“ติงหยี่”
“มีอะไรรึพี่สาว”
“ป่าช้านั้นอยู่ไกลไหม?”
ติงหยี่หยุดเดินแล้วหันไปจ้องมองใบหน้าของเหมยซิง
“พี่แค่อยากเห็นว่าที่ตรงนั้นเป็นเช่นไร” นางยื่นมือไปโยกศีรษะน้องชายเล่น
“จะดีหรือ?”
“นี่กลางวันอยู่ ไม่เป็นอะไรหรอก”
นางแค่อยากเห็นสถานที่ที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของเหมยซิง และได้เห็นว่าคนใจร้ายพวกนั้นโยนร่างนางทิ้งไว้เป็นสถานที่เช่นไร
ติงหยี่เห็นแววตาของพี่สาวแล้วก็ได้แค่พยักหน้ารับ เขาพาเดินออกนอกเส้นทางไปไม่นานนักก็เข้าสู่ป่ารกทึบ หากไม่เพราะทั้งสองขึ้นเขาหาของป่าเป็นประจำคงหวาดกลัวที่นี่ไม่น้อย
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าท่านพ่อพบพี่สาวที่ใด รู้แค่ว่าเป็นป่าช้าแห่งนี้”
เหมยซิงพยักหน้ารับแล้วยืนมองอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้เข้าไปลึกมากนัก แค่เพียงยืนอยู่ชายป่าก็ยังรู้สึกเยียบเย็นแม้จะเป็นยามบ่ายแล้วก็ตาม
คนแบบไหนกันถึงโหดร้ายถึงเพียงนี้ ลงโทษนางจนตายแล้วเอามาโยนทิ้งอย่างอนาถ หากพ่อบุญธรรมตามหานางช้าเกินไป ต่อในนางฟื้นขึ้นมาก็อาจถูกสัตว์ร้ายกัดแทะเนื้อแหว่งไปแล้วก็ได้
“โหดร้ายเหลือเกิน”
“ข้าไม่เชื่อว่าพี่สาวจะเป็นขโมย” ติงหยี่รีบพูดขึ้น “แม้พวกเราเคยเป็นขอทานแต่ไม่เคยขโมยของใคร พี่สาวถูกปรักปรำแน่นอน ข้าเชื่อว่าพี่สาวไม่ได้ทำอย่างที่พวกนั้นกล่าวหา”
“เอาเถิดอะไรที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยมันผ่านไป สู้เราเก็บแรงไว้ทำมาหากินของเราไม่ดีกว่ารึ”
นางยิ้มให้น้องชาย แต่ในใจอดคิดไม่ได้ว่า คนที่ทำร้ายเด็กสาวอายุสิบหกเป็นใครกัน และเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เมื่อทุกคนคิดว่านางตายไปแล้ว ก็เท่ากับว่าเรื่องราวในครั้งนั้นถือว่าสิ้นสุดได้หรือไม่นะ
“กลับกันเถิด”
“ฮืม” ติงหยี่ยิ้มน้อย ๆ เขายิ้มไม่เก่ง แต่พูดน้อย เมื่อยิ้มแล้วก็ดูเป็นเพียงเด็กชายคนหนึ่ง
เหมยซิงกำลังจะหมุนตัวกลับ คล้ายได้ยินเสียงร้องครางอยู่ไม่ไกลนัก เท้าของนางชะงัก และหันไปตามเสียงที่ได้ยิน
“พี่สาว” ติงหยี่เรียกเมื่อไม่เห็นว่าพี่สาวเดินตามออกมา
“รอเดี๋ยว” นางยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้เงียบก่อน อาจมีคนถูกทำร้ายแล้วเอามาทิ้งเหมือนนางก็ได้ ดวงตากลมกลอกไปมาเงี่ยหูฟังจนแน่ใจแล้วรีบก้าวยาว ๆ ไปหลังพุ่มไม้ที่อยู่ห่างจากนางราวยี่สิบก้าว
“พี่สาว” เพราะแบกของไว้เต็มหลัง เขาจึงก้าวตามพี่สาวได้ช้านัก เขาไม่ได้กลัวภูตผีแต่กลัวจะเป็นคนร้ายมากกว่า แต่เมื่อเดินไปทันแผ่นหลังของพี่สาว เขาเองก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น
“คนหรือผี...”
เหมยซิงไม่รอช้า รีบเข้าไปประคองร่างที่เปื้อนเลือดขึ้น เขาเป็นชายหนุ่มร่างผอมบาง เสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มไปแล้ว ใบหน้าก็มีรอยบอบช้ำเขียวเป็นจ้ำ นางพยายามจับตัวอย่างเบามือด้วยเกรงว่าจะถูกชิ้นส่วนในร่างกายที่แตกหัก กลับได้ยินเสียงครางออกมา
“คนซิ ยังหายใจอยู่”
เหมยซิงหันไปดุน้องชาย มือเรียวลูบคลำไปตามเนื้อตัว ลอบถอนหายใจเมื่อมั่นใจว่าไม่มีชิ้นส่วนใดหัก แต่ไม่พบบาดแผลที่ทำให้เลือดออกท่วมเสื้อผ้าเช่นนี้ คล้ายว่ามีคนเอาเสื้อผ้าชุ่มเลือดมาคลุมร่างนี้ไว้เพื่อซุกซ่อนชายผู้นี้ไว้
“แล้วจะทำอย่างไรดี”
“ต้องพาเขากลับไป”
“พากลับไป! ไปไหน!”
“บ้านเราซิ”
“จะพาไปอย่างไรเล่า”
“แบก!”
“พี่สาว! พี่จะแบกผู้ชายไม่ได้!” ติงหยี่ส่ายหน้ารัว พี่สาวยังไม่ได้แต่งงาน ขืนใครรู้เข้าคงไม่ได้ออกเรือนเป็นแน่
“ได้ซิ” เหมยซิงคิดแค่ช่วยคน “มาช่วยพี่หน่อย”
นางย่อตัวลงมุ่งมั่นเอาจริงว่าจะแบกชายผู้นี้ให้ได้ ติงหยี่จึงได้แต่ประคองชายที่หมดสติแต่หลุดปากครางอย่างเจ็บปวดตลอดเวลาให้เขาขึ้นหลังพี่สาว เขาตัวเล็กเกินไปไม่สามารถแบกชายผู้นี้ได้
เหมยซิงรวบรวมกำลัง ดีที่ตั้งแต่นางฟื้นมาก็ฝึกฝนออกกำลังกายอยู่เสมอ ร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงกว่าวันแรก ๆ ที่ฟื้นมามากนัก นางลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากแต่เมื่อทรงตัวได้ก็ออกก้าวเดิน เคยคิดว่าตัวเองผอมบางมากแล้ว ชายผู้นี้ผอมกว่านักน้ำหนักไม่มากเท่าที่คิด ใบหน้าของเขาพาดข้ามไหล่ลงมา ลมหายใจร้อนระอุดุจคนป่วยไข้ ส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวด
“อดทนหน่อยนะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป” เหมยซิงกระซิบบอก ราวกับน้ำเสียงของนางเข้าไปสู่อีกฝ่าย เสียงครางเงียบลงไปเหลือเพียงลมหายใจที่ยังสม่ำเสมออยู่
“รีบเดินเร็ว”
“อืม”
ติงหยี่ได้แต่พยักหน้ารับไม่คิดว่าพี่สาวจะมีแรงแบกผู้ชายขึ้นหลังได้อย่างนี้ แม้เห็นชัด ๆ ว่าพี่สาวยังคงเป็นเหมยซิงคนเดิมที่คอยดูแลเขาเขาและน้อง ๆ มาตลอด แต่ต้องยอมรับว่าหลังจากที่พี่สาวกลับจากป่าช้าก็เปลี่ยนไป
แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เขารู้สึกดียิ่งนัก.
ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ปลุกให้คนที่หมดสติตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ประสาทหูได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลนัก กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยคลุ้งในอากาศ ดวงที่ปิดสนิทมาหลายวันก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นดวงตากลมของเด็กหญิงตัวเล็กที่โน้มหน้าจ้องมองคนที่นอนอยู่
“พี่สาว!”
เสียงแหลมเล็กของเด็กน้อยดังขึ้นจนคนนอนต้องหลับตาไปอีกครั้ง รู้สึกเหมือนคนวิ่งออกไป และครู่ต่อมาเสียงหวานใสดังขึ้นแทนที่
“เหมยลี่ อย่าเสียดัง แล้วก็อย่าวิ่งด้วย ท่านพ่อยังนอนอยู่”
“แต่คนผู้นี้ลืมตาแล้ว”
“ลืมตาแล้ว?”
คนที่นอนอยู่ในห้องพยายามอีกคราในการลืมตาขึ้น คราวนี้สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กสาวมีเหงื่อเกาะพราว ดวงตาดำดุจนิลกระจ่างสุกใสจ้องมอง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้คนเห็นสบายตายิ่ง
“ฟื้นแล้วรึ”
‘ฟื้น’
ซุนเว่ยหมิน ทบทวนสิ่งที่ได้ยิน ที่นี่ที่ใดกัน เขาขยับปากจะส่งเสียงถาม แต่กลับมีเสียงครางครือในลำคอ เขาพยายามขยับตัวแต่ทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือเบิกตากว้าง และกลอกตาไปมามองสิ่งที่อยู่รอบข้างกาย
‘เกิดอะไรขึ้น ไฉนจึงขยับตัวไม่ได้เช่นนี้’
ชายหนุ่มถามตัวเองกลอกตาลงมองท่อนแขน คล้ายบังคับให้มันขยับ แต่กลับทำไม่ได้ รู้สึกเพียงมีแค่ปลายนิ้วกระดิกอย่างยากลำบาก จนเหงื่อไหล่ท่วมใบหน้า
เหมยซิงเห็นใบหน้าที่มีเหงื่อผุดขึ้นมา ซ้ำดวงตายังดูเคร่งเครียดผสานความตกใจ นางใช้ปลายแขนเสื้อซับเหงื่อให้เขาก่อนมองตามสายตาคู่นั่นที่มองแขนของตน เห็นเพียงปลายนิ้วที่กระดิกขึ้นลงเหมือนเคาะพื้นอยู่ นางจึงเลื่อนมือจากใบหน้าของเขาไปจับที่แขนแทน
“ขยับได้หรือไม่” เสียงหวานถามอย่างกังวล แต่กลับได้ยินเพียงเสียงครางครือในคอ นางก็หันไปสบตากับเขาแล้วขมวดคิ้วยุ่ง
‘หรือบาดเจ็บจนเป็นอัมพาตไปนะ’ เหมยซิงถามตัวเองแล้วพิจารณาจากท่าทางของเขา นางลองยกแขนของเขาขึ้นและปล่อยลง ท่อนแขนทิ้งตัวลงราวกับกิ่งไม้ร่วง นางสบตากับดวงตาที่มีแววตื่นตระหนกคู่นั้นแล้วหันไปบอกน้อง ๆ ที่รุมล้อมอยู่ให้ถอยห่างออกไปข้างนอกก่อน เมื่อในห้องโกโรโกโสไม่มีใครแล้ว นางจึงสูดลมหายใจลึกแล้วส่งยิ้มให้กำลังใจเขา “ที่นี่ไม่ผู้อื่นแล้ว เจ้าตั้งใจฟังข้าดี ๆ นะ” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเองประกอบคำพูด “เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ถ้าเข้าใจสิ่งที่หรือได้ยิน เจ้าพยักหน้าหนึ่งครั้งนะ” แม้คำพูดของนางจะฟังขัดหู แต่ซุนเว่ยหมินจำเป็นต้องทำตาม เขาฝืนพยักหน้าได้หนึ่งครั้งก็เหงื่อซึมออกมาอีกระลอก “ดี” นางพยักหน้ารับ “คราวนี้ลองเปล่งเสียงซิ อา....” “....อ..อา...” “ดี” นางยิ้มให้เขาเป็นของรางวัล “ข้าชื่อเหมยซิง เจ้าลองพูดชื่อตัวเองซิ” “....อือ...อา...” ‘คนอะไรชื่ออืออา’นางขมวดคิ้วแต่ส่งยิ้มให้ แต่เห็นเขาพยายามเปล่งเสียงหลายครั้งก็ยังเป็นเสียงอือ ๆ อา ๆ อยู่ นางเลยเดาว่าเขาพูดได้แค่นี้ คงมิใช่ชื่อจริงข
“ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” นางรีบพูดขึ้นแล้วประคองให้เขาเอนหลังผิงผนังห้อง เพราะสภาพเหมือนผักเช่นเขาให้นั่งตัวตรงยังยากลำบาก ติงเชากวาดตามองชายร่างผอมที่ลูกสาวแบกกลับมาเมื่อสามวันก่อนแล้วพยักหน้ารับ ใบหน้าดุดันแม้มุมปากจะยกยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ได้ยิ้ม เขาไม่พูดอะไร แต่จากสภาพของชายแปลกหน้าที่นอนหมดสติมาหลายวันก็ทำให้เขาพอเข้าใจ และเกรงว่าสภาพนี้ถ้าเขาพูดอะไรมากไปก็จะทำให้คนป่วยลำบากใจเสียเปล่า “บ้านนี้อยู่กันง่าย ๆ เจ้าพักผ่อนให้แข็งแรงดีก่อน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย” ติงเชาพูดขึ้นแล้วหันไปพูดกับเด็ก ๆ รอบตัว “อย่าได้รบกวนคุณชายท่านนี้ ถือเสียว่าเขาเป็นแขกของพ่อก็แล้วกัน” “ขอรับท่านพ่อ” ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง พูดขึ้นพร้อมกัน แต่เพราะเป็นเด็กก็อดมองแบบอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายใบหน้าเหยเกดูน่ากลัว พวกเขากลับสงสารเห็นใจ ส่วนเด็กน้อยเหมยลี่หลบอยู่ด้านหลังพ่อบุญธรรม “ข้าขอดูแลเขาสักครู่แล้วจะออกไปแบกฟืนมาเก็บไว้ให้นะ” เหมยซิงเอ่ยขึ้น เห็นพ่อบุญธรรมพยักหน้าแล้วก็หันมาทางคนที่มีสภาพเป็นผัก“หิวหรือไม่” นางได้คำตอบเป
หากไม่นับร่างกายที่มีสภาพเป็นผักเช่นนี้ ชีวิตความเป็นอยู่อันแสนยากจนทว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนี้ก็นับว่ามีความสุขมากนัก ติงเชาที่เด็ก ๆ เรียกพ่อบุญธรรมเป็นพรานป่าอาศัยหาของป่าเลี้ยงชีพ เขาเองไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของติงเชา แต่เหมยซิงและเด็ก ๆ ที่นี่เป็นผู้ที่หลงเหลือจากสงครามเมื่อหกปีก่อน ผลัดพรากจากพ่อแม่ญาติพี่น้องหรืออาจตายจากกันไปแล้ว พวกเขาจึงอยู่ที่นี่กันอย่างเรียบง่าย ไม่นานมานี่ติงเชาเกิดเจ็บป่วยทำให้เหมยซิงไปทำงานในบ้านเศรษฐีเป็นหญิงรับใช้ และถูกทำร้ายปางตาย ทำให้นางกลับมาอยู่ที่เดิมนี่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมนี้เป็นมาอย่างไร แต่เหมยซิงเองคงเข้าใจไปว่าเจ้าของร่างนี้เป็นเช่นเดียวกับนาง เพราะนาง ‘เก็บ’ เขามาจากป่าช้า นอกจากปลายนิ้วมือ และเท้าแล้ว ก็มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้ตามใจซึ่งยามนี้เขาเฝ้ามอง ร่างของเด็กสาวผอมบางที่ควงไม้พลองอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางเสียงปรบมือของน้อง ๆ “พี่สาวเก่งแบบนี้ไปขายศิลปะในเมืองคงได้หลายเงินเป็นแน่” ติงเกาพูดขึ้นแล้วทำท่าหมุนตัวเลียนแบบพี่สาว “ขายศิลปะคืออะไร?”
“ขออภัยทุกท่าน” เสียเอี๋ยนลุกขึ้นประสานมือคาวระเด็กสาว และหันไปทางชายที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้าชื่อเสียเอี๋ยนได้รับคำสั่งให้ออกติดตามหาคุณชายหานมานับเดือนแล้ว เมื่อทราบว่าคุณชายอยู่ที่นี่จึงได้รีบเข้ามา บุกรุกบ้านของพวกท่านโดยมิได้ตั้งใจ โปรดอภัยให้ด้วย” “คุณชายหาน?” เหมยซิงขมวดคิ้วแล้วหันไปทางอาหมาน เนื่องจากนางดูแลเขามาจนพอจะเข้าใจสายตาของเขาแล้ว จึงเห็นแววตาของเขามีประกายตื่นเต้นยินดี ซึ่งแสดงว่าต้องรู้จักกับคนผู้นี้ ‘ไยเรียกข้าว่าคุณชายหาน’ ซุนเว่ยหมินส่งเสียงถามอยู่ในใจ แต่เสียเอี๋ยนที่มีพรสวรรค์เรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติกระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับด้วยเสียงที่มี แต่ซุนเว่ยหมินที่ได้ยินเช่นกัน ‘ก็ร่างที่ท่านอ๋องยืมใช้อยู่นี่เป็นร่างของคุณชายหานหงปิง ข้าจำเป็นต้องเรียกท่านว่าคุณชายหานนะซิ!’ “อาหมาน เจ้ารู้จักชายผู้นี้หรือไม่” เหมยซิงถามเพื่อความแน่ใจ เห็นใบหน้านั้นพยักหน้าลงเล็กน้อย นางก็พยักหน้ารับหันไปทางพ่อบุญธรรมของและน้อง ๆ ที่ยืนมองอย่างงุนงง “อาหมานรู้จักชายผู้นี้” นางเอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ค
“บ้านข้ายากจน ใบชานี้ก็ทำเอง ไม่รู้จะถูกปากท่านหรือไม่” “เพียงน้ำใจที่มอบให้ก็นับว่ามีค่ายิ่งนักแล้ว” เหมยซิงรินน้ำชาให้ แต่ดวงตาลอบมองอาหมานด้วยความเป็นห่วง แต่เห็นดวงตาคู่นั้นเพียงแค่จ้องมองการเคลื่อนไหวของนาง ไม่มีแววร้องขอความช่วยเหลือใด นางก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ เสียเอี๋ยนสังเกตสายตาของซุนเว่ยหมินที่กลอกตามองตามร่างเล็กที่เดินออกไปแล้ว “ท่านเชื่อใจนาง” เสียเอี๋ยนถามยิ้ม ๆ นิสัยของชายผู้นี้ยากจะไว้ใจใครได้ง่าย ‘สภาพเช่นข้าไม่มีทางเลือกนัก’ เขาปากหนักเกินกว่าจะยอมรับสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างใน “เห็นทีว่าข้าต้องขอความช่วยเหลือจากนางแล้ว” ‘เจ้าหมายถึงเรื่องใด’ “ข้าคงต้องการให้นางพาร่างนี้กลับเมืองหลวง” ‘ไยต้องเป็นนาง!’ “กว่าข้าจะหลบผู้คนออกมาตามหาท่านก็มิใช่เรื่องง่าย คนที่ลอบสังหารท่านก็ยังจับตัวไม่ได้ ที่ข้ามาที่นี่ก็มาเพียงลำพัง ร่างของท่านนั้นข้าให้เยี่ยนฉือองครักษ์ของท่านค่อยดูแลมิให้ใครเข้าใกล้” เสียเอี๋ยนชี้หน้าตัวเองแล้วฉีกยิ้ม “ข้าคิดว่าคนที่ลอบสังหารท่านยั
“ข้าไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด แต่...คุณชายจะอยู่ได้เพียงสี่สิบเก้าวัน ตอนนี้เวลาเหลือเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น หากไม่รีบกลับเมืองหลวงคุณชายของข้าก็จะ...” ‘ตาย’ แม้ไม่ได้พูดมาแต่นางเข้าใจคำนั้นได้อย่างดีหญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ไม่เพียงแค่อยากรู้ถึงเหตุผลที่ตัวเองมาที่นี่ รวมทั้งร่างของตัวเองในอีกโลกยังรวมถึงชีวิตของอาหมานอีกด้วย แต่นางอดเป็นห่วงคนที่นี่ไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่แข็งแรงที่สุด เป็นพี่สาวของน้อง ๆ “ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยเป็นคนมีคุณธรรมไม่อาจเอาเรื่องเงินทองมาพูดคุยได้ แต่ถ้าเจ้ามีใจเมตตา ข้ายินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ในเวลานี้ทันทีห้าสิบตำลึง และจะได้รับอีกห้าสิบตำลึง เมื่อคุณชายกลับถึงเมืองหลวง” “ห้าสิบตำลึง” เงินห้าสิบตำลึงมันเยอะแค่ไหนนะ? ดวงตากลมมีแววประหลาดใจ นางมองหน้าเสียเอี๋ยนกับอาหมานสลับไปมาแล้วถอนหายใจหนัก“ยังไงก็ต้องเป็นข้าใช่ไหม” “แม่นาง...” “ขอข้าปรึกษาท่านพ่อก่อน” นางพูดตามตรง “แต่ท่านควรรู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รู้เส้นทาง” “เรื่องนั้นมิใช่ปัญหา เพียงของแค่
“ใช้เวลาเดินทางสิบวัน ถ้าเป็นม้าเร็วก็ใช้เวลาแค่ครึ่งหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นหมู่บ้านที่อยู่ก็ไม่ไกลเมืองหลวงมากซินะ”เหมยซิงพูดกับตัวเองแต่ให้ดังพอที่คนข้างหลังได้ยิน แม้เขาโต้ตอบนางไม่ได้ก็เถอะ นางอยากส่งเสียงให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เหมยซิงนึกถึงเรื่องราวที่พูดคุยกับเสียเอี๋ยน แม้คนผู้นั้นพูดกำกวมไม่ขยายความให้เข้าใจทั้งหมด แต่คาดเดาว่าคุณชายของเสียเอี๋ยนผู้นี้คล้ายกับนางตรงที่ดวงจิตมาอยู่อีกร่าง ซ้ำร้ายที่ดวงจิตของเขาดันมาอยู่ในร่างที่เป็นผักสื่อสารกับใครไม่ได้เช่นนี้ อยากกลับบ้านก็ทำไม่ได้ ส่วนนางดวงจิตมาอยู่ในร่างเด็กสาววัยสิบหก ทว่าดวงจิตของนางหลุดมาจากอีกโลกหนึ่ง นางเหลือความหวังน้อยเหลือเกินที่จะได้กลับไปโลกเดิม แต่พอคิดว่านางอาจจะช่วยคนที่มีสภาพเป็นผักให้กลับคืนเป็นปกติในร่างที่ควรอยู่ นางก็มีกำลังใจขึ้นมา และที่สำคัญ...หากนางกลับไม่ได้จริง ๆ ขอเพียงได้รู้ว่าลุงทองดีสบายดีก็พอแล้ว จะว่าไปชีวิตในร่างนี้มีส่วนคล้ายกับนางในโลกโน้น นางมีลุงทองดีเป็นเหมือนพ่อบุญธรรม อยู่ที่นี่นางก็มีติงเชาเป็นพ่อบุญธรรม แต่ที่นี่นางยังมีน้อง ๆ
ซุนเว่ยหมินแทบสำลักน้ำลายตัวเอง สองหูได้ยินสิ่งที่หญิงผู้นั้นพูดท่าทางสงสารเหมยซิงจับใจ เหมยซิงเมื่อพาชายหนุ่มเข้ามาในห้องแล้วก็จัดท่าทางให้เขาได้เอนหลังสบาย ๆ เห็นดวงตาของเขาจ้องมองเขม็ง นางถลึงตามองกลับก่อนย่นจมูกแล้วยื่นปลายนิ้วมาจิ้มจมูกของเขาเบา ๆ “ข้าจำเป็นต้องบอกพวกเขาว่าเจ้าเป็นสามีของข้า ข้าจะพาสามีกลับบ้าน”นางยิ้มทะเล้นใส่ แล้วหมุนตัวไปรินน้ำป้อนให้เขาจิบที่ละนิด“ประเดี๋ยวข้าจะออกไปดูสักหน่อยว่าจะทำอาหารเย็นกินกัน เจ้ารออยู่คนเดียวก่อนนะ” นางไม่รอให้เขาพยักหน้ารับ รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แม้นางจะปิดประตูห้องแล้ว แต่เขายังได้ยินเสียงนางพูดคุยกับหญิงชรา และสะใภ้ผู้นั้น แม้จับใจความที่พวกนางสนทนาไม่ได้แต่เสียงหัวเราะของเหมยซิงทำให้เขาพลอยหัวเราะตามไปด้วย ไม่นานนักเหมยซิงก็กลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำ “เช็ดตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน เสื้อผ้าเจ้าข้าจะรีบซักตาก น่าจะแห้งก่อนเดินทาง”แม้ในบ้านจะมีผู้ชาย แต่ก็เป็นเด็กและพ่อบุญธรรมก็ป่วย นางจึงรับหน้าที่ดูแลอาหมาน ในโลกโน้นนางอยู่กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เป็นสตั๊นต์แมน เห็นผู้ชายเปล