สืออีถูกปลุกโดยเสียงโทรศัพท์ ปลายสายจากให้เธอเข้าไปพบหัวหน้าองค์กรโดยด่วน สืออีลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
เธอไม่ได้รับงานมาเกือบเดือนแล้ว เพราะงานในช่วงนี้ขององค์กรมีแต่ระดับล่าง เธอไม่จำเป็นต้องลงมือทำด้วยตนเอง งานแต่ละครั้งที่ได้รับเป็นระดับP (perfect) ค่าตอบแทนที่ได้ก็ทำให้เธอใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบาย
สืออี ถูกญาติส่งตัวไปอยู่สถานสงเคราะห์ตั้งแต่อายุเพียงสามขวบ เพราะสูญเสียบิดามารดาจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ญาติทั้งสองฝ่ายก็ไม่อยากจะรับเลี้ยงเธอ
ตอนอายุเจ็ดขวบ ก็มีคนมารับเลี้ยงเพียงแต่เธอถูกเลี้ยงให้เป็นนักฆ่าขององค์กรใต้ดิน ความสามารถรอบด้าน ทั้งความเฉลียวฉลาดทำให้องค์กรเริ่มจะหวาดกลัวเธอ
สืออีก็รู้ตัวดีว่าอีกไม่นานเธอคงต้องถูกกำจัด จากประสบการณ์ที่ได้รู้เห็นมาจนอายุ ยี่สิบเจ็ดปี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่
สืออียืนอยู่หน้าประตูห้องสีดำสนิทที่คุ้นเคย เธอถอนหายใจออกมาก่อนจะเคาะประตูเพื่อขอเข้าไปด้านใน
"เข้ามา" เสียงบุรุษสูงวัยเอ่ยอนุญาต
"สวัสดีค่ะ หัวหน้า" สืออีก้มหัวลง
"สืออี ฉันมีงานให้เธอทำ ครั้งนี้ยากเสียหน่อยแต่แลกกับอิสรภาพก็น่าจะนับว่าคุ้มสำหรับเธอ" หัวหน้าโยนแฟ้มข้อมูลงานมาที่ตรงหน้าเธอ
"ได้ค่ะ" เธอแสร้งยิ้มรับ
สืออีเดินถือแฟ้มออกมาจากห้อง เธอยิ้มเยาะตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องพักในองค์กรของเธอ
งานระดับ P อีกสองวันจะมีงานเปิดตัวโปรแกรมลับที่ทั่วโลกต่างจับตามอง องค์กรต้องการให้เธอไปขโมยชิปที่เป็นโปรแกรมหลักของงานนี้
สืออีอ่านข้อมูลและทำความเข้าใจกับแผนที่จนจดจำได้ทั้งหมด เธอต้องทำลายหลักฐานที่ได้มาทุกอย่างทิ้งเพื่อไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้อีก
สองวันต่อสืออีเตรียมตัวพร้อมก็ออกเดินทางไปโรงแรมที่ใช้เปิดตัวโปรแกรมลับ เธอสวมใส่ชุดสีดำสนิท อุปกรณ์ปลดล็อกห้องนิรภัย หรือแม้กระทั่งอาวุธที่ต้องใช้ก็ล้วนแล้วแต่จัดเตรียมไว้พร้อม
ภายในโรงแรมคนคุ้มกันหนาแน่นเสียยิ่งกว่างานเครื่องเพชรระดับโลกที่เธอเคยเข้าไปขโมยมาเสียอีก จะบอกว่าเธอได้รับงานโจรกรรมของมาก็ไม่น้อย ส่วนมากจะเป็นงานเอาชีวิตผู้มีอิทธิพลเสียมากกว่า
สืออีเข้าไปทางช่องระบายอากาศ ที่เธอเลือกช่องทางนี้เพราะสามารถเข้าถึงสถานที่เก็บชิปได้โดยตรง แต่คนคุ้มกันก็หนาแน่นเช่นเดียวกัน
เมื่อออกมาจากช่องระบายอากาศปืนเก็บเสียงในมือก็พร้อมแล้ว นัดแรกพุ่งเข้ากลางศีรษะของผู้คุ้มกัน นัดที่สองสามตามมา เมื่อกระสุนปืนหมดลง มีดสั้นก็ปรากฏขึ้นมาแทน กว่าจะจัดการคนทั้งหมดลงก็เล่นเสียเธอแทบสิ้นเรี่ยวแรงไปด้วย
เมื่อได้ชิปมาแล้ว คนขององค์กรที่รออยู่ก็ชักปืนขึ้นมาจ่อสืออี เป็นไปอย่างที่เธอคิดไว้ ในเมื่ออยากให้เธอตายสิ่งที่องค์กรต้องการเห็นทีก็คงไม่ได้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้สืออีกลืนชิปลงท้องไปแล้ว กระเป๋าในมือก็เป็นชิปที่เธอนั่งอัดด่าองค์กรไว้ให้พวกมันเปิดดูแทน เมื่อสืออีส่งกระเป๋าให้คนขององค์กรแล้ว เสียงปืนที่ยิงมาทางเธอก็ดังขึ้น
สืออีที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็หลบกระสุนนัดแรกได้ แต่ไม่ใช่นัดต่อ ๆ มา เธอตัดสินใจพุ่งตัวลงไปในแม่น้ำแทน หากได้ร่างเธอกลับไปย่อมต้องพาเอาตัวชิปออกมาได้
ใครจะยอมให้ง่ายๆ กัน อยากได้ก็ต้องออกแรงเสียหน่อย คนขององค์กรเมื่อได้สิ่งที่ต้องการก็ไม่สนใจร่างที่ตกลงไปในแม่น้ำของสืออี รีบร้อนกลับไปรายการกับหัวหน้าทันที
สืออีที่ถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง เมื่อเธอตัดสินใจกระโดดลงแม่น้ำ เธอก็เตรียมพร้อมที่จะรับความตายไว้แล้ว
ความเย็นของน้ำในแม่น้ำยามค่ำคืน ทำให้สืออีไม่อาจพยุงตัวเพื่อพาร่างที่บอบช้ำขึ้นริมตลิ่งได้ สายน้ำที่เชี่ยวกรากผลัดพาร่างของสืออีจมลงไปก้นแม่น้ำ
จิตสุดท้ายของสืออีได้แต่โทษโชคชะตาที่เล่นตลกกับเธอ ตั้งแต่ที่พ่อแม่เสียชีวิตลง ญาติทั้งสองฝั่งต่างก็โยนตัวภาระเช่นเธอทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์
เมื่อมีคนมารับไปเลี้ยง เธอก็หวังมาโดยตลอดว่าจะพบกับครอบครัวที่ต้องการเธออย่างแท้จริง แต่เมื่อได้เข้ามาอยู่ในองค์กรจึงได้รู้ว่าคนที่รับเลี้ยงต้องการเพียงแค่สัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์ยอมทำงานถวายชีวิตเท่านั้น
สืออียิ้มเยาะตัวเองก่อนจะหลับตาลงเพราะอากาศที่ใช้หายใจเริ่มหมดไป แม้แต่ยามที่อยู่ใกล้สิ้นใจแล้ว ใบหน้าของเธอก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่เสมอ นี่คงเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นเพื่อได้ไปเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่เสียที
สืออีได้ยินเสียงร้องเรียก พร้อมทั้งเขย่าตัวเธอไปด้วย 'ใครกันมาช่วยเธอขึ้นจากน้ำ'
"หยานเออร์เจ้าฟื้นสิลูกรัก" สืออีขมวดคิ้วอย่างงุนงง 'คุณแม่หรือ'
ไม่มีใครเรียกเธอว่า หยานเออร์มานับตั้งแต่ที่ถูกรับไปอยู่ในองค์กร แล้วผู้หญิงที่เรียกชื่อเธออยู่จะไม่ใช่แม่เธอได้อย่างไร
หรือตอนนี้เธอจะอยู่กับคุณแม่บนสวรรค์ แต่เป็นไปไม่ได้ เธอฆ่าคนมานับไม่ถ้วนจะได้ขึ้นสวรรค์ได้อย่างไร
ในหัวของสืออีประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่เข้าใจ แต่เสียงร้องเรียกชื่อเธอของผู้หญิงและผู้ชายที่อยู่ข้างหูเธอก็ยังคงได้ยินอยู่
"น้องสาวจะเป็นอันใดหรือไม่ขอรับท่านพ่อ" เสียงสะอื้นของเด็กหนุ่มดังขึ้น
'ไม่ เธอไม่มีพี่ชาย เช่นนั้นก็ไม่ใช่ครอบครัวของเธอ แล้วเป็นเสียงของใครกัน' สืออีพยายามเริ่มตาที่หนักอึ้งเพื่อมองเหตุการณ์ที่เธอได้ยิน เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอได้ยินไม่ใช่สิ่งที่คิดไปเอง
"หยานเออร์เจ้าฟื้นแล้ว ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสวรรค์"
สืออีมองไปรอบตัวก็เห็นคนแปลกหน้าที่อยู่ในชุดโบราณ บริเวณที่เธอนอนอยู่เป็นริมแม่น้ำ ในตอนนี้มีสตรี บุรุษ เด็กหนุ่มกำลังโขกศีรษะกับพื้นเพื่อขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เธอฟื้นขึ้นมา
'นี่มันเรื่องบ้าบออะไร เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน' สืออีหมดสติไปอีกครั้งไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อตรงหน้าหรือเป็นเพราะร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป
ครอบครัวจางเห็นบุตรสาวที่จมน้ำฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบพาตัวนางกลับเรือนเพื่อไปตามท่านหมอในหมู่บ้านมารักษา ในยามนี้นับว่าจางซินหยานพ้นอันตรายแล้วที่จางซินหยานตกลงไปในน้ำไม่มีผู้ใดพบเห็นเหตุการณ์คงต้องรอให้นางฟื้นขึ้นมาจึงจะสอบถามรายละเอียดได้เท่านั้นสืออีที่อยู่ในร่างของซินหยานนางฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในยามค่ำคืน เมื่อมองไปรอบห้องก็พบว่าห้องที่เธอนอนอยู่มีเพียงเตียงนอนขนาดไม่ได้กว้างไปกว่าตัวเธอสักเท่าใดนัก ข้างหัวเตียงมีตู้ใบเก่า ๆ ที่น่าจะไว้เก็บเสื้อผ้า ห้องเล็กเพียงนี้ไม่อาจจะนำโต๊ะหรือเก้าอี้เข้ามาวางไว้ด้านในได้ ผนังห้อง เพดานที่ทำจากดินเริ่มมีรอยแตกร้าวให้พบเห็น หลังคาที่เธอเงยหน้าขึ้นมองอยู่ก็ทำมาจากหญ้าแห้งไม่อยากจะคิดว่าหากเกิดพายุฝนหรือหิมะจะมีสภาพเช่นใด หมอนที่ใช้หนุนก็แข็งราวกับหิน เพราะทำมาจากท่อนไม้ เตียงไม้ไผ่ที่มีเพียงผ้าเก่า ๆ ผืนบางปูรองเพื่อเท่านั้น ให้ความรู้สึกปวดเนื้อปวดตัวยิ่งกว่าเดิมสืออีลุกขึ้นนั่ง เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะเพราะความเจ็บปวดที่แล่นเข้าสู่หัวในยามนี้ ทำให้ต้องทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ความทรงจำของร่างเดิมไหลเป็นภาพชีวิตของจางซินหยาน ใบหน้าของบิดามารดา พี่ชาย แ
ตอนที่ซินหยานตกลงไปในน้ำมีพี่ชายที่ไปด้วยในตอนนั้นช่วยไว้ได้ทัน เมื่อซินหยานอายุได้ สิบหกหนาว ก็ได้ช่วยชีวิตท่านแม่ทัพเจ้าไว้ เพราะตลอดเวลาซินหยานนางได้ดูแลท่านแม่ทัพอย่างดี เขาจึงรับนางเป็นอนุซินหยานเมื่ออยู่ที่จวนท่านแม่ทัพ แม้จะสุขสบาย นอกจากจะเป็นอนุแล้วนางยังเป็นผู้มีพระคุณคอยช่วยเหลือท่านแม่ทัพด้วย แต่นางไม่เคยได้ความรักจากท่านแม่ทัพเลยทุกครั้งที่มาค้างที่เรือนของนางก็เหมือนจะมาเพราะถูกฮูหยินเอกบังคับเสียมากกว่า ตลอดชีวิตที่เหลือของนางไม่มีบุตรเป็นของตนเอง เพราะท่านแม่ทัพต้องมีบุตรเพียงแค่ฮูหยินของตนเท่านั้นจนวาระสุดท้ายของชีวิตซินหยาน นางก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากท่านแม่ทัพเลยสักครั้ง สืออี เมื่อนึกถึงนิยายที่นางอ่าน นางก็ได้แต่ถอนหายใจกับความรักที่โง่เขลาของซินหยานในเมื่อนางมาที่นี่แล้วเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นกับนางเป็นแน่"ระบบกำลังประมวลผล" สืออี กระโดดลุกขึ้นจากที่นอนเมื่อได้ยินเสียงปริศนานางมองไปทั่วรอบห้องเพื่อหาต้นตอของเสียงที่ได้ยิน แต่ก็หาไม่พบ"โปรดแจ้งชื่อของคุณ" เสียงดังขึ้นอีกครั้ง สืออีจึงได้รู้ว่าเสียงมาจากในหัวของนางเอง"สืออี" นางพูดขึ้น"ไม่มีในสารบบ"
ซินหยานนางเล่าเรื่องระหว่างที่นางได้หมดสติไปแล้วได้ไปเห็นโลกใบใหม่ที่ไม่เหมือนในตอนนี้ ข้าวของเครื่องใช้ บ้านเรือนความแตกต่างระหว่างสองพื้นที่ แม้แต่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสิ่งที่นางได้ติดตัวมาก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด แต่หากนางทำตามภารกิจได้ นางจะสามารถเลือกสิ่งของจากระบบกำหนดให้ได้หนึ่งอย่างทั้งสามเมื่อฟังจบต่างก็มีสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อ แต่ไม่เชื่อก็คงไม่ได้ เพราะเห็นอยู่ว่ามีสิ่งของปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาจริง"อันตรายหรือไม่" จางเทียนเอ่ยถามอย่างกังวลเรื่องที่วิญญาณของบุตรสาวออกจากร่างจนไปพบเจอเรื่องน่าตกใจ เขาก็หวาดกลัวที่ไม่สามารถช่วยเหลือได้แล้ว แต่หากสิ่งที่นางต้องทำหลังจากนี้เสี่ยงอันตรายเขาก็ไม่อยากให้บุตรสาวได้ทำ แม้มันจะทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้นก็ตาม"คงไม่เจ้าค่ะ อย่างที่พวกท่านเห็นสิ่งแรกที่ข้าทำก็คือทำความรู้จักกับผู้ใดก็ได้สามคน" ซินหยานยักไหล่อย่างไม่กังวลเรื่องในภพก่อนนางเสี่ยงอันตรายมากเพียงใดแทบไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้สักนิด ในยามนี้นางจะหวาดกลัวสิ่งใดอีก แม้ความตายนางก็ประสบมาแล้ว"เช่นนั้น หากมีสิ่งใดที่อันตรายไม่ทำได้หรือไม่" ชุยเหมยเอ่ยถามอย่างกังวล"ก็คงได้เจ้
ทั้งสองบอกเล่าเรื่องที่จำเป็นต้องขึ้นเขาให้บิดามารดาฟัง ก่อนที่จางเหลี่ยงจะนำขวดยาออกมาส่งให้บิดาได้ดื่ม จางเทียนมองดูบุตรทั้งสองด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา"หยานเออร์ ลำบากเจ้าแล้ว" เพราะตนบุตรสาวจึงต้องทำตามคำสั่งของสิ่งใดก็ไม่รู้เพื่อได้ยามารักษาตน"ลำบากอันใดกันท่านพ่อ เรื่องเพียงเท่านี้ ข้าทำได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ" ซินหยานมองไปที่จางเทียนอย่างจริงใจซินหยานไม่คิดว่าครอบครัวที่นางเพิ่งจะพบเจอจะมอบความรักความห่วงใยให้นางอย่างแท้จริง ในภพก่อนนนางพบเจอแต่คนที่เขามาหาผลประโยชน์กับนางเท่านั้นเมื่อเห็นสายตาของความห่วงใย ความกังวลจากคนทั้งสามในครอบครัว ซินหยานอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ นางคิดเพียงว่าหากช่วยให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวจางดีขึ้นนางจะออกไปใช้ชีวิตของนางเองแต่ในยามนี้ความคิดทั้งหมดได้หยุดลง กลายเป็นว่านางเริ่มจะหวงแหนความรัก ความหวังดีที่ทั้งสามคนในครอบครัวมอบให้นางแล้ว"ท่านพ่อ ท่านกินยาเถิดเจ้าค่ะ" ซินหยานเร่งให้จางเทียนดื่มยาลงไปจางเทียนยกยาขึ้นดื่มท่ามกลางสายตาของภรรยาและบุตรทั้งสองที่มองมาอย่างมีความหวัง เมื่อยาลงสู่คอของจางเทียน ร่างกายของเขาก็ร้อนรุ่มทันที ก่อนที่ขาข้างที่
วันต่อมาฟ้ายังไม่สว่างสามคนพ่อลูกก็เตรียมตัวขึ้นเขา โดยมีชุยเหมยเตรียมเสบียงอาหารไว้ให้อย่างเต็มที่ เพราะของที่ซินหยานนำออกมาอย่างเนื้อสดอยู่ได้ไม่นานเมื่อคืนก่อนที่จะแยกย้ายซินหยานบอกเรื่องที่นางได้แผนที่หาของป่ามาจากเชาชื่อแล้ว ทั้งสามจึงตัดสินใจจะขึ้นเขาเพื่อไปขุดสมุนไพรไปขายในเมืองเช่นนี้ซินหยานนางก็จะได้ทั้งเงินและทำภารกิจสำเร็จอีกด้วย ตอนที่สามพ่อลูกออกจากเรือนชาวบ้านยังไม่ออกมาทำงานกันเลย พวกเขาจึงไม่ต้องคอยตอบคำถามผู้ใดอีกอย่างเรื่องที่จางเทียนหายดีแล้ว พวกเขาก็ยังไม่อยากให้ผู้ใดได้รู้อีกด้วย ทั้งสามอาศัยแสงของดวงจันทร์เดินไปที่ภูเขา เมื่อเขาไปในป่าซินหยานก็เปลี่ยนมาเดินนำทางทั้งสามเดินมาจนตะวันขึ้นกลางหัวก็ยังไม่ถึงที่ที่ซินหยานบอกว่ามีโสม แต่ทั้งสามกลับพบเสือแทนเสียก่อนจางเทียนรีบยกธนูในมือขึ้นเล็งโดยเขาดันตัวบุตรทั้งสองไปไว้ด้านหลังแทน จางเหลี่ยงในยามนี้ก็กอดน้องสาวไว้แน่น แม้ตัวเขาจะกลัวจนตัวสั่นเทาก็ยังเป็นห่วงน้องสาวมากกว่าตัวเองซินหยานมองทุกการกระทำของบิดาแล้วพี่ชายดวงตาก็แดงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะในเป็นครั้งแรกที่นางได้รับการปกป้องจากใครสักคน"ท่านพ่อส่งธนูมาให้ข้าเ
รุ่งเช้าสองพี่น้องก็เตรียมตัวเข้าเมือง ชุยเหมยส่งค่าเกวียนและค่าเข้าเมืองให้จางเหลี่ยงเก็บไว้ ก่อนที่ทั้งคู่จะแบกตะกร้าที่มีโสมด้านในขึ้นหลังออกไปจากเรือนจางเหลี่ยงเดินนำหน้าซินหยานเพื่อนำทางไปขึ้นเกวียนวัวหน้าหมู่บ้าน ซินหยานมองไปที่สองแม่ลูกที่นั่งอยู่บนเกวียน จากความทรงจำเดิมนางจำได้ทันทีว่าคือป้าสะใภ้ใหญ่และยู้อวี้ลูกพี่ลูกน้องของนาง"เหอะ มีปัญญาจ่ายค่าเกวียนด้วยหรือ" ยู้อวี้มองสองพี่น้องอย่างดูแคลนซินหยานมองจ้องเข้าไปในดวงตาของยู้อวี้อย่างดุดัน จนยู้อวี้หวาดกลัวจนเหงื่อซึมออกมาตามแผ่นหลัง แววตาของซินหยานที่มองมาที่นางในครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน คนที่เป็นฝ่ายหวาดกลัวต้องเป็นซินหยานมิใช่นาง"มองบ้าอะไร" ยู้อวี้ตวาดซินหยานเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่นางหวาดกลัว"เจ้าคงไม่อยากให้ข้าพูดตรงนี้ใช่หรือไม่" ซินหยานแสยะยิ้มออกมา"พูดอันใด เจ้ากล้าหรือ" ยู้อวี้ถลึงตาห้ามอย่างดุร้าย"อยากรู้หรือไม่เล่าว่าข้ากล้าหรือไม่" ซินหยานขึ้นไปนั่งบนเกวียน พร้อมทั้งกระซิบเสียงเย็นข้างหูของยู้อวี้ยู้อวี้จำต้องก้มหน้าลงตลอดการเดินทาง แม้มารดาจะเอ่ยถามว่าพูดเรื่องอันใดกันนางก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาสักคำ เพราะต
ในยามนี้จางเหลี่ยงถูกซินหยานลากออกมาจากร้านยา เพราะสติของเขาล่องลอยไปเสียแล้ว"หากท่านยังเป็นเช่นนี้ ข้าจะทิ้งท่านแล้วนะเจ้าค่ะ" ซินหยานที่ลากพี่ชายมาได้ไม่ไกลก็หยิกแขนของจางเหลี่ยงอย่างแรง"โอ๊ย เบาๆ น้องน้อย พี่รู้แล้ว" จางเหลี่ยงเดินลูบแขนตามซินหยานไป"เจ้าจะไปที่ใด" จางเหลี่ยงเอ่ยถาม เพราะทางที่ซินหยานพาเขามาไม่ใช่ทางที่จะไปขึ้นเกวียนวัวกลับหมู่บ้าน"ข้าจะซื้อรถม้าเจ้าค่ะ" ซินหยานมองค้อนพี่ชาย ตลอดทางที่นางเดินถามทางมาเขาไม่ได้สังเกตเลยหรือไง"เจ้าว่าจะซื้อรถม้าหรือ ผู้ใดจะขับ" จางเหลี่ยงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ"ท่านอย่างไรเล่า" ซินหยานเริ่มลากพี่ชายอีกครั้ง เมื่อเห็นเขายืนนิ่งตกตะลึงอีกแล้วสองพี่น้องมาหยุดอยู่ที่โรงค้าสัตว์ นายหน้าเดินเข้ามาสอบถามทั้งคู่ว่าต้องการสิ่งใด เมื่อรู้ว่าหาซื้อรถม้าก็มองอย่างดูแคลน เพราะการแต่งตัวของทั้งคู่ดูไม่น่าจะมีเงินมากมาซื้อรถม้าได้"เช่นนั้นก็ไปที่อื่นเจ้าค่ะ" ซินหยานเดินออกจากร้านแรกทันที ทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่ร้านเกือบสุดท้าย นายหน้าเข้ามาทักทายอย่างดี พร้อมพาทั้งคู่เลือกม้าอย่างเต็มใจ ซินหยานเดินเลือกไปตามคอกม้าอย่างใจเย็น นางยังไม่พบตัว
สองพี่น้องเมื่อถึงเรือนก็บังคับรถม้าเข้าไปเก็บด้านในเรือนทันที พร้อมบอกบิดามารดาเรื่องที่อาจจะมีชาวบ้านมาที่เรือนเพื่อดูรถม้า เพียงไม่นานเสียงร้องเรียกหน้าเรือนก็ดังขึ้น"อาเทียนอยู่หรือไม่" จางเซียนตะโกนเรียกน้องชายเสียงดังสี่คนพ่อแม่ลูกเตรียมรับมือไว้พร้อมแล้ว ข้าวของภายในเรือนก็ถูกซินหยานเก็บเข้าไปไว้ในช่องเก็บของ ของนางแล้ว"มีอันใดหรือขอรับ" จางเทียนที่ถูกจางเหลี่ยงและชุยเหมยพยุงออกมาจากเรือนจางเซียนเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นอาการของน้องชายยังไม่ได้ดีขึ้น ชาวบ้านที่ตามมาก็ส่งเสียงพูดคุยกันจนจับใจความไม่ได้"หากเจ้ามีเงินเหตุใดถึงไม่นำไปรักษา" ชาวบ้านในกลุ่มพูดขึ้น"ต้องรักษาอยู่แล้วขอรับ เพียงแต่ข้าดินทางลำบากจึงให้อาเหลี่ยงซื้อรถม้าไว้ใช้งาน""เจ้ามีเงินมากเพียงนั้นทำไมไม่นึกถึงพี่ชายของเจ้าบ้าง" นางจูพี่สะใภ้ของจางเทียนเอ่ยขึ้น"หากข้าจำไม่ผิด พวกท่านต้องการแยกครอบครัวมิใช่หรือขอรับ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้อะไรที่ข้าควรจะได้มาสักอย่าง" จางเทียนจ้องมองพี่สะใภ้อย่างดุดัน"เหอะ ในหนังสือแยกบ้าน ท่านลุงเขียนไว้แล้วมิใช่หรือว่าทั้งสองครอบครัวไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ยามที่ท่านพ่อข้าเกือบพิก
ซินหยานเดินกลับไปส่งทุกคนที่ห้อง เพราะนางไม่อยากให้พวกเขารู้เรื่องที่นางต้องไปทำ หากรู้ท่านพ่อ ท่านพี่ของนางต้องตามไปด้วยแน่ นางไม่อยากจะห่วงหน้าพะวงหลังเมื่อส่งทุกคนเรียบร้อยแล้ว เชาชื่อก็นำชุดอำพรางสีดำออกมาให้นาง"แม้แต่ชุดเจ้าก็เตรียมไว้พร้อม" ซินหยานอดที่จะเอ่ยค่อนแคะเชาชื่อมิได้"ไปได้แล้วขอรับ""รู้แล้ว" ซินหยานกระโดดออกทางหน้าต่างแล้วรีบวิ่งไปทางภูเขาทันที"เจ้าไม่มีตัวช่วยให้ข้าเลยหรือ" ซินหยานหยุดพัก เพราะร่างกายนางในยามนี้อ่อนแอกว่าภพก่อนมากนักเชาชื่อกลอกตาก่อนจะส่งยามาให้นางหนึ่งขวด ซินหยานมองขวดยาในมือ นางไม่เอ่ยถามแต่คิดว่าคงเป็นตัวช่วยที่ดี นางจึงยกขึ้นดื่มจนหมดเพียงชั่วลมหายใจเดียว สายตาของนางก็มองทุกสิ่งในความมืดชัดเช่นในตอนกลางวัน ตัวของซินหยานในยามนี้ความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งมาหายไปสิ้นนางเริ่มออกวิ่งอีกครั้งจึงได้รู้ว่าฝีเท้าที่ใช้วิ่งเร็วและเบาขึ้น เมื่อลองกระโดดตัวของซินหยานก็ลอยไปอยู่บยยอดไม่ได้อย่างใจนึก"วิเศษ" นางหัวเราะร่าอย่างชอบใจ"จะไม่ทันแล้วขอรับ" เชาชื่อเอ่ยเตือนซินหยานจึงต้องรีบมุ่งหน้าไปทางที่เชาชื่อบอก ประสาทการรับรู้ การได้ยินของนางชัดขึ้น เส
จางเทียนเคยสร้างบ้านให้คนในหมู่บ้านอยู่หลายหลัง แต่คนงานที่ช่วยเหลือเขาเมื่อเขาบาดเจ็บต่างก็แยกย้ายกันไปหางานอื่นทำ ในยามนี้เขาจึงต้องหาคนในหมู่บ้านที่อยากจะทำงานมาช่วยสร้างเรือนแทน"ได้ได้ ข้าจะไปถามชาวบ้านให้" ท่านลุงตงย่อมต้องยินดี เพราะชาวบ้านส่วนมากนอกจากทำนาแล้วก็หาของป่า เงินที่ได้มาใช้จ่ายย่อมไม่พอ หากมีงานเข้ามาใครบ้างจะไม่อยากทำสองวันต่อมาท่านลุงตงก็นำเอกสารที่ดินมาส่งให้จางเทียนที่เรือนพร้อมทั้งบอกเรื่องที่ชาวบ้านต้องการมาช่วยพวกเขาสร้างเรือน จางเทียนจึงให้ชาวบ้านทั้งหมดมาพบเขาที่เรือนเพื่อดูว่าจำนวนเท่าใดจากแบบที่ซินหยานอยากได้ คงต้องใช้คนมากเสียหน่อย จางเหลี่ยงก็พาบิดาเข้าเมืองเพื่อไปสั่งซื้อกระเบื้องมามุงหลังคา ซินหยานนางอยากได้อิฐมาสร้างบ้านมากกว่า แต่คงจะแปลกเกินไปสำหรับยุคนี้เรื่องเรือนหลังใหม่นางก็ปล่อยให้บิดาเป็นผู้จัดการไปเลย ส่วนนางช่วยมารดาดูแลเรื่องอาหารเลี้ยงชาวบ้านที่มาทำงานแทน เพราะยังเอาของออกมาจากระบบของเชาชื่อได้วันละสองครั้ง ซินหยานจึงไม่กังวลเรื่องอาหารแต่นางก็ไม่ได้นำเนื้อสดมาทำอาหารมากนัก เพราะกลัวว่าจะถูกชาวบ้านสงสัย แต่มื้อกลางวันที่ครอบครัวรองจา
ชาวบ้านที่เห็นว่าเรื่องจบแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับไป เหลือเพียงผู้นำหมู่บ้านที่ยังข้องใจเรื่องของนางจูกับซินหยานที่ยังไม่ยอมกลับเท่านั้น"เกิดเรื่องอันใดกันแน่ เจ้าถึงยอมตัดขาดเช่นนี้" เพราะครั้งที่แล้วที่แยกเรือนเขาบอกให้ทำเรื่องตัดขาดเสียแต่จางเทียนไม่ยอม"อวี้เออร์ผลักน้องสาวข้าตกน้ำขอรับ" จางเหลี่ยงที่ไม่อาจเก็บความแค้นไว้ได้แล้วก็พูดออกมา"จริงหรือหยานเออร์" ผู้นำหมู่บ้านหันไปมองซินหยานอย่างตกตะลึงหากเป็นเรื่องจริง ยู้อวี้ก็ถือว่ามีความผิดหากซินหยานจะเอาเรื่องน่าก็อาจจะติดคุกหรือไม่ก็ถูกส่งไปใช้แรงงาน"จริงเจ้าค่ะ" ซินหยานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง"เพ้ย เป็นเพียงแม่นางน้อยแต่คิดจะฆ่าคนแล้ว" ผู้นำหมู่บ้านตงสบถออกมาจางเทียนขอให้ผู้นำหมู่บ้านเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะเขาไม่อยากทำลายอนาคตของยู้อวี้ หากชาวบ้านล่วงรู้นางคงหาคนมาตบแต่งไม่ได้"ข้าเข้าใจ หากเจ้าไม่เอาเรื่องข้าก็ไม่ยุ่ง" ผู้นำหมู่บ้านกลับเรือนของเขาไปก่อนที่ผู้นำหมู่บ้านจะกลับไปจางเทียนเอ่ยเรื่องที่เขาจะขอซื้อที่ดินที่ติดกับเรือนของเขาด้วย วันพรุ่งนี้จะให้ชุยเหมยและบุตรไปคุยที่เรือนผู้นำหมู่บ้า
สองพี่น้องเมื่อถึงเรือนก็บังคับรถม้าเข้าไปเก็บด้านในเรือนทันที พร้อมบอกบิดามารดาเรื่องที่อาจจะมีชาวบ้านมาที่เรือนเพื่อดูรถม้า เพียงไม่นานเสียงร้องเรียกหน้าเรือนก็ดังขึ้น"อาเทียนอยู่หรือไม่" จางเซียนตะโกนเรียกน้องชายเสียงดังสี่คนพ่อแม่ลูกเตรียมรับมือไว้พร้อมแล้ว ข้าวของภายในเรือนก็ถูกซินหยานเก็บเข้าไปไว้ในช่องเก็บของ ของนางแล้ว"มีอันใดหรือขอรับ" จางเทียนที่ถูกจางเหลี่ยงและชุยเหมยพยุงออกมาจากเรือนจางเซียนเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นอาการของน้องชายยังไม่ได้ดีขึ้น ชาวบ้านที่ตามมาก็ส่งเสียงพูดคุยกันจนจับใจความไม่ได้"หากเจ้ามีเงินเหตุใดถึงไม่นำไปรักษา" ชาวบ้านในกลุ่มพูดขึ้น"ต้องรักษาอยู่แล้วขอรับ เพียงแต่ข้าดินทางลำบากจึงให้อาเหลี่ยงซื้อรถม้าไว้ใช้งาน""เจ้ามีเงินมากเพียงนั้นทำไมไม่นึกถึงพี่ชายของเจ้าบ้าง" นางจูพี่สะใภ้ของจางเทียนเอ่ยขึ้น"หากข้าจำไม่ผิด พวกท่านต้องการแยกครอบครัวมิใช่หรือขอรับ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้อะไรที่ข้าควรจะได้มาสักอย่าง" จางเทียนจ้องมองพี่สะใภ้อย่างดุดัน"เหอะ ในหนังสือแยกบ้าน ท่านลุงเขียนไว้แล้วมิใช่หรือว่าทั้งสองครอบครัวไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ยามที่ท่านพ่อข้าเกือบพิก
ในยามนี้จางเหลี่ยงถูกซินหยานลากออกมาจากร้านยา เพราะสติของเขาล่องลอยไปเสียแล้ว"หากท่านยังเป็นเช่นนี้ ข้าจะทิ้งท่านแล้วนะเจ้าค่ะ" ซินหยานที่ลากพี่ชายมาได้ไม่ไกลก็หยิกแขนของจางเหลี่ยงอย่างแรง"โอ๊ย เบาๆ น้องน้อย พี่รู้แล้ว" จางเหลี่ยงเดินลูบแขนตามซินหยานไป"เจ้าจะไปที่ใด" จางเหลี่ยงเอ่ยถาม เพราะทางที่ซินหยานพาเขามาไม่ใช่ทางที่จะไปขึ้นเกวียนวัวกลับหมู่บ้าน"ข้าจะซื้อรถม้าเจ้าค่ะ" ซินหยานมองค้อนพี่ชาย ตลอดทางที่นางเดินถามทางมาเขาไม่ได้สังเกตเลยหรือไง"เจ้าว่าจะซื้อรถม้าหรือ ผู้ใดจะขับ" จางเหลี่ยงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ"ท่านอย่างไรเล่า" ซินหยานเริ่มลากพี่ชายอีกครั้ง เมื่อเห็นเขายืนนิ่งตกตะลึงอีกแล้วสองพี่น้องมาหยุดอยู่ที่โรงค้าสัตว์ นายหน้าเดินเข้ามาสอบถามทั้งคู่ว่าต้องการสิ่งใด เมื่อรู้ว่าหาซื้อรถม้าก็มองอย่างดูแคลน เพราะการแต่งตัวของทั้งคู่ดูไม่น่าจะมีเงินมากมาซื้อรถม้าได้"เช่นนั้นก็ไปที่อื่นเจ้าค่ะ" ซินหยานเดินออกจากร้านแรกทันที ทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่ร้านเกือบสุดท้าย นายหน้าเข้ามาทักทายอย่างดี พร้อมพาทั้งคู่เลือกม้าอย่างเต็มใจ ซินหยานเดินเลือกไปตามคอกม้าอย่างใจเย็น นางยังไม่พบตัว
รุ่งเช้าสองพี่น้องก็เตรียมตัวเข้าเมือง ชุยเหมยส่งค่าเกวียนและค่าเข้าเมืองให้จางเหลี่ยงเก็บไว้ ก่อนที่ทั้งคู่จะแบกตะกร้าที่มีโสมด้านในขึ้นหลังออกไปจากเรือนจางเหลี่ยงเดินนำหน้าซินหยานเพื่อนำทางไปขึ้นเกวียนวัวหน้าหมู่บ้าน ซินหยานมองไปที่สองแม่ลูกที่นั่งอยู่บนเกวียน จากความทรงจำเดิมนางจำได้ทันทีว่าคือป้าสะใภ้ใหญ่และยู้อวี้ลูกพี่ลูกน้องของนาง"เหอะ มีปัญญาจ่ายค่าเกวียนด้วยหรือ" ยู้อวี้มองสองพี่น้องอย่างดูแคลนซินหยานมองจ้องเข้าไปในดวงตาของยู้อวี้อย่างดุดัน จนยู้อวี้หวาดกลัวจนเหงื่อซึมออกมาตามแผ่นหลัง แววตาของซินหยานที่มองมาที่นางในครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน คนที่เป็นฝ่ายหวาดกลัวต้องเป็นซินหยานมิใช่นาง"มองบ้าอะไร" ยู้อวี้ตวาดซินหยานเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่นางหวาดกลัว"เจ้าคงไม่อยากให้ข้าพูดตรงนี้ใช่หรือไม่" ซินหยานแสยะยิ้มออกมา"พูดอันใด เจ้ากล้าหรือ" ยู้อวี้ถลึงตาห้ามอย่างดุร้าย"อยากรู้หรือไม่เล่าว่าข้ากล้าหรือไม่" ซินหยานขึ้นไปนั่งบนเกวียน พร้อมทั้งกระซิบเสียงเย็นข้างหูของยู้อวี้ยู้อวี้จำต้องก้มหน้าลงตลอดการเดินทาง แม้มารดาจะเอ่ยถามว่าพูดเรื่องอันใดกันนางก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาสักคำ เพราะต
วันต่อมาฟ้ายังไม่สว่างสามคนพ่อลูกก็เตรียมตัวขึ้นเขา โดยมีชุยเหมยเตรียมเสบียงอาหารไว้ให้อย่างเต็มที่ เพราะของที่ซินหยานนำออกมาอย่างเนื้อสดอยู่ได้ไม่นานเมื่อคืนก่อนที่จะแยกย้ายซินหยานบอกเรื่องที่นางได้แผนที่หาของป่ามาจากเชาชื่อแล้ว ทั้งสามจึงตัดสินใจจะขึ้นเขาเพื่อไปขุดสมุนไพรไปขายในเมืองเช่นนี้ซินหยานนางก็จะได้ทั้งเงินและทำภารกิจสำเร็จอีกด้วย ตอนที่สามพ่อลูกออกจากเรือนชาวบ้านยังไม่ออกมาทำงานกันเลย พวกเขาจึงไม่ต้องคอยตอบคำถามผู้ใดอีกอย่างเรื่องที่จางเทียนหายดีแล้ว พวกเขาก็ยังไม่อยากให้ผู้ใดได้รู้อีกด้วย ทั้งสามอาศัยแสงของดวงจันทร์เดินไปที่ภูเขา เมื่อเขาไปในป่าซินหยานก็เปลี่ยนมาเดินนำทางทั้งสามเดินมาจนตะวันขึ้นกลางหัวก็ยังไม่ถึงที่ที่ซินหยานบอกว่ามีโสม แต่ทั้งสามกลับพบเสือแทนเสียก่อนจางเทียนรีบยกธนูในมือขึ้นเล็งโดยเขาดันตัวบุตรทั้งสองไปไว้ด้านหลังแทน จางเหลี่ยงในยามนี้ก็กอดน้องสาวไว้แน่น แม้ตัวเขาจะกลัวจนตัวสั่นเทาก็ยังเป็นห่วงน้องสาวมากกว่าตัวเองซินหยานมองทุกการกระทำของบิดาแล้วพี่ชายดวงตาก็แดงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะในเป็นครั้งแรกที่นางได้รับการปกป้องจากใครสักคน"ท่านพ่อส่งธนูมาให้ข้าเ
ทั้งสองบอกเล่าเรื่องที่จำเป็นต้องขึ้นเขาให้บิดามารดาฟัง ก่อนที่จางเหลี่ยงจะนำขวดยาออกมาส่งให้บิดาได้ดื่ม จางเทียนมองดูบุตรทั้งสองด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา"หยานเออร์ ลำบากเจ้าแล้ว" เพราะตนบุตรสาวจึงต้องทำตามคำสั่งของสิ่งใดก็ไม่รู้เพื่อได้ยามารักษาตน"ลำบากอันใดกันท่านพ่อ เรื่องเพียงเท่านี้ ข้าทำได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ" ซินหยานมองไปที่จางเทียนอย่างจริงใจซินหยานไม่คิดว่าครอบครัวที่นางเพิ่งจะพบเจอจะมอบความรักความห่วงใยให้นางอย่างแท้จริง ในภพก่อนนนางพบเจอแต่คนที่เขามาหาผลประโยชน์กับนางเท่านั้นเมื่อเห็นสายตาของความห่วงใย ความกังวลจากคนทั้งสามในครอบครัว ซินหยานอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ นางคิดเพียงว่าหากช่วยให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวจางดีขึ้นนางจะออกไปใช้ชีวิตของนางเองแต่ในยามนี้ความคิดทั้งหมดได้หยุดลง กลายเป็นว่านางเริ่มจะหวงแหนความรัก ความหวังดีที่ทั้งสามคนในครอบครัวมอบให้นางแล้ว"ท่านพ่อ ท่านกินยาเถิดเจ้าค่ะ" ซินหยานเร่งให้จางเทียนดื่มยาลงไปจางเทียนยกยาขึ้นดื่มท่ามกลางสายตาของภรรยาและบุตรทั้งสองที่มองมาอย่างมีความหวัง เมื่อยาลงสู่คอของจางเทียน ร่างกายของเขาก็ร้อนรุ่มทันที ก่อนที่ขาข้างที่
ซินหยานนางเล่าเรื่องระหว่างที่นางได้หมดสติไปแล้วได้ไปเห็นโลกใบใหม่ที่ไม่เหมือนในตอนนี้ ข้าวของเครื่องใช้ บ้านเรือนความแตกต่างระหว่างสองพื้นที่ แม้แต่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสิ่งที่นางได้ติดตัวมาก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด แต่หากนางทำตามภารกิจได้ นางจะสามารถเลือกสิ่งของจากระบบกำหนดให้ได้หนึ่งอย่างทั้งสามเมื่อฟังจบต่างก็มีสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อ แต่ไม่เชื่อก็คงไม่ได้ เพราะเห็นอยู่ว่ามีสิ่งของปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาจริง"อันตรายหรือไม่" จางเทียนเอ่ยถามอย่างกังวลเรื่องที่วิญญาณของบุตรสาวออกจากร่างจนไปพบเจอเรื่องน่าตกใจ เขาก็หวาดกลัวที่ไม่สามารถช่วยเหลือได้แล้ว แต่หากสิ่งที่นางต้องทำหลังจากนี้เสี่ยงอันตรายเขาก็ไม่อยากให้บุตรสาวได้ทำ แม้มันจะทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้นก็ตาม"คงไม่เจ้าค่ะ อย่างที่พวกท่านเห็นสิ่งแรกที่ข้าทำก็คือทำความรู้จักกับผู้ใดก็ได้สามคน" ซินหยานยักไหล่อย่างไม่กังวลเรื่องในภพก่อนนางเสี่ยงอันตรายมากเพียงใดแทบไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้สักนิด ในยามนี้นางจะหวาดกลัวสิ่งใดอีก แม้ความตายนางก็ประสบมาแล้ว"เช่นนั้น หากมีสิ่งใดที่อันตรายไม่ทำได้หรือไม่" ชุยเหมยเอ่ยถามอย่างกังวล"ก็คงได้เจ้