หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็สวมชุดออกงาน ดูหรูหราและสง่างามเกินจะพรรณนาได้อยู่แล้วซ่งซีซีทาแป้งเขียนคิ้วเบาๆ เพื่อปกปิดใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง และยังปกปิดรอยฟกช้ำใต้ตาด้วย เพื่อไม่ให้คนอื่นมองเห็นความซีดเซียวของนางงานเลี้ยงของราชวงศ์ บอกว่าเป็นงานรวมญาติครอบครัว แต่ต้องปฏิบัติตามมารยาทและกฎเกณฑ์มากมายนางส่องกระจกจก หายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความเจ็บปวดใจที่คนในครอบครัวเสียไปนางบอกตนเองว่านางชินแล้ว ชินแล้วก็ดีแล้ว ชินแล้วมันจะไม่อึดอัดใจขนาดนั้นบุคคลในกระจกนั้นสวมชุดหรูหรา และมวยสูง บนศีรษะเต็มไปด้วยไข่มุกและหยก สร้อยคอที่ทำจากไข่มุกตงจูนั้นเปล่งประกายแวววาวและห้อยยาวอยู่ที่หน้าอกนี่คือสินเดิมที่อาจารย์มอบให้ ไข่มุกตงจูในหลายกล่องนั้นมีผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป แต่บรรจุแย่งกล่องไว้ต่างหูยังเป็นไข่มุกตงจูซึ่งปกคลุมใบหูส่วนล่างทั้งหมด และความฟุ่มเฟือยนั้นก็ไม่อาจบรรยายได้ไฝ่ใต้ตาของนางงดงามมาก และดูเหมือนว่าเป็นคราบเลือดจุดหนึ่ง เผยให้เห็นรัศมีแห่งการฆาตกรรมนางลดคิ้วลงเพื่อปกปิดความโกรธอันรุนแรงที่ฉายออกมาในใจของนางเซี่ยหลูโม่เข้ามาจับมือนาง แล้วพูดเบ
แต่จะปล่อยให้เสด็จแม่ปลอบใจต่อไปไม่ได้เลย คำปลอบใจของนางยิ่งจี้ใจดำขึ้นไปอีกนางจับมือรุ่ยเอ๋อร์ แล้วพูดว่า "ไม่เป็นไร อาแค่อารมณ์เสียนิดนึง แต่พอคิดว่างานเลี้ยงในวังคืนนี้จะมีของกินมากมาย จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาแล้วนะ"น้ำเสียงที่ผ่อนคลายของนางหลอกลวงเซียนหนิงและรุ่ยเอ๋อร์ได้ รวมถึงไทเฟยที่ซื่อๆ ด้วยแม้ว่าไทเฟยผู้โง่เขลาจะอึดอัดใจเรื่องพระชายาอ๋องเยี่ยน แต่งานเลี้ยงในวังก็ครึกครื้น มิใช่ครึกครื้นอย่างธรรมดา ผู้ใดบ้างจะไม่ชอบล่ะในพระราชวังเอิกเกริกจริงๆ บรรยากาศครึกครื้นเพื่อฉลองปีใหม่ มีโคมไฟและของประดับตกแต่งหลากสีสันอยู่ทั่วทุกแห่ง และโคมไฟลมแก้วก็แขวนอยู่ในทุกทางเดิน ทำให้พระราชวังดูสว่างเหมือนอยู่ในกลางวันอ๋องเยี่ยนกำลังนำครอบครัวทั้งหมดของเขาไปเข้าเฝ้าไทเฮาและฮ่องเต้ ฮองไทเฮาไม่ชอบน้องชายของฮ่องเต้องค์ก่อนคนนี้ ก็เป็นเพราะเขาทำอะไรไม่ได้เรื่อง เรื่องอื้อฉาวที่เขารักใคร่อนุภรรยาและทอดทิ้งภรรยาเอกก็แพร่กระจายไปยังเมืองหลวงแล้วเมื่อตอนนี้เห็นพระชายาอ๋องเยี่ยนไม่ได้ติดตามมา นางพอจะเดาได้ว่าอาการของนางไม่ค่อยดีนัก ในช่วงสองปีที่ผ่านมา อาการของนางกำเริบบ่อยๆ และเป็นหมอมหัศจรรย์
