอยู่ที่สวนดอกไม้ก่อนที่ทอดสายตามองไปยังสระน้ำที่นางเคยตกลงไปแล้วกลับขึ้นมาเป็นนางอีกคน สิ้นวาสนาจากชาติภพก่อน โชคชะตาพัดพานางมาเกิดใหม่ในที่ที่แสนไกล สถานที่นางไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง ได้พบเจอกับเขาผู้เป็นคู่หมั้นของนางก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิต แต่ชาติภพนี้นางจะทำอันใดได้กันนะ ศึกสงครามตอนนี้คือสงครามแบบไหน นางก็มิอาจรู้ได้ เปลือกตาบางปิดลงอย่างช้าๆ พรางผ่อนลมหายใจออกมา“คุณหนูเจ้าคะ พรุ่งนี้ท่านรองแม่ทัพฟางก็จะออกเดินทางไปทิศเหนือแล้ว คุณหนูน่าจะทำขนมให้ท่านรองแม่ทัพไปกินระหว่างทางนะเจ้าคะ”เสี่ยวเอ๋อแนะนำคุณหนูของนางด้วยความเข้าใจ นางเองก็อยากจะได้ร่ำลาใครบางคนที่นางไม
ลินหยางไม่ได้ห้ามปราม เพราะเขากับหลินฮูหยินได้คุยกันเรื่องนี้กับหลินซูเหมยมาครั้งหนึ่งแล้ว เรื่องที่นางจะทำขนมส่งไปขายที่ร้านพ่อตาแม่ยายของตนหรือร้านท่านตาท่านยายของนาง แต่เขาก็ยังเป็นห่วงที่นางยังเด็ก กลัวว่านางจะไม่ทันคนจึงให้รองแม่บ้านหลันติดตามนางไปด้วย“ขอบพระคุณท่านพ่อกับท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ”หญิงสาวยิ้มออกมาก่อนที่จะคำนับลาแล้วเดินออกจากเรือนใหญ่ไปที่นั่งรถม้า วันนี้นอกจากเสี่ยวเอ๋อก็เลยมีป้าหลันติดตามคุณหนูห้าออกจากจวนมาด้วยจุดมุ่งหมายของการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่ตลาดใจกลางเมืองหนานอัน แต่ทว่าเป็นตลาดที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหนานอัน เป็นตลาดที่ไม่ใหญ่มากนักแต่ทว่ากลับมีผู้คนพลุกพล่านและมีกำลังซื้อเพราะมีตระกูลของเศรษฐี รวมไปถึงพวกขุนนางอาศัยอยู่มากมาย“ถึงแล้วเจ้าค่ะคุณหนูห้า”ป้าหลันบอกคุณหนูห้าด้วยรอยยิ้ม หลินซูเหมยพยักหน้าก่อนที่นางจะลงจากรถม้าหลังจากที่ป้าหลันและเสี่ยวเอ๋อลงไปรอด้านล่างแล้วทันทีที่ร่างเล็กของเจ้าของผู้มีใบหน้างามลงมาจากรถม้า ก็เรียกสายตาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ให้มองมายังนางด้วยความสนใจ หลาย
“แม่นางที่คุณชายสนใจคือบุตรีคนเล็กของท่านเจ้ากรมการกลาโหมกับอนุขอรับ มารดาของนางเป็นเพียงสตรีที่เกิดจากชาวบ้านธรรมดา ตายายของแม่นางน้อยผู้นั้นเปิดร้านขายขนมอยู่ท้ายตลาดขอรับ แต่ว่าร้านนี้มีคนของจวนสกุลหลินมาคอยดูแลเลยทำให้มิมีผู้ใดสามารถไปสร้างความวุ่นวายได้” เสียงบ่าวชายร่างกำยำรายงานให้คุณชายจอมเสเพลของตนได้ทราบถึงเรื่องที่เขาไปสืบมาให้“ดี…. เป็นลูกอนุเช่นนั้นก็ยิ่งง่ายสิ แต่ติดตรงเป็นบุตรีของเจ้ากรมกลาโหมนี่แหละ หึๆ ข้าไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับพวกขุนนางเสียด้วยสิ" หงอี้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชอบใจแต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความหนักใจ“แล้วนางกลับจวนของนางหรือยัง” เขาเอ่ยถามออกไปเสียงราบเรียบ“ตอนข้ากลับมานางยังอยู่ที่ร้านขนมขอรับ” บ่าวรับใช้ชายตอบคำถามของคุณชายบุตรชายคนเดียวของท่านเศรษฐี“ถ้าอย่างนั้นไปดักรอรถม้าของนาง ข้าอยากจะทำความรู้จักนางเสียหน่อยหึๆ”บุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาแต่เจ้าชู้เสเพลเอ่ยออกมา ก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ในหอสวีชุนแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจเหล่าสตรีที่กำลังร้องเรียกเขาอยู่สั
“พวกเจ้าช่างบังอาจนัก กล้ารังแกแม้กระทั่งผู้หญิง”หลินซูเหมยตะโกนออกมา มือหนาของหงอี้พยายามยื่นออกมาเพื่อจะจับที่ปลายคางของสตรีตรงหน้า ถึงปากคอเราะร้ายแต่ทว่าดวงหน้างามของนางก็ทำให้เขาไม่ถือสาแต่ก่อนที่มือหนาของบุตรชายของเศรษฐีจะเข้าไปถูกคางงามของหลินซูเหมย นางก็ยื่นมือมาจับข้อมือของเขาเอาไว้แล้วบิดสุดแรง พร้อมกับยกร่างหนาทุ่มลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว ป้าหลัน เสี่ยวเอ๋อ อาอวี้ รวมไปถึงพวกบ่าวรับใช้ผู้ติดตามคุณชายจอมเสเพลก็ถึงกับตกตะลึง ด้วยไม่คิดว่าสตรีตัวเล็กๆ จะสามารถยกร่างหนาทุ่มลงกับพื้นจนร้องโอดโอย บ่าวชายที่จับตัวป้าหลัน เสี่ยวเอ๋อและอาอวี้ไว้ถึงกับรีบปล่อยพวกเขา แล้วเข้าไปประคองคุณชายของพวกตนให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล“เจ้าบังอาจนัก!!! เป็นเพียงสตรีแต่ริบังอาจมาสู้กับบุรุษเช่นข้าอย่างนั้นหรือ พวกเจ้า!!! จับนางมาให้ข้า!!!”สิ้นคำสั่งบุรุษทั้งห้าก็พุ่งเข้าไปจะจับร่างบางของคุณหนู แต่ป้าหลันกับเสี่ยวเอ๋อ รวมไปถึงอาอวี้รีบไปขวางเอาไว้ แต่ก็ขวางได้เพียงไม่นานเพราะถูกพวกมันที่แข็งแรงกว่าจับเหวี่ยงไปคนละทิศละทาง อาอวี้โดนรุมต่อยจนปา
ยามชวี ณ เรือนหลังใหญ่โตสกุลหงเสียงร้องโอดโอยจากทั้งบ่าวและคุณชายดังขึ้นสลับกัน หากรู้ไปถึงไหนคงจะอายไปถึงนั่น ที่พวกตนถูกสตรีตัวเล็กๆ อัดจนสภาพสะบักสะบอม แต่จะให้ไปเอาเรื่องนางที่มิได้เป็นคนผิด คุณชายหนุ่มเองก็ทำอันใดมิได้ แต่การที่ถูกนางอัดครั้งนี้กลับทำให้เขารู้สึกถูกใจนางยิ่งขึ้นไปอีก“ลูกพ่อ… นี่พวกเจ้าไปโดนผู้ใดซ้อมมาถึงได้กลับมานอนร้องโอดโอยกันเช่นนี้ พวกเจ้า!!! ใครผู้ใดมันบังอาจมาทำให้คุณชายเจ็บแบบนี้กัน” เพราะมีบุตรชายเพียงคนเดียวเขาจึงเอาอกเอาใจหงอวี้มาตั้งแต่เด็กๆ จนทำให้คุณชายหนุ่มเคยตัวไม่ยอมให้ใครมาขัดใจ“เอ่อ…" เหล่าบุรุษร่างกายกำยำอ้ำอึ้งก่อนที่จะหันไปมองหน้าคุณชายหนุ่มเพื่อขอความเห็นว่าจะยอมบอกว่าถูกสตรีตัวเล็กๆ อัดมาเสียน่วมหรือว่าโกหกว่าเป็นอย่างอื่น“ท่านพ่อ… ลูกมิเป็นอันใดหรอกขอรับ เพียงแต่เมื่อช่วงยามโหย่วข้าตกต้นไม้ลงมา แล้วโมโหก็เลยซ้อมบ่าวพวกนี้” เขายอมพูดโป้ปดเพื่อสตรีนางนั้น แต่บรรดาบ่าวกลับเข้าใจว่าคุณชายอายที่ถูกสตรีตัวเล็กๆ หยามเกียรติ“ให้ท่านหมอมาตรวจหน่อยดีไห
