แม่ทัพฟางเซี่ยหมินกล่าวลาคู่หมั้นของตนก่อนที่จะไปคำนับลาใต้เท้าหลินและหลินฮูหยิน จากนั้นจึงขี่ม้ากลับจวนเพื่อไปบอกกล่าวบิดามารดาถึงคำตอบของสตรีที่กำลังจะมาเป็นคู่ชีวิตของตนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เขาตื่นเต้นจนแทบจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มอยู่ตลอดระยะทาง จนผู้ติดตามอย่างตงหลงยังอดที่จะรู้สึกขบขันมิได้
“คุณชายขอรับ” เขาเรียกขานผู้ที่ขี่ม้านำหน้า
“อืม… ว่าอย่างไร” คนที่เพิ่งจะสมหวังกับคำตอบของคู่หมั้นขานรับอย่างอารมณ์ดี
“คุณหนูห้านางจะไม่กลัวหรือขอรับ ทิศเหนือยามนี้มิได้สงบเฉกเช่นแต่ก่อนแล้วนะขอรับ”
รองแม่ทัพทิศเหนือคนใหม่เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าหากคุณหนูห้าแต่งกับคุณชายของตนออกไป สตรีข้างกายของนางก็ต้องติดตามนางไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะแอบดีใจอยู่ไม่น้อยแต่พอมาลองคิดดูอีกทีเขาก็อดเป็นห่วงมิได้
“ข้าเชื่อว่านางรู้ว่าหนทางที่นางเลือกเดินไปกับข้ามันมิได้สุขสบาย แต่ที่นางยินยอมแต่งกับข้า เพราะข้ากับนางมีหัวใจที่มีกันและกันต่างหาก”
ฟางเซี่ยหมินเอ่ยออกมาพร
เจ้าสาวในชุดแพรไหมสีแดงสดมีพัดกลมปิดบังดวงหน้างามเอาไว้เดินเคียงคู่กับผู้เป็นเจ้าบ่าวเข้าไปในเรือนเพื่อคำนับบรรพบุรุษและบิดามารดา ก่อนที่จะออกเรือน ญาติพี่น้องรายล้อมรอบเพื่อร่วมส่งเจ้าสาวออกจากเรือน ที่นั่งตรงกลางเป็นใต้เท้าหลินและหลินฮูหยินนั่งเคียงข้างกัน ฝั่งซ้ายมือของเจ้าสาวมีอนุซูฉีนั่งอยู่ สาวใช้ทำหน้าที่ส่งมอบถ้วยน้ำชาให้กับเจ้าบ่าว เขายื่นมือไปรับมา ก่อนที่จะส่งให้กับใต้เท้าหลินที่กำลังส่งยิ้มมาให้ “ท่านพ่อตา กรุณารับน้ำชาจากบุตรเขยคนนี้ด้วยขอรับ” เขาส่งถ้วยชาให้กับใต้เท้าหลิน อีกฝ่ายรับมาก่อนที่จะยกขึ้นจิบและกล่าวอวยพรบ่าวสาว “นับแต่นี้ต่อไป ต้องรักใคร่ ปรองดองกัน เคารพและให้เกียรติกัน อยู่เคียงข้างกันไปจนแก่เฒ่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง เป็นแบบอย่างให้ดีแก่ลูกๆ” ใต้เท้าหลินกล่าวอวยพรบุตรีคนเล็กของตนออกมาทั้งน้ำตา “ขอรับท่านพ่อตา/เจ้าค่ะท่านพ่อ” บ่าวสาวตอบออกมาพร้อมกัน สาวใช้ส่งถ้วยชาให้กับเจ้าบ่าวอีกครั้งเพื่อมอบให้หลินฮูหยิน“ท่านแม่ยาย กรุณารับน้ำชาจากบุตรเขยคนนี้ด้วยขอร
ขบวนรถม้าและสัมภาระของท่านแม่ทัพทิศเหนือคนใหม่กับฮูหยินหมาดๆ เดินทางหลายหมื่นลี้ไปยังเมืองหนานถิง เมืองติดชายแดนทิศเหนือของแคว้นต้าตง หลินซูเหมยมองไปยังสองข้างทางก็ได้เห็นความแตกต่างของแต่ละเมืองที่ขบวนรถม้าเคลื่อนผ่านที่มีทั้งความรุ่งเรืองและความยากจน กว่าจะเดินทางถึงเมืองหนานถิงก็ต้องแวะพักที่โรงเตี๊ยมถึงสามโรงเพื่อพักม้าและพักคน