เซี่ยหรูหลิงปาดน้ำตาพลางเดินไปหาเซี่ยหลูโม่ กำลังเตรียมจะถาม แต่อ๋องเยี่ยนก็ตะโกนใส่เขาว่า "ไม่ได้ยินหรือว่า คนอื่นเขารังเกียจเราจะนำโชคร้ายให้ รีบกลับซะ!"น้ำตาของเซี่ยหรูหลิงร่วงหล่นอีกครั้ง เขายกมือไหว้ให้เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซี รูปร่างที่เรียวยาวและผอมแห้งของเขาราวกับใบหลิวที่ปลิวไปตามสายลม จากนั้นก็เดินตามไปด้วยก้าวที่เดินโซเซพวกคุณชายและเสี้ยนจู่นั้นต่างก็สบถขึ้นมาเบาและจากไปพร้อมกัน ทว่ามีแต่ชายารองจินยังคงรักษาความสุภาพที่เหมาะสมได้ และไหว้ให้สนมฮุ่ยไทเฟย "ไทเฟยดูแลตัวเองให้ดีๆ ด้วย หม่อมฉันขอตัวกลับก่อนเพคะ"เมื่อชายารองจินจากไป ยังมองไปที่เสิ่นว่านจืออยู่สักพัก ดวงตาของนางฉายแววอย่างมีเลศนัย เสิ่นว่านจือก็กลอกตามองบนใส่นางตรงๆสนมฮุ่ยไทเฟยอยู่ในภาวะสับสนตลอดเวลาเมื่อกี้นางยังคุยกับพวกเขาอย่างสนุกสนานเลย และแต่ละคนดูสุภาพและปากหวานด้วย กลับเป็นคนเนรคุณเช่นนี้?เมื่อพระชายาอ๋องเยี่ยนสิ้นพระชนม์ มีเพียงเซี่ยหรูหลิงเท่านั้นที่ร้องไห้ และคนอื่นๆ ไม่แม้แต่มีความโศกเศร้าบนใบหน้าเลยด้วยซ้ำโดยเฉพาะเสี้ยนจู่ทั้งสองเป็นนั้นยังเป็นลูกทางสายเลือดของพระชายาอ๋องเยี่ยน กลับปล่อยให้เส
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็สวมชุดออกงาน ดูหรูหราและสง่างามเกินจะพรรณนาได้อยู่แล้วซ่งซีซีทาแป้งเขียนคิ้วเบาๆ เพื่อปกปิดใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง และยังปกปิดรอยฟกช้ำใต้ตาด้วย เพื่อไม่ให้คนอื่นมองเห็นความซีดเซียวของนางงานเลี้ยงของราชวงศ์ บอกว่าเป็นงานรวมญาติครอบครัว แต่ต้องปฏิบัติตามมารยาทและกฎเกณฑ์มากมายนางส่องกระจกจก หายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความเจ็บปวดใจที่คนในครอบครัวเสียไปนางบอกตนเองว่านางชินแล้ว ชินแล้วก็ดีแล้ว ชินแล้วมันจะไม่อึดอัดใจขนาดนั้นบุคคลในกระจกนั้นสวมชุดหรูหรา และมวยสูง บนศีรษะเต็มไปด้วยไข่มุกและหยก สร้อยคอที่ทำจากไข่มุกตงจูนั้นเปล่งประกายแวววาวและห้อยยาวอยู่ที่หน้าอกนี่คือสินเดิมที่อาจารย์มอบให้ ไข่มุกตงจูในหลายกล่องนั้นมีผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป แต่บรรจุแย่งกล่องไว้ต่างหูยังเป็นไข่มุกตงจูซึ่งปกคลุมใบหูส่วนล่างทั้งหมด และความฟุ่มเฟือยนั้นก็ไม่อาจบรรยายได้ไฝ่ใต้ตาของนางงดงามมาก และดูเหมือนว่าเป็นคราบเลือดจุดหนึ่ง เผยให้เห็นรัศมีแห่งการฆาตกรรมนางลดคิ้วลงเพื่อปกปิดความโกรธอันรุนแรงที่ฉายออกมาในใจของนางเซี่ยหลูโม่เข้ามาจับมือนาง แล้วพูดเบ
แต่จะปล่อยให้เสด็จแม่ปลอบใจต่อไปไม่ได้เลย คำปลอบใจของนางยิ่งจี้ใจดำขึ้นไปอีกนางจับมือรุ่ยเอ๋อร์ แล้วพูดว่า "ไม่เป็นไร อาแค่อารมณ์เสียนิดนึง แต่พอคิดว่างานเลี้ยงในวังคืนนี้จะมีของกินมากมาย จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาแล้วนะ"น้ำเสียงที่ผ่อนคลายของนางหลอกลวงเซียนหนิงและรุ่ยเอ๋อร์ได้ รวมถึงไทเฟยที่ซื่อๆ ด้วยแม้ว่าไทเฟยผู้โง่เขลาจะอึดอัดใจเรื่องพระชายาอ๋องเยี่ยน แต่งานเลี้ยงในวังก็ครึกครื้น มิใช่ครึกครื้นอย่างธรรมดา ผู้ใดบ้างจะไม่ชอบล่ะในพระราชวังเอิกเกริกจริงๆ บรรยากาศครึกครื้นเพื่อฉลองปีใหม่ มีโคมไฟและของประดับตกแต่งหลากสีสันอยู่ทั่วทุกแห่ง และโคมไฟลมแก้วก็แขวนอยู่ในทุกทางเดิน ทำให้พระราชวังดูสว่างเหมือนอยู่ในกลางวันอ๋องเยี่ยนกำลังนำครอบครัวทั้งหมดของเขาไปเข้าเฝ้าไทเฮาและฮ่องเต้ ฮองไทเฮาไม่ชอบน้องชายของฮ่องเต้องค์ก่อนคนนี้ ก็เป็นเพราะเขาทำอะไรไม่ได้เรื่อง เรื่องอื้อฉาวที่เขารักใคร่อนุภรรยาและทอดทิ้งภรรยาเอกก็แพร่กระจายไปยังเมืองหลวงแล้วเมื่อตอนนี้เห็นพระชายาอ๋องเยี่ยนไม่ได้ติดตามมา นางพอจะเดาได้ว่าอาการของนางไม่ค่อยดีนัก ในช่วงสองปีที่ผ่านมา อาการของนางกำเริบบ่อยๆ และเป็นหมอมหัศจรรย์
ในสมัยนั้นจักรพรรดิ์เหวินรักใคร่พระสนมกุ้ยเฟยยี่มาก เขาจึงเอ็นดูองค์หญิงใหญ่ไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อนางถูกเลี้ยงข้างกายพระสนมหรง รางวัลมากมายก็ถูกส่งไปยังตำหนักพระสนมหรงอย่างไม่หยุดปัจจุบัน ไทเฟยหรงเป็นไทเฟยคนเก่าของราชวงศ์ของจักรพรรดิ์เหวิน เมื่อเทียบกับไทเฟยของฮ่องเต้องศ์ก่อน พวกนางแทบจะไร้ตัวตนเลย มีชีวิตอยู่ก็พอ พระสนมบางคนที่มีฐานะต่ำและไม่มีลูก หากไม่ได้ถูกฝังไปด้วยก็ถูกส่งไปที่สำนักแม่ชีแล้วหากต้องนับเป็นรุ่น แน่นอนว่าพวกนางเป็นผู้อาวุโสมากสุดในวัง น่าเสียดาย ในวังหลังจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องความอาวุโสเดิมทีฮ่องเต้องค์ก่อนส่งอ๋องเยี่ยนไปที่ศักดินาและเป็นเจ้าเมืองที่นั่น แต่กลับให้ไทเฟยใช้ชีวิตอยู่ในวังตามลำพัง โดยธรรมชาติแล้วมันก็ทำเพื่อยับยั้งอ๋องเยี่ยนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าอ๋องเยี่ยนเป็นคนไร้ความสามารถ ทั้งโง่และไม่ได้เรื่อง เป็นคนหื่นกาม และยังเอาใจอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอกดังนั้น ฮ่องเต้จึงทรงคิดว่าจะพระราชทานพระคุณให้แม่ลูกสองคน ให้เขารับไทเฟยหรงไปพักอาศัยที่จวนอ๋องเยี่ยน วางแผนจะประกาศพระราชกฤษฎีกาหลังวันส่งท้ายปีเก่าแต่บัดนี้เมื่อเขาได้ยินเรื่องของพระชา
