แม่ทัพฟางเซี่ยหมินกล่าวลาคู่หมั้นของตนก่อนที่จะไปคำนับลาใต้เท้าหลินและหลินฮูหยิน จากนั้นจึงขี่ม้ากลับจวนเพื่อไปบอกกล่าวบิดามารดาถึงคำตอบของสตรีที่กำลังจะมาเป็นคู่ชีวิตของตนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เขาตื่นเต้นจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มอยู่ตลอดระยะทาง จนผู้ติดตามอย่างตงหลงยังอดที่จะรู้สึกขบขันมิได้
“คุณชายขอรับ” เขาเรียกขานผู้ที่ขี่ม้านำหน้า
“อืม… ว่าอย่างไร” คนที่เพิ่งจะสมหวังกับคำตอบของคู่หมั้นขานรับอย่างอารมณ์ดี
“คุณหนูห้านางจะไม่กลัวหรือขอรับ ทิศเหนือยามนี้มิได้สงบเฉกเช่นแต่ก่อนแล้วนะขอรับ”
รองแม่ทัพทิศเหนือคนใหม่เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าหากคุณหนูห้าแต่งกับคุณชายของตนออกไป สตรีข้างกายของนางก็ต้องติดตามนางไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะแอบดีใจอยู่ไม่น้อยแต่พอมาลองคิดดูอีกทีเขาก็อดเป็นห่วงมิได้
“ข้าเชื่อว่านางรู้ว่าหนทางที่นางเลือกเดินไปกับข้ามันมิได้สุขสบาย แต่ที่นางยินยอมแต่งกับข้า เพราะข้ากับนางมีหัวใจที่มีกันและกันต่างหาก”
ฟางเซี่ยหมินเอ่ยออกมาพร้อมกับมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่คนฟังถึงกับแอบขำอยู่ภายในใจ เพราะเขามิเคยนึกภาพท่านแม่ทัพผู้น่าเกรงขามหลงใหลในสตรีเช่นนี้มาก่อน สงสัยว่าคุณหนูห้าแห่งจวนสกุลหลินจะกุมหัวใจของคุณชายฟางอยู่หมัดแล้ว
แม่ทัพฟางเซี่ยหมินไปบอกกล่าวข่าวดีให้กับบิดาและมารดาได้รับทราบหลังจากเดินทางไปถึงจวนแม่ทัพ เขาปิดบังสีหน้าที่แสดงออกมาถึงความดีใจไม่มิดจนท่านแม่ทัพฟางกับฟางฮูหยินพอจะเดาออกตั้งแต่ที่เขายังมิได้เปิดปากบอกเล่าเรื่องราวออกมา
“นางตกลงแต่งงานกับข้าแล้วขอรับ นางยินดีที่จะไปใช้ชีวิตอยู่กับข้าที่เมืองหนานถิงแล้วขอรับ” เขาบอกบิดาและมารดาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
“พ่อดีใจกับเจ้าด้วยนะหมินเอ๋อร์…” ใต้เท้าฟางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี
“แม่ก็ดีใจกับเจ้าด้วยนะ… ทีนี้ก็เหลือแต่เจ้าแล้วนะฉินเอ๋อร์” ฟางฮูหยินเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะหันไปพูดคุยกับบุตรีคนเล็กของตน นางแสดงสีหน้าเหวอๆ ออกมาจนพี่สะใภ้ทั้งสองที่นั่งอยู่พากันหัวเราะออกมาเบาๆ
“ท่านแม่… ชายผู้ใดจะมาทำให้ลูกชอบพอได้กัน ลูกยังมิได้พบกับเขาผู้นั้นเลยเจ้าค่ะ” ฟางเซี่ยฉินบอกผู้เป็นมารดาก่อนที่จะหันไปทำหน้ายับย่นให้กับผู้เป็นพี่ชายเรียกเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากทุกคนในครอบครัว
จวนของทั้งสองสกุลถูกประดับประดาด้วยโคมไฟทั้งเล็กใหญ่ ผ้าแพรสีแดงถูกนำมาประดับทั้งสองจวนเพื่อจัดสถานที่ในการทำพิธีมงคล บ่าวรับใช้ในบ้านทั้งบุรุษและสตรีช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อให้สถานที่ออกมาสวยงามที่สุด รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของบ่าวทุกคนเพราะคุณชายและคุณหนูของตนกำลังจะแต่งงาน สินสอดของมีค่าถูกนำมาวางเรียงรายตั้งแต่ทางเข้าจวนจนถึงเรือนรับรอง
พี่น้องที่ออกเรือนไปกลับมายังจวนสกุลหลินวันนี้ครอบครัวเลยได้อยู่พร้อมหน้า ยกเว้นก็เพียงแต่อนุจินที่ยังคงต้องอยู่บำเพ็ญประโยชน์อีกหนึ่งปี ถึงจะได้รับอนุญาตให้กลับมาอยู่ที่จวนดังเดิม เขยสี่และหลินจินหรูเดินทางกลับมายังจวนสกุลหลินเช่นเดียวกับพี่ชาย พี่สะใภ้และพี่หญิงรองกับพี่เขยรอง
สำหรับหลินจินหรูนางมิได้ยินยอมที่จะกลับมาร่วมงานมงคลของน้องเล็กผู้นี้เท่าใดนักแต่ก็ขัดผู้เป็นสามีมิได้ เพราะเขาเป็นเพื่อนกับพี่ชายของตน ที่ผ่านมานางต้องฝืนทนกับการต้องไปอาศัยอยู่ที่เมืองห่างไกล กับคู่ครองที่เป็นเพียงอาจารย์สอนเหล่าเด็กๆ ในสำนักศึกษาเท่านั้น
พอมาได้ยินว่าน้องหญิงห้าขี้โรคได้แต่งกับตระกูลแม่ทัพนางก็อดที่จะรู้สึกอิจฉาริษยาไม่ได้ แต่ก็ทำเพียงแค่เก็บความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้ในใจเพราะความผิดก่อนเก่านั้นยังคงมิเลือนรางจางหายไป แม้จะผ่านไปนานเป็นปีๆ แต่ทุกคนในเรือนก็ยังคงมิลืมและมารดาของนางก็ยังคงถูกลงโทษอยู่
“พี่ดีใจด้วยนะน้องหญิงห้า ในที่สุดเจ้าก็ได้ออกเรือนไปกับคนดีๆ” หลินชูจ้านเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ภรรยาที่นั่งเคียงข้างกับเขาก็ส่งยิ้มยินดีมาให้นางผู้เป็นน้องสาวของสามีเช่นกัน
“พี่ก็ดีใจด้วยนะน้องหญิงห้า พี่ขอให้น้องมีความสุขมากๆ นะ”
หลินจางหลงแสดงความยินดีกับน้องสาวต่างมารดาบ้าง เขายังคงรู้สึกผิดแทนมารดาและน้องหญิงสี่ที่ทำผิดต่อน้องสาวผู้นี้มาโดยตลอด เห็นนางได้ออกเรือนไปกับคนดีๆ อย่างแม่ทัพเล็กฟาง เขาก็ยินดีกับนางด้วย
“ขอบพระคุณพี่ชายใหญ่ กับพี่สามเจ้าค่ะ” นางเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนที่จะหันไปฟาพี่หญิงรองที่คว้ามือของนางเข้าไปกุมเอาไว้
“น้องหญิงห้าของพี่โตเป็นสตรีที่งามสง่าแล้ว แต่ทว่าออกเรือนครานี้เจ้าต้องไปอยู่ไกลถึงเมืองหนานถิง เจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าได้วางใจผู้ใดเด็ดขาด” หลินเยว่หรูบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ท่านพี่หญิงรองมิต้องกังวลไปนะเจ้าคะ น้องมีเสี่ยวเอ๋อกับป้าหลันไปด้วย รับรองว่ามิมีผู้ใดมารังแกน้องได้แน่นอน อีกอย่างท่านแม่ทัพคงมิให้น้องต้องพบกับอันตรายใดๆ หรอกเจ้าค่ะ”
เพราะนางดูแลตนเองได้แบบมิต้องกังวลต่างหาก มิได้เกี่ยวกับบ่าวรับใช้ที่ติดตามนางไป แต่เพื่อให้พี่สาวและพี่ชายสบายใจนางจึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ได้ยินเช่นนี้พี่ก็สบายใจ แต่ถ้าหากพบเจอปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลืออันใด เจ้าต้องให้คนส่งข่าวมาหาพี่นะเข้าใจไหม”
หลินเยว่หรูก็ยังคงเป็นหลินเยว่หรู นางยังคงห่วงใยน้องเล็กนางนี้เสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด แต่น้องสาวผู้นี้ก็ยังคงได้รับความเอ็นดูจากนางมิเปลี่ยนแปลง หลินจินหรูได้ฟังเช่นนั้นก็อดที่จะรู้สึกหมั่นไส้และอิจฉาน้องสาวต่างมารดาผู้นี้มิได้ มือบางกำหมัดแน่นโดยที่มิมีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็น
ยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิ นัยน์ตากลมจดจ้องไปยังชุดผ้าแพรสีแดงที่กำลังปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในเรือนไม้กลางเก่ากลางใหม่ พรุ่งนี้ก็จะต้องเป็นวันที่สตรีที่มีดวงหน้างามดุจนางเซียนจากสรวงสวรรค์ผู้นี้ต้องแต่งงานออกจากเรือนแห่งนี้ไป นางมองไปรอบๆ ห้องหับที่เคยอยู่มาตั้งแต่จำความได้ พรุ่งนี้นางจะต้องจำจากทั้งเรือนหลังนี้ และมารดาผู้เป็นที่รักไปพำนักอยู่ยังเมืองที่ห่างไกลออกไปจากเมืองหนานอัน
“เหมยเอ๋อร์… นี่เจ้าทำไมยังไม่นอนอีก” อนุซูฉีที่เดินมาดูบุตรสาวเอ่ยถามขึ้นหลังจากเปิดประตูเข้ามาในห้องของนาง เพราะเห็นแสงไฟจากตะเกียงภายในห้องนอนนั้นยังส่องสว่างอยู่
“เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกนอนไม่หลับ” หลินซูเหมยตอบมารดาพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้มารดาบางๆ
“อย่ากังวลไปเลยนะลูก สตรีเช่นเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องออกเรือน มิมีผู้ใดอยู่เรือนกับพ่อแม่ไปจนแก่เฒ่าหรอกหนา” อนุซูฉีเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวที่บุตรสาวนั่งอยู่ นางเอ่ยออกมาก่อนที่จะยกมือขึ้นไปลูบเส้นผมยาวสลวยของบุตรสาวด้วยความอ่อนโยน
“ลูกห่วงท่านแม่เจ้าค่ะ พอลูกไม่อยู่ที่นี่แล้ว ท่านแม่ต้องรักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ พอแต่งออกไปแล้วลูกก็ไม่สะดวกกลับเรือนมาเพราะต้องติดตามท่านแม่ทัพไปยังเมืองหนานถิง” สองแขนเรียวสอดเข้าไปโอบกอดมารดาก่อนที่หลินซูเหมยจะเอ่ยออกมา
“แม่จะดูแลตัวเองให้ดี เจ้าเองก็เหมือนกัน เจ้าจงเป็นสตรีที่มีหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา เพื่อมิให้ผู้ใดมองเจ้าด้วยความดูถูก ที่เจ้านั้นเป็นเพียงลูกอนุ มิใช่ภรรยาเอกที่ผู้คนนับหน้าถือตา”
“ลูกจะจดจำเอาไว้ให้ดี และลูกจะมิให้ผู้ใดมาดูถูกลูกได้เจ้าค่ะ” สองแม่ลูกผละออกจากกันก่อนที่อนุซูฉีจะส่งกล่องที่ถือมาให้กับบุตรสาวของตน
“ในกล่องนี้มีโฉนดที่ดินหนึ่งหมู่ของท่านย่าของเจ้า และมีปิ่นทองที่ท่านพ่อของเจ้าให้แม่มา รวมไปถึงเงินอีกห้าตำลึงทอง เจ้าจงนำไปเป็นสินเดิม ตระกูลฟางเป็นตระกูลแม่ทัพและร่ำรวยอยู่ไม่น้อย แม่จึงอยากให้เจ้านำติดตัวไปเพื่อมิให้น้อยหน้าผู้ใด” อนุซูฉีบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ บุตรสาวเมื่อเติบโตก็ต้องแต่งออกเรือนไปเป็นสตรีของสกุลอื่น เรื่องนี้นางพอจะเข้าใจ แต่พอถึงยามที่บุตรสาวของตนต้องแต่งออกเรือนไป นางก็อดที่จะรู้สึกใจหายไม่ได้อยู่ดี
