วิวาห์(ไม่)ไร้รัก
Writer : Aile'N
ตอนที่ 10
วรธันย์กลับเข้าบ้านมาในตอนสี่ทุ่มครึ่ง ร่างกายหนักอึ้งมีอาการมึนเมาเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับไร้สติ เวลานี้ภายในบ้านเงียบสงัดเนื่องจากทุกคนคงจะเข้านอนกันหมดแล้ว มีเพียงเขาที่จิตใจยังคงกระสับกระส่ายร้อนรุ่มจนยากจะข่มตาหลับ เป็นเหตุให้ฝืนอาการมึนๆ ขับรถจากคอนโดกลับมาบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่ามาในเวลานี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อทุกคนต่างเข้านอนกันหมด รู้เพียงว่าทนอยู่ไม่ได้...ความรู้สึกผิดและเสียใจมันอัดแน่นอยู่เต็มอก ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างไม่มีทางที่เขาจะข่มตาหลับได้แน่
ตั้งใจจะกลับมาขอโทษมารดาแต่ก็ดึกเกินกว่าจะกล้าเคาะประตูเรียกเลยเอาแต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตูห้องนอนของอีกฝ่าย ถามว่าทำไมไม่รีบกลับมาตั้งแต่หัววัน ยืดอกสามศอกยอมรับตรงๆ เลยว่าไม่กล้า...ความผิดครั้งนี้ร้ายแรงจนเขาไม่อาจสู้หน้าบุพการี แม้จะระหองระแหงเรื่องแต่งงานกันมาตลอด แต่ไม่มีครั้งไหนที่เขากับพ่อแม่จะทะเลาะกันรุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน เขาไม่เคยทำให้แม่ร้องไห้และไม่เคยทำให้พ่อโกรธถึงขั้นกล้าตัดความสัมพันธ์ ลูกชายเพียงคนเดียวที่เคยเป็นความหวังในทุกๆ เรื่องของพวกเขา มาวันนี้กลับถูกตัดขาดกันได้ง่ายๆ ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้น...
แกรก...
ในขณะที่ใครคนนั้นเอาแต่ยืนละล้าละลังอย่างคนไม่รู้จะเอายังไง พลันประตูห้องข้างๆ ก็ถูกเปิดออกพร้อมปรากฏร่างบอบบางของใครอีกคน เธอดูตกใจไม่น้อยที่เห็นเขายืนอยู่ในเงามืดดึกๆ ดื่นๆ แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร เพียงยืนมองสบตากันนิ่งอย่างไม่รู้จะพูดอะไร
"เรา...มาคุยกันหน่อยดีมั้ยคะ" ครั้นจะเดินผ่านร่างสูงไปโดยไม่พูดอะไรก็ดูจะไม่เข้าท่าเท่าไร เธอเองแม้จะเป็นคนนอกก็ยังไม่สบายใจเรื่องในครอบครัวที่พวกเขาทะเลาะกันเลยพลอยทำให้นอนไม่หลับตามไปด้วย ยิ่งมาเห็นร่างสูงยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องมารดาก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาเองก็คงรู้สึกผิดและเสียใจ ก่อนที่เธอจะกลับไปอยู่ในที่ของตัวเองจึงอยากทำอะไรเพื่อพวกเขาบ้าง
วรธันย์ยืนมองหน้ารินลดาอยู่ตรงนั้นชั่วอึดใจ เขาไม่ได้ตอบอะไรเพียงเดินนำลงบันไดไปชั้นล่าง ร่างบางเดินตามลงไปอย่างเงียบๆ อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบรับคำชวนของเธอง่ายดายขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เขากับพ่อแม่ทะเลาะกันรุนแรงและเธอก็เป็นคนที่อยู่กับพวกท่านหลังจากนั้นก็เป็นได้...
ห้องนั่งเล่นชั้นล่างคือสถานที่ที่คนทั้งคู่เลือกใช้คุยกันในเวลาดึกสงัดเช่นนี้ ร่างสูงเดินไปนั่งลงก่อนพลางเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินตามหลังมาห่างๆ ไม่มีใครเริ่มพูดอะไรก่อนเพียงนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองสักพัก จนคนที่เป็นฝ่ายชวนนึกประโยคเริ่มต้นบทสนทนาออก...
"หนู...ไม่รู้ว่าพี่อยากจะฟังมั้ย แต่ก่อนที่หนูจะไปจากที่นี่ หนูอยากจะพูดอะไรสักหน่อย..." รินลดาไม่เคยมีทิฐิกับร่างสูงเพียงแต่ยังคงหวั่นเกรงต่อเขาอยู่บ้างเล็กน้อย เธอไม่ชินนักกับการพูดจากึ่งทางการกับเขาเลยคิดว่าไหนๆ เรื่องวุ่นๆ ก็จะจบแล้วเปิดอกคุยกันดีๆ ไปเลยดีกว่า จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก
วรธันย์ดูอึ้งไม่น้อยที่จู่ๆ ร่างบางก็ยอมอ่อนน้อมต่อกัน น้ำเสียงและท่าทางของเธอดูเหนื่อยล้าไม่ต่างจากเขาในตอนนี้นัก การบังคับฝืนใจใครแน่นอนว่าย่อมเหน็ดเหนื่อยเช่นเดียวกับคนที่ถูกบังคับ พวกเราทั้งสี่คนรวมพ่อกับแม่ของเขาเลยตกที่นั่งลำบากใจเหมือนกันอยู่ในตอนนี้...
"......" ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไร ยังคงนั่งเงียบรอฟังว่าคนตัวเล็กจะพูดอะไรต่อไป
"ครั้งแรกที่หนูได้เจอคุณลุง...เป็นตอนที่พ่อของหนูล้มป่วยหมดสติต่อหน้าหนูกับแม่ที่กำลังขายของอยู่ในตลาด...ทั้งที่ผู้คนพลุกพล่านแต่ก็ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่จะเรียกรถพยาบาลให้" คนพูดยิ้มขื่น เสียงสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามเมื่อหวนนึกไปถึงเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น
"แต่แล้ว...ก็มีคุณลุงท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินฝ่าผู้คนเข้ามาหา ท่านยื่นมือเข้ามาช่วยพาพ่อหนูไปส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที พวกเราเริ่มมีความหวัง แต่พอไปถึงโรงพยาบาลความหวังกลับพังครืนลงมาตรงหน้า คุณหมอบอกว่าพ่อเป็นโรคหัวใจ ต้องใช้เงินมากมายในการผ่าตัด..."
น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะอาบแก้มใส ก่อนจะถูกมือเล็กปาดมันออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวคนฟังจะเห็นแล้วกล่าวหาว่าบีบน้ำตาเรียกคะแนนความสงสาร แม้ท่าทีของเขาในตอนนี้จะอ่อนลงมากก็ตาม
"เราสองคนแม่ลูกเอาแต่กอดกันร้องไห้เพราะไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหนมารักษาพ่อ แต่แล้ว...คุณลุงคนเดิมที่ยังไม่หนีหายไปไหนก็ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเราอีกครั้ง ท่านช่วยออกเงินผ่าตัดและจัดการเรื่องค่ารักษาทุกอย่างให้...คุณลุงใจดีคนนั้นที่ไม่มีใครรู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ในเวลานั้นท่านเหมือนเทวดามาโปรด..."
วรธันย์ได้แต่นั่งนิ่งฟัง พิจารณาทั้งน้ำเสียง สีหน้าและแววตาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโกหก กำแพงทิฐิที่ถูกก่อไว้สูงลิ่วเริ่มจะพังทลายลงเมื่อได้มองสบดวงตากลมใสที่สั่นระริก คลอด้วยหยาดน้ำตาของอีกฝ่ายใกล้ๆ
"เราสองคนแม่ลูกได้แต่ขอบคุณท่านซ้ำๆ อย่างไม่รู้จะตอบแทนพระคุณในครั้งนั้นยังไง...แต่ก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ...เมื่อความปรารถนาเดียวที่คุณลุงต้องการจากพวกเราคือการอยากได้หนูไปเป็นสะใภ้...ท่านอยากให้หนูแต่งงานกับลูกชายเพียงคนเดียวของท่านเพื่อมีทายาทสืบสกุล รวมทั้งเป็นขวัญและกำลังใจให้กับภรรยาของท่านที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดในโรคเดียวกันกับที่พ่อหนูเป็น..." คนพูดหยุดเว้นระยะอีกครั้งเพื่อผ่อนลมหายใจคลายอาการเครียดเกร็งของอารมณ์ เพราะแม้เหตุการณ์มันจะผ่านมาได้สักพักแล้ว แต่ความรู้สึกคลุ้มคลั่งเจ็บปวดเหมือนจะขาดใจในตอนนั้นเธอยังคงจำมันได้ดีราวกับเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน..
"เราทั้งตกใจและสับสน แต่ในเวลานั้นไม่มีทางเลือกอื่น...ชีวิตของพ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัว กับอิสระและความสุขส่วนตัวนั้นเทียบความสำคัญกันไม่ได้เลย..." ร่างบางหอบหายใจ เว้นจังหวะการพูดอีกครั้งเมื่อน้ำเสียงที่เอ่ยเริ่มสั่นเครือจนไม่น่าฟัง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเล่าให้เขาฟังถึงขนาดนี้ คล้ายว่าความรู้สึกถูกปลดล็อก...พอได้พูดแล้วก็หยุดตัวเองไม่ได้ เธอไม่อยากให้เขาทะเลาะกับพ่อแม่บ่อยๆ เพราะความตายมันอยู่ใกล้แค่เอื้อม จะวันนี้หรือพรุ่งนี้เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
"หนูไม่ได้เข้ามาด้วยเจตนาไม่ดี ไม่ตั้งใจจะทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก ไม่ได้อยากจะแย่งคนของใคร ตอนนี้เราเป็นอิสระต่อกันแล้วถือเสียว่าเลิกแล้วต่อกันเถอะนะคะ หนูไม่ได้โกรธหรือเกลียดพี่ หนูเข้าใจว่าคงไม่มีใครทำใจยอมรับการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักได้ แต่หนูอยากให้พี่ไปขอขมาและปรับความเข้าใจกับคุณท่าน พวกเขาก็แค่รักและหวังดีกับพี่มากเกินไปเท่านั้น ดูแลท่านให้ดีในตอนที่มีโอกาส อย่าปล่อยให้มันสายเกินไปเลยนะคะ..." ร่างบางยิ้มเผล่เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ พอมาคิดๆ ดูแล้วก็น่าอายที่เอาแต่พูดพร่ำเรื่องของตัวเองอยู่เพียงฝ่ายเดียว
"จะให้ฉันเชื่อ? " ดวงตาคมจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมสวยอย่างพิจารณาระคนสับสน เขาไม่แน่ใจว่ารินลดาเอาเรื่องเหล่านั้นมาเล่าให้เขาฟังทำไมและเพื่ออะไร
"ก็แล้วแต่ค่ะ เดี๋ยวก็จากกันแล้วแค่ไม่อยากมีอะไรติดค้างกันเฉยๆ " ร่างบางไม่ถือสาแม้จะถูกย้อนกลับอย่างประเมิน ก็แค่...เธอกำลังจะเป็นอิสระเลยไม่อยากติดค้างอะไรกับใครก็เท่านั้น
"ดึกแล้ว ขึ้นไปพักเถอะค่ะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกับคุณท่านก็ยังไม่สาย" พออีกฝ่ายไม่ตอบอะไรเพียงนั่งจ้องหน้าเธอนิ่งอยู่อย่างนั้นก็ชักจะทำให้คนถูกจ้องรู้สึกเขินๆ เลยตัดบทแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับห้อง
"ขอบใจ..." ได้ยินเสียงคนข้างหลังดังขึ้นอย่างไม่มีที่มา เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นเขาหันไปทางอื่นเสียแล้ว เธอชั่งใจอยู่ชั่วอึดใจว่าควรจะตอบกลับยังไงแต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะตอบอะไร เพียงยิ้มรับทั้งที่อีกฝ่ายไม่เห็นแล้วหมุนตัวกลับขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆ
วันต่อมา...
รินลดาตื่นแต่เช้าแม้จะมีเรียนสาย นั่นเพราะเธอมีนัดกับเจ้าตูบจรจัดสามตัวในซอยเป็นประจำทุกวัน เธอก็แค่บังเอิญเห็นความน่ารักและแสนรู้ของพวกมันที่แอบเดินตามมาส่งเธอยามออกไปไหนมาไหนในซอยบ่อยๆ หลายครั้งที่แวะซื้อหมูปิ้งกลับมาให้พวกมัน แรกๆ ก็นานๆ ทีแต่พอมั่นใจว่าพวกมันไม่มีเจ้าของก็เริ่มเอาอาหารมาให้ทุกวันจนสนิทกันไปแบบงงๆ มองพวกมันแล้วก็นึกถึงเจ้าดำที่บ้าน...
"...ช้า" ไม่ทันได้ออกไปทักทายสหายสี่ขาดั่งใจคิด ที่หน้าประตูห้องในเช้าวันนี้กลับมีใครบางคนมาดักรอแต่เช้า ไม่พอทันทีที่เจอหน้ายังบ่นใส่เหมือนนัดกันไว้ยังไงยังงั้น
"หืม? รอฉันหรอคะ" ร่างบางเอ่ยถามอย่างมึนงง เมื่อคืนตอนที่แยกกันก็ไม่เห็นเขาบอกว่าจะมารอเสียหน่อย เธอเรียนตั้งสิบโมงเขาก็น่าจะรู้...
"เร็วๆ หิวข้าว..." วรธันย์ไม่ได้ตอบคำถาม แต่เร่งคนที่เอาแต่ยืนทำหน้ามึนงง สิ้นคำก็เดินนำลงบันไดไปก่อน ทิ้งคนข้างหลังไว้กับคำถามมากมายในหัว
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในเช้าวันนี้เงียบสงบ ทว่าเต็มไปด้วยความอึดอัดเมื่อไม่มีใครพูดอะไรกับใครเลยสักคำ แม้จะแปลกใจที่เห็นลูกชายกับอดีตว่าที่ลูกสะใภ้เดินเข้าห้องทานอาหารมาพร้อมกันแต่ก็ไม่มีใครถามหรือพูดอะไร ราวกับต้องการจะวัดความอดทนว่าใครจะทนไม่ไหวก่อนกัน...
แล้วก็เป็นรินลดาที่ทนไม่ไหว เธอไม่สามารถกลืนข้าวลงคอในสถานการณ์แบบนี้ได้ จึงแอบสะกิดลำแขนแกร่งให้รู้สึกตัวว่าเขาควรจะทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่เอาแต่นั่งเงียบอยู่แบบนี้ คนถูกสะกิดเหล่ตามามองด้วยสายตาเอาเรื่องหน่อยๆ แต่เธอเพียงยิ้มแฉ่งให้กำลังใจเขาเท่านั้นเพราะถ้าไม่ใช้โอกาสนี้ขอโทษพ่อแม่เห็นทีอาหารบนโต๊ะคงจะเป็นหมันเพราะไม่มีใครทานลงแน่ๆ
ดวงตาคมกล้ามองหน้าบิดามารดาด้วยแววตาอ่อนแสง ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินอ้อมไปหาแล้วนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าพวกท่านท่ามกลางการมองตามไปอย่างลุ้นๆ ของคนตัวเล็ก
"พ่อครับ...แม่ครับ...ผมขอโทษ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พ่อกับแม่เสียใจ..." ร่างสูงที่กำลังนั่งหูลู่ไหล่ตกนึกคำพูดออกเพียงเท่านั้นก็ยกมือขึ้นประนมกราบลงแทบเท้าบุพการีทั้งสองอย่างอ้อยอิ่ง ไม่มีใครคาดคิดกระทั่งคนเป็นพ่อแม่ว่าเขาจะทำถึงขนาดนี้ คนเป็นแม่นั้นถึงกับน้ำตาคลอด้วยความตื้นตัน...