หลังจากพาตัวนักโทษกลับไปลงโทษที่วังหลวง รองแม่ทัพฟางเซี่ยหมินก็ได้รับความดีความชอบและได้เลื่อนขั้นจากรองแม่ทัพทิศใต้กลายเป็นแม่ทัพทิศเหนือทำหน้าที่ควบคุมกองทัพและดูแลความสงบของชายแดนทิศเหนือแทนคนเก่าที่ก่อกบฏ สร้างชื่อเสียงที่ดีงามให้กับตระกูลฟางเป็นอย่างยิ่ง เขาเดินทางกลับมายังจวนก่อนที่จะพูดคุยกับบิดาเรื่องสู่ขอคุณหนูห้าสกุลหลิน หลินซูเหมย เพราะเขาต้องย้ายไปประจำการอยู่ที่ชายแดนทิศเหนือ เช่นนั้นเขาก็อยากที่จะมีฮูหยินคอยอยู่เคียงข้าง“เจ้าคิดดีแน่แล้วหรือหมินเอ๋อร์” ใต้เท้าฟางเอ่ยถามบุตรชาย“แน่แล้วขอรับ ลูกมิอาจทนความห่างไกลจากนางได้อีกแล้ว แต่พวกท่านมิต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ลูกจะลองถามความสมัครใจของนางดูก่อน หากนางมิยินยอมติดตามลูกไปยังชายแดนทิศเหนือ ลูกก็มิอยากที่จะบังคับนาง” แม่ทัพคนใหม่ของแคว้นต้าตงบอกบิดามารดา“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองไปถามนางก่อน หากนางยินดีที่จะไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าที่จวนในเมืองหนานถิง แม่ก็จะไปสู่ขอนางให้เจ้าก่อนที่เจ้าจะเดินทางไปประจำการอยู่ที่นั่น”ฟางฮูหยินเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้กับบุตรชา
แม่ทัพฟางเซี่ยหมินกล่าวลาคู่หมั้นของตนก่อนที่จะไปคำนับลาใต้เท้าหลินและหลินฮูหยิน จากนั้นจึงขี่ม้ากลับจวนเพื่อไปบอกกล่าวบิดามารดาถึงคำตอบของสตรีที่กำลังจะมาเป็นคู่ชีวิตของตนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เขาตื่นเต้นจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มอยู่ตลอดระยะทาง จนผู้ติดตามอย่างตงหลงยังอดที่จะรู้สึกขบขันมิได้“คุณชายขอรับ” เขาเรียกขานผู้ที่ขี่ม้านำหน้า“อืม… ว่าอย่างไร” คนที่เพิ่งจะสมหวังกับคำตอบของคู่หมั้นขานรับอย่างอารมณ์ดี“คุณหนูห้านางจะไม่กลัวหรือขอรับ ทิศเหนือยามนี้มิได้สงบเฉกเช่นแต่ก่อนแล้วนะขอรับ”รองแม่ทัพทิศเหนือคนใหม่เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าหากคุณหนูห้าแต่งกับคุณชายของตนออกไป สตรีข้างกายของนางก็ต้องติดตามนางไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะแอบดีใจอยู่ไม่น้อยแต่พอมาลองคิดดูอีกทีเขาก็อดเป็นห่วงมิได้“ข้าเชื่อว่านางรู้ว่าหนทางที่นางเลือกเดินไปกับข้ามันมิได้สุขสบาย แต่ที่นางยินยอมแต่งกับข้า เพราะข้ากับนางมีหัวใจที่มีกันและกันต่างหาก”ฟางเซี่ยหมินเอ่ยออกมาพร