“ท่ะ…ท่านแม่ เหตุใดท่านมิเก็เอาไว้เจ้าคะ เงินพวกนี้ข้ามิได้ต้องการเลยเจ้าค่ะ” หลินซูเหมยบอกมารดาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เจ้าเอาติดตัวไปเถิดหนา แม่เก็บไว้ก็มิได้ใช้อันใด ท่านพ่อของเจ้าก็ดูแลเรือนนี้เป็นอย่างดี อีกอย่างนายหญิงใหญ่ก็มิได้ใจร้ายกับแม่เหมือนภรรยาเอกของจวนอื่น”
อนุซูฉีบอกบุตรสาวด้วยรอยยิ้ม นางโชคดีที่มีนายหญิงใหญ่ที่มีจิตใจดี มีเมตตา ไม่เคยรังเกียจหรือรังแกนางเลยสักนิด หากเทียบกับอนุจินแล้ว หลินฮูหยินนั้นเหมาะสมแก่การเป็นภรรยาเอกมากที่สุด
“ลูกขออภัยท่านแม่ที่มิอาจได้อยู่ที่นี่เพื่อตอบแทนพระคุณของท่าน ลูกสัญญาว่าหากมีโอกาสลูกจะกลับมาเยี่ยมเยือนท่านบ่อยๆ นะเจ้าคะ”
อนุซูฉีพยักหน้าก่อนที่สองแม่ลูกจะกอดกันอีกครั้ง ก่อนที่อนุซูฉีจะบอกให้บุตรสาวนอนและนางก็ออกจากห้องของหลินซูเหมยไป แต่กว่าว่าที่เจ้าสาวจะข่มตาให้นอนหลับลงได้ ก็ล่วงเลยไปถึงยามจื่อ เสียงวิหคที่ร้องออกมาในยามนี้นั้นเปรียบเหมือนเสียงที่กำลังแสดงความยินดีกับว่าที่เจ้าสาวที่กำลังจะออกเรือนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวันรุ่งขึ้น
เสียงเคาะฆ้องดังบอกเวลายามเหม่า เจ้าสาวตื่นขึ้นมาเตรียมตัว รวมไปถึงบ่าวทุกคนในจวนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างกระตือรือร้น รองแม่บ้านหลันมาช่วยคุณหนูห้าแต่งตัว หวีผมและแต่งหน้าให้กับนาง ความงดงามของผู้เป็นเจ้าสาวทำให้บ่าวที่เข้ามารับใช้หลายคนถึงกับตะลึง รวมไปถึงเสี่ยวเอ๋อด้วย นางมิเคยได้เห็นคุณหนูห้าของนางแต่งหน้าทำผมอย่างงดงามเช่นนี้มาก่อนจึงทำให้นางตกตะลึงไปกับความงามของเจ้าสาวในวันนี้อยู่ไม่น้อย
“งามยิ่งนักเจ้าค่ะ ถ้าท่านแม่ทัพฟางเห็นเขาต้องตกตะลึงในความงามของคุณหนูอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
รองแม่บ้านหลันกล่าวชมออกมา นางจะต้องติดตามไปดูแลคุณหนูห้าถึงเมืองหนานถิง นางรู้สึกยินดีอยู่ไม่น้อยเพราะนางเชื่อว่าคุณหนูห้านั้นเหมาะสมแก่การเป็นฮูหยินของจวนแม่ทัพที่สุดแล้ว
เสียงดนตรีที่ดังมาตามเส้นทางพร้อมกับป้ายสกุลของสองตระกูลถูกถือนำมาพร้อมกับเจ้าบ่าวในชุดสีแดงที่ขี่ม้านำหน้าเกี้ยวรับเจ้าสาวและขบวนของมงคลมา ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มไปตลอดเส้นทางจากจวนแม่ทัพมาจนถึงจวนสกุลหลิน เมื่อถึงหน้าจวนก็ถูกบรรดาพี่ชายและพี่เขยของเจ้าสาวขวางประตูเอาไว้ ขบวนเจ้าบ่าวพากันจะฝ่าประตูของจวนเข้าไปแต่ก็ถูกขัดขวางเอาไว้ตามประเพณี
“ไม่ได้…ไม่ได้…ไม่ได้” เสียงของญาติพี่น้องฝั่งเจ้าสาวดังขึ้น
“พวกเราต้องขอทดสอบว่าที่น้องเขยของเรากันก่อน” หลินชูจ้านเอ่ยยิ้มๆ
“ทดสอบอันใดว่ามาเลยขอรับ” ฝ่ายเจ้าบ่าวเอ่ยถามขึ้นมา
“พวกข้าอยากขอให้ท่านรองแม่ทัพเล็กฟาง แต่งกลอนให้กับเจ้าสาวเสียหน่อย” เสียงโห่ร้องดังขึ้นมาทันที เพราะผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเขาเป็นทหารที่เก่งกาจเรื่องการรบ แต่เรื่องบทกลอนหรือบทกวีของพวกนักปราชญ์เหล่านี้เขาจะรู้ได้เช่นไร แต่ดูเหมือนพี่ชายของเจ้าสาวจะคิดผิด
“แรกพบ สบตา หลงใหล ปักใจ ในเจ้า ห่วงหา
ผูกรัก สมัครใจ แต่ใดมา บุปเพ นำพา มาคู่กัน”
สิ้นเสียงท่องบทกลอนของเจ้าบ่าว ผู้เก่งกาจด้านการออกรบถึงกับทำให้พี่น้องฝั่งเจ้าสาวตะลึง เสียงปรบมือและโห่ร้องดังขึ้นมาและเจ้าบ่าวก็พุ่งกายเข้าไปข้างในจวนจนสำเร็จ ญาติของเจ้าบ่าวแจกอั่งเปาให้แก่ผู้ที่มาขวางประตูทุกคน รวมไปถึงผู้คนที่มายืนชื่นชมอยู่ที่ด้านหน้าจวนด้วย เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังปะปนกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังไปถ้วนทั่ว