อ๋องเยี่ยนก็โมโหเช่นกัน "นางจะตายตอนไหนก็ไม่เป็น แม้ว่านางจะตายแล้วข้าก็จะปิดบังข่าวการตายของนางเอาไว้ และรอจนกว่าผ่านปีใหม่ไปค่อยประกาศต่อสาธารณะ แต่ตอนนี้ถูกซ่งซีซีเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ ทั้งไทเฮาและฮ่องเต้ต่างก็รู้เรื่องนี้ จะให้อยู่ในเมืองหลวงต่อได้ยังไง"องค์หญิงใหญ่กัดฟันกรอดแต่ต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาอดทน "ช่างเถอะ อย่าไปมีเรื่องกับพวกเขาก่อน พวกเขาเพิ่งสร้างผลงานกลับมา เป็นที่นิยมทั้งในหมู่คนในราชสำนักกับประชาชน หลีกเลี่ยงไปยุ่ง รับสมัครกองกำลังและซื้อม้าให้เงียบๆ โดยเร็วที่สุด สำหรับการแต่งงานกับตระกูลเสิ่น เจ้าก็เร่งด้วย เสิ่นว่านจือคนนั้นเคยเข้าสู่สนามรบเขตหนานเจียง หากเจ้าแต่งงานกับนางได้ ใช้นางเป็นประโยชน์ เรื่องที่เจ้ารับสมัครกองกำลังและซื้อม้านั้นก็จะง่ายขึ้น อีกอย่างมีตระกูลเสิ่นเป็ฯที่พึ่ง และมีสถาบันชื่อเยียนให้ความช่วยเหลือ สักวันหนึ่ง เราจะก็สามารถบรรลุผลสำเร็จได้"อ๋องเยี่ยนขมวดคิ้วและส่ายหัว "เห็นท่าทีของผู้นำตระกูลเสิ่น ข้าว่าเขาตอบอย่างขอไปที เสิ่นว่านจือนั้นเป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลเสิ่น ให้นางมาเป็นอนุของข้า อีกอย่างนางก็รู้เรื่องนังแก่ที่ตายอยู่ในสำนักแม่ชีชิงมู่
บรรดาสมาชิกราชวงศ์ในเมืองหลวงก็ทยอยเข้ามาในพระราชวังอ๋องฮวยและพระชายาอ๋องฮวยมาพร้อมกับองค์หญิงใหญ่หลายคน องค์หญิงใหญ่ล้วนพาลูกๆ ของตนเองและฝู้หม่า ฝูงชนห้อมล้อมเข้ามา ทันใดนั้นในห้องโถงก็และพระราชวังก็เอิกเกริกขึ้นมาทันทีต่อมาก็คือองค์หญิงสองคนที่ออกเรือนแล้ว องค์หญิงหมิ่นชิงและองค์หญิงฮุ่ยเจิง พวกนางล้วนเป็นพี่น้องของฮ่องเต้ องค์หญิงหมิ่นชิงเป็นลูกสาวของไทเฮา คือพี่สาวแท้ๆ ของฮ่องเต้ ส่วนฮุ่ยเจิงเป็นลูกสาวของฉีกุ้ยไทเฟย เป็นน้องสาวของฮ่องเต้องค์หญิงหมิ่นชิงแต่งงานกับสวี่เล่อเทียน ลูกชายคนที่สองของอวี้ฉื่อต้าฟู(หัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินหรือที่ปรึกษาองค์จักรพรรดิ คอยกำกับดูแลข้าราชบริพารทุกระดับชั้น) เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ทำงานอยู่ในกระทรวงพิธีการอย่างในนามเท่านั้นตระกูลสวี่เป็นครอบครัวพ่อแม่ของชฮูหยินเสนาบดีมู่ และเป็นตระกูลนักวิชาการ เพียงแต่อวี้ฉื่อสวี่มีนิสัยตรงไปครงมาและดื้อรั้น เขาเป็นคนที่กล้าขัดแย้งกับฮ่องเต้ด้วยซ้ำ แม้ว่าองค์หญิงมีจวนขององค์หญิงเอง แต่ทุกวันแรกและวันที่สิบห้าของเดือนต้องไปคารวะพวกเขาที่จวนสวี่ นี่คือมารยาทที่ลูกสะใภ้ควรทำ อวี้ฉื่อสวี่จะไม่สนว่านางมีฐานะ
ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น สมาชิกสตรีรวมตัวพูดคุยกัน ส่วนฮ่องเต้ก็พูดคุยกับสมาชิกบุรุษกันองค์หญิงหมิ่นชิงนั่งข้างซ่งซีซี แล้วพูดว่า "ตแนที่เจ้าแต่งงานกับน้องโม่ ร่างกายของข้าไม่ค่อยสบายเลยไม่ได้ไปเข้าร่วมงานด้วยตนเอง แค่ส่งคนไปส่งของขวัญแทน พี่อยากให้เจ้ายกโทษให้พี่ด้วยนะ"ซ่งซีซีรู้ว่านิสัยขององค์หญิงคนนี้ ไม่ใช่ว่าคนที่ชอบดูถูกคนอื่น ยามนี้นางยังเรียกตนเองว่าพี่ ซ่งซีซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ทำไมท่านพี่ต้องพูดเช่นนั้นล่ะ ท่านพี่ได้ส่งของขวัญมาให้ ข้าต้องกล่าวขอบคุณถึงจะถูก ตอนนี้สุขภาพของท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ""ยังมีอาการไอ และมีไข้สูงอยู่สองสามวันแล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงานกับน้องโม่นั้น ข้าลงจากเตียงไม่ได้เลยจริงๆ" องค์หญิงหมิ่นชิงไอออกมาอีกสองสามเสียงขณะที่นางพูด สาวใช้ก็รีบนำน้ำดำส้มมา นางจิบไปสองสามคำ อาการถึงดีขึ้นหน่อย แต่ใบหน้าของนางก็แดงก่ำจากการไอ"ท่านพี่ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ" ซ่งซีซีกล่าว"อืม" องค์หญิงหมิ่นชิงพยักหน้า "ซีซีมีน้ำใจจริงๆ"องค์หญิงฮุ่ยเจิงได้เข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงาน และนางก็หัวเราะเบาๆ ด้านข้าง "ท่านไม่รู้ว่าคืนนั้นน้องโม่ได้ห่วงใยมากแค่ไหน เขาไม่แม้แต่ให้
คำพูดของสนมฮุ่ยไทเฟยทำให้ทุกคนในงานต่างมองพระชายาอ๋องฮวยด้วยสายตารังเกียจพระชายาอ๋องฮวยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และละอายใจมาก นางมองไปยังซ่งซีซี โดยหวังว่าซ่งซีซีจะช่วยพูดให้นางสักหน่อย แต่ซ่งซีซีมีสีหน้าเย็นชา และไม่เห็นอารมณ์ใดๆ อยู่ในดวงตาของนาง นางได้แต่ยอมแพ้ แต่แอบแค้นอยู่ในใจ เป็นถึงท่านน้าของตนเองแท้ๆ ยังไม่ช่วย จะไม่ทำให้แม่ของนางผิดหวังหรือหลังจากพูดคุยกันสักพัก องค์หญิงใหญ่ถึงกลับมา หลังจากไหว้ให้ทุกคนเสร็จแล้วก็กลับนั่งลงอีกครั้งซ่งซีซียังไหว้ให้นางราวกับว่าทั้งสองคนนี้ไม่เคยมีเรื่องอะไรมาก่อนอย่างไรอย่างนั้นองค์หญิงใหญ่แสร้งเก่งกว่านางตั้งเยอะ ยังเหลือบมองนางอย่างให้ความสนใจและอบอุ่นอีกด้วยฮองไทเฮาถามถึงไทเฟยหรง และองค์หญิงใหญ่ก็กล่าวว่า "เสด็จแม่รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยแล้ว แต่คืนนี้จะไม่มาฉลองปีใหม่กับทุกคน คืนนี้อากาศหนาว กลัวว่าเดี๋ยวโดนลมพัดจะเป็นหวัดเอาได้""อืม อีกเดี๋ยวข้าจะหาหมอหลวงดูแลนางให้เป็นพิเศษ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงมาก" ฮองไทเฮากล่าว"ขอบพระทัยพี่สะใภ้" องค์หญิงใหญ่กล่าวใกล้ถึงเวลาเปิดงานแล้ว นางกำนัลมาเชิญพวกเขา ทุกคนทยอยลุกขึ้น และล้อมรอบฮองไทเฮาไปที่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด
ตอนนี้เองที่ข้าพึ่งเข้าใจเจตนาของซีซี เส้าฮูหยินนำคนไปก่อเรื่องถึงตระกูลหวังจนเสียหน้า เช่นนั้นก็ต้องไปขอขมาถึงที่นั่นด้วย และใช้เรื่องที่เส้าซื่อจื่อประพฤติตัวต่ำทรามมาจับจุดอ่อนตระกูลเส้า ต่อจากนี้ ต่อให้จืออวี่แต่งเข้ามา พวกเขาก็จะไม่กล้ารังแกอีกทั้งมีคนหนุนหลัง ทั้งมีเรื่องให้ถือไพ่เหนือกว่าแต่วันนี้ข้ามาเพื่อระบายความโกรธ เป้าหมายก็เส้าฮูหยิน ข้าย่อมไม่ยอมจากไปง่ายๆข้ารอจนปี้หมิงกับคนของเขาออกไปหมด จึงกล่าวกับเส้าฮูหยินว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านพูดว่าจวนป๋อเจวี๋ยของพวกท่านเป็นตระกูลขุนนางผู้ดีฟังแล้วช่างน่าขัน ตระกูลขุนนางผู้ดีที่ไหนจะทำเรื่องล่อลวงภรรยาน้อย บุกบ้านผู้อื่นอาละวาดไร้เหตุผล? วันนี้ข้าตั้งใจจะฉีกหน้าตระกูลเส้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าเส้าหมิ่นรักเสี่ยวอวี่ด้วยใจจริง ข้าจึงไม่อยากทำให้เรื่องเลวร้ายจนเด็กทั้งสองต้องอับอาย แต่เรื่องที่เสี่ยวอวี่ถูกกดขี่ ข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้ เด็กคนนี้ข้าเสิ่นว่านจือเลี้ยงดูมาเองกับมือ จะยอมให้ใครรังแกไม่ได้ เจ้าอาศัยว่าตัวเองเป็นจวนป๋อเจวี๋ย ก็เลยกล้ารังแกตระกูลหวังที่ไร้บรรดาศักดิ์ ตอนเจ้ารังแกผู้อื่นก็อย่ามาโทษคนอื่
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป
ซ่งซีซีหยุดฝีเท้า หันกลับมากล่าวว่า “คนในครอบครัวของนางปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี เพียงแต่ตอนที่หลานสาวของนางจะออกเรือน เกิดเรื่องสะดุดอยู่บ้าง โชคดีที่ท้ายที่สุดก็แต่งกับบุรุษที่ดี นางคงกลัวว่าตนเป็นหญิงโสดสูงวัย เคยแต่งงานมาแล้วถึงสองครั้ง จะถูกผู้คนติฉินนินทา พลอยทำให้หลานๆ เดือดร้อน และไม่อยากให้พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเป็นกังวลด้วย”ข้าตอบรับในลำคอ พลางนึกถึงฮูหยินจีผู้เด็ดเดี่ยวแต่จิตใจดีงามฮูหยินจีมีบุตรชายหนึ่ง บุตรหญิงหนึ่ง ด้านหลังยังมีลูกอนุอีกหลายคน เรือนรองก็เช่นกัน บัดนี้คงยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนข้านึกถึงตอนที่ฮูหยินจีจะต้องไปเจรจาสู่ขอให้พวกเขา คงยากลำบากไม่น้อย ต้องเผชิญกับเสียงนินทานานัปการจากภายนอกข้าเห็นนางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยใจจริง และรู้สึกสงสารในสิ่งที่นางต้องพบเจอ“เจ้าลองคิดดูเถิด” ซ่งซีซีกล่าวข้าพยักหน้า แล้วเหลือบมองภายนอก เห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถบนั้น จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ามาอยู่กับข้าสองต่อสองเช่นนี้ มิกลัวเนี่ยเจิ้งอ๋องหึงหรือ? เขาไม่รู้หรือไร?”ซ่งซีซีมีท่าทีตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนนึกไม่ถึงว่าข้าจะถามเรื่องเช่นนี้นางอาจไม่คิดจะตอบ เพราะนางก้าวเท้า
เมื่อแม่ทัพใหญ่เซียวได้ฉลองวันเกิดอายุครบแปดสิบปี ข้าก็ได้พบกับซ่งซีซีอีกครั้งก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยพบนางหลายครั้ง นางเคยมาที่ชายแดนเฉิงหลิงข้ากับนางดูเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีการพูดคุยกัน เพียงแต่ทุกครั้งที่นางจากไปจากชายแดนเฉิงหลิง ข้าก็มักจะแอบตามส่งนางอยู่ห่างๆใจลึกๆ ที่ทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่อสิ่งใดข้ามักรู้สึกผิดกับนางอยู่เสมอกับยี่ฝางและหวังชิงหรู ข้าก็มีสิ่งที่รู้สึกผิดอยู่เช่นกัน แต่ระหว่างข้ากับพวกนางต่างฝ่ายต่างบาดหมาง โต้เถียงกัน พวกนางเคยทำร้ายข้า ข้าก็เคยทำร้ายพวกนางแต่กับซ่งซีซี มีเพียงข้ากับคนในครอบครัวที่ทำร้ายนาง นางไม่เคยแม้แต่จะทำร้ายพวกเราเลยสักครั้ง แม้แต่หลังจากหย่าขาดกันแล้ว นางจะไม่สนใจอาการป่วยของท่านแม่ก็ได้ แต่นางกลับสอนพี่สะใภ้ใหญ่ให้รู้วิธีขอยาดันเสวี่ยเมื่อข้าได้พบกับนางในงานฉลองวันเกิดแปดสิบปีของแม่ทัพใหญ่เซียว นางได้กลายเป็นพระชายาของเนี่ยเจิ้งอ๋องแล้ว เรื่องราวในราชสำนักนั้น พวกทหารชายแดนอย่างพวกข้าไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ครบครัน แม้แต่เงินเดือนที่เราได้รับก็เพิ่มขึ้น นี่คือผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัด