ซ่งซีซียิ้มเบาๆ และพูดต่ออย่างใจเย็นว่า "ข้าไม่รู้สึกน่าอับอาย เพียงแต่ว่าท่านหญิงเจียอี้ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือ? บุตรีคนโตขององค์หญิง ที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากราชวงศ์ ทว่ากลับพูดจาหยาบคาย แม้แต่ภาพวาดของศิษย์พี่ข้ายังมองไม่ออกก็เลยฉีกขาด ด่วนสรุปและใช้กำลังเช่นนี้ หากคนนอกรู้เรื่องเข้าก็จะเห็นท่านเป็นตัวตลกเลย แล้วที่ท่านให้ข้าไปไกลๆ นั้น เป็นคำสั่งให้ไล่ข้าออกหรือ เฮอะ น่าตลกสิ้นดี จวนองค์หญิงส่งคำเชิญให้ข้า ข้านำของขวัญวันเกิดมาเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย บัดนี้กลับต้องการไล่ข้า นี่มันคือวิธีปฏิบัติต่อแขกของจวนองค์หญิงงั้นเหรอ หรือว่าจุดประสงค์ที่มอบคำเชิญนี้ให้ข้าจริงๆ แล้วมีเจตนาอื่นแอบแฝง คืออยากให้ข้าอับอายต่อหน้าฮูหยินทุกท่าน หรือว่าจะคิดว่าหลังจากที่ข้ากย่ากับจ้านเป่ยว่างจะต้องอายคนอื่นจนไม่กล้าพบหน้าใคร แล้วจะให้พวกท่านด่าทอใส่ร้ายตามอำเภอใจได้งั้นเหรอ""อยากจะชวนข้ามาเพื่อหัวเราะเยาะเรื่องของข้า งั้นคงต้องทำให้พวเจ้าผิดหวังแล้ว ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร คนที่ต้องอายคนอื่นไม่ใช่ข้า คนของตระกูลซ่งซื่อตรงและใจกว้าง ไม่ว่าจะไปที่ไหน ข้าก็สามารถยืดหลังตรงและพูดอะไรออกมาอย่างไม่เกรงกล
ทันทีที่ซ่งซีซีจากไป เซี่ยหลูโม่ก็จากไปเช่นกันคำพูดที่พูดคุยกันในลานด้านในก็ไปถึงลานหลักด้วย พวกสมาชิกราชวงศ์ ขุนนางและทหารทุกคนก็รู้ว่า เป่ยหมิงอ๋องกำลังจะแต่งงานกับแม่ทัพซ่งซีซีความคิดของผู้ชายแตกต่างจากผู้หญิงไปผู้ชายให้ความสำคัญกับภูมิหลังครอบครัว ความบริสุทธิ์ แต่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์มากกว่าซ่งซีซีคือใคร? นอกจากจะเป็นลูกสาวของเสนาบดีเจิ้นกั๋วกง มีจวนเสนาบดีกั๋วกงเป็นที่พึ่งพาแล้ว นางยังเป็นลูกศิษย์ของสถาบันว่านซงเหมิน และคุณชายเสิ่นชิงเหอก็เป็นศิษย์พี่คนโตของนางนอกจากเสิ่นชิงเหอแล้ว สถาบันว่านซงเหมินยังมีคนที่มีความสามารถอีกมากมาย สถาบันว่านซงเหมินไม่ได้เป็นเพียงนิกายศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ผู้นำคนปัจจุบันของสถาบันว่านซงเหมิน คือเหลนชายของเหรินปิ่งยี่ แม่ทัพใหญ่ชั้นเอกในขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าอันหนาน ชื่ว่า เหรินหยางอวิ๋นเหรินหยางอวิ๋นก่อตั้งสถาบันว่านซงเหมินด้วยตัวเอง และนิกายของทั้งภูเขาเหม่ยชาน ต้องเห็นแก่หน้าเขา เพราะภูเขาเหม่ยชานทั้งหมดเป็นของเขา และในสมัยก่อนนั่นมันเป็นที่ดินที่เหรินปิ่งยี่ครอบครองแม้ว่ายศถาบรรดาศักดิ์ของเจ้าอันหนานไม่ได้รับสืบทอด แต่ที่ดินที่
หลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว นางก็แสดงมันให้เซี่ยหลูโม่ดู เซี่ยหลูโม่ก็หยิบมันขึ้นมาดู ก่อนพูดอย่างมีความสุขว่า "ถูกปากข้าหมดเลย เอาตามนี้ จางต้าจ้วง เอาไปให้ผู้บริการทำตามนี้"จางต้าจ้วงตอบกลับว่าโอ้ ก่อนเอาแพไม้ไผ่ออกมา หลังสั่งเสร็จก็กลับมา"เกิดอะไรขึ้นที่ลานด้านใน? พวกเขาไม่เชื่อของขวัญวันเกิดที่เจ้ามอบให้โดยคิดว่ามันเป็นของปลอม? ได้รังแกเจ้าอยู่หรือไม่?" เซี่ยหลูโม่พอเดาคร่าวๆ ได้เขาก็ยังอยากให้นางเล่าให้ฟังซ่งซีซีจิบชาคำนึง ชุบคอที่แห้งของนางแล้วพูดว่า "รังแกข้าไม่ได้หรอก แต่มีคนจงใจหาเรื่องกับข้าจริงๆ ข้าไม่ได้เก็บไว้ในสายตา"เป่าจูพูดเสริมขึ้นมา "คำพูดสุดท้ายที่คุณหนูพูดนั้นทำให้ข้าน้อยตกใจแทบแย่เลย จะกล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง ถ้าองค์หญิงใหญ่ต้องการแก้แค้นขึ้นมาหล่ะก็ จะทำอย่างไรดีล่ะ"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ไม่ว่าจะพูดหรือไม่ นางก็จะหาเรื่องกับข้า ทำไมข้าไม่ระบายความโกรธสักหน่อย" ซ่งซีซีเหลือบมองนางแวบนึง "เจ้าอยู่กับข้ามานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่อยู่ในจวนจนถึงภูเขาเหม่ยชาน แล้วจากภูเขาเหม่ยชานกลับเมืองหลวง เจ้าเห็นข้าเคยกลัวผู้ใดบ้างล่ะ""ก่อนหน้านี้ท่านไม่เกรงกลัวใคร แต่ตอนนี้ไม่ใช่
ถึงเวลาอาหารมาส่งพอดี ซ่งซีซีก็เงียบและมองดูอาหารต่างๆ วางเรียงกัน ในบรรดาหัวปลาสองสีที่นางชอบโรยพริกไทยสับ พริกสีแดงสดผสมกับพริกสีเขียว โดยมีวุ้นเส้นอยู่ข้างใต้ ซึ่งทำให้เจริญอาหารมากทีเดียวลำไส้ไขมันหม้อแห้ง เป็ดเลือดหยงโจว หม้อดินวุ้นเส้นไข่ปู ซี่โครงหมูนึ่งข้าวเหนียว เนื้อทอดเผ็ด เต้าหู้แห้งผัดเผ็ด มีอาหารเผ็ด แต่ก็มีไม่เผ็ดบ้าง กลิ่นหอมของอาหารพัดมาเตะจมูกทุกคนในห้องทันทีซ่งซีซีหิวมากจริงๆ นางจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อนตอบคำถามของเขาก่อนว่า "ยามเวลาที่ข้าออกจากจวน ลุงฟูบอกว่าฝู้หม่าได้แต่งอนุภรรยาตั้งหลายคนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และอนุภรรยาส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตหลังจากคลอดบุตร ข้าก็คิดอยู่ว่าถ้าอนุภรรยาคนนึงตายมันเป็นอุบัติเหตุหรือคลอดยาก แต่ด้วยที่มีอนุภรรยาตายอย่างหลายๆ คนก็ยากที่จะไม่ทำให้คนอื่นสงสัยเข้า"หลังจากพูดอย่างนั้น นางก็หยิบชามขึ้นมา คีบวุ้นเส้นใต้หัวปลาแล้วใส่ลงในชาม วุ้นเส้นแช่ในเครื่องปรุงรสพริก รสชาติเข้าเนื้อเลย นางยังตักอาหารให้เซี่ยหลูโม่ด้วย "ลองชิมวุ้นเส้นหน่อยสิ วุ้นเส้นนี้ถึงเป็นประเด็นหลักในอาหารนี้"จากนั้นก็ตักพริกไทยผสมกับพริกเขียวช้อนนึงลงในชาม แล้วก็
ซ่งซีซีก็สังเกตเห็นเช่นกัน พอเขากินก็จะไอทันที ไอจนหน้าแดงฉ่ำ เห็นๆ อยู่ว่ากินเผ็ดไม่ค่อยเป็นนี่ แล้วทำไมต้องเลือกร้านอาหารนี้ล่ะนางขยับอาหารที่ไม่เผ็ดวางตรงหน้าเขา "ถึงแม้ท่านจะชอบอาหารเผ็ด แต่วันนี้คอของท่านผิดปกติ หลีกเลี่ยงอาหารจัดก่อน และกินอาหารเบาๆ ให้มากๆ""คอของข้าไม่สบายจริงๆ" เซี่ยหลูโม่กระแอมในลำคอ และรู้สึกถึงความเจ็บปวดอันแสบร้อนที่ยังคงอยู่ในปากของเขา ซึ่งรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง"ข้าจะให้ผู้บริการนำชามนมแพะมาให้ท่าน" ซ่งซีซีลุกขึ้นเปิดประตูห้องส่วนตัวแล้วตามหาผู้บริการนำชามนมแพะมาให้ถ้วยนึง"นมสามารถบรรเทารสชาติเผ็ดได้" ซ่งซีซียิ้มราวกับกำลังกล่อมเด็กคนนึงอย่างไรอย่างนั้น "ดื่มเร็วๆ สิ"เซี่ยหลูโม่หยิบนมแพะขึ้นมา พอกินเข้าปากก็มีกลิ่นคาว แต่มันเย็นชื่นใจ ก็พอจพกินได้ ที่สำคัญที่สุดคือ นางมีน้ำใจมองออกไม่ได้เปิดโปงออกมา ไม่ได้เปิดโปงความฝืนของเขาและเอาใจเขา นางแตกต่างจากตอนที่อยู่ภูเขาเหม่ยชานอย่างสิ้นเชิงจริงๆแต่เขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา เพราะฉากกล่อมให้เขาดื่มนมแพะเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่านางดูแลฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้นให้ดื่มยาแบบนี้มาตลอดกระมัง?เมื่อก่อนนางเคยเห็นผู้คนใ
เซี่ยหลูโม่ยังคงตักอาหารให้นางต่อไป แต่ไม่ได้ตอบคำถามของนางซ่งซีซีเก็บความสงสัยไว้ ถึงยังไงมันก็ไม่สำคัญมากนักเขาก็ให้คำตอบด้วยรอยยิ้ม "หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดขององค์หญิงใหญ่ในวันนี้ คิดว่าหัวข้อที่ครอบครัวชั้นสูงในเมืองหลวงจิงนินทาจะเพิ่มขึ้นมาก"ซ่งซีซีมองเขาอย่างไม่แยแส "อืม สตรีผู้สูงศักดิ์หลายคนคงอกหักแน่ๆ เมื่อสนมฮุ่ยไทเฟยประกาศว่าข้าจะแต่งงานกับท่าน หลายคนก็มองข้าด้วยความเกลียดชัง""ก็จะมีคนมากมายที่จะอิจฉาข้า และริษยาข้า" เซี่ยหลูโม่พูดอย่างมีเลศนัยอย่างน้อยจ้านเป่ยว่างจะเสียใจ และเสด็จพี่ก็หวั่นไหวใจด้วย"ไม่หรอก ข้าเป็นแค่ผู้หญิงที่หย่า ใครจะชอบล่ะ"เขาใช้ปลายตะเกียบแตะหน้าผากของนางเบาๆ "เจ้ากำลังจะเป็นพระชายาเป่ยหมิงอ๋องแล้วยังดูถูกตัวเองอีกเหรอ?""โลกก็มองคนเป็นแบบนี้แหละ" นางแตะที่เขาเช่นกัน จากนั้นรีบเอาออกทันที ก่อนยิ้มว่า "ข้าไม่ได้ดูถูกตัวเองหรอก ข้ารู้ว่าข้าโดดเด่นแค่ไหน"เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสของนาง ดวงตาของนางเปล่งประกาย เขาก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา แม้ว่านางแค่แกล้งทำ แต่นางยอมแกล้งทำ ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเมื่อนางเพิ่งถึงเขตหนานเจียง ดวงตาของนางมักจ
หลังจากกลับจากงานวันเกิดขององค์หญิงใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็ล้มป่วยลง นางไข้สูงกลางดึกและพูดอะไรเรื่อยเปื่อยนางหมินตามหาหมอมาในชั่วข้ามคืน และจ้านเป่ยชิงก็ไปหาจ้านเป่ยว่างที่พักอยู่โรงเตี๊ยมกลับมาด้วย ตอนแรกจ้านเป่ยว่างยังคิดว่าเขาโกหกเขา แต่เมื่อกลับมาเห็นท่านแม่ของเขาตัวสั่นไปหมด และเอาแต่พึมพำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาตระหนักว่าท่านแม่ของเขาป่วยหนักจริงๆยี่ฝางก็เข้ามาดูแลนางอย่างเห็นได้ยาก นางไม่ได้เจอจ้านเป่ยว่างมาหลายวันแล้ว นางมีความภาคภูมิใจในตัวของนางเอง และไม่อยากไปหาเขา โดยคิดว่าที่นี่คือบ้านของเขา ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องกลับมาจ้านเป่ยว่างไม่ได้มองนาง ได้แต่ถามอย่างกังวลว่า "ทำไมจู่ๆ ถึงป่วยกะทันหัน? และยังป่วยหนักเช่นนี้"จ้านเส้าฮวนร้องไห้เสียงดัง "จะเป็นเพราะอะไรได้อีกล่ะ ก็ซ่งซีซีคนนั้นแหละ นางไปงานเลี้ยงวันเกิดขององค์หญิงใหญ่ด้วย โดยอาศัยที่ตนเองจะแต่งงานกับเป่ยหมิงอ๋อง กลับฉวยโอกาสด่าองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้ยกใหญ่…"ทันทีที่คำพูดนี้พูดออกมา ทั้งจ้านเป่ยว่างและยี่ฝางต่างก็มองไปยังจ้านเส้าฮวนด้วยความตกใจจ้านเป่ยว่างเกือบสูญเสียเสียง "อะไรนะ นางจะแต่งงานกับเป่ยหมิ
ในกลางดึกเช่นนี้ สุดท้ายก็ระเบิดแล้ว นางหมินรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจมาก จึงหันหลังกลับและออกไปเสียงคำรามของชายและหญิงดังมาจากด้านหลัง และพร้อมกับเสียงกรีดร้องของจ้านเส้าฮวนอีกด้วย นางหมินค่อยๆ เดินไปยังห้องโถงใหญ่ของลานด้านใน เมื่อก่อนซ่งซีซีก็นั่งอยู่เก้าอี้นั้นเป็นผู้นำจัดการเรื่งต่างๆ ของครอบครัวงานต่างๆ ที่วุ่นวายซับซ้อน นางมักจะมีความอดทน และปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเมตตาเสมอ แม้ว่าท่านแม่สามีจะอาการกำเริบในตอนกลางคืน นางยังเฝ้าดูแลทั้งคืน วันถัดไปก็ไม่พักผ่อนสักหน่อย ยังคงทำงานต่อดูเหมือนนางจะเหนื่อยไม่เป็นด้วยเลย แต่ใครล่ะที่ไม่เหนื่อย? มันแค่เพียงทนไว้ก็เท่านั้นก่อนหน้านี้นางหมินไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างแล้วนางนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง และมองไปที่ห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า เพื่อประหยัดเงิน ระเบียงข้างหน้าแค่จุดโคมไฟเพียงอันเดียว มันส่งแสงส่องที่โต๊ะเก้าอี้อย่างโดดเดี่ยว จวนแม่ทัพแก่งนี้ราวกับหลุมฝังศพนางมีความสุขกับซ่งซีซี ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด แต่เพื่อตอนที่นางอยู่จวนแม่ทัพ นางให้ความช่วยเหลือกับตนเองไม่น้อยไม่เพียงแต่ด้านวัตถุเท่านั้น ตอนนี้นางทำหน้า
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป
ซ่งซีซีหยุดฝีเท้า หันกลับมากล่าวว่า “คนในครอบครัวของนางปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี เพียงแต่ตอนที่หลานสาวของนางจะออกเรือน เกิดเรื่องสะดุดอยู่บ้าง โชคดีที่ท้ายที่สุดก็แต่งกับบุรุษที่ดี นางคงกลัวว่าตนเป็นหญิงโสดสูงวัย เคยแต่งงานมาแล้วถึงสองครั้ง จะถูกผู้คนติฉินนินทา พลอยทำให้หลานๆ เดือดร้อน และไม่อยากให้พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเป็นกังวลด้วย”ข้าตอบรับในลำคอ พลางนึกถึงฮูหยินจีผู้เด็ดเดี่ยวแต่จิตใจดีงามฮูหยินจีมีบุตรชายหนึ่ง บุตรหญิงหนึ่ง ด้านหลังยังมีลูกอนุอีกหลายคน เรือนรองก็เช่นกัน บัดนี้คงยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนข้านึกถึงตอนที่ฮูหยินจีจะต้องไปเจรจาสู่ขอให้พวกเขา คงยากลำบากไม่น้อย ต้องเผชิญกับเสียงนินทานานัปการจากภายนอกข้าเห็นนางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยใจจริง และรู้สึกสงสารในสิ่งที่นางต้องพบเจอ“เจ้าลองคิดดูเถิด” ซ่งซีซีกล่าวข้าพยักหน้า แล้วเหลือบมองภายนอก เห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถบนั้น จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ามาอยู่กับข้าสองต่อสองเช่นนี้ มิกลัวเนี่ยเจิ้งอ๋องหึงหรือ? เขาไม่รู้หรือไร?”ซ่งซีซีมีท่าทีตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนนึกไม่ถึงว่าข้าจะถามเรื่องเช่นนี้นางอาจไม่คิดจะตอบ เพราะนางก้าวเท้า
เมื่อแม่ทัพใหญ่เซียวได้ฉลองวันเกิดอายุครบแปดสิบปี ข้าก็ได้พบกับซ่งซีซีอีกครั้งก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยพบนางหลายครั้ง นางเคยมาที่ชายแดนเฉิงหลิงข้ากับนางดูเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีการพูดคุยกัน เพียงแต่ทุกครั้งที่นางจากไปจากชายแดนเฉิงหลิง ข้าก็มักจะแอบตามส่งนางอยู่ห่างๆใจลึกๆ ที่ทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่อสิ่งใดข้ามักรู้สึกผิดกับนางอยู่เสมอกับยี่ฝางและหวังชิงหรู ข้าก็มีสิ่งที่รู้สึกผิดอยู่เช่นกัน แต่ระหว่างข้ากับพวกนางต่างฝ่ายต่างบาดหมาง โต้เถียงกัน พวกนางเคยทำร้ายข้า ข้าก็เคยทำร้ายพวกนางแต่กับซ่งซีซี มีเพียงข้ากับคนในครอบครัวที่ทำร้ายนาง นางไม่เคยแม้แต่จะทำร้ายพวกเราเลยสักครั้ง แม้แต่หลังจากหย่าขาดกันแล้ว นางจะไม่สนใจอาการป่วยของท่านแม่ก็ได้ แต่นางกลับสอนพี่สะใภ้ใหญ่ให้รู้วิธีขอยาดันเสวี่ยเมื่อข้าได้พบกับนางในงานฉลองวันเกิดแปดสิบปีของแม่ทัพใหญ่เซียว นางได้กลายเป็นพระชายาของเนี่ยเจิ้งอ๋องแล้ว เรื่องราวในราชสำนักนั้น พวกทหารชายแดนอย่างพวกข้าไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ครบครัน แม้แต่เงินเดือนที่เราได้รับก็เพิ่มขึ้น นี่คือผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัด
หลายปีที่ข้าประจำการอยู่ชายแดนเฉิงหลิง ข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งถึงสองครั้ง บัดนี้ข้ามียศเป็นแม่ทัพ ดูแลทหารนับพันนายข้าไม่เคยกลับเมืองหลวงอีกเลย เมื่อประจำอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง หากไม่มีพระราชโองการ ย่อมมิอาจกลับได้ตามอำเภอใจข้ายังคงโดดเดี่ยว ไร้ภรรยา ไม่มีใครอยู่เคียงข้างลมทรายแห่งเฉิงหลิงพัดผ่านปีแล้วปีเล่า ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าข้า จนข้าดูแก่กว่าอายุจริงไปหลายปีข้าเป็นโรคนอนไม่หลับมาหลายปี ต้องพึ่งยาเพื่อระงับจิตใจจึงจะหลับได้บางครั้ง ข้าก็อดไม่ได้ที่จะคิด...หากวันนั้นข้าไม่ก่อเรื่องกับยี่ฝาง ชีวิตของข้าในวันนี้จะเป็นเช่นไร?ข้ากับซ่งซีซี อาจได้เป็นสามีภรรยาที่เปี่ยมด้วยความรัก เป็นที่อิจฉาของผู้คนกระมัง?พวกเราอาจมีลูกที่น่ารัก ข้าทุ่มเทอยู่ในกองทัพ ส่วนซีซีก็ดูแลบ้าน เฝ้ารับใช้พ่อแม่ ดูแลลูกๆ แม้ว่าข้าจะไม่เจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง คงเป็นเพียงแม่ทัพชั้นผู้น้อยตลอดชีวิต...แต่นางก็คงจะไม่จากข้าไปแต่ก่อน ข้าไม่รู้เลยว่านางคืออินทรีที่โผบินบนฟากฟ้า ทว่าเต็มใจหักปีกเพื่อข้าคนเดียว คอยดูแลมารดาที่ป่วยหนัก จัดการทุกเรื่องจุกจิกในจวนแม่ทัพของข้าเมื่อข้ารู้ตัว...ข้าจะเสียใจหรื
ข้าขอร้องท่านแม่ไม่สำเร็จ ก็หันไปพึ่งท่านพ่อ แต่กลับได้รับการตำหนิที่รุนแรงยิ่งกว่ามิใช่เพียงเท่านั้น พวกท่านเห็นว่าข้าคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ เพราะยังไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับเหลียงจือชุน จึงตัดสินใจให้เขาพาข้าออกไปเที่ยว เพื่อให้เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นข้าไม่เต็มใจจะไป แต่ก็ถูกคุณนางข้างกายท่านแม่บังคับให้ขึ้นรถม้าไป อีกทั้งยังกำชับสาวใช้ให้จับตาข้าไว้ อย่าให้พูดจาเสียหายเหลียงจือชุนหน้าตามันเยิ้ม ตอนแรกก็แสดงความเคารพต่อข้าบ้างเล็กน้อยแต่ไม่นานก็เผยนิสัยแท้ วิจารณ์หน้าตาข้าอย่างไร้มารยาท บอกว่าหากข้ามิใช่หญิงงามเช่นนี้ และมิใช่บุตรีตระกูลเสิ่น เขาคงไม่ยอมรับข้าเป็นภรรยาแน่นอนท่าทางอวดดีของเขาทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากมีแค่เพียงเท่านี้ ข้าอาจไม่ถึงขั้นคิดทำสิ่งร้ายแรงนักแต่ระหว่างทางกลับ เขาอ้างว่าจะช่วยพาข้าขึ้นรถ แล้วแอบหยิกก้นข้าเข้าอย่างหนึ่งในขณะนั้น เลือดทั้งร่างข้าพุ่งขึ้นหัวเมื่อสบตากับสายตาหยอกล้อของเขา น้ำตาข้าก็พรั่งพรูออกมา ความอัปยศทำให้ข้าทั้งตัวสั่นเทิ้ม เอ่ยวาจาใดไม่ออกเลยสักคำสาวใช้กับสารถีไม่เห็นเหตุการณ์นั้น กลับคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุ
ข้าสะดุ้งเฮือก หันหลังกลับไปทันที ก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักใต้เงาไม้ เขาสวมเสื้อผ้าผ้าหยาบสีขาวทั้งชุด ผอมแห้งทรุดโทรม ดวงตายังมีรอยคล้ำอยู่ใต้เบ้าตาเป็นเขา...บัณฑิตที่ขายภาพวาดอยู่ริมสะพานในวันนั้น คนเดียวกับที่ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อว่าเป็นศิษย์ที่ไม่เอาถ่าน เลี้ยงหญิงคณิกาแล้วขอลาออกจากสำนัก“เจ้าพูดมั่วแล้ว” ข้าถลึงตาใส่เขา คิดถึงสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ ใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ “ข้าไม่เคยได้ยินว่าทะเลสาบนี้มีผี เจ้าหลอกข้า!”ข้าไม่กลัวตาย แต่ข้ากลัวผี ยิ่งกลัวการถูกจมอยู่ใต้โคลนเลนนั่น“ข้ามิได้หลอกเจ้า” เขาเดินออกมา ในลมหนาวทำให้เขาดูบอบบางยิ่งขึ้น “เจ้าดูสิ บริเวณริมทะเลสาบนี้ไม่มีใครเลย มิแปลกหรือ? ทั้งที่ทิวทัศน์ดีถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีใครมา?”“นั่นเพราะคนที่มาวัดล้วนมาสักการะ มิใช่มาชมทิวทัศน์ พวกเขากราบพระเสร็จก็จากไป” ข้ากล่าว แต่พลางถอยไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกเหมือนในทะเลสาบลึกนั้นมีบางสิ่งซ่อนอยู่เขาหยุดยืน กล่าวว่า “ผู้ที่มีใจสักการะ ล้วนเคารพฟ้าดินและธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ใยจะไม่มาชมเล่า? ที่แห่งนี้สมควรจะเปี่ยมด้วยพลังแห่งสวรรค์ กลับกลาย
ลูกพี่ลูกน้องกับสาวใช้กลับมาตามหาข้า ข้าก็ให้สาวใช้นับเงินสามร้อยอีแปะมอบให้เขา เขายิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณข้าเคยคิดว่าเป็นเพียงการพบกันโดยบังเอิญ ไม่อาจเกี่ยวข้องกันอีก คาดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือน วันฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านย่า ครอบครัวจัดงานเลี้ยงรับรอง ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อก็นำศิษย์คนโปรดของตนมาร่วมงานด้วย...เขาก็อยู่ในกลุ่มนั้นกฎเกณฑ์ธรรมเนียมแห่งเจียงหนานนั้นไม่เคร่งครัดเหมือนเมืองหลวง ยามจัดงานเลี้ยง สตรีก็สามารถออกไปที่เรือนหน้าได้เขาเห็นได้ชัดว่าไม่จำข้าได้...ตอนนั้นข้าคลุมหน้าด้วยผ้าบาง เหลือเพียงดวงตาให้เห็น ไม่จำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่า เขามิได้อยู่ร่วมงานเลี้ยง เพียงนำภาพหมากู๋ถวายพรอายุวัฒนะมามอบให้ท่านย่า แล้วกล่าวว่ามีธุระที่บ้าน จากนั้นก็ขอลาไปหลังจากเขาไปแล้ว ผู้ดูแลสถาบันก็กล่าวถึงเขาด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียดายว่า “เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มุ่งมั่นใฝ่ดี ดื้อรั้นจะลาออกจากสำนัก ข้าคิดจะพาเขามาวันนี้ให้รู้จักกับคนดีมีปัญญา เขากลับไม่เห็นคุณค่า น่าผิดหวังนัก ช่างเถอะ หากอยากลาออกก็ให้ลาไปเถอะ”บิดาข้าปลอบว่า “อย่าได้โกรธเลย ท่านมีศิษย์มากมาย ขาดเขา