เจ้าสาวในชุดแพรไหมสีแดงสดมีพัดกลมปิดบังดวงหน้างามเอาไว้เดินเคียงคู่กับผู้เป็นเจ้าบ่าวเข้าไปในเรือนเพื่อคำนับบรรพบุรุษและบิดามารดา ก่อนที่จะออกเรือน ญาติพี่น้องรายล้อมรอบเพื่อร่วมส่งเจ้าสาวออกจากเรือน ที่นั่งตรงกลางเป็นใต้เท้าหลินและหลินฮูหยินนั่งเคียงข้างกัน ฝั่งซ้ายมือของเจ้าสาวมีอนุซูฉีนั่งอยู่ สาวใช้ทำหน้าที่ส่งมอบถ้วยน้ำชาให้กับเจ้าบ่าว เขายื่นมือไปรับมา ก่อนที่จะส่งให้กับใต้เท้าหลินที่กำลังส่งยิ้มมาให้ “ท่านพ่อตา กรุณารับน้ำชาจากบุตรเขยคนนี้ด้วยขอรับ” เขาส่งถ้วยชาให้กับใต้เท้าหลิน อีกฝ่ายรับมาก่อนที่จะยกขึ้นจิบและกล่าวอวยพรบ่าวสาว “นับแต่นี้ต่อไป ต้องรักใคร่ ปรองดองกัน เคารพและให้เกียรติกัน อยู่เคียงข้างกันไปจนแก่เฒ่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง เป็นแบบอย่างให้ดีแก่ลูกๆ” ใต้เท้าหลินกล่าวอวยพรบุตรีคนเล็กของตนออกมาทั้งน้ำตา “ขอรับท่านพ่อตา/เจ้าค่ะท่านพ่อ” บ่าวสาวตอบออกมาพร้อมกัน สาวใช้ส่งถ้วยชาให้กับเจ้าบ่าวอีกครั้งเพื่อมอบให้หลินฮูหยิน“ท่านแม่ยาย กรุณารับน้ำชาจากบุตรเขยคนนี้ด้วยขอร
ขบวนรถม้าและสัมภาระของท่านแม่ทัพทิศเหนือคนใหม่กับฮูหยินหมาดๆ เดินทางหลายหมื่นลี้ไปยังเมืองหนานถิง เมืองติดชายแดนทิศเหนือของแคว้นต้าตง หลินซูเหมยมองไปยังสองข้างทางก็ได้เห็นความแตกต่างของแต่ละเมืองที่ขบวนรถม้าเคลื่อนผ่านที่มีทั้งความรุ่งเรืองและความยากจน กว่าจะเดินทางถึงเมืองหนานถิงก็ต้องแวะพักที่โรงเตี๊ยมถึงสามโรงเพื่อพักม้าและพักคน บ่าวรับใช้นับสามสิบรวมเหล่าทหารที่เดินทางมาคุ้มกันอีกยี่สิบนาย“น้องหญิง…เจ้าเหนื่อยหรือไม่" คนที่ขี่ม้ามาประชิดกับรถม้าชวนสตรีที่นั่งอยู่ในรถม้าคุย“มิเหนื่อยเลยเจ้าค่ะท่านพี่ แต่น้องสงสารพวกบ่าวกับพวกม้ามากกว่า”เพราะพวกบ่าวนั้นมิได้นั่งรถม้าเช่นเดียวกับนาง หรือขึ้นหลังม้าเช่นเดียวกับผู้เป็นสามีและนายทหารที่เดินทางร่วมขบวนมาเพื่อคุ้มกัน มีเพียงบ่าวคนสนิทอย่างป้าหลันและเสี่ยวเอ๋อเท่านั้นที่นั่งบนรถม้ามากับนาง“อีกไม่ไกลแล้วล่ะ พอไปถึงจวน พี่จะให้พวกบ่าวกับพวกม้าได้พักดีไหม”น้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังออกมาจากริมฝีปากหนาของท่านแม่ทัพยามเมื่อคุยกับฮูหยินนั้นช่างแตกต่างจากพูดคุยกับเหล่าทหารหร
ประเทศไทยเสียงพิธีกรบนเวทีมวยขนาดใหญ่ดังขึ้นประกาศชื่อเสียงเรียงนามของคู่ชกคู่สำคัญของวันนี้ เสียงเชียร์ดังกระหึ่มทั่วทั้งสนามมวยที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของประเทศไทย เรือนร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของสตรีที่มีนามว่า อมิตา หรือ ฉายาน้องต้านางฟ้ามวยไทย ปรากฏบนเวทีมวย นอกจากฝีมือการออกหมัดและลูกเตะที่ทำเอาคู่แข่งน๊อคคาเวทีภายในสองยก เธอยังมีหน้าตาสะสวยเป็นอาวุธ ทำให้เธอมีทั้งแฟนคลับที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงทั่วทั้งประเทศไทย“กรี๊ด……น้องต้านางฟ้ามวยไทย”เสียงแฟนคลับสาวๆ ที่มาเชียร์นักมวยสาวในดวงใจต่างพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเรียกขานฉายาของเธอออกมา อมิตายกมือไหว้ก่อนที่จะเดินไปสวมนวมและใส่ฟันยาง คู่แข่งของเธอวันนี้เป็นนักมวยสาวชาวจีนที่เดินทางมาท้าประลองกับเธอ ดวงตากลมโตของหญิงสาวมองไปยังคู่แข่งที่มีรูปร่างไม่ต่างกันจากเธอสักเท่าไหร่ ริมฝีปากบางฉีกยิ้มออกมา“ขอต้อนรับ น้องต้า นางฟ้ามวยไทยแห่งค่ายมวย อรุณรุ่ง”สิ้นเสียงของพิธีกรเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ชื่อเธอก็ดังกระหึ่มเวทีอีกครั้ง นักมวยคนสวยเดินไปกลางเวทีแล้วยกมือไหว้รอบทิศ ก่อนที่จะวิ่งไปอยู่ข้างขวาของกรรมการ“ขอต้อนรับผู้ท้าชิงเข็มขัดแช
ณ เมืองหนานอัน เมืองแห่งการค้าขายของแคว้นต้าตง ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหนานอันแห่งนี้นั้น ทำให้มีตระกูลของขุนนางและตระกูลของพ่อค้าจากหลากหลายสกุลมาสร้างจวนและลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองแห่งนี้ รวมไปถึงจวนสกุลหลินของเจ้ากรมการกลาโหม 'หลินหยาง' ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในจวน เขามีฮูหยินและมีอนุภรรยาอีกสองคน มีบุตรชายกับบุตรีรวมห้าคน จากฮูหยินสองคนคือ ‘หลินชูจ้าน’ และ ‘หลินเยว่หรู’ กับอนุภรรยารองสองคนคือ ‘หลินจางหลง’ และ ‘หลินจินหรู’ และจากอนุภรรยาคนที่สองอีกหนึ่งคน คือ 'หลินซูเหมย' ภายในจวนแห่งนี้นั้นจึงมีเรือนทั้งหมดสี่หลัง หลังแรกเป็นบ้านใหญ่ และไล่ไปตามลำดับ“ท่านพี่...ลูกซูเหมยป่วยอีกแล้วเจ้าค่ะ” อนุซูฉีมารดาของหลินซูเหมยบอกผู้เป็นสามีขณะที่เขามาค้างที่เรือน"เจ้าว่าอย่างไรนะ ลูกห้าป่วยอีกแล้วอย่างนั้นหรือ" หลินหยางเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เขาเป็นชายที่ไม่ลำเอียง รักและห่วงใยบุตรทุกคนของตนอย่างเท่าเทียมกัน"เจ้าค่ะท่านพี่ ยิ่งนางเติบโตขึ้นก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ""แล้วเจ้าตามท่านหมอมาดูนางหรือยัง"“ตามมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอบอกเพียงว่าลูกห้านั้นมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก นางต้องออกกำลังให้มา
เสียงเนื้อกระทบกับกระสอบทรายดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ค่ายมวยที่เต็มไปด้วยนักมวยชายรูปร่างกำยำกำลังฝึกซ้อมมวยกันอยู่อย่างขะมักเขม้น รวมไปถึงร่างเล็กแต่กำยำของหญิงสาวที่มีใบหน้าสะสวยกำลังซ้อมอยู่กับคู่ซ้อมที่เป็นชายอยู่อย่างไม่เกรงกลัว ท่าทางออกหมัด เท้า เข่า ศอกของเธอเป็นไปอย่างชำนาญ อีกทั้งยังหลบหลีกคู่ต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวเสียงระฆังดังเตือนหมดยกจากข้างเวทีมวย ร่างบางจึงเดินกลับไปทิ้งตัวลงที่เก้าอี้พักผ่อนของเธอ อมิตายกขวดน้ำเกลือแร่ขึ้นมาดื่ม ก่อนที่จะหยิบผ้าเย็นที่พี่เลี้ยงเตรียมเอาไว้ให้ขึ้นมาเช็ดเหงื่อ“อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะได้แข่งอีก พี่ต้าทำไมซ้อมหนักจัง” ไข่หวานนักมวยสาวสมัครเล่นภายในค่ายมวยอรุณรุ่งแห่งนี้เอ่ยถามไอดอลของเธอออกมา“ก็เพราะการรักษาแชมป์พี่จึงต้องฝึกให้ร่างกายพร้อมและตื่นตัวอยู่เสมอไง” ต้า นางฟ้าเอเชียหรือ อมิตานักมวยคนสวยตอบรุ่นน้องด้วยรอยยิ้ม“อนาคตข้างหน้า หากไข่หวานได้ก้าวขึ้นสังเวียน ไข่หวานต้องจำเอาไว้ให้ดีว่าการเป็นแชมป์มันไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการรักษาแชมป์ เข้าใจไหม” อมิตาบอกรุ่นน้องสาวก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปกลางเวทีนวมของเธอชนกับนวมของคู่ซ้อ
เมืองหนานอัน ยามโหยว่(1)ภายในเรือนหลังขนาดกลางของอนุจินหรง เสียงเอะอะโวยวายปะปนกับเสียงร้องไห้ของหญิงต่างวัยดังขึ้น ณ ยามนี้ผู้เป็นใหญ่ของจวนแห่งนี้กำลังสั่งให้บ่าวรับใช้ลงโทษบุตรีที่เกิดจากอนุจินหรงรวมไปถึงสองสาวใช้ที่ติดตามนาง สาเหตุของการลงโทษในครั้งนี้นั้น เป็นเพราะหลินเยว่หรูหรือคุณหนูรองของฮูหยินใหญ่ ได้รายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานกับน้องห้าของเธอให้บิดาฟัง ทำให้เย็นนี้เขาต้องมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง เมื่อไตร่สวนแล้วพบว่าเรื่องที่หลินเยว่หรูเล่ามานั้นคือเรื่องจริง“นังลูกไม่รักดี!!! เหตุใดเจ้าถึงต้องกระทำการรุนแรงกับบ่าวของน้องสาวเจ้าด้วย พ่อเคยสั่งสอนเจ้าแล้วมิใช่หรือว่ามิให้ใช้กำลังไม่ว่าจะกับใครก็ตาม"“ท่านพ่อลูกขอโทษเจ้าค่ะ ลูกขอโทษฮือๆๆๆ” คุณหนูสี่ร้องไห้คร่ำครวญกล่าวคำขอโทษออกมา"แล้วเจ้า… ไปยุ่งอันใดกับน้องสาวของเจ้าหรือไม่ น้องห้าของเจ้าร่างกายอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร เจ้าต้องรักและเอ็นดูนาง มิใช่ไปรังแกนาง”“ท่านพี่… อภัยให้ลูกสี่เถอะนะเจ้าคะ ลูกสี่ไม่ได้ตั้งใจ อีกอย่างนางยังเด็กนัก ยังไม่รู้ความ” อนุจินหรงคุกเข่าอ้อนวอนผู้เป็นสามี“หุบปาก!!! อนุจิน หากเจ้าดูแลนาง
ค่ายมวยอรุณรุ่งนักมวยของค่ายมารวมตัวกันในวันนี้ไม่ใช่เพราะมีการแข่งขันหรือการฝึกซ้อมชกมวยแต่อย่างใด แต่มาเพื่อช่วยกันจัดสถานที่ ในการจัดงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบยี่สิบปีให้กับทายาทของเจ้าของค่าย หรืออีกในสถานะหนึ่งคือ นักมวยสาวดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่จับตามองในขณะนี้ ฉายา ‘ต้า นางฟ้ามวยไทย’ ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะนอกจากความสวยแล้วการออกอาวุธบนเวทีของเธอนั้นยังทำให้คู่แข่งจดจำเธอไปอีกนาน“พี่ต้า ทำอะไรอยู่คะ” เสียงหวานของไข่หวานนักมวยสาวรุ่นน้องวัยสิบเจ็ดปีเอ่ยถามขึ้น“กำลังดูซีรีส์จีน เนี่ยเรื่องนี้กำลังสนุกเลย พระนางฉลาดทันกัน ชิงไหวชิงพริบกันสุดๆ” ต้า หรืออมิตาบอกนักมวยสาวรุ่นน้องที่วันนี้มาช่วยจัดสถานที่ในงานวันคล้ายวันเกิดของเธอในวันรุ่งขึ้น“หือ…. พี่ต้าชอบดูซีรีส์จีนเหรอคะ” ไข่หวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“อืม… ชอบมาก ดูตลอดเวลาที่ว่าง คิกๆๆ” นางฟ้ามวยไทยตอบพร้อมทั้งหัวเราะออกมา“อือ…. เรื่องนี้ไข่หวานก็ชอบ เรื่องก่อนนั้นดูไม่ไหว นางเอกอ่อนแอ เป็นลูกอนุ