แม่ทัพฟางเซี่ยหมินกล่าวลาคู่หมั้นของตนก่อนที่จะไปคำนับลาใต้เท้าหลินและหลินฮูหยิน จากนั้นจึงขี่ม้ากลับจวนเพื่อไปบอกกล่าวบิดามารดาถึงคำตอบของสตรีที่กำลังจะมาเป็นคู่ชีวิตของตนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เขาตื่นเต้นจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มอยู่ตลอดระยะทาง จนผู้ติดตามอย่างตงหลงยังอดที่จะรู้สึกขบขันมิได้“คุณชายขอรับ” เขาเรียกขานผู้ที่ขี่ม้านำหน้า“อืม… ว่าอย่างไร” คนที่เพิ่งจะสมหวังกับคำตอบของคู่หมั้นขานรับอย่างอารมณ์ดี“คุณหนูห้านางจะไม่กลัวหรือขอรับ ทิศเหนือยามนี้มิได้สงบเฉกเช่นแต่ก่อนแล้วนะขอรับ”รองแม่ทัพทิศเหนือคนใหม่เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าหากคุณหนูห้าแต่งกับคุณชายของตนออกไป สตรีข้างกายของนางก็ต้องติดตามนางไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะแอบดีใจอยู่ไม่น้อยแต่พอมาลองคิดดูอีกทีเขาก็อดเป็นห่วงมิได้“ข้าเชื่อว่านางรู้ว่าหนทางที่นางเลือกเดินไปกับข้ามันมิได้สุขสบาย แต่ที่นางยินยอมแต่งกับข้า เพราะข้ากับนางมีหัวใจที่มีกันและกันต่างหาก”ฟางเซี่ยหมินเอ่ยออกมาพร
หลังจากพาตัวนักโทษกลับไปลงโทษที่วังหลวง รองแม่ทัพฟางเซี่ยหมินก็ได้รับความดีความชอบและได้เลื่อนขั้นจากรองแม่ทัพทิศใต้กลายเป็นแม่ทัพทิศเหนือทำหน้าที่ควบคุมกองทัพและดูแลความสงบของชายแดนทิศเหนือแทนคนเก่าที่ก่อกบฏ สร้างชื่อเสียงที่ดีงามให้กับตระกูลฟางเป็นอย่างยิ่ง เขาเดินทางกลับมายังจวนก่อนที่จะพูดคุยกับบิดาเรื่องสู่ขอคุณหนูห้าสกุลหลิน หลินซูเหมย เพราะเขาต้องย้ายไปประจำการอยู่ที่ชายแดนทิศเหนือ เช่นนั้นเขาก็อยากที่จะมีฮูหยินคอยอยู่เคียงข้าง“เจ้าคิดดีแน่แล้วหรือหมินเอ๋อร์” ใต้เท้าฟางเอ่ยถามบุตรชาย“แน่แล้วขอรับ ลูกมิอาจทนความห่างไกลจากนางได้อีกแล้ว แต่พวกท่านมิต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ลูกจะลองถามความสมัครใจของนางดูก่อน หากนางมิยินยอมติดตามลูกไปยังชายแดนทิศเหนือ ลูกก็มิอยากที่จะบังคับนาง” แม่ทัพคนใหม่ของแคว้นต้าตงบอกบิดามารดา“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองไปถามนางก่อน หากนางยินดีที่จะไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าที่จวนในเมืองหนานถิง แม่ก็จะไปสู่ขอนางให้เจ้าก่อนที่เจ้าจะเดินทางไปประจำการอยู่ที่นั่น”ฟางฮูหยินเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้กับบุตรชา
ยามชวี ณ เรือนหลังใหญ่โตสกุลหงเสียงร้องโอดโอยจากทั้งบ่าวและคุณชายดังขึ้นสลับกัน หากรู้ไปถึงไหนคงจะอายไปถึงนั่น ที่พวกตนถูกสตรีตัวเล็กๆ อัดจนสภาพสะบักสะบอม แต่จะให้ไปเอาเรื่องนางที่มิได้เป็นคนผิด คุณชายหนุ่มเองก็ทำอันใดมิได้ แต่การที่ถูกนางอัดครั้งนี้กลับทำให้เขารู้สึกถูกใจนางยิ่งขึ้นไปอีก“ลูกพ่อ… นี่พวกเจ้าไปโดนผู้ใดซ้อมมาถึงได้กลับมานอนร้องโอดโอยกันเช่นนี้ พวกเจ้า!!! ใครผู้ใดมันบังอาจมาทำให้คุณชายเจ็บแบบนี้กัน” เพราะมีบุตรชายเพียงคนเดียวเขาจึงเอาอกเอาใจหงอวี้มาตั้งแต่เด็กๆ จนทำให้คุณชายหนุ่มเคยตัวไม่ยอมให้ใครมาขัดใจ“เอ่อ…" เหล่าบุรุษร่างกายกำยำอ้ำอึ้งก่อนที่จะหันไปมองหน้าคุณชายหนุ่มเพื่อขอความเห็นว่าจะยอมบอกว่าถูกสตรีตัวเล็กๆ อัดมาเสียน่วมหรือว่าโกหกว่าเป็นอย่างอื่น“ท่านพ่อ… ลูกมิเป็นอันใดหรอกขอรับ เพียงแต่เมื่อช่วงยามโหย่วข้าตกต้นไม้ลงมา แล้วโมโหก็เลยซ้อมบ่าวพวกนี้” เขายอมพูดโป้ปดเพื่อสตรีนางนั้น แต่บรรดาบ่าวกลับเข้าใจว่าคุณชายอายที่ถูกสตรีตัวเล็กๆ หยามเกียรติ“ให้ท่านหมอมาตรวจหน่อยดีไห
“พวกเจ้าช่างบังอาจนัก กล้ารังแกแม้กระทั่งผู้หญิง”หลินซูเหมยตะโกนออกมา มือหนาของหงอี้พยายามยื่นออกมาเพื่อจะจับที่ปลายคางของสตรีตรงหน้า ถึงปากคอเราะร้ายแต่ทว่าดวงหน้างามของนางก็ทำให้เขาไม่ถือสาแต่ก่อนที่มือหนาของบุตรชายของเศรษฐีจะเข้าไปถูกคางงามของหลินซูเหมย นางก็ยื่นมือมาจับข้อมือของเขาเอาไว้แล้วบิดสุดแรง พร้อมกับยกร่างหนาทุ่มลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว ป้าหลัน เสี่ยวเอ๋อ อาอวี้ รวมไปถึงพวกบ่าวรับใช้ผู้ติดตามคุณชายจอมเสเพลก็ถึงกับตกตะลึง ด้วยไม่คิดว่าสตรีตัวเล็กๆ จะสามารถยกร่างหนาทุ่มลงกับพื้นจนร้องโอดโอย บ่าวชายที่จับตัวป้าหลัน เสี่ยวเอ๋อและอาอวี้ไว้ถึงกับรีบปล่อยพวกเขา แล้วเข้าไปประคองคุณชายของพวกตนให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล“เจ้าบังอาจนัก!!! เป็นเพียงสตรีแต่ริบังอาจมาสู้กับบุรุษเช่นข้าอย่างนั้นหรือ พวกเจ้า!!! จับนางมาให้ข้า!!!”สิ้นคำสั่งบุรุษทั้งห้าก็พุ่งเข้าไปจะจับร่างบางของคุณหนู แต่ป้าหลันกับเสี่ยวเอ๋อ รวมไปถึงอาอวี้รีบไปขวางเอาไว้ แต่ก็ขวางได้เพียงไม่นานเพราะถูกพวกมันที่แข็งแรงกว่าจับเหวี่ยงไปคนละทิศละทาง อาอวี้โดนรุมต่อยจนปา
“แม่นางที่คุณชายสนใจคือบุตรีคนเล็กของท่านเจ้ากรมการกลาโหมกับอนุขอรับ มารดาของนางเป็นเพียงสตรีที่เกิดจากชาวบ้านธรรมดา ตายายของแม่นางน้อยผู้นั้นเปิดร้านขายขนมอยู่ท้ายตลาดขอรับ แต่ว่าร้านนี้มีคนของจวนสกุลหลินมาคอยดูแลเลยทำให้มิมีผู้ใดสามารถไปสร้างความวุ่นวายได้” เสียงบ่าวชายร่างกำยำรายงานให้คุณชายจอมเสเพลของตนได้ทราบถึงเรื่องที่เขาไปสืบมาให้“ดี…. เป็นลูกอนุเช่นนั้นก็ยิ่งง่ายสิ แต่ติดตรงเป็นบุตรีของเจ้ากรมกลาโหมนี่แหละ หึๆ ข้าไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับพวกขุนนางเสียด้วยสิ" หงอี้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชอบใจแต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความหนักใจ“แล้วนางกลับจวนของนางหรือยัง” เขาเอ่ยถามออกไปเสียงราบเรียบ“ตอนข้ากลับมานางยังอยู่ที่ร้านขนมขอรับ” บ่าวรับใช้ชายตอบคำถามของคุณชายบุตรชายคนเดียวของท่านเศรษฐี“ถ้าอย่างนั้นไปดักรอรถม้าของนาง