"อึ่ก...พ่อกับแม่ก็ขอโทษ...ที่บีบบังคับลูกจนไม่ได้แคร์ความรู้สึก แต่สบายใจเถอะ จากนี้ไปพวกเราจะไม่บังคับอะไรลูกอีกแล้ว" คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่เคยเลยที่จะโกรธลูกได้นาน แค่เห็นอีกฝ่ายสำนึกผิดจิตใจก็อ่อนยวบ ยอมให้อภัยกันอย่างง่ายดาย
"ผมจะแต่งงานกับน้องหญิงครับ! "
"ห๊ะ!! ? " เสียงอุทานลั่นอย่างไม่รักษากิริยาคือเสียงของคนที่ถูกเรียกว่า 'น้องหญิง' จากที่นั่งเคลิ้มมองครอบครัวเขาปรับความเข้าใจกันอยู่ดีๆ ก็เป็นอันต้องลุกพรวดขึ้นยืนกลางโต๊ะอาหารด้วยความตกใจ
"ธันย์ แม่กับพ่อไม่ได้โกรธอะไรลูกแล้ว ไม่จำเป็นต้องฝืนตามใจแม่กับพ่อหรอกลูก พวกเราเข้าใจ" คุณหญิงถอนหายใจอย่างอ่อนใจ เธอรู้ว่าลูกชายรู้สึกผิดและอยากจะชดใช้สิ่งที่ทำผิด แต่ทางออกอีกมากยังมีให้เลือก ไม่จำเป็นจะต้องฝืนตามใจกันขนาดนี้ เพราะเธอกับสามีนอนคุยกันมาแล้วทั้งคืน พวกเราเข้าใจลูกและตกลงกันแล้วจะไม่เข้าไปก้าวก่ายชีวิตลูกให้เจ้าตัวอึดอัดรำคาญใจอีก
"งานแต่งงานจะไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้หรอกครับ แต่ผมขอโอกาสให้ผมได้ศึกษาดูใจกับน้องแบบไม่มีอคติดูสักครั้ง ถ้าเกิดเราไปกันไม่ได้ งานแต่งงานก็จะไม่เกิดขึ้น..." คนที่ถูกเรียกว่า 'น้อง' ได้แต่นั่งเหวอ ปากเผยออ้าน้อยๆ ราวกับอยากพูดอะไรบ้าง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ถามเธอบ้างก็ได้ว่าอยากศึกษาดูใจกับเขาหรือเปล่า ใจจริงนี่อยากกลับบ้านไปนอนกอดพ่อกอดแม่ให้หายคิดถึงจะแย่แล้วนะเนี่ย!
"ไม่ได้ฝืนใจพูดอยู่ใช่มั้ย" คุณสุรศักดิ์ถามเสียงเข้ม ไม่ได้รู้สึกชื่นใจที่ลูกชายกลับคำและเปลี่ยนท่าทีเลยสักนิด กลัวว่าที่ทำไปเพราะเกรงจะถูกตัดความสัมพันธ์รวมทั้งชื่อจากมรดกเสียมากกว่า
"ไม่ครับ" คนตอบเน้นเสียงหนักแน่นไม่แพ้กัน เมื่อคืนเขานอนคิดแทบทั้งคืนว่าอะไรทำให้ตัวเขามาอยู่จุดนี้ได้ จุดที่ต้องทะเลาะกับบุพการีซ้ำๆ ทั้งที่เมื่อก่อนรักและเชื่อฟังพวกท่านยิ่งกว่าใคร เมื่อใช้สติและเหตุผลคิดคำนึงถึงสิ่งเกิดขึ้นก็มองเห็นแต่ความเห็นแก่ตัวของตน ทั้งๆ ที่พวกท่านรักและหวังดีกับเขายิ่งกว่าใคร ตลอดมาก็เลือกแต่สิ่งดีๆ ให้ แต่ครั้งนี้มันเป็นเพราะความโกรธบังตาทำให้เขาหลงลืมนึกถึงสิ่งดีๆ เหล่านั้นไปเสียสนิท
"งั้นก็ตามใจ หญิงล่ะว่ายังไงลูก ให้โอกาสพี่เขามั้ย" คุณหญิงนาฏยายิ้มแย้มอย่างยินดีเมื่อลูกชายคิดได้ เหลือก็แต่อดีตว่าที่ลูกสะใภ้ว่าจะยอมถอยกลับมายืนที่เดิมหรือไม่ แน่นอนว่ามีตัวเลือกให้ก็คือ...ตกลงและตกลงเท่านั้น!
"ค...คะ? เอ่อ แต่..." รินลดาอึกอักเมื่อความสนใจพุ่งมาที่เธออย่างกะทันหัน ไม่พอคนถามยังหรี่ตาจ้องมองมาอย่างคาดหวัง กดดันกันจนเหงื่อตก
"เอ่อ ให้ก็ได้ค่ะ..." ร่างบางจำต้องยอมตอบรับเสียงแผ่วๆ นึกเสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้วที่ไม่ยอมเก็บของออกจากบ้านหลังนี้ไปตั้งแต่เมื่อวาน ปล่อยให้พวกเขาดึงกลับมาที่เดิมจนได้
"ดีจ้ะ...ป้ะ ทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นชืดหมด" คุณหญิงยิ้มร่าเมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ใจต้องการ ว่าที่ลูกสะใภ้ถึงกับปลงตก ไหนใครบอกจะไม่บังคับฝืนใจใครอีกไง มองกันแบบนั้นไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ว่าที่สามีนั่นก็อีกคน! อยู่ๆ มาเปลี่ยนใจอะไรกันตอนนี้~
จากตอนแรกบรรยากาศอึมครึมเพราะคนทั้งสามทะเลาะกันทำเอากินข้าวไม่ลงแล้ว ในตอนนี้รินลดาก็ยังคงกินไม่ลงอยู่ และคงจะมีแค่เธอคนเดียวที่เป็นแบบนั้นเพราะทั้งสามคนพ่อแม่ลูกยิ้มแย้มพูดคุยกันอย่างมีความสุข อดไม่ได้ต้องแอบมองค้อนใส่ร่างสูงข้างๆ เสียวงใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรหรือเกิดอะไรกับเขาขึ้นกันแน่ คงไม่ใช่เรื่องเมื่อคืนที่เธอไปสารภาพบาปกับเขาหรอกนะ ที่เล่าให้ฟังไม่ได้หวังอะไรแบบนี้สักหน่อย เธออยากกลับบ้านนนน!