“ไข่หวาน!!! พี่ต้าเป็นยังไงบ้าง” อรุณเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ครู… พี่ต้า…. พี่ต้าเสียแล้วจ้ะ หมอบอกว่าพี่ต้าทนพิษบาดแผลไม่ไหว เธอเสียเลือดมากก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ฮือๆๆ ครูจ๋า พี่ต้าไม่อยู่แล้ว ฮือๆๆๆ”ไข่หวานบอกครูมวยของเธอออกมาทั้งน้ำตา อรุณเกิดอาการช็อกจนเป็นลมล้มลงไป ดีที่นักมวยหนุ่มๆ รีบเข้าประคองร่างของเจ้าของค่ายมวยได้ทันควัน เขาจึงไม่ได้ล้มลงไปบนพื้นของโรงพยาบาล เมื่อได้สติอรุณจึงเข้าไปดูร่างของบุตรสาว น้ำตาของลูกผู้ชายไหลลงมาอาบแก้ม เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบุตรสาวของเขาจะมีอายุสั้นถึงเพียงนี้ เจ้าของกระเป๋าเมื่อรู้ข่าวเธอจึงเดินทางมาขอบคุณและขอโทษอรุณที่ทำให้เขาต้องสูญเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไป อรุณไม่ได้โกรธใคร เขาภูมิใจด้วยซ้ำที่บุตรสาวของเขาจากไปเพราะทำความดีข่าวการเสียชีวิตของนักมวยสาวดาวรุ่งวัยสิบเก้าปี ที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยยี่สิบปีในวันถัดมาถูกตีแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้นับเป็นข่าวที่หดหู่ สร้างความเสียใจให้กับแฟนมวยทั้งประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากเธอจะเป็นนักมวยที่มีฝีมือและชื่อเส
ขบวนรถม้าและสัมภาระของท่านแม่ทัพทิศเหนือคนใหม่กับฮูหยินหมาดๆ เดินทางหลายหมื่นลี้ไปยังเมืองหนานถิง เมืองติดชายแดนทิศเหนือของแคว้นต้าตง หลินซูเหมยมองไปยังสองข้างทางก็ได้เห็นความแตกต่างของแต่ละเมืองที่ขบวนรถม้าเคลื่อนผ่านที่มีทั้งความรุ่งเรืองและความยากจน กว่าจะเดินทางถึงเมืองหนานถิงก็ต้องแวะพักที่โรงเตี๊ยมถึงสามโรงเพื่อพักม้าและพักคน บ่าวรับใช้นับสามสิบรวมเหล่าทหารที่เดินทางมาคุ้มกันอีกยี่สิบนาย“น้องหญิง…เจ้าเหนื่อยหรือไม่" คนที่ขี่ม้ามาประชิดกับรถม้าชวนสตรีที่นั่งอยู่ในรถม้าคุย“มิเหนื่อยเลยเจ้าค่ะท่านพี่ แต่น้องสงสารพวกบ่าวกับพวกม้ามากกว่า”เพราะพวกบ่าวนั้นมิได้นั่งรถม้าเช่นเดียวกับนาง หรือขึ้นหลังม้าเช่นเดียวกับผู้เป็นสามีและนายทหารที่เดินทางร่วมขบวนมาเพื่อคุ้มกัน มีเพียงบ่าวคนสนิทอย่างป้าหลันและเสี่ยวเอ๋อเท่านั้นที่นั่งบนรถม้ามากับนาง“อีกไม่ไกลแล้วล่ะ พอไปถึงจวน พี่จะให้พวกบ่าวกับพวกม้าได้พักดีไหม”น้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังออกมาจากริมฝีปากหนาของท่านแม่ทัพยามเมื่อคุยกับฮูหยินนั้นช่างแตกต่างจากพูดคุยกับเหล่าทหารหร
เจ้าสาวในชุดแพรไหมสีแดงสดมีพัดกลมปิดบังดวงหน้างามเอาไว้เดินเคียงคู่กับผู้เป็นเจ้าบ่าวเข้าไปในเรือนเพื่อคำนับบรรพบุรุษและบิดามารดา ก่อนที่จะออกเรือน ญาติพี่น้องรายล้อมรอบเพื่อร่วมส่งเจ้าสาวออกจากเรือน ที่นั่งตรงกลางเป็นใต้เท้าหลินและหลินฮูหยินนั่งเคียงข้างกัน ฝั่งซ้ายมือของเจ้าสาวมีอนุซูฉีนั่งอยู่ สาวใช้ทำหน้าที่ส่งมอบถ้วยน้ำชาให้กับเจ้าบ่าว เขายื่นมือไปรับมา ก่อนที่จะส่งให้กับใต้เท้าหลินที่กำลังส่งยิ้มมาให้ “ท่านพ่อตา กรุณารับน้ำชาจากบุตรเขยคนนี้ด้วยขอรับ” เขาส่งถ้วยชาให้กับใต้เท้าหลิน อีกฝ่ายรับมาก่อนที่จะยกขึ้นจิบและกล่าวอวยพรบ่าวสาว “นับแต่นี้ต่อไป ต้องรักใคร่ ปรองดองกัน เคารพและให้เกียรติกัน อยู่เคียงข้างกันไปจนแก่เฒ่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง เป็นแบบอย่างให้ดีแก่ลูกๆ” ใต้เท้าหลินกล่าวอวยพรบุตรีคนเล็กของตนออกมาทั้งน้ำตา “ขอรับท่านพ่อตา/เจ้าค่ะท่านพ่อ” บ่าวสาวตอบออกมาพร้อมกัน สาวใช้ส่งถ้วยชาให้กับเจ้าบ่าวอีกครั้งเพื่อมอบให้หลินฮูหยิน“ท่านแม่ยาย กรุณารับน้ำชาจากบุตรเขยคนนี้ด้วยขอร