บ่าวรับใช้นับสามสิบรวมเหล่าทหารที่เดินทางมาคุ้มกันอีกยี่สิบนาย“น้องหญิง…เจ้าเหนื่อยหรือไม่" คนที่ขี่ม้ามาประชิดกับรถม้าชวนสตรีที่นั่งอยู่ในรถม้าคุย“มิเหนื่อยเลยเจ้าค่ะท่านพี่ แต่น้องสงสารพวกบ่าวกับพวกม้ามากกว่า”เพราะพวกบ่าวนั้นมิได้นั่งรถม้าเช่นเดียวกับนาง หรือขึ้นหลังม้าเช่นเดียวกับผู้เป็นสามีและนายทหารที่เดินทางร่วมขบวนมาเพื่อคุ้มกัน มีเพียงบ่าวคนสนิทอย่างป้าหลันและเสี่ยวเอ๋อเท่านั้นที่นั่งบนรถม้ามากับนาง“อีกไม่ไกลแล้วล่ะ พอไปถึงจวน พี่จะให้พวกบ่าวกับพวกม้าได้พักดีไหม”น้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังออกมาจากริมฝีปากหนาของท่านแม่ทัพยามเมื่อคุยกับฮูหยินนั้นช่างแตกต่างจากพูดคุยกับเหล่าทหารหร
เส้นทางจากจวนแม่ทัพไปจนถึงจวนเจ้าเมืองหนานถิงมีระยะทางเกือบสิบลี้ ตลอดเส้นทางฮูหยินแม่ทัพมองไปยังข้างทางตลอดเวลา แม่ทัพหนุ่มกุมมือบางของภรรยาเอาไว้ตลอดทาง เขาพอจะเดาออกว่านางกำลังตื่นเต้นกับการได้พบหน้าคนใหม่ๆ เพราะที่ผ่านมาภรรยาของเขาผู้นี้นั้นอยู่แต่ในจวนสกุลหลินมาโดยตลอด นี่อาจจะเป็นการได้พบปะกับคนแปลกหน้าอย่างเป็นทางการครั้งแรก“ซุนฮูหยินเป็นสตรีที่น่าคบหานางหนึ่งเลยทีเดียว เจ้ามิต้องกังวลใจไป อ้อ… นางยังมีบุตรีหนึ่งคนด้วยนะ น่าจะอายุสักเจ็ดแปดขวบเห็นจะได้ พี่ก็มิเคยเอ่ยปากถาม” เขาปลอบนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนที่จะเอ่ยถึงบุตรีของท่านเจ้าเมืองกับฮูหยินของท่าน“ท่านพี่รู้จักท่านเจ้าเมืองกับซุนฮูหยินมานานหรือยังเจ้าคะ” หลินซูเหมยเอ่ยถามสามี“ใต้เท้าซุนเพิ่งจะย้ายมารับตำแหน่งเจ้าเมืองได้ไม่นาน พี่เคยพบเขาตอนที่เขายังเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่เมืองหนานโจว” ใบหน้างามพยักขึ้นลงก่อนที่นางจะเงียบไปรถม้าเคลื่อนผ่านตลาดใหญ่ของเมืองหนานถิง แต่ถ้าเทียบกับเมืองหนานอันแล้ว ตลาดที่นี่ยังน้อยกว่ามากนัก อาจจะเพราะพื้นที่ และอยู่ต
ซุนโจวถงนั่งจิบสุราอยู่กับแม่ทัพฟางพร้อมทั้งปรึกษาหารือกันเรื่องแนวชายแดนของเมืองหนานถิงซึ่งเป็นชายแดนทิศเหนือที่ติดกับแคว้นต้าเฉวียน แคว้นที่เพิ่งจะมีการสถาปนาฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน และฮ่องเต้ผู้นี้ก็เป็นหนุ่มเลือดร้อน เขาต้องการขยายพื้นที่ของแคว้นจึงเริ่มส่งทหารมาสอดแนมเพื่อโจมตีและทิศเหนือของแคว้นต้าตงอย่างเมืองหนานถิงก็เป็นเมืองที่เขาอยากจะยึดครองเพราะติดกับชายแดนแคว้นต้าเฉวียนที่สุด“เพิ่งจะย้ายมาก็ต้องมาแบกรับภาระหนักเลย เหนื่อยหน่อยนะท่านแม่ทัพ” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยออกมาอย่างเห็นใจ ถึงเขาจะเป็นเจ้าเมืองหนานถิง แต่เขาก็มิได้มีหน้าที่จับดาบออกไปสู้รบกับพวกศัตรูเช่นเดียวกับแม่ทัพหนุ่ม“ไม่เหนื่อยเลยขอรับ นี่คือหน้าที่ของข้า ถึงอย่างไรข้าก็ต้องปกป้องเมืองหนานถิงแห่งนี้และนำพาความสงบสุขให้กลับมาสู่เมืองนี้ในเร็ววัน” ฟางเซี่ยหมินตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซุนโจวถิงพยักหน้า“ข้าขอดื่มจอกนี้ให้แก่ท่าน ขอขอบคุณที่ท่านเสียสละเพื่อบ้านเมือง ข้าเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น” เขายกแก้วสุราขึ้นพร้อมกับเอ่ยออกมาจากนั้นจึงยกขึ้นกระด
หลังจากขึ้นรถม้าเพื่อกลับจวน หลินซูเหมยก็เอาแต่นั่งเงียบจนผู้เป็นสามีรู้สึกสงสัย เพราะก่อนมานางยังชวนเขาพูดคุยบ้าง แต่พอขากลับนางกลับเงียบราวกับว่ากำลังนิ่งคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ในใจ“น้องหญิง… เจ้าเป็นอันใดหรือ พี่เห็นเจ้าเอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่ออกมาจากจวนใต้เท้าซุนแล้ว" ในที่สุดท่านแม่ทัพหนุ่มก็เอ่ยถามภรรยาออกมาด้วยความห่วงใย“น้องมิเป็นอันใดเจ้าค่ะ อืม… ท่านพี่ น้องขอถามอะไรสักข้อได้หรือไม่เจ้าคะ” ฟางเซี่ยหมินทำหน้างงแต่เขาก็ยอมพยักหน้าตอบตกลง“ถ้ามีสตรีช่วยชีวิตของท่านพี่เอาไว้ ท่านพี่จะตอบแทนนางด้วยการพานางมาเป็นอนุในเรือนหรือไม่เจ้าคะ”หลินซูเหมยตัดสินใจเอ่ยถามผู้เป็นสามีออกมา เขามองหน้านางด้วยความงุนงง พลันนึกไปถึงจวนของท่านใต้เท้าซุนที่เขารับอนุเอาไว้เพียงเพราะนางช่วยชีวิตตอนที่ถูกลอบทำร้ายขณะที่มารับตำแหน่งที่เมืองนี้ใหม่ๆ“ไม่มีเหตุผลอันใดที่พี่จะรับอนุ ในจวนของพี่และในหัวใจของพี่มีเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น”คำตอบของท่านแม่ทัพทำให้ฮูหยินอย่างหลินซูเหมยหัวใจพ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนมานานถึงสามเดือน ท่านแม่ทัพฟางเซี่ยหมินก็ได้พาภรรยากลับไปเยี่ยมบิดามารดาของนางที่เมืองหนานอัน หลินซูเหมยและเสี่ยวเอ๋อต่างพากันตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่จะได้กลับไปยังจวนสกุลหลิน“นายหญิงเจ้าคะ กลับจวนครานี้มิรู้ว่านายหญิงเล็กเป็นเช่นไรบ้างนะเจ้าคะ นี่ก็สามเดือนแล้วที่เรามิได้กลับไปเลย” เสี่ยวเอ๋อที่นั่งอยู่ในรถม้า ป้าหลันไม่ได้ติดตามท่านแม่ทัพกับฮูหยินกลับเมืองหนานอันด้วยเพราะต้องดูแลจวนที่เมืองหนานถิง“ปีหน้าแม่รองก็จะได้กลับมาจากการไปสำนึกตนแล้ว ยามนั้นน่าเป็นห่วงมากกว่า ข้ากลัวว่านางจะคิดแค้นแม่เล็กของข้า” หลินซูเหมยถอนหายใจหนักๆ ออกมา“เวลานี่ก็ผ่านไปเร็วเหลือเกินนะเจ้าคะ” เสี่ยวเอ๋อเอ่ยออกมา“นั่นสิ… ยังดีที่บ้านเมืองยังสงบ เพียงแค่นี้ข้าก็สบายใจแล้ว ท่านพี่ออกไปตรวจตราแถวชายแดนทีไร ข้าต้องสวดมนต์ขอพรให้ท่านพี่ทุกที” ฮูหยินแม่ทัพเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ศึกสงครามที่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้กลับช้ากว่าที่คิด เพราะเหตุนี้ท่านแม่ทัพจึงตัดสินใจพานางกลับมาเยี่ยม