ในสมัยนั้นจักรพรรดิ์เหวินรักใคร่พระสนมกุ้ยเฟยยี่มาก เขาจึงเอ็นดูองค์หญิงใหญ่ไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อนางถูกเลี้ยงข้างกายพระสนมหรง รางวัลมากมายก็ถูกส่งไปยังตำหนักพระสนมหรงอย่างไม่หยุดปัจจุบัน ไทเฟยหรงเป็นไทเฟยคนเก่าของราชวงศ์ของจักรพรรดิ์เหวิน เมื่อเทียบกับไทเฟยของฮ่องเต้องศ์ก่อน พวกนางแทบจะไร้ตัวตนเลย มีชีวิตอยู่ก็พอ พระสนมบางคนที่มีฐานะต่ำและไม่มีลูก หากไม่ได้ถูกฝังไปด้วยก็ถูกส่งไปที่สำนักแม่ชีแล้วหากต้องนับเป็นรุ่น แน่นอนว่าพวกนางเป็นผู้อาวุโสมากสุดในวัง น่าเสียดาย ในวังหลังจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องความอาวุโสเดิมทีฮ่องเต้องค์ก่อนส่งอ๋องเยี่ยนไปที่ศักดินาและเป็นเจ้าเมืองที่นั่น แต่กลับให้ไทเฟยใช้ชีวิตอยู่ในวังตามลำพัง โดยธรรมชาติแล้วมันก็ทำเพื่อยับยั้งอ๋องเยี่ยนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าอ๋องเยี่ยนเป็นคนไร้ความสามารถ ทั้งโง่และไม่ได้เรื่อง เป็นคนหื่นกาม และยังเอาใจอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอกดังนั้น ฮ่องเต้จึงทรงคิดว่าจะพระราชทานพระคุณให้แม่ลูกสองคน ให้เขารับไทเฟยหรงไปพักอาศัยที่จวนอ๋องเยี่ยน วางแผนจะประกาศพระราชกฤษฎีกาหลังวันส่งท้ายปีเก่าแต่บัดนี้เมื่อเขาได้ยินเรื่องของพระชา
อ๋องเยี่ยนก็โมโหเช่นกัน "นางจะตายตอนไหนก็ไม่เป็น แม้ว่านางจะตายแล้วข้าก็จะปิดบังข่าวการตายของนางเอาไว้ และรอจนกว่าผ่านปีใหม่ไปค่อยประกาศต่อสาธารณะ แต่ตอนนี้ถูกซ่งซีซีเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ ทั้งไทเฮาและฮ่องเต้ต่างก็รู้เรื่องนี้ จะให้อยู่ในเมืองหลวงต่อได้ยังไง"องค์หญิงใหญ่กัดฟันกรอดแต่ต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาอดทน "ช่างเถอะ อย่าไปมีเรื่องกับพวกเขาก่อน พวกเขาเพิ่งสร้างผลงานกลับมา เป็นที่นิยมทั้งในหมู่คนในราชสำนักกับประชาชน หลีกเลี่ยงไปยุ่ง รับสมัครกองกำลังและซื้อม้าให้เงียบๆ โดยเร็วที่สุด สำหรับการแต่งงานกับตระกูลเสิ่น เจ้าก็เร่งด้วย เสิ่นว่านจือคนนั้นเคยเข้าสู่สนามรบเขตหนานเจียง หากเจ้าแต่งงานกับนางได้ ใช้นางเป็นประโยชน์ เรื่องที่เจ้ารับสมัครกองกำลังและซื้อม้านั้นก็จะง่ายขึ้น อีกอย่างมีตระกูลเสิ่นเป็ฯที่พึ่ง และมีสถาบันชื่อเยียนให้ความช่วยเหลือ สักวันหนึ่ง เราจะก็สามารถบรรลุผลสำเร็จได้"อ๋องเยี่ยนขมวดคิ้วและส่ายหัว "เห็นท่าทีของผู้นำตระกูลเสิ่น ข้าว่าเขาตอบอย่างขอไปที เสิ่นว่านจือนั้นเป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลเสิ่น ให้นางมาเป็นอนุของข้า อีกอย่างนางก็รู้เรื่องนังแก่ที่ตายอยู่ในสำนักแม่ชีชิงมู่