ข้าอยากจะทำความรู้จักนางเสียหน่อยหึๆ”บุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาแต่เจ้าชู้เสเพลเอ่ยออกมา ก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ในหอสวีชุนแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจเหล่าสตรีที่กำลังร้องเรียกเขาอยู่สั
ลินหยางไม่ได้ห้ามปราม เพราะเขากับหลินฮูหยินได้คุยกันเรื่องนี้กับหลินซูเหมยมาครั้งหนึ่งแล้ว เรื่องที่นางจะทำขนมส่งไปขายที่ร้านพ่อตาแม่ยายของตนหรือร้านท่านตาท่านยายของนาง แต่เขาก็ยังเป็นห่วงที่นางยังเด็ก กลัวว่านางจะไม่ทันคนจึงให้รองแม่บ้านหลันติดตามนางไปด้วย“ขอบพระคุณท่านพ่อกับท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ”หญิงสาวยิ้มออกมาก่อนที่จะคำนับลาแล้วเดินออกจากเรือนใหญ่ไปที่นั่งรถม้า วันนี้นอกจากเสี่ยวเอ๋อก็เลยมีป้าหลันติดตามคุณหนูห้าออกจากจวนมาด้วยจุดมุ่งหมายของการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่ตลาดใจกลางเมืองหนานอัน แต่ทว่าเป็นตลาดที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหนานอัน เป็นตลาดที่ไม่ใหญ่มากนักแต่ทว่ากลับมีผู้คนพลุกพล่านและมีกำลังซื้อเพราะมีตระกูลของเศรษฐี รวมไปถึงพวกขุนนางอาศัยอยู่มากมาย“ถึงแล้วเจ้าค่ะคุณหนูห้า”ป้าหลันบอกคุณหนูห้าด้วยรอยยิ้ม หลินซูเหมยพยักหน้าก่อนที่นางจะลงจากรถม้าหลังจากที่ป้าหลันและเสี่ยวเอ๋อลงไปรอด้านล่างแล้วทันทีที่ร่างเล็กของเจ้าของผู้มีใบหน้างามลงมาจากรถม้า ก็เรียกสายตาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ให้มองมายังนางด้วยความสนใจ หลาย
หลังกลับมาจากการไปพบกับคู่หมั้นหนุ่มที่ตลาด หลินซูเหมยก็รู้สึกใจหายแปลกๆ หญิงสาววัยแรกแย้มเดินตรงไปด้านหลังจวน ซึ่งเป็นสวนดอกไม้และสระน้ำที่มีศาลาริมน้ำอยู่ เสี่ยวเอ๋อที่ติดตามมาก็ไม่ได้แย้งคุณหนูห้าของนางแต่อย่างใด นางเดินตามคุณหนูห้าของนางไปเงียบๆ เพราะนางเข้าใจว่าคุณหนูห้าคงจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์คู่หมั้นของนาง ที่มีแผนการเดินทางไปชายแดนทางทิศเหนือของแคว้นต้าตงในวันรุ่งขึ้นร่างบางเดินไปหยุดอยู่ที่สวนดอกไม้ก่อนที่ทอดสายตามองไปยังสระน้ำที่นางเคยตกลงไปแล้วกลับขึ้นมาเป็นนางอีกคน สิ้นวาสนาจากชาติภพก่อน โชคชะตาพัดพานางมาเกิดใหม่ในที่ที่แสนไกล สถานที่นางไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง ได้พบเจอกับเขาผู้เป็นคู่หมั้นของนางก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิต แต่ชาติภพนี้นางจะทำอันใดได้กันนะ ศึกสงครามตอนนี้คือสงครามแบบไหน นางก็มิอาจรู้ได้ เปลือกตาบางปิดลงอย่างช้าๆ พรางผ่อนลมหายใจออกมา“คุณหนูเจ้าคะ พรุ่งนี้ท่านรองแม่ทัพฟางก็จะออกเดินทางไปทิศเหนือแล้ว คุณหนูน่าจะทำขนมให้ท่านรองแม่ทัพไปกินระหว่างทางนะเจ้าคะ”เสี่ยวเอ๋อแนะนำคุณหนูของนางด้วยความเข้าใจ นางเองก็อยากจะได้ร่ำลาใครบางคนที่นางไม
รถม้าเคลื่อนออกจากจวนสกุลหลินยามเชิน* หลินซูเหมยนั่งอยู่ภายในรถม้าที่วิ่งไปตามเส้นทาง เสี่ยวเอ๋อมองคุณหนูห้าก่อนที่จะยิ้มออกมา“คุณหนูเจ้าคะ… ในสายตาของคุณหนู ท่านรองแม่ทัพฟางเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”นางเอ่ยถามคุณหนูออกมาด้วยความอยากรู้ นางเองก็ยังไม่เคยมีความรักและไม่รู้ว่าชีวิตนี้นางจะได้แต่งงานไปกับใครสักคนหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าชีวิตของนางจะถูกลิขิตให้มาเป็นบ่าวรับใช้คุณนายเล็กและคุณหนูห้าตั้งแต่เด็กๆ แล้ว“ท่านพี่เป็นคนดี เขาไปออกรบเพื่อป้องกันบ้านเมืองมิให้ข้าศึกเข้ามารุกราน ปกป้องประชาชนแคว้นต้าตงของเราให้อยู่กันอย่างสงบสุข” น้ำเสียงที่ชื่นชมอีกฝ่ายออกมาอย่างปิดไม่มิดทำให้เสี่ยวเอ๋อฉีกยิ้มออกมา แสดงว่ารองแม่ทัพฟางผู้นี้จะถูกใจคุณหนูห้าของนางอยู่ไม่น้อย“แล้วคุณหนูมิกลัวว่าเขาจะพลาดพลั้งให้กับข้าศึกบ้างหรือเจ้าคะ”“กลัวสิ… แต่ข้ามองว่าท่านพี่ได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุดแล้ว พวกเราคนที่อยู่เบื้องหลังทำอันใดให้บ้านเมืองของเราให้สงบสุขได้ก็ควรทำ เห็นสิ่งใดที่ไม่ดีไม่ถูกไม่ควรก็อย่าไปให้การ
เรือนอนุซูฉีก่อนที่รองแม่ทัพหนุ่มจะเดินทางกลับไปจวนแม่ทัพเขาได้แวะไปคารวะมารดาของคู่หมั้นสาว ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงอนุภรรยาของจวนนี้ แต่นางก็คือมารดาที่ให้กำเนิดว่าที่ภรรยาของเขามา ชายหนุ่มไม่รังเกียจที่นางต่ำต้อยหรือไม่มีกำลังในการสนับสนุนภรรยาของเขา แต่นางก็เป็นมารดาที่น่านับถือ มิเช่นนั้นแล้วเขากับนางคงจะไม่มีวันที่จะได้เจอกัน“รองแม่ทัพฟางนี่เขาดูเป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตไกลจริงๆ นะเหมยเอ๋อร์” อนุซูฉีเอ่ยชื่นชมคู่หมั้นของบุตรสาวหลังจากที่เขาลากลับไป“เจ้าค่ะท่านแม่ ท่านพี่เขาเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นทำในหน้าที่ของเขา”หลินซูเหมยบอกมารดาด้วยน้ำเสียงสดใส อนุซูฉีมองบุตรสาวด้วยแววตาเอ็นดู บุตรสาวของนางกำลังมีความรักเสียแล้ว แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะอีกไม่นานสองหนุ่มสาวก็จะได้แต่งงานออกเรือนไปอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว หากแต่งงานกันเพราะความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันมันย่อมดีกว่าการแต่งงานกันเพราะความต้องการของใครแค่ฝ่ายเดียว“พรุ่งนี้ท่านพี่เขาอยากให้ข้าไปพบที่ตลาด เดี๋ยวข้าค่อยไปขออนุญาตท่านพ่อกับแม่ใหญ่