ด้วยอารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร เมื่อทานข้าวเช้าอิ่มร่างบางก็เลี่ยงเข้าไปในครัว ไปขอข้าวคลุกกับกับพี่น้อมแล้วเดินเตาะแตะออกมาหน้าบ้าน มาถึงก็เห็นเจ้าหมาจรที่เธอตั้งชื่อให้ว่าหนึ่ง สอง สามตามลำดับนั่งหน้าสลอนรออยู่ก่อนแล้ว พอพวกมันเห็นเธอก็กระโดดโหยงๆ วิ่งมาหาด้วยความดีใจ นั่นพอจะทำให้คนอารมณ์ไม่ดียิ้มออกมาได้บ้าง
"ไง หิวล่ะสิ" เธอทักมันอย่างสนิทสนม ไม่พูดพร่ำทำเพลงเพราะความหิวไม่เคยรอใคร ร่างบางย่อตัวนั่งยองๆ ลงตรงหน้าก่อนจัดแจงเอาชามข้าวสีหวานแหววที่ซื้อมาให้พวกมันทั้งสามโดยเฉพาะออกมาวางเรียงกัน ก่อนตักข้าวที่คลุกมาอย่างดีใส่ชามให้ทีละตัว เจ้าหนึ่งสองสามก็ช่างแสนรู้ พวกมันนั่งรอให้เธออนุญาตก่อนถึงจะเริ่มกิน
"เอาล่ะ กินได้! " พอดีดนิ้วเป็นสัญญาณหนึ่งครั้งเจ้าหมาจรทั้งสามก็พร้อมใจกันมุดหน้าลงชามข้าวของใครของมัน ทำเอาคนมองยิ้มแฉ่งด้วยความเอ็นดู
"เพิ่งรู้ว่าเธอคุยกับหมารู้เรื่อง..." น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังมาจากข้างหลังทำรอยยิ้มสดใสหยุดชะงัก พลันนึกถึงเรื่องที่โต๊ะอาหารขึ้นมาได้จึงลุกขึ้นยืน หันไปหาอีกฝ่ายด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
"ทำไมคุณถึงไปพูดกับคุณท่านแบบนั้นล่ะคะ คุณกำลังจะเป็นอิสระอย่างที่ต้องการแล้วไง" เสียงหวานเอ่ยถามห้วนอย่างใส่อารมณ์ ลืมตัวไปชั่วขณะว่าเคยเกรงกลัวเขามาก่อน
"ทำไม? ไม่ดีหรอ? " อีกฝ่ายยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ทำลงไปทั้งที่ก่อนหน้าเอาแต่คัดค้านการแต่งงานหัวชนฝา
"ฉันก็แค่ไม่เข้าใจ...คุณไม่อยากแต่งงานไม่ใช่หรือคะ" ดวงตากลมโตอดมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างหวาดระแวงไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า
"ก็ใช่...แต่ก็อยากจะลองดู" วรธันย์ตอบหน้าตายราวกับไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องนี้มาก่อน ถามต่อก็คงไม่ได้ความอะไรร่างบางเลยหันไปสนใจสหายสี่ขาที่กินข้าวหมดชามพอดี จึงเก็บชามเปล่าขึ้นมาถือเตรียมจะกลับเข้าบ้าน เตรียมตัวไปมหาวิทยาลัยต่อ
"เลิกเรียนกี่โมง" คนที่เธอไม่ได้สนใจว่าจะยังยืนอยู่ที่เดิมหรือเดินตามมาเอ่ยถาม เสียงที่ได้ยินไม่ได้อยู่ไกลตัวนั่นแสดงว่าเขาเดินตามหลังเธอมา ว่าแต่...เขาไปทำอะไรหน้าบ้าน? ไปหาเธอหรอ? ไม่ใช่มั้ง...
"สี่โมงเย็นค่ะ" รินลดาตอบคำถามโดยไม่ได้หยุดหรือชะลอการก้าวเดิน นั่นเพราะทางเข้าบ้านจากประตูรั้วถึงประตูบ้านนั้นไกลเอาเรื่อง
"เดี๋ยวไปรับ" คนฟังชะงักไปเล็กน้อย แต่พอคิดว่าเมื่อก่อนเขาก็ไปรับส่งแบบนี้ตามคำสั่งของพ่อแม่อยู่แล้วเลยตอบรับไปโดยไม่คิดอะไร
"ค่ะ"
"เบอร์..."
"คะ? " เธอหันไปมองคนข้างหลังอย่างงงๆ เมื่อยินเขาพึมพำอะไรบางอย่าง
"ฉันยังไม่มีเบอร์ติดต่อเธอ" ใครคนนั้นบอกหน้ามึนๆ พร้อมกับล้วงเอาโทรศัพท์เครื่องหรูออกมาเตรียมพร้อมที่จะกดบันทึกเบอร์โทรของเธอเต็มที่ จะไม่บอกก็คงไม่ได้เพราะถูกมองกดดันเสียขนาดนั้น สุดท้ายก็เลยต้องบอกไป อีกฝ่ายกดบันทึกอย่างรวดเร็วก่อนกดโทรออกทันทีราวกับไม่ไว้ใจหรือไม่ก็คงต้องการฝากเบอร์ตัวเองไว้...
"ไปแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวไปส่ง" เมื่อคุณเขาพอใจเขาก็โบกมือไล่ให้ไปแต่งตัว อยากจะค้อนคนที่ทำให้เธอชักช้าอยู่หรอกแต่มันจะเสียเวลายิ่งกว่าเดิม ร่างบางเลยรีบเอาชามข้าวหมาไปล้างเก็บก่อนรีบพุ่งขึ้นชั้นบนไปเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษาอย่างรวดเร็ว
..
..
..
..
เอ๊ะ ยังไงน้าาาาา
วิวาห์(ไม่)ไร้รัก Writer : Aile'N ตอนที่ 11"พวกแก~ คุณธันนนนนย์!! " เสียงวีดว้ายของนักศึกษาหญิงกลุ่มที่เดินอยู่ข้างหน้าซึ่งก็ได้แก่สามสาว ฟิล์ม บีและต้นอ้อดังขึ้นเรียกความสนใจของนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจโดยเฉพาะสาขาการบัญชีที่เพิ่งได้เวลาเลิกเรียนพอดี ร่างบางที่เดินตามหลังมาหูผึ่งเล็กน้อยตอนได้ยินชื่อใครสักคนที่เหมือนกับว่าที่สามี ก่อนจะสะดุ้งเล็กๆ เมื่อสามสาวหันกลับมาจ้องหน้าด้วยแววตาอิจฉาระคนหมั่นไส้สาเหตุเป็นเพราะร่างสูงโปร่งของใครบางคนที่กำลังยืนทำเท่...สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง เอนกายพิงสปอร์ตคาร์สุดหรูรออยู่หน้าตึกคณะฯ ดวงหน้าคมเข้มแม้เรียบนิ่งแต่หล่อเหลาจนคนเดินผ่านเหลียวหลังกลับมามองตามคอแทบเคล็ด ไม่ต้องเดาก็มองออกว่าคงมารอใครสักคน แต่ใครกันล่ะที่เป็นผู้โชคดีคนนั้น..."ไอ้หญิง! รีบๆ เดินเข้าสิ คุณเขามารอนานแล้วนะ! " สามสาวแหวกทางให้รินลดาเดินผ่านและพร้อมใจกันดันแผ่นหลังบางไปข้างหน้าอย่างเร่งเร้า อยากถามเหมือนกันว่ารู้ได้ยังไงว่าเขามารอนานแล้ว เขาอาจจะเพิ่งมาถึงก็ได้ไหม...แต่ก็ได้แค่คิด ไม่ได้พูดออกไปให้ถูกมองแรงใส่แต่อย่างใด...พอถูกสามสาวผลักดันให้เดินเข้าไปหาร่างสูงอย่างออก
วิวาห์(ไม่)ไร้รัก Writer : Aile'N ตอนที่ 12"นี่มันหมายความว่ายังไงคะธันย์ ไหนบอกจะช่วยกันกำจัดนังนั่นไงคะ คุณไปทำดีกับมันทำไม! ? " ความสัมพันธ์ของวรธันย์และรินลดาเริ่มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และคนที่คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของคนทั้งคู่มีหรือที่จะไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้าง วันนี้ถึงได้บุกมาหาเขาที่บริษัทตั้งแต่เช้า และใช่...เลขาเขาหยุดพายุลูกนี้ไม่ได้อีกครั้ง"ผมมีวิธีของผม การรวมหัวกันรุมรังแกอีกฝ่ายแบบนั้นไม่ใช่เรื่องดี" ปากกายี่ห้อดังยังคงถูกมือแกร่งจับตวัดไปมาบนเอกสารสำคัญ เช่นเดียวกับดวงตาคมกริบที่ยังคงเพ่งสมาธิไปที่มันมากกว่าคู่สนทนา นั่นยิ่งทำให้เกวลินเดือดดาลกว่าที่เป็น"วิธีอะไรของคุณ เกวไม่เห็นว่าคุณจะทำอะไรตรงไหน ตรงข้าม! คุณพามันไปกินข้าวซื้อแหวน ไม่ใช่ว่าหลงมารยามันแล้วหรือไงคะ! ? " เกวลินนับเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นที่เขาเคยมีสัมพันธ์มา แต่วันนี้หล่อนทำให้เขารู้แล้วว่าหล่อนไม่ได้ต่างไปจากคนอื่นเลยสักนิด"เกวลิน...คุณมีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องของผมมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องอยู่แบบนี้ก็เชิญที่ประตู ผมจะทำงาน" ด้วยเป็นคนใจร้อน
วิวาห์(ไม่)ไร้รัก Writer : Aile'N ตอนที่ 13ตั้งแต่แยกกันที่ร้านอาหารเมื่อวานรินลดาก็ไม่ได้เจอกับวรธันย์อีกเลยจนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้กลับมานอนบ้านและเธอก็ได้ลุงพรเป็นสารถีขับรถรับส่งในวันนี้ เธอไม่คิดถามใครและก็ไม่มีใครบอกว่าเขาไปไหน ติดธุระอะไร ได้แต่เก็บความสงสัยและไม่พอใจลึกๆ เอาไว้ในใจ..."พี่ธันย์เขามีประชุมตั้งแต่เช้าตลอดทั้งวัน แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ พี่เขากลับมาทันแน่นอน" คล้ายว่าแม่สามีจะรู้อะไรแม้กระทั่งความคิดตน จู่ๆ ท่านก็พูดขึ้นมาในตอนที่กำลังนั่งเฉิดฉายให้ช่างแต่งหน้าส่วนตัวสะบัดแปรงไปมาทั่วใบหน้า คนฟังเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายผ่านกระจกบานใหญ่ ไม่ได้ตอบอะไร เพียงยิ้มบางและพยักหน้ารับรู้เท่านั้นใช้เวลาร่วมชั่วโมงคุณหญิงก็แต่งหน้าทำผมเสร็จ ลุคสวยเปรี้ยวไม่เกรงใจอายุทำร่างบางจ้องมองอย่างตื่นเต้น ดูท่างานที่ไปจะไม่ธรรมดาจริงๆ เธอถึงมีโอกาสได้เห็นแม่สามีในลุคที่ฉีกจากเดิมออกไปไกลเสียขนาดนี้"จินนี่...เอาให้สวยที่สุดในงาน! " คำสั่งเฉียบขาดที่ถ่ายทอดไปยังช่างประจำตัวทำรินลดารู้สึกเสียวสันหลังพิกล..."ไม่มีปัญหาค่ะคุณแม่ จินนี่เอาประสบการณ์กว่ายี่สิบปีเป็นประกัน! น้องหญิงจะต้องสว
วิวาห์(ไม่)ไร้รัก Writer : Aile'N ตอนที่ 14"หื้ม? เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ไม่สบายหรอคะ หน้าแดงๆ " คุณหญิงนาฏยาเอ่ยถามว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงอาทรห่วงใย นึกสงสัยว่าก่อนหน้านี้ยังเห็นอีกฝ่ายดีๆ อยู่เลย แต่หลังกลับจากไปตักอาหารกับเจ้าลูกชายไหงนั่งเงียบแก้มแดงปลั่งขนาดนี้ไปเสียได้"อะ เอ่อ หนู...ร้อนน่ะค่ะ" พอถูกทักกะทันหัน ใครคนนั้นก็ลนลานเลิกลั่ก กอปรกับยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงอย่างมีพิรุธคนฟังหรี่ตาจับผิดตามสัญชาตญาณแต่ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ เพียงเหลือบตามองลูกชายที่ดูจะมีบรรยากาศรอบๆ ตัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ริมฝีปากหยักคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแปลกๆ หรือว่า...ระหว่างที่หายไปด้วยกันจะมีอะไรเกิดขึ้น?"แม่ว่าแอร์ก็เย็นอยู่นะ เอ...หรือว่าเป็นอาการคนเขิน พี่ธันย์ทำหรือพูดอะไรให้เขินหรือเปล่าจ๊ะเนี่ย" คำถามลอยๆ เหมือนคนรู้ทันทำคนฟังลมหายใจสะดุด คล้ายคนทำผิดกำลังจะถูกจับได้ เพียงแต่เธอไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย ก็แค่รู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ ตอนได้ยินร่างสูงแทนตัวเองว่า 'พี่' ก็เท่านั้น...คนถูกไล่ต้อนมัวแต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบอะไร กระทั่งมีคนรู้จักมาชวนว่าที่แม่สามีไปทักทายเพื่อนๆ กลุ่มใหม่แล้ว
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 15ในตอนนี้...รินลดากำลังยืนเคว้งอยู่กลางห้องชุดสุดหรูของว่าที่สามีอย่างคนไม่รู้จะทำยังไงต่อไป คอนโดของท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ นอกจากความกว้างขวางหรูหราแล้วยังแบ่งแยกสัดส่วนได้เหมือนกับยกบ้านทั้งหลังมาไว้ที่นี่ ความอลังการนี้ทำให้ทั้งชั้นมีเพียงสองห้องเท่านั้น อีกห้องหนึ่งเป็นของอดีตท่านประธานซึ่งก็คือคุณสุรศักดิ์ที่ทุ่มเงินซื้อเอาไว้ตั้งแต่สำนักงานขายยังไม่ทันเปิดให้จอง นานๆ ทีท่านจะมาพักบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ชั้นนี้จึงมีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวสูงมากๆ"เดี๋ยวพาไปดูห้องนอน" คนเหม่อได้สติในตอนที่เจ้าของห้องเดินมาบอก ก่อนที่เขาจะเดินนำไปที่ห้องนอนสองห้องที่อยู่ติดกันและเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องฝั่งซ้ายมือ"เธอพักห้องนี้ ส่วนข้างๆ นั่นห้องฉัน ขาดเหลืออะไรก็บอก ไม่ต้องเกรงใจ" วรธันย์ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี แม้จะมีผู้มาอาศัยร่วมกันทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อนเขาก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด"ไปอาบน้ำเถอะ แล้วออกมาทานข้าว" ร่างบางพยักหน้ารับคำ ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันเข้าห้อง ระหว่างนั้นเจ้าบ้านก็โทรสั่งอาหารไว
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 16ตากลมเหล่มองผู้ร่วมโดยสารลิฟต์หลายต่อหลายครั้งอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่งทำหน้าทะมึนเหมือนจะไปฆ่าใครตาย ไอเย็นที่แผ่ออกมาสร้างความกดดันในพื้นที่คับแคบอย่างห้องโดยสารลิฟต์อย่างมหาศาลจนร่างบางแทบจะหายใจไม่ออก เขากำลังโกรธอันนี้เธอแน่ใจ แต่โกรธเรื่องอะไร?...เรื่องที่เธอไปเพ่นพ่านชั้นอื่น? เธอไปเพราะเรื่องงานนะ ไม่ได้หนีเที่ยวเล่นสักหน่อยหรือจะโกรธเรื่องอื่น?แล้ว...มันเรื่องอะไรกันเล่า"คุณ...โกรธฉันหรอคะ" จนแล้วจนเล่ารินลดาก็นึกไม่ออกว่าจริงๆ แล้ววรธันย์โกรธเธอเรื่องอะไรกันแน่ เมื่อคิดไม่ออกก็เลยตัดสินใจถามออกไปเสียเลย"ฉันไปเพราะเรื่องงานนะคะ ไม่ได้หนีเที่ยว" เสียงหวานพยายามแก้ต่างเมื่อร่างสูงไม่ยอมตอบคำถามก่อนหน้า ทำเพียงปรายตามองด้วยสายตาเรียบนิ่ง ให้ตาย...เธอเคยเจอแต่ตอนที่เขาโกรธแล้วโวยวาย ไม่เคยเจอโกรธแล้วเงียบแบบนี้มาก่อน"เอ่อ...ขอโทษด้วยนะคะ ถ้าเกิดว่าทำให้คุณไม่พอใจ" พออีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบ เธอก็จนปัญญาที่จะเซ้าซี้เอาคำตอบ สุดท้ายก็เลือกที่จะเอ่ยขอโทษทั้งที่ไม่รู้ว่าผิดอะไรออกไปแทน"พี่! " "คะ? " คำแรกที่ร่างสูงกระแทกเสีย
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 17"วันนี้กลับก่อนเลยนะ ฉันมีงานต้องเคลียร์ต่ออีกนิดหน่อย เดี๋ยวให้เมฆไปส่ง" ท่านประธานที่กลับเข้าห้องไปทำงานต่อตั้งแต่บ่ายเดินออกมาอีกครั้งในตอนสี่โมงเย็นพร้อมกับยื่นคีย์การ์ดสำรองให้คนที่อยู่ในสถานะนักศึกษาฝึกงาน"แล้ว...คุณศรัณไปไหนหรอคะ ไม่เห็นนานแล้ว" ร่างบางพยักหน้ารับ ก่อนทำท่าฉุกคิดเล็กน้อยแล้วถามออกมา คนชื่อเมฆเธอไม่เคยเห็นหน้าแต่ก็คงจะเป็นคนของเขา ส่วนคนที่เคยเห็นอยู่ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาอยู่ในบ้านอีกฝ่ายก็ดันหายหน้าไป"ศรัณไปดูงานแทนฉันที่ระยอง" เขาตอบคำถาม แม้ฟังแล้วจะสงสัยว่าศรัณทำหน้าที่อะไรกันแน่ถึงได้ไปดูงานแทนเจ้านายได้ แต่เธอก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไร ท่าทางของศรัณก็ดูภูมิฐาน อาจไม่ได้เป็นแค่คนขับรถอย่างที่เข้าใจ"อยากกินแกงเลียงกุ้งสด..." เสร็จธุระแล้วร่างสูงก็ยังไม่หนีไปไหน เอาแต่ยืนจ้องหน้าก่อนจะเปรยออกมาเสียงเรียบ"คะ? อ้อ ค่ะ" รินลดาทำหน้างงเล็กน้อย กว่าที่สมองจะประมวลผลจนเข้าใจก็ตอบรับออกไป แต่เขาก็ยังอยู่ที่เดิม"อยากทานอะไรอีกมั้ยคะ จะได้ทำไว้รอ" เธอเป็นฝ่ายถามบ้าง เผื่อว่าเขาจะอยากทานอะไรเพิ่ม"อะไรก็ได้แล้วแต่ถนัด" วรธันย์ต
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 18"ฮัลโหล ว่าไงลูก" น้ำเสียงกังวานใสกรอกเข้าไปในสายหลังกดรับ นึกสงสัยไม่น้อยว่าทำไมลูกชายถึงโทรมาหาตอนใกล้จะเที่ยงแบบนี้[คุณหญิง...คุณหญิงต้องช่วยพี่นะ] คุณหญิงนาฏยาขมวดคิ้วฉับ มึนงงหนักไปอีกเมื่อได้ยินเสียงลูกชายพูดอ้อนเหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ ด้วยการแทนตัวเองว่า 'พี่' กับตน"หืม? เกิดอะไรขึ้นกับพี่ธันย์ของแม่ครับ" คนฟังถามกลับเสียงหวาน ดีใจจนเนื้อเต้นเหมือนกำลังจะได้ยินเรื่องสนุก[ก็ลูกสะใภ้คุณหญิงน่ะสิ งอนตุ้บป่องแล้ว] ไม่อยากเลยจริงๆ ไม่อยากเอาเรื่องน่าขายหน้ามาเล่าให้มารดาฟังเลยสักนิด แต่นอกจากบรรยากาศตอนเช้าจะอึมครึมแล้ว ตอนสายเขาตัดสินใจโทรสั่งดอกไม้มาง้อคนงอนแล้วก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า มืดแปดด้าน...สุดท้ายก็เลือกจะโทรขอความช่วยเหลือกจากผู้เป็นแม่"อ่าว แล้วไปทำอะไรให้น้องงอนล่ะหืม? แกล้งอะไรน้อง! " มารดาเค้นถามเสียงเข้ม แสดงความห่วงใยว่าที่ลูกสะใภ้มากกว่าลูกชายเห็นๆ[พี่เปล่า~ แค่...] วรธันย์ตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง ไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อยว่าตนกำลังรู้สึกอะไรๆ กับรินลดาบ้างแล้ว กลัวอีกฝ่ายจะไม่ยอมช่วย"สมควรแล้ว! " น้ำเสียงคนฟังที่ตอบ
วิวาห์ (ไม่) ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 34 (ตอนจบ) วันเวลาผ่านพ้นไปกิจวัตรประจำวันของรินลดาก็ยังคงวนเวียนแบบเดิมซ้ำๆจนอายุครรภ์ล่วงเลยมาจนถึงแปดเกือบเก้าเดือนและมีวันกำหนดคลอดในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแต่เธอรู้ว่าอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงวันนั้นเนื่องจากช่วงนี้มีอาการเจ็บท้องเตือนบ่อยขึ้นบางทีก็เจ็บจนร้องไห้ผู้เป็นสามีจึงต้องลางานมาอยู่เป็นเพื่อนในช่วงใกล้คลอด"ไหวไหม"ร่างสูงเอ่ยถามภรรยาท้องแก่ที่นั่งเอนหลังดมยาดมพลางหอบหายใจแรงกว่าปกติเนื่องจากเจ็บท้องเตือนขึ้นมาอีกแล้วและดูเหมือนวันนี้จะเจ็บมากกว่าปกติเขาจึงให้คนเตรียมรถเตรียมของใช้สำหรับคลอดไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน"อึก...ไม่ไหว...แฮ่ก"แรงปวดไม่มีท่าทีว่าจะเบาลงเลยแม้แต่น้อยมือเล็กที่บีบมือใหญ่ไว้ส่งผ่านความรู้สึกมาถึงร่างสูงแม้ไม่ทั้งหมดแต่ก็ทำให้เขาได้รับรู้ว่าเธอกำลังจะทนไม่ไหวไม่ต้องรอให้พูดอะไรซ้ำวรธันย์ก็เรียกเด็กในบ้านให้รีบเตรียมของขึ้นรถส่วนเขาก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีช้อนตัวภรรยาขึ้นอุ้มและตรงไปที่รถอย่างรวดเร็วเรียกได้ว่าสถานการณ์เริ่มวุ่นวายแต่ก็ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเพราะทุกคนเตรียมการนี้ไว้สักพักใหญ่แล้วเพียงตื่นเต้นยิน
วิวาห์ (ไม่) ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 33ตกเย็นวรธันย์ก็พาภรรยามาที่บ้านใหญ่พร้อมด้วยกล่องของขวัญหนึ่งใบที่ทำเอาทุกคนต่างมองด้วยความสนใจครั้นถามว่าเอามาให้ใครและข้างในมีอะไรเจ้าตัวก็บ่ายเบี่ยงบอกแค่ว่าจะเฉลยในตอนที่ทานข้าวเสร็จเล่นเอาคุณหญิงนาฏยาคันไม้คันมือยิกๆอยากแย่งมาเปิดดูให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำได้แค่เก็บอาการและอดใจรออย่างใจเย็น"เอ้อแม่มีอะไรจะบอก"คุณหญิงพูดขึ้นท่ามกลางมื้ออาหารที่เริ่มดำเนินมาสักพักหนุ่มสาวเลยพร้อมใจกันวางช้อนส้อมเพื่อรอฟังในสิ่งที่มารดากำลังจะบอก"แม่คุยพ่อและคุยกับพ่อแม่หนูแล้วว่าจะให้ทั้งสองคนย้ายเข้ามาอยู่กับพวกเราที่นี่เนี่ยน้ากว่าจะเกลี้ยกล่อมได้เหนื่อยแทบตายแน่ะ"คุณหญิงบอกอย่างอารมณ์ดีได้ยินแบบนั้นรินลดาก็จ้องหน้าแม่สามีอย่างไม่อยากจะเชื่อหูก่อนจะหันไปมองพ่อกับแม่ที่ทำหน้าเกรงอกเกรงใจอยู่ไม่คลาย"ก็จะให้มาอยู่เฉยๆไม่ให้ทำอะไรเลยมันไม่ได้จริงๆค่ะเกรงใจ"อรนภาเอ่ยแทรกขึ้นมาความจริงคุณหญิงชวนเธอกับสามีมาอยู่ด้วยกันหลายครั้งแล้วแต่เธอปฏิเสธเพราะเกรงใจอีกอย่างก็ไม่คุ้นชินกับบ้านหลังใหญ่หรูหราแบบนี้เท่าไรคราวนี้ที่ยอมก็เพราะยื่นข้อเสนอไปว่าถ้าให้อยู่ก็ข
วิวาห์ (ไม่) ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 32สองอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกงเข็มนาฬิกา ว่าที่เจ้าสาวถูกปลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผมตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันด้วยทีมช่างที่คุณหญิงนาฏยาจัดหามาให้ ได้คุณหญิงและผู้เป็นแม่คอยช่วยดูแลอีกที กำหนดการในช่วงเช้าวันนี้คือการเข้าพิธีแต่งงานแบบไทย เรียบง่าย ลดขั้นตอนพิธีบางอย่างออกไป คงเหลือไว้แต่พิธีหลักๆ ที่สำคัญ สถานที่จัดงานคือบ้านหลังใหญ่ของฝ่ายว่าที่สามีที่ยังคงนอนหลับอยู่อีกห้องหนึ่ง เพราะขั้นตอนการแต่งตัวน้อยกว่าฝ่ายเจ้าสาวจึงยังไม่ถูกปลุกขึ้นมาพร้อมกันใช้เวลาร่วมสามชั่วโมงในการแต่งหน้าทำผมให้เจ้าสาวและบรรดาแม่ๆ กระทั่งแล้วเสร็จในช่วงเช้าพอดี ฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วทว่ายังถูกขัดขวางไม่ให้ได้เจอเจ้าสาวจนกว่าจะเริ่มพิธีไม่เพียงแค่เจ้าของงานที่ต้องเตรียมตัวแต่เช้า ฝ่ายจัดสถานที่และฝ่ายแม่ครัวเองก็วิ่งวุ่นไม่ต่างกันเพราะต้องเตรียมอาหารเลี้ยงพระและ แขกคนสำคัญที่แม้จะเชิญมาแค่ไม่กี่คนก็ต้องดูแลให้ดีสมฐานะเจ้าบ้าน พยายามให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"ใจเย็นๆ อย่าตื่นเต้นมากนัก เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปซะก่อน" อรนภาลูบหลังลูกสาวเ
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 31ด้วยไม่ได้นอนทั้งคืนและอ่อนเพลียจากพิษไข้ คืนแรกที่ต้องนอนแยกห้องกันตามข้อตกลงเลยทำให้รินลดาหลับสนิท ต่างจากวรธันย์ที่นอนมองเพดานว่างเปล่ามานานหลายชั่วโมงแล้ว เขายังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยแม้แต่น้อย เขาคิดถึงร่างนุ่มนิ่มของคนรักที่เคยได้นอนกอด มากไปกว่านั้นคือเป็นห่วงกลัวว่าคนป่วยจะไข้ขึ้นสูงกลางดึกแล้วไม่มีคนดูแลสุดท้ายร่างสูงก็ยอมแพ้ต่อความห่วงใย เขาทนไม่ไหวจึงหอบเอาผ้าห่มกับหมอนเดินไปที่ห้องนอนเล็ก มือหมุนเปิดลูกบิดอย่างแผ่วเบา ก่อนเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง ลงมือปูผ้าห่มลงบนพื้น ไม่ลืมตรวจเช็คอุณหภูมิของคนหลับด้วยว่าน่าเป็นห่วงหรือไม่ เมื่อพบว่ายังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงวรธันย์ก็ล้มตัวลงนอนข้างเตียง แต่ตั้งใจไว้ว่าจะต้องตื่นก่อนและรีบออกไปจากห้อง บทลงโทษของคนที่ทำอะไรไม่คิดคือแยกห้องนอนและห้ามวอแวอีกฝ่ายจนกว่าจะถึงวันแต่งงานในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า นี่แค่วันเดียวก็แทบจะทนไม่ได้แล้ว ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะอดทนได้จนถึงวันแต่งงานหรือเปล่ารินลดาหลับยาวจนถึงเช้า เธอลืมตามองไปรอบๆ อย่างสำรวจ เพราะเมื่อคืนเหมือนจะมีบางช่วงที่กึ่งหลับกึ่งตื่นและรู้สึก
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 30"เฮ้อ...""อะไร ถอนหายใจแต่เช้า ไหวไหมเนี่ย ท่าทางเราดูเพลียๆ นะ ไม่ได้หลับได้นอนหรือไงหื้ม" เลขาท่านประธานถามขึ้นอย่างห่วงใยเมื่อเห็นเด็กฝึกงานในความปกครองนั่งถอนหายใจก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยท่าทางอ่อนล้าในเช้าวันหนึ่ง จะว่าถูกเธอใช้งานหนักก็ไม่ใช่ ถึงจะเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงานแต่พ่วงตำแหน่งคู่หมั้นของเจ้านาย ยังไงก็เปรียบเสมือนเจ้านายเธออีกคน ใครจะไปกล้าใช้งานหนักกัน"ประมาณนั้นแหละค่ะ เจ้าที่แรงมาก ไม่ยอมให้หลับให้นอนเลย" เสียงหวานอ่อนระโหยโรยแรงบ่นพึมพำออกมาคล้ายคุยกันตัวเองมากกว่า คำว่า 'เจ้าที่แรง' ทำคนฟังได้แต่ทำหน้าสงสัย พลันนึกไปถึงคอนโดหรูที่เจ้านายพัก ก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเจ้าที่แรง...ขณะที่รุ่นพี่คิดไปไกล...เจ้าที่ในความหมายของคนอายุน้อยกว่าตอนนี้กำลังนั่งจามอยู่ในห้องทำงานอย่างไม่ทราบสาเหตุ ใช่...เจ้าที่ที่ก่อกวนเวลานอนของเธอก็คือเจ้านายพี่นั่นแหละ!หลังจากวันสารภาพบาป (?) นี่ก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว และตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมารินลดาต้องรับมือกับ 'ผีทะเลกินดุ' แทบจะทุกคืน! พอได้มีคืนแรกด้วยกัน คืนต่อๆ ไปก็มาไวและถี่เสียจนตั้งรับไม