หลังจากพูดคุยกับพี่สาวต่างมารดาอยู่นานเกือบครึ่งชั่วยาม หลินซูเหมยจึงขอลาไปคำนับมารดาพร้อมกับสามี มือหนากุมมือบางเดินไปทางสวนที่บัดนี้ดอกไม้กำลังบานสะพรั่ง นานหลายเดือนที่มิได้กลับมาเยือนตั้งแต่แต่งงานออกไป สวนในจวนเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก อาจจะเพราะไร้บุตรอยู่ในเรือน มิมีผู้ใดมาสนใจสวนดอกไม้หลังจวนอีก“ท่านแม่…ลูกมาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยดังขึ้นก่อนที่นางจะถึงห้องโถงของเรือนสี่เสียด้วยซ้ำ อนุซูฉีที่กำลังนั่งเย็บปักรอนางมาหาที่เรือนอยู่ถึงกับฉีกยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นบุตรีเดินเคียงคู่มากับลูกเขยของนาง“คารวะท่านแม่ยายเล็ก/คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาคำนับอนุซูฉี ถึงจะมีชาติตระกูลต่ำต้อยแต่นางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดภรรยา“นั่งลงก่อนเถิด…” ท่านแม่ทัพฟางเซี่ยหมินและหลินซูเหมยพากันนั่งลงเคียงข้างกัน“ท่านแม่ทัพ เสี่ยวเหมยมิได้ทำอันใดให้ท่านลำบากใจใช่หรือไม่” อนุซูฉียิ้มแย้มก่อนที่จะเอ่ยถามบุตรเขยออกมา“น้องหญิงมิได้ทำอันใดให้ข้าลำบากใจเลยขอรับ ท่านแม่ยายเล็กมิต้องกังวลอันใด นางเป
ฟางเซี่ยหมินและหลินซูเหมยพักอยู่จวนสกุลฟางสามวัน วันที่สองฟางเซี่ยฉินขอให้พี่สะใภ้สามไปเดินเที่ยวที่ตลาดเป็นเพื่อนนาง เพราะนางรู้ดีว่ามารดาจะไม่มีวันปฏิเสธหากมีพี่สะใภ้สามไปด้วย ส่วนพี่สามอย่างฟางเซี่ยหมินนั้นไม่ว่างเขาต้องเข้าวังหลวงไปกับบิดาเพื่อไปรายงานสถานการณ์ทางการทหารกับฮ่องเต้ ทำให้สตรีทั้งสองที่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็วได้มาเดินเที่ยวตลาดในเมืองหนานอัน ณ ยามนี้“พี่สะใภ้ มาดูพู่หยกนี่สิเจ้าคะ น่ารักมากเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานของสตรีวัยแรกแย้มร้องเรียกพี่สะใภ้ที่มีอายุห่างกันไม่ถึงสองปี“อืม…น่ารักจริงๆ ด้วย” หลินซูเหมยส่งยิ้มให้กับน้องสามี“ซื้อให้ท่านพี่สามสักอันดีไหมเจ้าคะ ให้เขาห้อยเอาไว้ที่เอวยามออกศึก จะได้รู้สึกเหมือนมีพี่สะใภ้อยู่ข้างกายตลอดทุกยามยังไงล่ะเจ้าคะ” ฟางเซี่ยฉินแสดงความคิดเห็นของพี่สะใภ้ เมื่อหลินซูเหมยพยักหน้านางก็หันไปสั่งให้บ่าวนำเงินจ่ายพ่อค้าทันทีสตรีทั้งสองจับจูงกันเดินเที่ยวชมตลาดยามเชินที่กำลังมีผู้คนเดินพลุกพล่านเพื่อจับจ่ายซื้อของ สาวรับใช้ทั้งสี่ต่างพากันสนุกไปด้วย เพราะไม่บ่อยคร
หลังรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ อนุซูฉีจึงเอ่ยขอตัวกลับเรือนก่อน นางเจียมตัวและรู้ดีว่าที่นี่มิใช่ที่ของนาง หลินซูเหมย แม่ทัพฟางเซี่ยหมินและบุตรชายที่กำลังจะติดตามมารดาของนางไปนอนค้างที่เรือนก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหลินจินหรู หรือพี่สี่ร้องเรียกนางเอาไว้ หลินซูเหมยจึงบอกให้มารดาพาหลานและท่านแม่ทัพกลับไปเรือนก่อนแล้วนางจะตามไป มีเพียงมู่หลันที่ต้องอยู่กับนายหญิงเพื่อคอยดูแลนาง“พี่ขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”หลินซูเหมยจึงบอกให้มู่หลันหลบไปให้ห่างๆ เพราะเท่าที่ดูพี่หญิงสี่ผู้นี้คงจะมีเรื่องสำคัญอยากที่จะคุยกับนาง เมื่อสาวรับใช้ของทั้งสองเดินหลบไปยืนอยู่ไกลๆแล้ว สตรีทั้งสองจึงยืนประจันหน้ากันอยู่ตามลำพัง แววตาที่เคยอิจฉาริษยาของพี่สาวผู้นี้ดูเปลี่ยนไป“ที่ผ่านมาพี่ขออภัยต่อเจ้าด้วย ตอนนั้นพี่อาจจะยังเด็กจึงยังตีความหมายของคำว่ารักไม่เข้าใจ ตอนนั้นพี่เข้าใจว่าท่านพ่อรักเจ้า ท่านพี่หญิงรองเอ็นดูเจ้า พี่เข้าใจว่าเจ้าแย่งความรักจากพวกเขาไป แต่พอพี่เสียท่านแม่ไป พี่ถึงได้รู้ว่าความอิจฉาริษยาที่พี่มีต่อเจ้าในอดีตทำให้ท่านแม่ของพี่ต้องมาทำผิดเพื่อพี่จนมีจุด
หลังจากงานแต่งงานของฟางเซี่ยฉินผ่านพ้นไป ฟางเซี่ยหมินจึงพาภรรยาและบุตรชายไปพักที่จวนสกุลหลินต่อ เพราะตอนที่เดินทางมานั้นยังไม่ได้แวะคารวะบิดามารดาของภรรยาเลย ด้วยภาระหน้าที่ตำแหน่งแม่ทัพที่ต้องแบกรับจึงมิอาจสามารถกลับมาเยี่ยมทั้งสองครอบครัวได้บ่อยๆ เมื่อคำนับลาใต้เท้าฟางกับฟางฮูหยินแล้ว รถม้าของจวนแม่ทัพทิศเหนือจึงมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหลินณ ยามนี้ที่ด้านหน้าจวนมีรถม้าจากจวนสกุลโจวและรถม้าจากจวนสกุลซื่อมาจอดอยู่ก่อนหน้าแล้ว เมื่อสองสามีภรรยาพร้อมกับลูกชายตัวน้อยเดินทางมาถึงจึงได้พบกับพี่สาวทั้งสองนางของหลินซูเหมย แม้แรกๆ หลินจินหรูจะรู้สึกไม่ดีที่ได้พบเจอน้องห้าที่มิได้พบเจอกันมานาน แต่นางก็เริ่มที่จะปล่อยวางเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ติดใจเอาความเรื่องราวในอดีตแต่อย่างใด“คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายขอรับ”“คารวะท่านพ่อท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาที่เพิ่งเดินทางมาถึงเข้าไปคำนับผู้ใหญ่ทั้งสอง“ตามสบายเขยห้า เหมยเอ๋อร์ นั่นใช่เหวินเอ๋อร์ใช่หรือไม่"ใต้เท้าหลินยิ้มแย้มก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยที่ยืนเขินอ
“จ้านเอ๋อร์ ดูน้องด้วยนะลูก” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นบ้าง“เพิ่งจะขวบกว่าๆ แต่ซนนักเจ้าค่ะ” หลินซูเหมยเอ่ยออกมาพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบ เสี่ยวเอ๋อมิได้ติดตามนางมาด้วยเพราะว่ากำลังตั้งครรภ์ นางจึงให้มู่หลันติดตามนางกับแม่นมฉวนที่กลับมาอยู่ที่จวนแม่ทัพเช่นเดิม“สายเลือดนักรบแรงกล้า เจ้าคงต้องทำใจแล้วล่ะน้องสะใภ้สาม” พี่สะใภ้รองขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม“นั่นน่ะสิเจ้าคะ พวกบ่าวในเรือนช่วยกันวิ่งตามจับแทบจะไม่ทัน” หลินซูเหมยเห็นด้วย บุตรชายของนางผู้นี้ช่างมีพลังเยอะเหลือล้น เขาวิ่งเล่นจนบ่าวในเรือนพากันเหน็ดเหนื่อยที่ต้องคอยวิ่งตามระแวดระวังความปลอดภัยให้กับคุณชายน้อยสตรีทั้งสามนั่งพูดคุยกันขณะที่สายตาก็จ้องมองบุตรของพวกตนไปด้วย ฟางเซี่ยฉินที่เตรียมตัวจะออกเรือนในวันพรุ่งนี้เดินเข้ามาหาพี่สะใภ้ทั้งสามกับหลานๆ ที่สวนดอกไม้แห่งนี้ นางตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก จึงอยากจะมาขอคำปรึกษาพี่สะใภ้ซึ่งล้วนแต่เป็นสตรีด้วยกันทั้งสาม“คารวะพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ” เจ้าของเรือนร่างงามคำนับสตรีทั้งสามที่กำล
ในขณะที่ท่านแม่ทัพอดหลับอดนอนเพื่อดูแลภรรยาที่นอนหลับไปสามวันสามคืน นิ้วมือของเจ้าของร่างอวบอิ่มก็เริ่มขยับจนคนที่กุมเอาไว้รู้สึกไปด้วย เขาลุกขึ้นก่อนที่จะเรียกท่านหมอที่เขาเชิญให้อยู่ดูอาการให้ภรรยาของเขาตั้งแต่วันแรกที่นางสลบไป“ท่านหมอ… ฮูหยินของข้านางรู้สึกตัวแล้ว รีบมาตรวจดูอาการของนางเร็วเข้า”ท่านหมอชุนรีบเข้ามาในห้องนอนของท่านแม่ทัพ ก่อนที่จะลงมือจับชีพจรของฮูหยิน เป็นปกติ นางรอดพ้นเงื้อมมือของมัจจุราชมาได้แล้ว“รายงานท่านแม่ทัพ อาการของนายหญิงตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วขอรับ นางปลอดภัยแล้วขอรับ” หมอหลวงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี ท่านแม่ทัพรีบปรี่เข้าไปหาภรรยาก่อนที่จะจับมือนางมากุมเอาไว้“น้องหญิง… ตื่นเถิด พี่กับลูกรอเจ้านานแล้วนะ แม่นมฉวน พาเหวินเอ๋อร์มาหาข้าทีเถิด ข้าจะให้เขาได้ปลุกแม่ของเขา ให้นางตื่นขึ้นมาให้นมเขาเองเสียที”แม่นมฉวนน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่านายหญิงปลอดภัยแล้ว นางรีบอุ้มคุณชายน้อยมาส่งให้กับคุณชายสาม เขารับร่างเล็กที่นอนมองหน้าเขาตาแป๋วมาอุ้มเอาไว้พลางนำมือของภรรยามาวางไว้บนมือของลูกน
หมอตำแยจัดการทำความสะอาดและดูแลแผลให้กับนาง พร้อมกับพาคุณชายน้อยมารับน้ำนมจากถันงามของฮูหยิน ทารกน้อยดูดกลืนน้ำนมจากเต้างามของมารดา หลินซูเหมยสลบไปแล้วจึงมิได้รับรู้ว่าบุตรชายตัวน้อยของนางนั้นหน้าตาน่ารักน่าชังขนาดไหน“ท่านแม่ทัพ ได้คุณชายน้อยเจ้าค่ะ"มู่หลันออกมารายงาน แม่นมฉวนอุ้มทารกน้อยในห่อผ้าออกมาหลังจากที่คุณชายน้อยดูดนมจากอกของนายหญิงจนอิ่มแล้ว“ลูกพ่อ…” เขารับมาอุ้มก่อนที่จะกดจมูกโด่งลงบนหน้าผากเล็กของบุตรชาย“คุณชายสาม ตั้งชื่อคุณชายน้อยไว้หรือยังเจ้าคะ” แม่นมฉวนเอ่ยถามคุณชายของตนยิ้มๆ“ฟางเซี่ยเหวิน เขามีชื่อว่า ฟางเซี่ยเหวิน” คนที่ได้เป็นพ่อหมาดๆ ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“แล้วฮูหยินล่ะ นางเป็นเช่นไรบ้าง” เขาไม่ลืมที่จะเอ่ยถามถึงภรรยา“ฮูหยินสลบไปหลังจากคลอดคุณชายน้อยเจ้าค่ะ อาจจะเพราะความอ่อนเพลีย นางจึงยังไม่รู้สึกตัว” หมอตำแยที่เดินออกจากห้องนอนที่เพิ่งทำคลอดให้กับคุณชายน้อยตอบออกมา“สลบเช่นนั้นหรือ นี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่”
ความสุขเกิดขึ้นหลังจากสงครามสงบ หนึ่งเดือนให้หลังตงหลงกับเสี่ยวเอ๋อก็ได้แต่งงานกัน แต่ทว่าทั้งสองก็ยังคงอยู่รับใช้ท่านแม่ทัพและนายหญิงใหญ่ที่จวนแม่ทัพทิศเหนือไม่ได้พากันย้ายออกไปไหน แม่นมฉวน แม่นมของแม่ทัพฟางเซี่ยหมินได้เดินทางมาคอยดูแลนายหญิงที่จวนแม่ทัพที่เมืองหนานถิงหลังจากอายุครรภ์ของนายหญิงใหญ่เริ่มมากขึ้น เพราะสาวรับใช้ที่อยู่ที่จวนแห่งนี้มีแต่สาวแรกรุ่นกับคนที่มิเคยผ่านการดูแลเด็กมาก่อน“นายหญิง… ช้าๆ หน่อยเจ้าค่ะ” แม่นมฉวนที่พยุงเรือนร่างอวบอิ่มของนายหญิงเอ่ยออกมา“โถ่…แม่นมฉวน ข้ามิเป็นอันใดหรอกนะ นี่เพิ่งจะห้าเดือนเอง ยังอีกนาน” ฮูหยินแม่ทัพยิ้มก่อนที่จะเอ่ยออกมาเมื่อเห็นแม่นมของสามีแสดงอาการห่วงใยจนเกินเหตุ“ถึงแบบนั้นก็เถอะเจ้าค่ะ นายหญิงต้องดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” แม่นมฉวนเอ่ยออกมาประคองนายหญิงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวที่อยู่ริมหน้าต่าง“นายหญิงหิวหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเอ๋อเอ่ยถามนายหญิงออกมา“อืม… อยากกินขนมกุ้ยฮวา” น้ำเสียง
ทหารจากกองทัพหนานอันที่เดินทางมาเป็นกองหนุนให้กับกองทัพทิศเหนือเดินทางกลับเมืองหนานอันทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือเดินทางกลับมาถึงเมืองหนานถิง ข่าวเรื่องการทำคุณงามความดีของฮูหยินแม่ทัพทิศเหนือที่ได้จัดตั้งศูนย์พักพิงและแจกอาหารให้แก่ชาวเมืองซาย่าที่ลี้ภัยมาช่วงสงครามถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งแคว้นต้าตง ใต้เท้าหลินถูกชื่นชมจากเหล่าขุนนาง ถึงเรื่องที่บุตรีสร้างผลงานให้แก่บ้านเมืองมิต่างจากผู้เป็นสามี“ท่านเลี้ยงดูบุตรีได้ดียิ่งนักท่านใต้เท้าหลิน ได้บุตรเขยก็ดี เป็นแม่ทัพทิศเหนือที่เก่งกาจ” ใต้เท้าหยวน ขุนนางในเมืองหนานอันเอ่ยชมใต้เท้าหลินออกมา“ขอบคุณ ขอบคุณ เรื่องสามีของนางก็เป็นวาสนาของนางเอง ข้าก็เลยได้หน้าไปด้วย” เขาบอกออกมาอย่างถ่อมตน เขามิเคยโอ้อวดว่าบุตรเขยนั้นเป็นถึงแม่ทัพ“ท่านก็ช่างถ่อมตนยิ่งนัก”เสียงหัวเราะจากเหล่าขุนนางดังออกมา หลังจากนี้แคว้นต้าตงคงจะมีแค่ความสงบสุข เพราะมิว่าศัตรูจะมารุกรานทิศใด แม่ทัพของทิศนั้นก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี“อีกเรื่องข้าขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยนะ เรื่องที่บุตรีขอ
กองทัพฝั่งศัตรูรีรอที่จะตีเมืองซาย่าเพราะรอทหารที่แอบลอบเข้าไปในเมืองหนานถิงเพื่อจับฮูหยินของแม่ทัพทิศเหนือมาเป็นตัวประกันเพื่อให้อีกฝ่ายยอมวางอาวุธและให้พวกเขายึดเมืองแต่โดยดี รออยู่นานเกือบสัปดาห์จนเสบียงร่อยหรอก็ยังมิมีผู้ใดกลับออกมา แม่ทัพของแคว้นต้าเฉวียนจึงมิอาจรีรอได้อีก เพราะยิ่งรอนานกองทัพทหารของเขาก็ยิ่งเสียเปรียบ แถมเส้นทางการส่งเสบียงมาให้กองทัพยังมีพวกโจรที่แอบอาศัยอยู่ในเมืองฉงหนานปล้นเสบียงจนทำให้กองทัพเสบียงเดินทางมาไม่ถึงชายแดนอีก เรียกได้ว่าศึกในยังไม่สงบแต่ฮ่องเต้ของแคว้นก็อยากจะสร้างศึกนอกเสียแล้วแม่ทัพของแคว้นฉงหนานส่งสัญญาณให้เหล่าทหารเตรียมพร้อม เสียงเป่าแตรที่เป็นสัญญาณออกรบดังขึ้น กองทัพธนูจึงเดินนำหน้าไปก่อน ต่อด้วยกองทัพเดินเท้าและทหารม้าเรียงหน้ากระดานเข้าไปใกล้เขตเชื่อมต่อของเมืองฉงหนานและเมืองซาย่า แม่ทัพฟางเซี่ยหมินจึงเตรียมส่งสัญญาณให้ทหารที่ไปรออยู่ที่ฝายเก็บน้ำแล้วเตรียมปล่อยน้ำออกมาเช่นกัน และเมื่อกองทัพฝั่งศัตรูกำลังพากันเดินลงมาในเส้นทางน้ำ พลุที่นายทหารเตรียมไว้ก็ถูกจุดทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือทำสัญญาณมือเหล่าทหารกล้าของกองทัพหน
กองทัพทหารนับสามหมื่นนาย ซึ่งนำทัพโดยท่านแม่ทัพฟางเซี่ยหมิน แม่ทัพทิศเหนือผู้องอาจน่าเกรงขาม ที่มิว่าจะเยือนสนามรบใด ศีรษะของศัตรูมักจะถูกบั่นออกจากคอทุกครั้งไป เขาใช้เวลานำทัพเดินทางไปถึงเมืองซาย่าจากเมืองหนานถิงนานถึงสามวันสามคืน ระหว่างทางพบเจอกับชาวเมืองที่อพยพทิ้งเมืองมาเพราะความหวาดกลัว เป็นภาพที่เขาเห็นทีไรก็รู้สึกเจ็บปวดใจ สงครามมิเคยนำความสงบสุขมาให้แก่ผู้ใด มีสงครามที่ใดก็มีแต่การนองเลือดและการสูญเสียบุคคลที่รัก“สถานการณ์ด้านนอกประตูเมือง กองทัพของแคว้นต้าเฉวียนอยู่ห่างจากเมืองออกไปประมาณสองหมื่นลี้ มีทหารร่วมทัพมาราวๆ สามถึงห้าหมื่นนาย” แม่ทัพภาคเข้ามารายงานต่อท่านแม่ทัพทิศเหนือที่ยืนสูงสง่าอยู่ด้านหน้าสุดบนกำแพงเมืองซาย่า“ข้ารู้มาว่าเขตแดนระหว่างเมืองซาย่ากับเมืองฉงหนานของแคว้นต้าเฉวียนมีแม่น้ำตัดผ่านใช่หรือไม่” เสียงเข้มของท่านแม่ทัพหนุ่มดังขึ้น“ใช่แล้วขอรับ แต่ตอนนี้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้งขอด จึงไม่มีน้ำไหลผ่านมาขวางทางทหารเหล่านั้นแล้วขอรับ” แม่ทัพภาคตอบตามความจริง“แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าเรามีฝายกั