แม่ทัพฟางเซี่ยหมินกล่าวลาคู่หมั้นของตนก่อนที่จะไปคำนับลาใต้เท้าหลินและหลินฮูหยิน จากนั้นจึงขี่ม้ากลับจวนเพื่อไปบอกกล่าวบิดามารดาถึงคำตอบของสตรีที่กำลังจะมาเป็นคู่ชีวิตของตนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เขาตื่นเต้นจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มอยู่ตลอดระยะทาง จนผู้ติดตามอย่างตงหลงยังอดที่จะรู้สึกขบขันมิได้“คุณชายขอรับ” เขาเรียกขานผู้ที่ขี่ม้านำหน้า“อืม… ว่าอย่างไร” คนที่เพิ่งจะสมหวังกับคำตอบของคู่หมั้นขานรับอย่างอารมณ์ดี“คุณหนูห้านางจะไม่กลัวหรือขอรับ ทิศเหนือยามนี้มิได้สงบเฉกเช่นแต่ก่อนแล้วนะขอรับ”รองแม่ทัพทิศเหนือคนใหม่เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าหากคุณหนูห้าแต่งกับคุณชายของตนออกไป สตรีข้างกายของนางก็ต้องติดตามนางไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะแอบดีใจอยู่ไม่น้อยแต่พอมาลองคิดดูอีกทีเขาก็อดเป็นห่วงมิได้“ข้าเชื่อว่านางรู้ว่าหนทางที่นางเลือกเดินไปกับข้ามันมิได้สุขสบาย แต่ที่นางยินยอมแต่งกับข้า เพราะข้ากับนางมีหัวใจที่มีกันและกันต่างหาก”ฟางเซี่ยหมินเอ่ยออกมาพร
หลังจากพาตัวนักโทษกลับไปลงโทษที่วังหลวง รองแม่ทัพฟางเซี่ยหมินก็ได้รับความดีความชอบและได้เลื่อนขั้นจากรองแม่ทัพทิศใต้กลายเป็นแม่ทัพทิศเหนือทำหน้าที่ควบคุมกองทัพและดูแลความสงบของชายแดนทิศเหนือแทนคนเก่าที่ก่อกบฏ สร้างชื่อเสียงที่ดีงามให้กับตระกูลฟางเป็นอย่างยิ่ง เขาเดินทางกลับมายังจวนก่อนที่จะพูดคุยกับบิดาเรื่องสู่ขอคุณหนูห้าสกุลหลิน หลินซูเหมย เพราะเขาต้องย้ายไปประจำการอยู่ที่ชายแดนทิศเหนือ เช่นนั้นเขาก็อยากที่จะมีฮูหยินคอยอยู่เคียงข้าง“เจ้าคิดดีแน่แล้วหรือหมินเอ๋อร์” ใต้เท้าฟางเอ่ยถามบุตรชาย“แน่แล้วขอรับ ลูกมิอาจทนความห่างไกลจากนางได้อีกแล้ว แต่พวกท่านมิต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ลูกจะลองถามความสมัครใจของนางดูก่อน หากนางมิยินยอมติดตามลูกไปยังชายแดนทิศเหนือ ลูกก็มิอยากที่จะบังคับนาง” แม่ทัพคนใหม่ของแคว้นต้าตงบอกบิดามารดา“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองไปถามนางก่อน หากนางยินดีที่จะไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าที่จวนในเมืองหนานถิง แม่ก็จะไปสู่ขอนางให้เจ้าก่อนที่เจ้าจะเดินทางไปประจำการอยู่ที่นั่น”ฟางฮูหยินเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้กับบุตรชา
ยามชวี ณ เรือนหลังใหญ่โตสกุลหงเสียงร้องโอดโอยจากทั้งบ่าวและคุณชายดังขึ้นสลับกัน หากรู้ไปถึงไหนคงจะอายไปถึงนั่น ที่พวกตนถูกสตรีตัวเล็กๆ อัดจนสภาพสะบักสะบอม แต่จะให้ไปเอาเรื่องนางที่มิได้เป็นคนผิด คุณชายหนุ่มเองก็ทำอันใดมิได้ แต่การที่ถูกนางอัดครั้งนี้กลับทำให้เขารู้สึกถูกใจนางยิ่งขึ้นไปอีก“ลูกพ่อ… นี่พวกเจ้าไปโดนผู้ใดซ้อมมาถึงได้กลับมานอนร้องโอดโอยกันเช่นนี้ พวกเจ้า!!! ใครผู้ใดมันบังอาจมาทำให้คุณชายเจ็บแบบนี้กัน” เพราะมีบุตรชายเพียงคนเดียวเขาจึงเอาอกเอาใจหงอวี้มาตั้งแต่เด็กๆ จนทำให้คุณชายหนุ่มเคยตัวไม่ยอมให้ใครมาขัดใจ“เอ่อ…" เหล่าบุรุษร่างกายกำยำอ้ำอึ้งก่อนที่จะหันไปมองหน้าคุณชายหนุ่มเพื่อขอความเห็นว่าจะยอมบอกว่าถูกสตรีตัวเล็กๆ อัดมาเสียน่วมหรือว่าโกหกว่าเป็นอย่างอื่น“ท่านพ่อ… ลูกมิเป็นอันใดหรอกขอรับ เพียงแต่เมื่อช่วงยามโหย่วข้าตกต้นไม้ลงมา แล้วโมโหก็เลยซ้อมบ่าวพวกนี้” เขายอมพูดโป้ปดเพื่อสตรีนางนั้น แต่บรรดาบ่าวกลับเข้าใจว่าคุณชายอายที่ถูกสตรีตัวเล็กๆ หยามเกียรติ“ให้ท่านหมอมาตรวจหน่อยดีไห
“พวกเจ้าช่างบังอาจนัก กล้ารังแกแม้กระทั่งผู้หญิง”หลินซูเหมยตะโกนออกมา มือหนาของหงอี้พยายามยื่นออกมาเพื่อจะจับที่ปลายคางของสตรีตรงหน้า ถึงปากคอเราะร้ายแต่ทว่าดวงหน้างามของนางก็ทำให้เขาไม่ถือสาแต่ก่อนที่มือหนาของบุตรชายของเศรษฐีจะเข้าไปถูกคางงามของหลินซูเหมย นางก็ยื่นมือมาจับข้อมือของเขาเอาไว้แล้วบิดสุดแรง พร้อมกับยกร่างหนาทุ่มลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว ป้าหลัน เสี่ยวเอ๋อ อาอวี้ รวมไปถึงพวกบ่าวรับใช้ผู้ติดตามคุณชายจอมเสเพลก็ถึงกับตกตะลึง ด้วยไม่คิดว่าสตรีตัวเล็กๆ จะสามารถยกร่างหนาทุ่มลงกับพื้นจนร้องโอดโอย บ่าวชายที่จับตัวป้าหลัน เสี่ยวเอ๋อและอาอวี้ไว้ถึงกับรีบปล่อยพวกเขา แล้วเข้าไปประคองคุณชายของพวกตนให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล“เจ้าบังอาจนัก!!! เป็นเพียงสตรีแต่ริบังอาจมาสู้กับบุรุษเช่นข้าอย่างนั้นหรือ พวกเจ้า!!! จับนางมาให้ข้า!!!”สิ้นคำสั่งบุรุษทั้งห้าก็พุ่งเข้าไปจะจับร่างบางของคุณหนู แต่ป้าหลันกับเสี่ยวเอ๋อ รวมไปถึงอาอวี้รีบไปขวางเอาไว้ แต่ก็ขวางได้เพียงไม่นานเพราะถูกพวกมันที่แข็งแรงกว่าจับเหวี่ยงไปคนละทิศละทาง อาอวี้โดนรุมต่อยจนปา
“แม่นางที่คุณชายสนใจคือบุตรีคนเล็กของท่านเจ้ากรมการกลาโหมกับอนุขอรับ มารดาของนางเป็นเพียงสตรีที่เกิดจากชาวบ้านธรรมดา ตายายของแม่นางน้อยผู้นั้นเปิดร้านขายขนมอยู่ท้ายตลาดขอรับ แต่ว่าร้านนี้มีคนของจวนสกุลหลินมาคอยดูแลเลยทำให้มิมีผู้ใดสามารถไปสร้างความวุ่นวายได้” เสียงบ่าวชายร่างกำยำรายงานให้คุณชายจอมเสเพลของตนได้ทราบถึงเรื่องที่เขาไปสืบมาให้“ดี…. เป็นลูกอนุเช่นนั้นก็ยิ่งง่ายสิ แต่ติดตรงเป็นบุตรีของเจ้ากรมกลาโหมนี่แหละ หึๆ ข้าไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับพวกขุนนางเสียด้วยสิ" หงอี้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชอบใจแต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความหนักใจ“แล้วนางกลับจวนของนางหรือยัง” เขาเอ่ยถามออกไปเสียงราบเรียบ“ตอนข้ากลับมานางยังอยู่ที่ร้านขนมขอรับ” บ่าวรับใช้ชายตอบคำถามของคุณชายบุตรชายคนเดียวของท่านเศรษฐี“ถ้าอย่างนั้นไปดักรอรถม้าของนาง ข้าอยากจะทำความรู้จักนางเสียหน่อยหึๆ”บุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาแต่เจ้าชู้เสเพลเอ่ยออกมา ก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ในหอสวีชุนแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจเหล่าสตรีที่กำลังร้องเรียกเขาอยู่สั
ลินหยางไม่ได้ห้ามปราม เพราะเขากับหลินฮูหยินได้คุยกันเรื่องนี้กับหลินซูเหมยมาครั้งหนึ่งแล้ว เรื่องที่นางจะทำขนมส่งไปขายที่ร้านพ่อตาแม่ยายของตนหรือร้านท่านตาท่านยายของนาง แต่เขาก็ยังเป็นห่วงที่นางยังเด็ก กลัวว่านางจะไม่ทันคนจึงให้รองแม่บ้านหลันติดตามนางไปด้วย“ขอบพระคุณท่านพ่อกับท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ”หญิงสาวยิ้มออกมาก่อนที่จะคำนับลาแล้วเดินออกจากเรือนใหญ่ไปที่นั่งรถม้า วันนี้นอกจากเสี่ยวเอ๋อก็เลยมีป้าหลันติดตามคุณหนูห้าออกจากจวนมาด้วยจุดมุ่งหมายของการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่ตลาดใจกลางเมืองหนานอัน แต่ทว่าเป็นตลาดที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหนานอัน เป็นตลาดที่ไม่ใหญ่มากนักแต่ทว่ากลับมีผู้คนพลุกพล่านและมีกำลังซื้อเพราะมีตระกูลของเศรษฐี รวมไปถึงพวกขุนนางอาศัยอยู่มากมาย“ถึงแล้วเจ้าค่ะคุณหนูห้า”ป้าหลันบอกคุณหนูห้าด้วยรอยยิ้ม หลินซูเหมยพยักหน้าก่อนที่นางจะลงจากรถม้าหลังจากที่ป้าหลันและเสี่ยวเอ๋อลงไปรอด้านล่างแล้วทันทีที่ร่างเล็กของเจ้าของผู้มีใบหน้างามลงมาจากรถม้า ก็เรียกสายตาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ให้มองมายังนางด้วยความสนใจ หลาย
หลังกลับมาจากการไปพบกับคู่หมั้นหนุ่มที่ตลาด หลินซูเหมยก็รู้สึกใจหายแปลกๆ หญิงสาววัยแรกแย้มเดินตรงไปด้านหลังจวน ซึ่งเป็นสวนดอกไม้และสระน้ำที่มีศาลาริมน้ำอยู่ เสี่ยวเอ๋อที่ติดตามมาก็ไม่ได้แย้งคุณหนูห้าของนางแต่อย่างใด นางเดินตามคุณหนูห้าของนางไปเงียบๆ เพราะนางเข้าใจว่าคุณหนูห้าคงจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์คู่หมั้นของนาง ที่มีแผนการเดินทางไปชายแดนทางทิศเหนือของแคว้นต้าตงในวันรุ่งขึ้นร่างบางเดินไปหยุดอยู่ที่สวนดอกไม้ก่อนที่ทอดสายตามองไปยังสระน้ำที่นางเคยตกลงไปแล้วกลับขึ้นมาเป็นนางอีกคน สิ้นวาสนาจากชาติภพก่อน โชคชะตาพัดพานางมาเกิดใหม่ในที่ที่แสนไกล สถานที่นางไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง ได้พบเจอกับเขาผู้เป็นคู่หมั้นของนางก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิต แต่ชาติภพนี้นางจะทำอันใดได้กันนะ ศึกสงครามตอนนี้คือสงครามแบบไหน นางก็มิอาจรู้ได้ เปลือกตาบางปิดลงอย่างช้าๆ พรางผ่อนลมหายใจออกมา“คุณหนูเจ้าคะ พรุ่งนี้ท่านรองแม่ทัพฟางก็จะออกเดินทางไปทิศเหนือแล้ว คุณหนูน่าจะทำขนมให้ท่านรองแม่ทัพไปกินระหว่างทางนะเจ้าคะ”เสี่ยวเอ๋อแนะนำคุณหนูของนางด้วยความเข้าใจ นางเองก็อยากจะได้ร่ำลาใครบางคนที่นางไม