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 29"หนูกลัว..." น้ำเสียงเบาหวิวเอ่ยขึ้นในตอนที่ได้กลับมาเหยียบบ้านอินทรเกษมกุลอีกครั้ง แววตากลมใสสั่นระริก ดวงหน้าปรากฏความกังวลอย่างเห็นได้ชัด แม้จะคุยกันมาดีแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ เธอก็ยังมีความพร้อมไม่มากพออยู่ดี"พี่อยู่ทั้งคน" ฝ่ามือใหญ่กุมทับมือเล็กที่เย็นเฉียบสร้างความอบอุ่นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ ทว่าก็ทำคนฟังใจชื้นขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะความวิตกกังวลมันมีมากกว่า เธอกลัวว่าพ่อกับแม่จะผิดหวังในตัวเธอมากกว่าว่าใครจะมองยังไง แต่ถ้าไม่พูดก็ไม่สบายใจอีกเหมือนกัน"ไปเถอะ เชื่อใจพี่...ไม่มีอะไรต้องกลัว" ร่างสูงให้กำลังใจ กระชับมือเล็กแน่นขึ้น ก่อนพาเดินเข้าบ้านไป ในเวลานี้ทุกคนต่างมานั่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นตามที่วรธันย์ได้โทรมาขอไว้ ทั้งพ่อแม่ของเขาและพ่อแม่ของรินลดา"อ้าว มากันแล้ว สวัสดีจ้ะ นั่งๆ" คุณหญิงนาฏยาทักทายทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม มือรับไหว้ว่าที่ลูกสะใภ้ก่อนเชิญทั้งสองมานั่งคุยกันระหว่างรอทานมื้อค่ำ"น้องหญิง ไม่สบายหายดีหรือยังคะ พี่ธันดูแลน้องดีหรือเปล่าเนี่ย" ประโยคแรกเอ่ยกับร่างบางด้วยรอยยิ้มสดใส ประโยคหลังหันมามองแรงใส่ล
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 28"คุณพิมพ์ วันนี้ผมไม่เข้าบริษัทนะ เลื่อนงานออกไปทั้งหมด บอกศรัณซื้อยาลดไข้กับข้าวต้มมาให้ผมที่คอนโดด้วย ขอบคุณ" มือเรียวกดวางสายทันทีหลังจากพูดธุระกับผู้เป็นเลขาจบ โทรศัพท์เครื่องหรูถูกวางทิ้งไว้อย่างไม่ใยดีหลังจากหมดประโยชน์ เนื่องจากเจ้าของเครื่องมีสิ่งสำคัญมากกว่าให้สนใจร่างบอบบางภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของเขากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอทว่าร่างกายแผ่ไอร้อนออกมาจนรู้สึกได้ คนเป็นไข้ต้องเช็ดตัว...คิดได้แบบนั้นวรธันย์จึงผละออกไปหาผ้าสะอาดกับชามใบเล็กๆ รองน้ำเกือบเต็ม ก่อนจะเดินกลับเข้ามาหาคนหลับอีกครั้งมือเรียวคว้ารีโมทมากดปิดแอร์เพราะกลัวคนป่วยจะหนาวระหว่างที่เช็ดตัวให้ ก่อนทำการขุดร่างคนป่วยขึ้นมาจากผ้าห่มผืนใหญ่ เปลื้องผ้าเธอจนหมด แล้วนำผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดไปตามลำตัวขาวผ่องซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยสีแดงเรื่อที่เขาฝากไว้เมื่อคืนอย่างระมัดระวังวรธันย์ข่มใจเช็ดตัวให้คนรักจนเสร็จก็ใส่เสื้อผ้ากลับคืนให้ ดึงผ้าห่มคลุมถึงลำคอก่อนกดเปิดแอร์และเพิ่มอุณหภูมิให้อุ่นขึ้น ก่อนเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำบ้าง ออกมาทันตอนได้ยินเสียงก
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 27รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังบอบบางก็แตะลงบนที่นอนนุ่ม ริมฝีปากอุ่นร้อนที่ตักตวงเอาความหอมหวานจนพอใจถูกถอนออกไปก่อนจูบซับเข้าที่ข้างขมับ พวงแก้ม ปลายคางและเลื่อนต่ำลงไปที่ซอกคอขาว ขณะที่ฝ่ามือลากไล้ไปตามส่วนเว้าโค้งของคนรัก กลิ่นกายหอมกรุ่นราวกับดอกไม้แรกแย้มทำสติสัมปชัญญะกระจัดกระเจิงยากที่จะควบคุมวรธันย์ห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปนานมากๆ ตลอดมาเขาไม่เคยต้องอดทนกับใคร และก็คิดว่ายังทนต่อไปได้อีกนาน กระทั่งได้ยินคำว่า 'รัก' จากปากอิ่มเล็กๆ นั่น เขาถึงได้รู้ความจริงว่าความอดทนของเขามันหมดไปตั้งแต่วินาทีนั้น เขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว!ด้านรินลดาเองก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปถ้าขืนเธอยังคงนิ่งเงียบ ปล่อยให้สถานการณ์มันไหลต่อเนื่องไปแบบนี้ เธอกำลังสับสนกับความต้องการจริงๆ ของตัวเองเพราะความคิดด้านดีกับด้านลบกำลังขัดแย้งกันมั่วไปหมด...'ห้ามชิงสุกก่อนห่าม' คือประโยคที่ไม่ว่าหญิงหรือชายก็มักจะเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่พร่ำสอนกันมาตั้งแต่เล็กจนโตในสังคมไทย ทว่าเธอไม่เคยมีคนรักเลยไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ที่เขามี เขาทำตามคำสอนนั้นได้จริงๆ หรือเปล่า เพราะอีกด้านหนึ่งเราก็
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 26การอยู่เฉยๆ ในห้องชุดอันแสนกว้างใหญ่มันไร้ประโยชน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อยากทำอะไรก็ขยับไม่ได้ดั่งใจ แต่จะให้อยู่เฉยๆ ทั้งวันรินลดาก็ทำไม่ได้ เมื่อทำงานบ้านทุกอย่างเสร็จสิ้นเธอก็ตั้งใจว่าจะลงไปเดินเล่นที่ซุปเปอร์มาเก็ตข้างล่างคอนโด เพราะตอนดูทีวีบังเอิญเปิดไปเจอรายการทำอาหารและขนม เลยนึกอยากทำขนมอร่อยๆ ไว้รอเจ้าของห้องกลับจากที่ทำงานร่างบางพาตัวเองค่อยๆ เดินไปที่ลิฟต์อย่างไม่รีบร้อน โชคดีที่คอนโดหรูแห่งนี้เงียบสงบ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเลยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรือกลัวว่าจะไปยืนเก้ๆ กังๆ ขวางทางใครเข้า"หญิง! " ใครสักคนที่กำลังจะเดินสวนเข้ามาในคอนโดเรียกชื่อเธอเสียงดัง ครั้นหันไปมองก็เห็นอีกฝ่ายยืนยิ้มแฉ่งก่อนจะปรี่เข้ามาลูบหัวลูบหาง (?) เธอด้วยความดีใจ"พี่อิฐ! " คราแรกที่ถูกเรียกเสียงดังยอมรับว่าค่อนข้างตกใจ แต่พอรู้ว่าเป็นใครรินลดาก็ออกอาการดีใจไม่ต่างกัน บุรุษเพศนั้นผ่านเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเธอแค่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือพี่รหัสคนนี้นี่เอง"โหย ไม่เจอกันนาน คิดถึงนะเนี่ย" อิทธิพัทธ์เขย่าไหล่เล็กเบาๆ ด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่สุดท้ายจะอดใ