บรรดาสมาชิกราชวงศ์ในเมืองหลวงก็ทยอยเข้ามาในพระราชวังอ๋องฮวยและพระชายาอ๋องฮวยมาพร้อมกับองค์หญิงใหญ่หลายคน องค์หญิงใหญ่ล้วนพาลูกๆ ของตนเองและฝู้หม่า ฝูงชนห้อมล้อมเข้ามา ทันใดนั้นในห้องโถงก็และพระราชวังก็เอิกเกริกขึ้นมาทันทีต่อมาก็คือองค์หญิงสองคนที่ออกเรือนแล้ว องค์หญิงหมิ่นชิงและองค์หญิงฮุ่ยเจิง พวกนางล้วนเป็นพี่น้องของฮ่องเต้ องค์หญิงหมิ่นชิงเป็นลูกสาวของไทเฮา คือพี่สาวแท้ๆ ของฮ่องเต้ ส่วนฮุ่ยเจิงเป็นลูกสาวของฉีกุ้ยไทเฟย เป็นน้องสาวของฮ่องเต้องค์หญิงหมิ่นชิงแต่งงานกับสวี่เล่อเทียน ลูกชายคนที่สองของอวี้ฉื่อต้าฟู(หัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินหรือที่ปรึกษาองค์จักรพรรดิ คอยกำกับดูแลข้าราชบริพารทุกระดับชั้น) เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ทำงานอยู่ในกระทรวงพิธีการอย่างในนามเท่านั้นตระกูลสวี่เป็นครอบครัวพ่อแม่ของชฮูหยินเสนาบดีมู่ และเป็นตระกูลนักวิชาการ เพียงแต่อวี้ฉื่อสวี่มีนิสัยตรงไปครงมาและดื้อรั้น เขาเป็นคนที่กล้าขัดแย้งกับฮ่องเต้ด้วยซ้ำ แม้ว่าองค์หญิงมีจวนขององค์หญิงเอง แต่ทุกวันแรกและวันที่สิบห้าของเดือนต้องไปคารวะพวกเขาที่จวนสวี่ นี่คือมารยาทที่ลูกสะใภ้ควรทำ อวี้ฉื่อสวี่จะไม่สนว่านางมีฐานะ
ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น สมาชิกสตรีรวมตัวพูดคุยกัน ส่วนฮ่องเต้ก็พูดคุยกับสมาชิกบุรุษกันองค์หญิงหมิ่นชิงนั่งข้างซ่งซีซี แล้วพูดว่า "ตแนที่เจ้าแต่งงานกับน้องโม่ ร่างกายของข้าไม่ค่อยสบายเลยไม่ได้ไปเข้าร่วมงานด้วยตนเอง แค่ส่งคนไปส่งของขวัญแทน พี่อยากให้เจ้ายกโทษให้พี่ด้วยนะ"ซ่งซีซีรู้ว่านิสัยขององค์หญิงคนนี้ ไม่ใช่ว่าคนที่ชอบดูถูกคนอื่น ยามนี้นางยังเรียกตนเองว่าพี่ ซ่งซีซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ทำไมท่านพี่ต้องพูดเช่นนั้นล่ะ ท่านพี่ได้ส่งของขวัญมาให้ ข้าต้องกล่าวขอบคุณถึงจะถูก ตอนนี้สุขภาพของท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ""ยังมีอาการไอ และมีไข้สูงอยู่สองสามวันแล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงานกับน้องโม่นั้น ข้าลงจากเตียงไม่ได้เลยจริงๆ" องค์หญิงหมิ่นชิงไอออกมาอีกสองสามเสียงขณะที่นางพูด สาวใช้ก็รีบนำน้ำดำส้มมา นางจิบไปสองสามคำ อาการถึงดีขึ้นหน่อย แต่ใบหน้าของนางก็แดงก่ำจากการไอ"ท่านพี่ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ" ซ่งซีซีกล่าว"อืม" องค์หญิงหมิ่นชิงพยักหน้า "ซีซีมีน้ำใจจริงๆ"องค์หญิงฮุ่ยเจิงได้เข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงาน และนางก็หัวเราะเบาๆ ด้านข้าง "ท่านไม่รู้ว่าคืนนั้นน้องโม่ได้ห่วงใยมากแค่ไหน เขาไม่แม้แต่ให้
คำพูดของสนมฮุ่ยไทเฟยทำให้ทุกคนในงานต่างมองพระชายาอ๋องฮวยด้วยสายตารังเกียจพระชายาอ๋องฮวยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และละอายใจมาก นางมองไปยังซ่งซีซี โดยหวังว่าซ่งซีซีจะช่วยพูดให้นางสักหน่อย แต่ซ่งซีซีมีสีหน้าเย็นชา และไม่เห็นอารมณ์ใดๆ อยู่ในดวงตาของนาง นางได้แต่ยอมแพ้ แต่แอบแค้นอยู่ในใจ เป็นถึงท่านน้าของตนเองแท้ๆ ยังไม่ช่วย จะไม่ทำให้แม่ของนางผิดหวังหรือหลังจากพูดคุยกันสักพัก องค์หญิงใหญ่ถึงกลับมา หลังจากไหว้ให้ทุกคนเสร็จแล้วก็กลับนั่งลงอีกครั้งซ่งซีซียังไหว้ให้นางราวกับว่าทั้งสองคนนี้ไม่เคยมีเรื่องอะไรมาก่อนอย่างไรอย่างนั้นองค์หญิงใหญ่แสร้งเก่งกว่านางตั้งเยอะ ยังเหลือบมองนางอย่างให้ความสนใจและอบอุ่นอีกด้วยฮองไทเฮาถามถึงไทเฟยหรง และองค์หญิงใหญ่ก็กล่าวว่า "เสด็จแม่รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยแล้ว แต่คืนนี้จะไม่มาฉลองปีใหม่กับทุกคน คืนนี้อากาศหนาว กลัวว่าเดี๋ยวโดนลมพัดจะเป็นหวัดเอาได้""อืม อีกเดี๋ยวข้าจะหาหมอหลวงดูแลนางให้เป็นพิเศษ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงมาก" ฮองไทเฮากล่าว"ขอบพระทัยพี่สะใภ้" องค์หญิงใหญ่กล่าวใกล้ถึงเวลาเปิดงานแล้ว นางกำนัลมาเชิญพวกเขา ทุกคนทยอยลุกขึ้น และล้อมรอบฮองไทเฮาไปที่
ลูกชายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง และใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในศักดินา ไม่ใช่ว่าเขาต้องการกลับไปยังเมืองหลวงเพียงลำพังเพื่อใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยว เขาเองก็อยากมีลูกและหลานอยู่รอบตัวเขาด้วยเพียงแต่ว่าเมื่อผู้คนแก่ตัวลง พวกเขามักจะกลับบ้านเกิดของตนเอง ในเวลาเดียวกันก็แสดงให้ฮ่องเต้ดูว่ามีคนแก่อยู่ในเมืองหลวง ลูกหลานของเขาจะคิดอะไรไม่ซื่อสัตย์แน่ๆเขาไม่กังวลบลูกหลานของตนเอง แต่มีบางสถานการณ์เนี่ย เขาที่เป็นผู้เฒ่ามองออกแล้ว แค่กลัวว่าคนบางคนมีความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่ และจะไปซื้อเจ้าเมืองและจวิ้นอ๋องเป็นพวก ดังนั้นเขาจึงรีบร้อนที่จะกลับเมืองหลวงเพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณของเขาคืนนี้เขาลากเซี่ยหลูโม่ออกไป จงใจอาศัยมีอาการเมาและพูดคำพูดพล่อยๆ ออกไป จะว่าเป็นคำเตือนก็ได้ หรือเป็นบอกใบ้ก็ได้ สุดท้ายแล้วสิ่งที่คนแก่อย่างเขาสามารถทำได้นั้นก็มีเพียงเท่านี้สุดท้าย เขาก็ตบไหล่เซี่ยหลูโม่ แล้วพูดว่า "ภรรยาของเจ้าน่ะ ข้าดูแล้วค่อนข้างชอบ หาเวลาว่างๆ พานางมากราบไหว้ข้าสักหน่อย"เซี่ยหลูโม่ยิ้มและพูดว่า "ขอรับ จะพาไปเยี่ยมแน่นอน""เอาล่ะ ข้าจะกลับแล้ว!" ท่านอ๋องฮุยลูบเคราพลางหัวเราะ จากนั้นก็เดินจา
แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก่อนที่นางจีจะกลับไป ซ่งซีซีก็สั่งให้คนไปซื้อโจ๊กเนื้อบดสองหม้อ โดยอ้างว่าเป็นของชาวบ้านที่ต้องการขอบคุณฮูหยินจีสำหรับการแจกจ่ายโจ๊กตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้นางจีร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ นางหวังว่าลูกๆ จะได้ดื่มโจ๊กอุ่นๆ สักคำ แม้เพียงนิดเดียวหลังออกจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีครุ่นคิดแล้วสั่งให้อาจารย์หยูไปเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านบริจาคโจ๊กให้เป็นที่แพร่หลายเดิมทีผู้คนยังจดจำความมีน้ำใจของนางจีที่แจกจ่ายโจ๊กได้ แต่ช่วงนี้เรื่องราวนั้นเริ่มเงียบหายไปตอนนี้จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้จุดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งอาจารย์หยูจึงแต่งเรื่องเล็กน้อย โดยเล่าว่าชาวบ้านที่มอบโจ๊กเดิมทีเป็นคนเร่ร่อนชานเมืองหลวงที่อดอยากจนเกือบตาย ดื่มโจ๊กที่โรงทานหลายวันติดต่อกัน และก่อนออกจากเมืองหลวง โรงทานยังมอบเสบียงให้เขาห่อหนึ่งแม้ปัจจุบันชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้มีพระคุณของเขาประสบเคราะห์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่เมืองหลวงและซื้อโจ๊กอุ่นๆ สองหม้อมาส่งที่เรือนจำ พร้อมร้องขอให้นำไปให้ผู้มีพระคุณเซี่ยหรูหลิงซึ่งดูแลเรือนจำ เ
นางถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หงเชวี่ยตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาการยังพอรับได้ แต่ถ้าหวังชิงหลูไข้สูงไม่ลด ก็อาจเป็นอันตรายได้ นางเครียดเกินไป ตอนที่พบนาง นางจับมือข้าไว้แน่น ถามว่าตัวเองจะตายหรือไม่ พูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ เดี๋ยวโทษคนนั้น เดี๋ยวโทษคนนี้ บางครั้งก็โทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง”ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่หวังว่านางจะไม่ทำให้ฮูหยินจีลำบากไปกว่านี้หากหวังชิงหลูเสียชีวิตในเรือนจำ จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในตระกูลหวัง ซึ่งจะเพิ่มภาระทางจิตใจให้กับฮูหยินจีอย่างแน่นอน“หงเชวี่ย อีกสองวันเจ้าไปดูพวกเขาอีกทีนะ”หงเชวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกสองวันเจ้าไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”นางอยากพูดคุยกับฮูหยินจีตามลำพัง เพราะในที่สิ้นหวังเช่นเรือนจำนั้น หากไม่มีแม้แต่คนพูดคุย มีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่สิ้นสุด วันเวลาก็จะยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เนื่องจากฝ่าบาททรงพระประชวรและงดราชกิจ นางจึงต้องไปพบเสนาบดีมู่เพื่อแจ้งเรื่องจินชางหมิงเปล
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก