Share

Chapter 3.  ตื่น

Author: เพลงมีนา
last update Last Updated: 2024-10-29 19:42:56

ติงเชาที่นอนป่วยบนฟูกเก่า ๆ มองการเคลื่อนไหวผ่านช่องหน้าต่างเห็นเหมยซิงควงไม้ไผ่ลำนั้นอย่างคล่องแคล่วแล้ว  ก็ประหลาดใจนัก  เขาเห็นความแตกต่างของเหมยซิงหลังจากฟื้นจาก....

ชายหนุ่มวัยสี่สิบถอนหายใจอย่างปวดร้าว ไม่คิดว่าลูกสาวบุญธรรมจะกตัญญูถึงเพียงนี้  ยอมไปทำงานเป็นหญิงรับใช้เพื่อหาเงินมาเลี้ยงน้อง ๆ  เขาย่อมรู้ว่าการทำงานเป็นบ่าวไพร่มิใช่เรื่องสบาย อาจถูกกดขี่จากผู้อื่นได้  เขาหวังให้นางใช้ชีวิตเรียบง่าย เขาทำได้เพียงแค่สอนหาของป่านำไปขายเลี้ยงชีพ  เหมยซิงของเขามองโลกงดงามเกินไป  นางถูกทำร้ายหนักหนาเพียงใดหนอ  จึงอยู่ในสภาพนั้น  เขาไม่เชื่อสุดจิตสุดใจว่าลูกรักจะเป็นขโมยได้  ยังไม่ทันมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง นางถูกหามทิ้งในป่าช้าอย่างอนาถ   ยามนั้นเขาคิดเพียงขอได้เห็นหน้าลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย  ได้ฝังนางอย่างสงบ แต่นางกลับฟื้นขึ้นมา  ดวงตาของนางจ้องมองเขาราวกับจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองก่อนหมดสติไปอีกครั้ง เขาที่ขาพิการต้องแบกร่างเบาหวิวของลูกสาวขึ้นหลังกลับมาที่กระท่อมหลังน้อย  โชคดีที่พวกเขาอาศัยอยู่ตีนเขาห่างไกลในเมือง  ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเหมยซิงอีก  เขาเองกลับเป็นฝ่ายลังเลที่จะไปทวงความยุติธรรมดีหรือไม่  แต่เห็นนางฟื้นอีกครั้ง และจำอะไรไม่ได้ เขาจึงล้มเลิกไป

ติงเชาเห็นความห่างเหินของเหมยซิงกับตนก็อดถอนหายใจไม่ได้  แต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง และเป็นเพียงลูกบุญธรรมที่เขาเก็บมาเลี้ยง  สนิทสนมเกินไปย่อมไม่ดี แต่กระนั้นเหมยซิงก็ยังดีกับน้อง ๆ ทุกคน

“ท่านพ่อตื่นหรือยังเจ้าคะ”  เหมยซิงโผล่หน้าเข้ามาถาม  นางพูดจาเลียนแบบเหมยลี่  เพราะมีประสบการณ์จากการเป็นนักแสดงมา เลยพูดจาทำนองนี้นางฝึกเล็กน้อยก็คุ้นชินแล้ว

“ตื่นแล้ว”

“ข้าต้มโจ๊กไว้แล้ว ท่านลุกขึ้นมากินสักนิดเถิด” 

นางเข้าไปประคองพ่อบุญธรรมให้ลุกขึ้นนั่ง  เสียดายที่นางไม่รู้เรื่องสมุนไพรอะไรนัก  แต่หลังจากฟื้นมาในร่างเหมยซิงได้ครบเดือน  นางชินกับสภาพร่างกายนี้แล้ว และคิดว่าถึงเวลาที่ต้องขึ้นเขาสำรวจดูอะไร ๆ เสียหน่อย   หากจะต้องใช้ชีวิตในโลกนี้ก็คงต้องหาหนทางใช้ชีวิตแบบโบราณเสียหน่อย เด็ก ๆ ต้องกินอาหารให้เต็มท้อง พื้นที่หลังผ่านสงครามมากำลังฟื้นตัว นางคงจะพอหาอะไรมาเพาะปลูก  นางมีแรงงานเป็นเด็กชายสามคน ส่วนน้องเล็กให้คอยดูแลปรนนิบัติพ่อบุญธรรมไปก็แล้วกัน

“ท่านพ่อ ข้าอยากขอยืมอุปกรณ์ล่าสัตว์ของท่าน”

“หือ? เจ้าใช้เป็นหรือไร”  ติงเชาอดถามกลับไม่ได้

“แค่เอาไว้ป้องกันตัว”  นางหมายถึงมีดพร้าไม่ได้หมายถึงธนูเก่า ๆ นั้น  นางชำนาญไม้พลองมากกว่า แม้ชีวิตของพันดาว ใช้ไม้พลองเป็นเครื่องมือการแสดง แต่ในโลกของเหมยซิง นางคงจะได้ใช้มันป้องกันตัว 

แถวนี้ไม่เคยได้ยินเรื่องสัตว์ร้ายมานานแล้ว  เขาจึงวางใจให้ลูกสาวคนโตเข้าป่า “เอาติงหยี่ ไปด้วยกันซิ”

“ไม่ดีกว่า ข้าอยากไปตามลำพัง”   ความจริงนางอยากหาที่ฝึกฝนร่างกายด้วย ศิลปะการต่อสู้ที่ลุงทองดีสอนมา หากไม่ฝึกฝนอยู่เสมอ นางกลัวว่าตนเองจะลืมแม่ไม้หมัดมวยที่เรียนมาเสียหมด   ไม่รู้ว่าคนที่นี่มี

วรยุทธแบบในภาพยนตร์จีนกำลังภายในที่เคยดูมาหรือเปล่านะ

“แต่”

“ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ” เหมยซิงหัวเราะร่า “คนที่เคยถูกทิ้งในป่าช้าอย่างข้าคงไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก”.

            หัดเข้าป่าล่าสัตว์อยู่รวมสัปดาห์  เหมยซิงก็ได้กระต่ายป่าตัวอวบมาเป็นอาหารให้น้อง ๆ เด็ก ๆ ตื่นเต้นกันมาก  นางเองได้รับการสั่งสอนจากติงเชา  แม้พ่อบุญธรรมนอนป่วยอยู่บนที่นอนเสียส่วนใหญ่ แต่พอพยุงตัวลุกขึ้นได้ สอนนางใช้เครื่องมือล่าสัตว์  เอาธนูออกมาซ่อมแซมให้นางได้ฝึกใช้  เพราะร่างกายที่ฝึกฝนออกกำลังกายสม่ำเสมอทำให้เรี่ยวแรงกลับคืน

แรก ๆ นางกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องฆ่าสัตว์ที่จับมา  นางไม่ใช่พวกไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ไม่เคยออกล่า และฆ่าเองเช่นนี้  อยู่อีกโลกก็แค่กำเงินไปจ่ายตลาด มีทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว ปลา หรือไก่ให้เลือกกินได้สารพัด  แต่ต้องทำเพื่อปากท้อง นางเริ่มทำใจได้   นางเก็บเห็ดลงมาจากเขาให้พ่อบุญธรรมช่วยดูว่าชนิดไหนกินได้บ้าง โชคดีที่บรรดาน้องชายถนัดเรื่องจับปลา พวกเขาสอนนางให้จับปลาในธารน้ำไม่ไกลนัก

            พันดาวหรือเหมยซิงเริ่มคุ้นชินกับชีวิตใหม่นี้ แม้ไร้เทคโนโลยีที่คุ้นเคย แต่เมื่อปรับตัวได้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว  แต่กระนั้นเงินก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญอยู่ดี  นางยังไม่รู้ว่าจะหาเงินได้อย่างไร จะหาของป่าไปขาย ตัวเองไม่ค่อยรู้จักอะไรดีนัก อาจต้องรอให้พ่อบุญธรรมแข็งแรงกว่านี้จะได้สอนนางได้มากขึ้น  ในโลกที่จากมาพันดาวเคยออกค่ายอาสาหลายครั้ง  รวมทั้งงานในกองถ่ายก็ไม่ได้สบายนัก หลายครั้งที่ออกกองถ่ายต่างจังหวัดก็ยังคิดอยู่ว่าคล้ายกับโลกใบนี้มากนัก

            จะเรียกว่าอะไรดี  พันดาวพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง เป็นโลกคู่ขนานแบบในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น จะมีโอกาสกลับไปโลกเดิมไหม?  ตอนจากมาจำได้แค่ว่ามีระเบิดกับไฟคลอก  หากต้องอยู่ในสถานการณ์เดียวกันถึงจะกลับไปได้  นางจะไปหาระเบิดและไฟคลอกที่ไหน แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าจะกลับไปสู่โลกเดิมได้  หากกลับไปแล้วร่างตัวเองเละเทะจะเป็นอย่างไร  หรือบางทีเหมยซิงในโลกนี้ไปอยู่ในร่างพันดาวในโลกโน้น  แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหมยซิงผู้อ่อนแอบอบบางอายุเพียงสิบหกใช้ชีวิตในโลกร่างของพันดาวที่อายุยี่สิบหกได้ยังไง

 ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว พันดาวได้แต่ภาวนาว่าหากตัวเองกลับไปไม่ได้จริง ๆ ก็ขอให้ตายอย่างสงบเถอะนะ  อย่างน้อยลุงทองดีก็ได้เงินประกันชีวิตที่ทำไว้ และประกันอุบัติเหตุจากทีมงานคงมากพอไม่ทำให้ลุงทองดีต้องลำบาก  แต่ในระหว่างนี้พันดาวทำตัวให้คุ้นเคยกับเหมยซิง จึงฝึกพูดจาตามประสาคนที่นี่  ไม่ว่าอะไรก็ตามทำให้พันดาวมาอยู่ในร่างของเหมยซิง  นางจะพยายามใช้ชีวิตในโลกนี้ต่อไป

หญิงสาวตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติ จากนี้พันดาวคือเหมยซิง และฟื้นจากป่าช้ามาสี่สิบห้าวันแล้ว นางมีน้องสาวที่แสนน่ารัก และน้องชายยอดกตัญญู รวมทั้งพ่อบุญธรรมที่มีใจเมตตา  กระท่อมหลังน้อยอยู่เชิงเขา นางพอหาอาหารจากป่าเขานั้นได้บ้าง แต่อย่างไรนางต้องการข้าวสาร และแป้งเพื่อทำอาหาร ต้องการเสื้อผ้า และยารักษาโรคให้พ่อบุญธรรม แน่นอนว่าต้องใช้เงิน  ถึงแม้ร่างนี้จะอายุสิบหกแต่ความคิดของนางก็ยังเป็นพันดาวที่อายุยี่สิบหกอยู่ดี

Related chapters

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 4. บ้าน

    “ท่านพ่อ” นางเข้าไปทำตาละห้อยใส่พ่อบุญธรรมที่ยืนกรานไม่ให้นางไปทำงานรับใช้ใครทั้งนั้น“ไม่ได้! พ่อไม่ให้เจ้าไปลำบากอีกแล้ว” ติงเชายืนกราน ครั้งก่อนลูกสาวหนีไปทำงานเป็นหญิงรับใช้ ถูกใส่ความแปดเปื้อนทำร้ายปางตายซ้ำถูกโยนทิ้งในป่าช้า“แต่ท่านพ่อ ข้าอยากได้เมล็ดพันธุ์มาเพาะปลูก” นางทำหน้างอง้ำ มีที่ดินพอจะเพาะปลูกได้ กระท่อมอยู่ใกล้แหล่งน้ำนางจดจำเรื่องการทำฝายทดน้ำได้จากที่เคยไปออกค่ายอาสา น่าจะปรับมาใช้กับที่ดินที่นี่ได้ ผันน้ำเข้าที่นาตัวเอง ยังไงก็ต้องลองปลูกพืชระยะสั้นดูก่อน หากไม่รีบทำอะไรเสียตั้งแต่ตอนนี้ เข้าฤดูหนาว หิมะตกเพาะปลูกอะไรก็ลำบาก รวมทั้งหาของป่ากินยิ่งยาก นางรอดตายจากระเบิด และไฟคลอกมาแล้ว อย่าต้องมาอดตายเลยนะ“เจ้ามั่นใจว่าจะทำได้รึ”“ยังไม่ได้ลงมือทำ ก็บอกไม่ได้หรอกเจ้าค่ะว่าจะทำได้หรือไม่” นางยืนยัน ติงเชาเห็นแววตามุ่งมั่นของลูกสาวก็ได้แต่ยิ้มบางๆ ก่อนหน้านี้เด็กสาวตรงหน้าทั้งอ่อนแอ และบอบบาง ทว่าจิตใจนางเข้มแข็งนัก เพื่อให้น้อง ๆ ได้สบายตัวเองยอมลำบากเท่าใดก็ได้ แม้ฟื้นมาครั้งนี้รู้สึกแปลกไปบ้าง แต่นับว่าดีไม่น้อย ยิ่งเห็นนางแอบฝึกฝนร่างกาย ควงไม้พล

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 5. มีอะไรรึพี่สาว

    “ติงหยี่”“มีอะไรรึพี่สาว”“ป่าช้านั้นอยู่ไกลไหม?”ติงหยี่หยุดเดินแล้วหันไปจ้องมองใบหน้าของเหมยซิง“พี่แค่อยากเห็นว่าที่ตรงนั้นเป็นเช่นไร” นางยื่นมือไปโยกศีรษะน้องชายเล่น“จะดีหรือ?”“นี่กลางวันอยู่ ไม่เป็นอะไรหรอก” นางแค่อยากเห็นสถานที่ที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของเหมยซิง และได้เห็นว่าคนใจร้ายพวกนั้นโยนร่างนางทิ้งไว้เป็นสถานที่เช่นไรติงหยี่เห็นแววตาของพี่สาวแล้วก็ได้แค่พยักหน้ารับ เขาพาเดินออกนอกเส้นทางไปไม่นานนักก็เข้าสู่ป่ารกทึบ หากไม่เพราะทั้งสองขึ้นเขาหาของป่าเป็นประจำคงหวาดกลัวที่นี่ไม่น้อย“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าท่านพ่อพบพี่สาวที่ใด รู้แค่ว่าเป็นป่าช้าแห่งนี้”เหมยซิงพยักหน้ารับแล้วยืนมองอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้เข้าไปลึกมากนัก แค่เพียงยืนอยู่ชายป่าก็ยังรู้สึกเยียบเย็นแม้จะเป็นยามบ่ายแล้วก็ตามคนแบบไหนกันถึงโหดร้ายถึงเพียงนี้ ลงโทษนางจนตายแล้วเอามาโยนทิ้งอย่างอนาถ หากพ่อบุญธรรมตามหานางช้าเกินไป ต่อในนางฟื้นขึ้นมาก็อาจถูกสัตว์ร้ายกัดแทะเนื้อแหว่งไปแล้วก็ได้“โหดร้ายเหลือเกิน”“ข้าไม่เชื่อว่าพี่สาวจะเป็นขโมย” ติงหยี่รีบพูดขึ้น “แม้พวกเราเคยเป็นขอทานแต่ไม่เคยขโมยของใคร พี่สาวถูกปรักปรำ

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter6.คนอะไรชื่ออืออา

    ‘หรือบาดเจ็บจนเป็นอัมพาตไปนะ’ เหมยซิงถามตัวเองแล้วพิจารณาจากท่าทางของเขา นางลองยกแขนของเขาขึ้นและปล่อยลง ท่อนแขนทิ้งตัวลงราวกับกิ่งไม้ร่วง นางสบตากับดวงตาที่มีแววตื่นตระหนกคู่นั้นแล้วหันไปบอกน้อง ๆ ที่รุมล้อมอยู่ให้ถอยห่างออกไปข้างนอกก่อน เมื่อในห้องโกโรโกโสไม่มีใครแล้ว นางจึงสูดลมหายใจลึกแล้วส่งยิ้มให้กำลังใจเขา “ที่นี่ไม่ผู้อื่นแล้ว เจ้าตั้งใจฟังข้าดี ๆ นะ” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเองประกอบคำพูด “เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ถ้าเข้าใจสิ่งที่หรือได้ยิน เจ้าพยักหน้าหนึ่งครั้งนะ” แม้คำพูดของนางจะฟังขัดหู แต่ซุนเว่ยหมินจำเป็นต้องทำตาม เขาฝืนพยักหน้าได้หนึ่งครั้งก็เหงื่อซึมออกมาอีกระลอก “ดี” นางพยักหน้ารับ “คราวนี้ลองเปล่งเสียงซิ อา....” “....อ..อา...” “ดี” นางยิ้มให้เขาเป็นของรางวัล “ข้าชื่อเหมยซิง เจ้าลองพูดชื่อตัวเองซิ” “....อือ...อา...” ‘คนอะไรชื่ออืออา’นางขมวดคิ้วแต่ส่งยิ้มให้ แต่เห็นเขาพยายามเปล่งเสียงหลายครั้งก็ยังเป็นเสียงอือ ๆ อา ๆ อยู่ นางเลยเดาว่าเขาพูดได้แค่นี้ คงมิใช่ชื่อจริงข

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 7. ซุนเว่ยหมิน

    “ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” นางรีบพูดขึ้นแล้วประคองให้เขาเอนหลังผิงผนังห้อง เพราะสภาพเหมือนผักเช่นเขาให้นั่งตัวตรงยังยากลำบาก ติงเชากวาดตามองชายร่างผอมที่ลูกสาวแบกกลับมาเมื่อสามวันก่อนแล้วพยักหน้ารับ ใบหน้าดุดันแม้มุมปากจะยกยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ได้ยิ้ม เขาไม่พูดอะไร แต่จากสภาพของชายแปลกหน้าที่นอนหมดสติมาหลายวันก็ทำให้เขาพอเข้าใจ และเกรงว่าสภาพนี้ถ้าเขาพูดอะไรมากไปก็จะทำให้คนป่วยลำบากใจเสียเปล่า “บ้านนี้อยู่กันง่าย ๆ เจ้าพักผ่อนให้แข็งแรงดีก่อน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย” ติงเชาพูดขึ้นแล้วหันไปพูดกับเด็ก ๆ รอบตัว “อย่าได้รบกวนคุณชายท่านนี้ ถือเสียว่าเขาเป็นแขกของพ่อก็แล้วกัน” “ขอรับท่านพ่อ” ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง พูดขึ้นพร้อมกัน แต่เพราะเป็นเด็กก็อดมองแบบอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายใบหน้าเหยเกดูน่ากลัว พวกเขากลับสงสารเห็นใจ ส่วนเด็กน้อยเหมยลี่หลบอยู่ด้านหลังพ่อบุญธรรม “ข้าขอดูแลเขาสักครู่แล้วจะออกไปแบกฟืนมาเก็บไว้ให้นะ” เหมยซิงเอ่ยขึ้น เห็นพ่อบุญธรรมพยักหน้าแล้วก็หันมาทางคนที่มีสภาพเป็นผัก“หิวหรือไม่” นางได้คำตอบเป

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 8. ร่างกายสภาพผัก

    หากไม่นับร่างกายที่มีสภาพเป็นผักเช่นนี้ ชีวิตความเป็นอยู่อันแสนยากจนทว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนี้ก็นับว่ามีความสุขมากนัก ติงเชาที่เด็ก ๆ เรียกพ่อบุญธรรมเป็นพรานป่าอาศัยหาของป่าเลี้ยงชีพ เขาเองไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของติงเชา แต่เหมยซิงและเด็ก ๆ ที่นี่เป็นผู้ที่หลงเหลือจากสงครามเมื่อหกปีก่อน ผลัดพรากจากพ่อแม่ญาติพี่น้องหรืออาจตายจากกันไปแล้ว พวกเขาจึงอยู่ที่นี่กันอย่างเรียบง่าย ไม่นานมานี่ติงเชาเกิดเจ็บป่วยทำให้เหมยซิงไปทำงานในบ้านเศรษฐีเป็นหญิงรับใช้ และถูกทำร้ายปางตาย ทำให้นางกลับมาอยู่ที่เดิมนี่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมนี้เป็นมาอย่างไร แต่เหมยซิงเองคงเข้าใจไปว่าเจ้าของร่างนี้เป็นเช่นเดียวกับนาง เพราะนาง ‘เก็บ’ เขามาจากป่าช้า นอกจากปลายนิ้วมือ และเท้าแล้ว ก็มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้ตามใจซึ่งยามนี้เขาเฝ้ามอง ร่างของเด็กสาวผอมบางที่ควงไม้พลองอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางเสียงปรบมือของน้อง ๆ “พี่สาวเก่งแบบนี้ไปขายศิลปะในเมืองคงได้หลายเงินเป็นแน่” ติงเกาพูดขึ้นแล้วทำท่าหมุนตัวเลียนแบบพี่สาว “ขายศิลปะคืออะไร?”

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 9. เรียกข้า

    “ขออภัยทุกท่าน” เสียเอี๋ยนลุกขึ้นประสานมือคาวระเด็กสาว และหันไปทางชายที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้าชื่อเสียเอี๋ยนได้รับคำสั่งให้ออกติดตามหาคุณชายหานมานับเดือนแล้ว เมื่อทราบว่าคุณชายอยู่ที่นี่จึงได้รีบเข้ามา บุกรุกบ้านของพวกท่านโดยมิได้ตั้งใจ โปรดอภัยให้ด้วย” “คุณชายหาน?” เหมยซิงขมวดคิ้วแล้วหันไปทางอาหมาน เนื่องจากนางดูแลเขามาจนพอจะเข้าใจสายตาของเขาแล้ว จึงเห็นแววตาของเขามีประกายตื่นเต้นยินดี ซึ่งแสดงว่าต้องรู้จักกับคนผู้นี้ ‘ไยเรียกข้าว่าคุณชายหาน’ ซุนเว่ยหมินส่งเสียงถามอยู่ในใจ แต่เสียเอี๋ยนที่มีพรสวรรค์เรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติกระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับด้วยเสียงที่มี แต่ซุนเว่ยหมินที่ได้ยินเช่นกัน ‘ก็ร่างที่ท่านอ๋องยืมใช้อยู่นี่เป็นร่างของคุณชายหานหงปิง ข้าจำเป็นต้องเรียกท่านว่าคุณชายหานนะซิ!’ “อาหมาน เจ้ารู้จักชายผู้นี้หรือไม่” เหมยซิงถามเพื่อความแน่ใจ เห็นใบหน้านั้นพยักหน้าลงเล็กน้อย นางก็พยักหน้ารับหันไปทางพ่อบุญธรรมของและน้อง ๆ ที่ยืนมองอย่างงุนงง “อาหมานรู้จักชายผู้นี้” นางเอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ค

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 10. เจ้าหมายถึงเรื่องใด

    “บ้านข้ายากจน ใบชานี้ก็ทำเอง ไม่รู้จะถูกปากท่านหรือไม่” “เพียงน้ำใจที่มอบให้ก็นับว่ามีค่ายิ่งนักแล้ว” เหมยซิงรินน้ำชาให้ แต่ดวงตาลอบมองอาหมานด้วยความเป็นห่วง แต่เห็นดวงตาคู่นั้นเพียงแค่จ้องมองการเคลื่อนไหวของนาง ไม่มีแววร้องขอความช่วยเหลือใด นางก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ เสียเอี๋ยนสังเกตสายตาของซุนเว่ยหมินที่กลอกตามองตามร่างเล็กที่เดินออกไปแล้ว “ท่านเชื่อใจนาง” เสียเอี๋ยนถามยิ้ม ๆ นิสัยของชายผู้นี้ยากจะไว้ใจใครได้ง่าย ‘สภาพเช่นข้าไม่มีทางเลือกนัก’ เขาปากหนักเกินกว่าจะยอมรับสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างใน “เห็นทีว่าข้าต้องขอความช่วยเหลือจากนางแล้ว” ‘เจ้าหมายถึงเรื่องใด’ “ข้าคงต้องการให้นางพาร่างนี้กลับเมืองหลวง” ‘ไยต้องเป็นนาง!’ “กว่าข้าจะหลบผู้คนออกมาตามหาท่านก็มิใช่เรื่องง่าย คนที่ลอบสังหารท่านก็ยังจับตัวไม่ได้ ที่ข้ามาที่นี่ก็มาเพียงลำพัง ร่างของท่านนั้นข้าให้เยี่ยนฉือองครักษ์ของท่านค่อยดูแลมิให้ใครเข้าใกล้” เสียเอี๋ยนชี้หน้าตัวเองแล้วฉีกยิ้ม “ข้าคิดว่าคนที่ลอบสังหารท่านยั

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter11.  ไม่อาจอธิบายได้

    “ข้าไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด แต่...คุณชายจะอยู่ได้เพียงสี่สิบเก้าวัน ตอนนี้เวลาเหลือเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น หากไม่รีบกลับเมืองหลวงคุณชายของข้าก็จะ...” ‘ตาย’ แม้ไม่ได้พูดมาแต่นางเข้าใจคำนั้นได้อย่างดีหญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ไม่เพียงแค่อยากรู้ถึงเหตุผลที่ตัวเองมาที่นี่ รวมทั้งร่างของตัวเองในอีกโลกยังรวมถึงชีวิตของอาหมานอีกด้วย แต่นางอดเป็นห่วงคนที่นี่ไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่แข็งแรงที่สุด เป็นพี่สาวของน้อง ๆ “ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยเป็นคนมีคุณธรรมไม่อาจเอาเรื่องเงินทองมาพูดคุยได้ แต่ถ้าเจ้ามีใจเมตตา ข้ายินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ในเวลานี้ทันทีห้าสิบตำลึง และจะได้รับอีกห้าสิบตำลึง เมื่อคุณชายกลับถึงเมืองหลวง” “ห้าสิบตำลึง” เงินห้าสิบตำลึงมันเยอะแค่ไหนนะ? ดวงตากลมมีแววประหลาดใจ นางมองหน้าเสียเอี๋ยนกับอาหมานสลับไปมาแล้วถอนหายใจหนัก“ยังไงก็ต้องเป็นข้าใช่ไหม” “แม่นาง...” “ขอข้าปรึกษาท่านพ่อก่อน” นางพูดตามตรง “แต่ท่านควรรู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รู้เส้นทาง” “เรื่องนั้นมิใช่ปัญหา เพียงของแค่

Latest chapter

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 73. จบ

    “คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 72.   ลูกๆ 

    ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 71.  ว่าที่สะใภ้น้อย

    หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 70.  รับความดีความชอบ

    “ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 69.   ครึ่งปีต่อมา

    ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 68.  กลับมา

    นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 67.  กล่าวคำลา

    “ดาว...” “ขอบใจนะศรัณย์” เธอยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับหน้าผากของชายหนุ่ม “ปล่อยดาวไปเถิดนะ” พันดาวสบตาศรัณย์พลันนึกถึงชายอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่แววตาที่จ้องมองเธอนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้ว แววตาของคนที่เธอรัก เธอไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่เพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ทำให้เธอรักเขาจนหมดหัวใจ “เหมยซิง!” หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เหลียวมองรอบตัว ใครกันนะ ใครกันที่เรียกชื่อเธอ ในห้องเต็มไปด้วยพยาบาลและคุณหมอ มารดาของพันดาวเดินตามนายแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามา เท้าของหญิงวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเห็นร่างของลูกสาวเป็นเงาจาง ๆ อยู่เหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียง “ยัยดาว!” “แม่” พันดาวหันกลับมาแล้วส่งยิ้มกว้าง “ดาวรักแม่นะคะ” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเธอ แต่อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจว่าลูกสาวคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่นี้พันดาวก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว “เหมยซิง!” หญิงสาวหันไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน พยายามนึกว่าเป็นเสียงของใคร

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 66.  เสียงระเบิด 

    เสียงระเบิดทำให้เหมยซิงหูอื้อ นางพยายามเบิกตากว้าง ภาพที่เห็นยามนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนั้น ขาดก็เพียงไม่มีสุนัขจิ้งจอกยืนจ้องหน้านาง ดวงตาคู่นั้น... ไฉนเหมือนดวงตาของเด็กชายอายุสิบสองที่ทุกคนก้มศีรษะให้ในฐานะองค์รัชทายาทนักนะ! ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในศีรษะทำให้ดวงตาสุกใสต้องปิดเปลือกตาแน่น ความมืดเข้าครอบงำ สติสัมปชัญญะ ไม่อาจฟื้นรับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างอีกแล้ว!. เสียงร้องไห้เรียกสติของหญิงสาวที่ลืมตาอยู่ในความมืดให้เดินตามเสียงที่ได้ยิน หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ทว่ากลับได้ยินเสียงร้องไห้ชัดขึ้นทำให้ต้องลืมตาอีกครั้งแล้วพบชายใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในชุดสีฟ้ากระจ่าง ใช่แล้ว เธอเคยบอกเขาว่าเขาดูเป็นผู้ชายโรแมนติกในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าละมุนตาอย่างนี้ ความดำมืดค่อย ๆ จางหาย ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง เท้าเล็ก ๆ พาร่างของตนเองไปหยุดยืนข้างเตียง หญิงสาวสีหน้าซีดเซียว ผอมบางจนแทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เมื่อพิจารณาดี ๆ นี่คือร่างของหญิงสาวที่ชื่อ...“พันดาว” น่าประหลาดใจที่ไม่รู้สึกตื

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 65.  เจ้ายังมีข้า

    “หัวเราะอะไร” “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าข้าจะไปไหน” “ก็เจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ปิดบังข้า ข้าไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก” ซุนเว่ยหมินยิ้มที่มุมปาก เขาสูดลมหายใจลึกก่อนพูดออกไป “มันไม่ใช่หินถล่มธรรมดา” “เจ้าถูกลอบทำร้าย?” “ย่อมเป็นเช่นนั้น” เขาถอนหายใจกระตุ้น ม้าไปยังจุดหมายที่นัดไว้ “การเป็นคนซื่อตรงเช่นข้าย่อมขัดแข้งขัดขาผู้อื่น” จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงเด็กชายวัยสิบสองขวบที่นางเคยช่วยไว้ผู้นั้น “องค์รัชทายาท...” “ทำไมรึ?” ซุนเว่ยหมินก้มหน้าลง ความสนใจของเขาอยู่ที่กำไลหยกเรียบง่ายทว่าเขามั่นใจว่าเมื่อคืนมันเปล่งแสงได้ “เรื่องของเจ้าเกี่ยวกับองค์รัชทายาทหรือไม่” นางถามตรงไปตรงมา “ที่ถามนี่เพราะเจ้าเป็นห่วงข้าหรือเจ้าเด็กนั่น!” ในสายตาเขา ไม่เห็นเป็นองค์รัชทายาท มองอย่างไรก็เป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่พี่สาวของเขาเป็นเต๋อเฟยแต่อย่างใด เหมยซิงหัวเราะเสียงใส “แบบนี้เรียกว่าเหม็นน้ำส้มได้หรือไม่” ซุนเว่ยหมินเลิกคิ้ว นางย้อนเขาด้วยเรื่องที่เขาเคยล้

DMCA.com Protection Status