“ท่านพ่อ” นางเข้าไปทำตาละห้อยใส่พ่อบุญธรรมที่ยืนกรานไม่ให้นางไปทำงานรับใช้ใครทั้งนั้น
“ไม่ได้! พ่อไม่ให้เจ้าไปลำบากอีกแล้ว” ติงเชายืนกราน ครั้งก่อนลูกสาวหนีไปทำงานเป็นหญิงรับใช้ ถูกใส่ความแปดเปื้อนทำร้ายปางตายซ้ำถูกโยนทิ้งในป่าช้า
“แต่ท่านพ่อ ข้าอยากได้เมล็ดพันธุ์มาเพาะปลูก” นางทำหน้างอง้ำ มีที่ดินพอจะเพาะปลูกได้ กระท่อมอยู่ใกล้แหล่งน้ำ
นางจดจำเรื่องการทำฝายทดน้ำได้จากที่เคยไปออกค่ายอาสา น่าจะปรับมาใช้กับที่ดินที่นี่ได้ ผันน้ำเข้าที่นาตัวเอง ยังไงก็ต้องลองปลูกพืชระยะสั้นดูก่อน หากไม่รีบทำอะไรเสียตั้งแต่ตอนนี้ เข้าฤดูหนาว หิมะตกเพาะปลูกอะไรก็ลำบาก รวมทั้งหาของป่ากินยิ่งยาก นางรอดตายจากระเบิด และไฟคลอกมาแล้ว อย่าต้องมาอดตายเลยนะ
“เจ้ามั่นใจว่าจะทำได้รึ”
“ยังไม่ได้ลงมือทำ ก็บอกไม่ได้หรอกเจ้าค่ะว่าจะทำได้หรือไม่” นางยืนยัน
ติงเชาเห็นแววตามุ่งมั่นของลูกสาวก็ได้แต่ยิ้มบางๆ ก่อนหน้านี้เด็กสาวตรงหน้าทั้งอ่อนแอ และบอบบาง ทว่าจิตใจนางเข้มแข็งนัก เพื่อให้น้อง ๆ ได้สบายตัวเองยอมลำบากเท่าใดก็ได้ แม้ฟื้นมาครั้งนี้รู้สึกแปลกไปบ้าง แต่นับว่าดีไม่น้อย ยิ่งเห็นนางแอบฝึกฝนร่างกาย ควงไม้พลอง และยิงธนู เขายิ่งอยากลุกขึ้นจากที่นอนแล้วไปสอนนางด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไร นางไม่เคยแตะต้องเลยสักครั้ง เพียงแค่อยากสอนให้นางป้องกันตัวได้บ้าง แต่เมื่อเห็นว่านางไม่มีความถนัดด้านนี้ เขาไม่คิดบีบบังคับให้นางต้องฝืนใจทำ แต่มายามนี้นางกลับอยากเรียนรู้แต่สภาพร่างกายของเขานั้นไม่เอื้ออำนวย ได้แต่ทอดถอนใจอย่างเสียดาย
“ท่านพ่อ ลองดูสักครั้งเถิด ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าผิดพลาดที่ใด ครั้งหน้าจะได้ไม่ผิดพลาดอีก”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปหาเถ้าแก่มู่ บอกว่าพ่อขอยืมเมล็ดพันธุ์สำหรับการเพาะปลูก”
“เถ้าแก่มู่?” นางทวนคำด้วยสีหน้างุนงง
“เจ้าคงจำไม่ได้ แต่ไปหาไม่ยากหรอก เถ้าแก่มู่อยู่ที่ตลาดให้ ติงหยี่ไปเป็นเพื่อนเจ้าก็ได้ บอกว่าพ่อให้มาขอปันเมล็ดพันธุ์”
“เจ้าค่ะ” นางอยากถามต่อว่าพูดแค่นี้ก็ได้แล้วหรือ? ต้องหาสิ่งใดไปค้ำประกันหรือไม่ แต่ไม่เห็นพ่อบุญธรรมพูดอะไรอีก นางจึงเข้าใจว่าพ่อบุญธรรมกับเถ้าแก่มู่คงสนิทสนมกันจนสามารถขอหยิบยืมเมล็ดพันธุ์พืชได้
พูดเพียงเล็กน้อยก็เหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวประคองพ่อบุญธรรมลงนอนตามเดิม เรียกเด็ก ๆ มาคอยดูแลปรนนิบัติไม่ให้ไปเล่นไกลตา แล้วเรียกติงหยี่ให้ไปพร้อมกับนาง หญิงสาวกำชับไม่ให้เด็ก ๆ ไปห่างพ่อบุญธรรมแล้วเร่งรีบเดินทาง
“บ้านเถ้าแก่มู่นี่อยู่ไกลหรือไม่”
“แค่ครึ่งชั่วยามก็ไปถึง” ติงหยี่เป็นเด็กชายตัวโตที่สุด แต่ก็ยังผอมบางหากเทียบกับเด็กชายวัยสิบสองทั่วไป
“พี่จำอะไรไม่ได้ เจ้าอย่าถือสาพี่เลยนะ” นางยื่นมือไปโยกศีรษะน้องชายอย่างหยอกล้อ เขายิ้มกว้างแล้วส่ายหน้าไปมา
“พี่เหมยซิงทำเพื่อพวกเรามากมายนัก ข้าไม่ว่าอะไรพี่หรอก หากข้าเข้มแข็งกว่านี้ ตัวโตกว่านี้ คงปกป้องพี่และน้อง ๆ ได้แล้ว”
“เด็กโง่ เจ้าอย่าพูดเช่นนั้น อย่างไรพี่ก็เป็นพี่ หน้าที่ของพี่คือดูแลน้อง ๆ”
เหมยซิงเดินตามถนนเส้นเล็ก ๆ จากบ้านไม่นานนัก ก็เข้าสู่ถนนเส้นหลัก ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานางไม่เคยออกจากกระท่อมเข้าเมืองเลยสักครั้ง แม้จะใช้การเดินเท้า แต่เมื่อพันดาวที่อยู่ในร่างเหมยซิงนั้นไม่คุ้นเคยกับทิวทัศน์สองข้างทาง ก็อดมองอย่างจดจำไปด้วยไม่ได้ ปากคอยสอบถามจนติงหยี่ที่ปกติเป็นคนพูดน้อยต้องพูดมากไปอย่างไม่รู้ตัว
ราวครึ่งชั่วยามทั้งสองก็มาถึงบ้านเถ้าแก่มู่ เหมยซิงยืนมองด้านหน้าเห็นเป็นร้านเหมือนร้านขายของชำแต่เป็นร้านขนาดใหญ่ ติงหยี่ยืนอย่างขลาด ๆ นางจึงหันไปยิ้มให้กำลังใจน้องชายแล้วเดินเข้าไปขอพบเถ้าแก่ เด็กรับใช้ที่ง่วนกับการลูกค้าปลีกตัวมาคุยกับนาง และพานางไปยืนรอด้านใน ไม่นานนักชายวัยห้าสิบก็โผล่หน้าออกมา เพียงเห็นหน้านางเข้าอีกฝ่ายก็มีสีหน้าตกใจไม่น้อย แต่กระนั้นก็ทำเป็นยิ้มออกมาแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ
“เจ้า...เจ้าสบายดีรึเหมยซิง”
“เจ้าค่ะ” นางยิ้มรับ ไม่เข้าใจสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ไม่สนใจอะไรนัก “ท่านพ่อให้ข้ามาขอยืมเมล็ดพันธุ์เพื่อนำไปเพาะปลูก”
“เพาะปลูก?”
“เจ้าค่ะ” นางไม่กล้าพูดอะไรมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้อะไรบ้าง คงแล้วแต่เถ้าแก่มู่จะเมตตาให้ยืมก็แล้วกัน
“พ่อของเจ้าเคยพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” เถ้าแก่มู่พูดพลางจ้องมองเด็กสาวเหมือนจับผิด แต่ดูอย่างไรก็เป็น ‘เหมยซิง’ ที่เขารู้จัก แม้ได้ข่าวว่านางตายไปแล้วก็ตาม
“ข้าจะให้เด็ก ๆ จัดให้ แล้วลงบัญชีพ่อของเจ้าไว้”
“เจ้าค่ะ”
นางยิ้มรับแล้วก็เห็นเถ้าแก่พยักหน้าหงึกหงักรีบเดินออกไป นางได้แต่ยืนงงอยู่ ครู่ต่อมาเด็กในร้านก็เอาถุงใส่เมล็ดพันธุ์พืชมาให้
“มีข้าวเปลือกและข้าวโพด แม่นางเชิญลงชื่อที่นี่” เด็กรับใช้บอกนาง และเชิญให้นางไปที่โต๊ะไม่ไกลนัก
เหมยซิงขมวดคิ้ว ตัวอักษรยึกยือเหล่านี้คงเป็นตัวอักษรจีน แต่ให้เป็นอักษรจีนปัจจุบัน หรือโบราณนางก็อ่านไม่ออก ได้แต่นั่งมองอย่างอ้ำอึ้ง เงยหน้าขึ้นมองเด็กรับใช้ อีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจเรียกหลงจู๊ออกมา
“แม่นาง ถ้าเขียนชื่อไม่ได้ก็พิมพ์ลายนิ้วมือที่นี่”
“ได้” รู้สึกน่าอายเสียจริงที่เขียนชื่อตัวเองก็ไม่ได้ นางลอบมองติงหยี่เห็นเขาก้มหน้าก้มตา เขาเองก็คงเขียนชื่อตัวเองไม่เป็นเหมือนนาง เด็กในบ้านไม่มีใครได้เรียนหนังสือสักคน คงยากสักหน่อยที่พวกเขาหรือแม้แต่ตัวนางจะเขียนชื่อตัวเองได้ นางกดนิ้วโป้งกับแท่นหมึกแล้วประทับลงกระดาษที่หลงจู๊บอก เมล็ดพันธุ์มีหลายถุง โชคดีที่ติงหยี่รอบคอบเอาตะกร้าขึ้นหลังมาด้วย แม้เขาตัวเล็กแต่ไม่ยอมให้นางแบกแทน
“สักครึ่งทางก็ผลัดให้ข้าแบกก็แล้วกัน”
“ฮืม” ติงหยี่พยักหน้ารับ
เมื่อออกจากร้านเถ้าแก่หวัง เหมยซิงหรือพันดาวรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมองนาง หญิงสาวจ้องมองกลับเพียงแค่นั้นก็ทำให้คนเหล่านั้นสะดุ้งโหย่ง รีบหันหนีไปทางอื่นทันที
“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือไร จ้องมองกันจริง” เหมยซิงย่นจมูก อยากเดินดูตลาดเสียหน่อยก็หมดอารมณ์แถมยังกังวลว่าน้องชายจะแบกของหนักอีกด้วย
“เพราะผู้อื่นคิดว่าพี่สาวตายไปแล้ว” ติงหยี่เอ่ยเสียงเบากลัวพี่สาวเป็นกังวล
“อ๋อ...เรื่องนั้นเองหรือ?” นางพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเดินออกจากตลาดไปอย่างเงียบ ๆ ไม่น่าแปลกใจถ้าคนที่รู้จักเหมยซิง และรู้เรื่องที่นางถูกโยนทิ้งในป่าช้า หากมาเห็นนางเดินใต้แสงตะวันกลางวันแสก ๆ เช่นนี้คงตกใจไม่น้อย
“ติงหยี่”“มีอะไรรึพี่สาว”“ป่าช้านั้นอยู่ไกลไหม?”ติงหยี่หยุดเดินแล้วหันไปจ้องมองใบหน้าของเหมยซิง“พี่แค่อยากเห็นว่าที่ตรงนั้นเป็นเช่นไร” นางยื่นมือไปโยกศีรษะน้องชายเล่น“จะดีหรือ?”“นี่กลางวันอยู่ ไม่เป็นอะไรหรอก” นางแค่อยากเห็นสถานที่ที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของเหมยซิง และได้เห็นว่าคนใจร้ายพวกนั้นโยนร่างนางทิ้งไว้เป็นสถานที่เช่นไรติงหยี่เห็นแววตาของพี่สาวแล้วก็ได้แค่พยักหน้ารับ เขาพาเดินออกนอกเส้นทางไปไม่นานนักก็เข้าสู่ป่ารกทึบ หากไม่เพราะทั้งสองขึ้นเขาหาของป่าเป็นประจำคงหวาดกลัวที่นี่ไม่น้อย“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าท่านพ่อพบพี่สาวที่ใด รู้แค่ว่าเป็นป่าช้าแห่งนี้”เหมยซิงพยักหน้ารับแล้วยืนมองอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้เข้าไปลึกมากนัก แค่เพียงยืนอยู่ชายป่าก็ยังรู้สึกเยียบเย็นแม้จะเป็นยามบ่ายแล้วก็ตามคนแบบไหนกันถึงโหดร้ายถึงเพียงนี้ ลงโทษนางจนตายแล้วเอามาโยนทิ้งอย่างอนาถ หากพ่อบุญธรรมตามหานางช้าเกินไป ต่อในนางฟื้นขึ้นมาก็อาจถูกสัตว์ร้ายกัดแทะเนื้อแหว่งไปแล้วก็ได้“โหดร้ายเหลือเกิน”“ข้าไม่เชื่อว่าพี่สาวจะเป็นขโมย” ติงหยี่รีบพูดขึ้น “แม้พวกเราเคยเป็นขอทานแต่ไม่เคยขโมยของใคร พี่สาวถูกปรักปรำ
‘หรือบาดเจ็บจนเป็นอัมพาตไปนะ’ เหมยซิงถามตัวเองแล้วพิจารณาจากท่าทางของเขา นางลองยกแขนของเขาขึ้นและปล่อยลง ท่อนแขนทิ้งตัวลงราวกับกิ่งไม้ร่วง นางสบตากับดวงตาที่มีแววตื่นตระหนกคู่นั้นแล้วหันไปบอกน้อง ๆ ที่รุมล้อมอยู่ให้ถอยห่างออกไปข้างนอกก่อน เมื่อในห้องโกโรโกโสไม่มีใครแล้ว นางจึงสูดลมหายใจลึกแล้วส่งยิ้มให้กำลังใจเขา “ที่นี่ไม่ผู้อื่นแล้ว เจ้าตั้งใจฟังข้าดี ๆ นะ” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเองประกอบคำพูด “เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ถ้าเข้าใจสิ่งที่หรือได้ยิน เจ้าพยักหน้าหนึ่งครั้งนะ” แม้คำพูดของนางจะฟังขัดหู แต่ซุนเว่ยหมินจำเป็นต้องทำตาม เขาฝืนพยักหน้าได้หนึ่งครั้งก็เหงื่อซึมออกมาอีกระลอก “ดี” นางพยักหน้ารับ “คราวนี้ลองเปล่งเสียงซิ อา....” “....อ..อา...” “ดี” นางยิ้มให้เขาเป็นของรางวัล “ข้าชื่อเหมยซิง เจ้าลองพูดชื่อตัวเองซิ” “....อือ...อา...” ‘คนอะไรชื่ออืออา’นางขมวดคิ้วแต่ส่งยิ้มให้ แต่เห็นเขาพยายามเปล่งเสียงหลายครั้งก็ยังเป็นเสียงอือ ๆ อา ๆ อยู่ นางเลยเดาว่าเขาพูดได้แค่นี้ คงมิใช่ชื่อจริงข
“ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” นางรีบพูดขึ้นแล้วประคองให้เขาเอนหลังผิงผนังห้อง เพราะสภาพเหมือนผักเช่นเขาให้นั่งตัวตรงยังยากลำบาก ติงเชากวาดตามองชายร่างผอมที่ลูกสาวแบกกลับมาเมื่อสามวันก่อนแล้วพยักหน้ารับ ใบหน้าดุดันแม้มุมปากจะยกยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ได้ยิ้ม เขาไม่พูดอะไร แต่จากสภาพของชายแปลกหน้าที่นอนหมดสติมาหลายวันก็ทำให้เขาพอเข้าใจ และเกรงว่าสภาพนี้ถ้าเขาพูดอะไรมากไปก็จะทำให้คนป่วยลำบากใจเสียเปล่า “บ้านนี้อยู่กันง่าย ๆ เจ้าพักผ่อนให้แข็งแรงดีก่อน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย” ติงเชาพูดขึ้นแล้วหันไปพูดกับเด็ก ๆ รอบตัว “อย่าได้รบกวนคุณชายท่านนี้ ถือเสียว่าเขาเป็นแขกของพ่อก็แล้วกัน” “ขอรับท่านพ่อ” ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง พูดขึ้นพร้อมกัน แต่เพราะเป็นเด็กก็อดมองแบบอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายใบหน้าเหยเกดูน่ากลัว พวกเขากลับสงสารเห็นใจ ส่วนเด็กน้อยเหมยลี่หลบอยู่ด้านหลังพ่อบุญธรรม “ข้าขอดูแลเขาสักครู่แล้วจะออกไปแบกฟืนมาเก็บไว้ให้นะ” เหมยซิงเอ่ยขึ้น เห็นพ่อบุญธรรมพยักหน้าแล้วก็หันมาทางคนที่มีสภาพเป็นผัก“หิวหรือไม่” นางได้คำตอบเป
หากไม่นับร่างกายที่มีสภาพเป็นผักเช่นนี้ ชีวิตความเป็นอยู่อันแสนยากจนทว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนี้ก็นับว่ามีความสุขมากนัก ติงเชาที่เด็ก ๆ เรียกพ่อบุญธรรมเป็นพรานป่าอาศัยหาของป่าเลี้ยงชีพ เขาเองไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของติงเชา แต่เหมยซิงและเด็ก ๆ ที่นี่เป็นผู้ที่หลงเหลือจากสงครามเมื่อหกปีก่อน ผลัดพรากจากพ่อแม่ญาติพี่น้องหรืออาจตายจากกันไปแล้ว พวกเขาจึงอยู่ที่นี่กันอย่างเรียบง่าย ไม่นานมานี่ติงเชาเกิดเจ็บป่วยทำให้เหมยซิงไปทำงานในบ้านเศรษฐีเป็นหญิงรับใช้ และถูกทำร้ายปางตาย ทำให้นางกลับมาอยู่ที่เดิมนี่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมนี้เป็นมาอย่างไร แต่เหมยซิงเองคงเข้าใจไปว่าเจ้าของร่างนี้เป็นเช่นเดียวกับนาง เพราะนาง ‘เก็บ’ เขามาจากป่าช้า นอกจากปลายนิ้วมือ และเท้าแล้ว ก็มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้ตามใจซึ่งยามนี้เขาเฝ้ามอง ร่างของเด็กสาวผอมบางที่ควงไม้พลองอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางเสียงปรบมือของน้อง ๆ “พี่สาวเก่งแบบนี้ไปขายศิลปะในเมืองคงได้หลายเงินเป็นแน่” ติงเกาพูดขึ้นแล้วทำท่าหมุนตัวเลียนแบบพี่สาว “ขายศิลปะคืออะไร?”
“ขออภัยทุกท่าน” เสียเอี๋ยนลุกขึ้นประสานมือคาวระเด็กสาว และหันไปทางชายที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้าชื่อเสียเอี๋ยนได้รับคำสั่งให้ออกติดตามหาคุณชายหานมานับเดือนแล้ว เมื่อทราบว่าคุณชายอยู่ที่นี่จึงได้รีบเข้ามา บุกรุกบ้านของพวกท่านโดยมิได้ตั้งใจ โปรดอภัยให้ด้วย” “คุณชายหาน?” เหมยซิงขมวดคิ้วแล้วหันไปทางอาหมาน เนื่องจากนางดูแลเขามาจนพอจะเข้าใจสายตาของเขาแล้ว จึงเห็นแววตาของเขามีประกายตื่นเต้นยินดี ซึ่งแสดงว่าต้องรู้จักกับคนผู้นี้ ‘ไยเรียกข้าว่าคุณชายหาน’ ซุนเว่ยหมินส่งเสียงถามอยู่ในใจ แต่เสียเอี๋ยนที่มีพรสวรรค์เรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติกระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับด้วยเสียงที่มี แต่ซุนเว่ยหมินที่ได้ยินเช่นกัน ‘ก็ร่างที่ท่านอ๋องยืมใช้อยู่นี่เป็นร่างของคุณชายหานหงปิง ข้าจำเป็นต้องเรียกท่านว่าคุณชายหานนะซิ!’ “อาหมาน เจ้ารู้จักชายผู้นี้หรือไม่” เหมยซิงถามเพื่อความแน่ใจ เห็นใบหน้านั้นพยักหน้าลงเล็กน้อย นางก็พยักหน้ารับหันไปทางพ่อบุญธรรมของและน้อง ๆ ที่ยืนมองอย่างงุนงง “อาหมานรู้จักชายผู้นี้” นางเอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ค
“บ้านข้ายากจน ใบชานี้ก็ทำเอง ไม่รู้จะถูกปากท่านหรือไม่” “เพียงน้ำใจที่มอบให้ก็นับว่ามีค่ายิ่งนักแล้ว” เหมยซิงรินน้ำชาให้ แต่ดวงตาลอบมองอาหมานด้วยความเป็นห่วง แต่เห็นดวงตาคู่นั้นเพียงแค่จ้องมองการเคลื่อนไหวของนาง ไม่มีแววร้องขอความช่วยเหลือใด นางก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ เสียเอี๋ยนสังเกตสายตาของซุนเว่ยหมินที่กลอกตามองตามร่างเล็กที่เดินออกไปแล้ว “ท่านเชื่อใจนาง” เสียเอี๋ยนถามยิ้ม ๆ นิสัยของชายผู้นี้ยากจะไว้ใจใครได้ง่าย ‘สภาพเช่นข้าไม่มีทางเลือกนัก’ เขาปากหนักเกินกว่าจะยอมรับสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างใน “เห็นทีว่าข้าต้องขอความช่วยเหลือจากนางแล้ว” ‘เจ้าหมายถึงเรื่องใด’ “ข้าคงต้องการให้นางพาร่างนี้กลับเมืองหลวง” ‘ไยต้องเป็นนาง!’ “กว่าข้าจะหลบผู้คนออกมาตามหาท่านก็มิใช่เรื่องง่าย คนที่ลอบสังหารท่านก็ยังจับตัวไม่ได้ ที่ข้ามาที่นี่ก็มาเพียงลำพัง ร่างของท่านนั้นข้าให้เยี่ยนฉือองครักษ์ของท่านค่อยดูแลมิให้ใครเข้าใกล้” เสียเอี๋ยนชี้หน้าตัวเองแล้วฉีกยิ้ม “ข้าคิดว่าคนที่ลอบสังหารท่านยั
“ข้าไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด แต่...คุณชายจะอยู่ได้เพียงสี่สิบเก้าวัน ตอนนี้เวลาเหลือเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น หากไม่รีบกลับเมืองหลวงคุณชายของข้าก็จะ...” ‘ตาย’ แม้ไม่ได้พูดมาแต่นางเข้าใจคำนั้นได้อย่างดีหญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ไม่เพียงแค่อยากรู้ถึงเหตุผลที่ตัวเองมาที่นี่ รวมทั้งร่างของตัวเองในอีกโลกยังรวมถึงชีวิตของอาหมานอีกด้วย แต่นางอดเป็นห่วงคนที่นี่ไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่แข็งแรงที่สุด เป็นพี่สาวของน้อง ๆ “ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยเป็นคนมีคุณธรรมไม่อาจเอาเรื่องเงินทองมาพูดคุยได้ แต่ถ้าเจ้ามีใจเมตตา ข้ายินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ในเวลานี้ทันทีห้าสิบตำลึง และจะได้รับอีกห้าสิบตำลึง เมื่อคุณชายกลับถึงเมืองหลวง” “ห้าสิบตำลึง” เงินห้าสิบตำลึงมันเยอะแค่ไหนนะ? ดวงตากลมมีแววประหลาดใจ นางมองหน้าเสียเอี๋ยนกับอาหมานสลับไปมาแล้วถอนหายใจหนัก“ยังไงก็ต้องเป็นข้าใช่ไหม” “แม่นาง...” “ขอข้าปรึกษาท่านพ่อก่อน” นางพูดตามตรง “แต่ท่านควรรู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รู้เส้นทาง” “เรื่องนั้นมิใช่ปัญหา เพียงของแค่
“ใช้เวลาเดินทางสิบวัน ถ้าเป็นม้าเร็วก็ใช้เวลาแค่ครึ่งหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นหมู่บ้านที่อยู่ก็ไม่ไกลเมืองหลวงมากซินะ”เหมยซิงพูดกับตัวเองแต่ให้ดังพอที่คนข้างหลังได้ยิน แม้เขาโต้ตอบนางไม่ได้ก็เถอะ นางอยากส่งเสียงให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เหมยซิงนึกถึงเรื่องราวที่พูดคุยกับเสียเอี๋ยน แม้คนผู้นั้นพูดกำกวมไม่ขยายความให้เข้าใจทั้งหมด แต่คาดเดาว่าคุณชายของเสียเอี๋ยนผู้นี้คล้ายกับนางตรงที่ดวงจิตมาอยู่อีกร่าง ซ้ำร้ายที่ดวงจิตของเขาดันมาอยู่ในร่างที่เป็นผักสื่อสารกับใครไม่ได้เช่นนี้ อยากกลับบ้านก็ทำไม่ได้ ส่วนนางดวงจิตมาอยู่ในร่างเด็กสาววัยสิบหก ทว่าดวงจิตของนางหลุดมาจากอีกโลกหนึ่ง นางเหลือความหวังน้อยเหลือเกินที่จะได้กลับไปโลกเดิม แต่พอคิดว่านางอาจจะช่วยคนที่มีสภาพเป็นผักให้กลับคืนเป็นปกติในร่างที่ควรอยู่ นางก็มีกำลังใจขึ้นมา และที่สำคัญ...หากนางกลับไม่ได้จริง ๆ ขอเพียงได้รู้ว่าลุงทองดีสบายดีก็พอแล้ว จะว่าไปชีวิตในร่างนี้มีส่วนคล้ายกับนางในโลกโน้น นางมีลุงทองดีเป็นเหมือนพ่อบุญธรรม อยู่ที่นี่นางก็มีติงเชาเป็นพ่อบุญธรรม แต่ที่นี่นางยังมีน้อง ๆ
“คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา
ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน
หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน
ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร
นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ
“ดาว...” “ขอบใจนะศรัณย์” เธอยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับหน้าผากของชายหนุ่ม “ปล่อยดาวไปเถิดนะ” พันดาวสบตาศรัณย์พลันนึกถึงชายอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่แววตาที่จ้องมองเธอนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้ว แววตาของคนที่เธอรัก เธอไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่เพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ทำให้เธอรักเขาจนหมดหัวใจ “เหมยซิง!” หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เหลียวมองรอบตัว ใครกันนะ ใครกันที่เรียกชื่อเธอ ในห้องเต็มไปด้วยพยาบาลและคุณหมอ มารดาของพันดาวเดินตามนายแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามา เท้าของหญิงวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเห็นร่างของลูกสาวเป็นเงาจาง ๆ อยู่เหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียง “ยัยดาว!” “แม่” พันดาวหันกลับมาแล้วส่งยิ้มกว้าง “ดาวรักแม่นะคะ” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเธอ แต่อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจว่าลูกสาวคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่นี้พันดาวก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว “เหมยซิง!” หญิงสาวหันไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน พยายามนึกว่าเป็นเสียงของใคร
เสียงระเบิดทำให้เหมยซิงหูอื้อ นางพยายามเบิกตากว้าง ภาพที่เห็นยามนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนั้น ขาดก็เพียงไม่มีสุนัขจิ้งจอกยืนจ้องหน้านาง ดวงตาคู่นั้น... ไฉนเหมือนดวงตาของเด็กชายอายุสิบสองที่ทุกคนก้มศีรษะให้ในฐานะองค์รัชทายาทนักนะ! ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในศีรษะทำให้ดวงตาสุกใสต้องปิดเปลือกตาแน่น ความมืดเข้าครอบงำ สติสัมปชัญญะ ไม่อาจฟื้นรับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างอีกแล้ว!. เสียงร้องไห้เรียกสติของหญิงสาวที่ลืมตาอยู่ในความมืดให้เดินตามเสียงที่ได้ยิน หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ทว่ากลับได้ยินเสียงร้องไห้ชัดขึ้นทำให้ต้องลืมตาอีกครั้งแล้วพบชายใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในชุดสีฟ้ากระจ่าง ใช่แล้ว เธอเคยบอกเขาว่าเขาดูเป็นผู้ชายโรแมนติกในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าละมุนตาอย่างนี้ ความดำมืดค่อย ๆ จางหาย ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง เท้าเล็ก ๆ พาร่างของตนเองไปหยุดยืนข้างเตียง หญิงสาวสีหน้าซีดเซียว ผอมบางจนแทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เมื่อพิจารณาดี ๆ นี่คือร่างของหญิงสาวที่ชื่อ...“พันดาว” น่าประหลาดใจที่ไม่รู้สึกตื
“หัวเราะอะไร” “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าข้าจะไปไหน” “ก็เจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ปิดบังข้า ข้าไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก” ซุนเว่ยหมินยิ้มที่มุมปาก เขาสูดลมหายใจลึกก่อนพูดออกไป “มันไม่ใช่หินถล่มธรรมดา” “เจ้าถูกลอบทำร้าย?” “ย่อมเป็นเช่นนั้น” เขาถอนหายใจกระตุ้น ม้าไปยังจุดหมายที่นัดไว้ “การเป็นคนซื่อตรงเช่นข้าย่อมขัดแข้งขัดขาผู้อื่น” จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงเด็กชายวัยสิบสองขวบที่นางเคยช่วยไว้ผู้นั้น “องค์รัชทายาท...” “ทำไมรึ?” ซุนเว่ยหมินก้มหน้าลง ความสนใจของเขาอยู่ที่กำไลหยกเรียบง่ายทว่าเขามั่นใจว่าเมื่อคืนมันเปล่งแสงได้ “เรื่องของเจ้าเกี่ยวกับองค์รัชทายาทหรือไม่” นางถามตรงไปตรงมา “ที่ถามนี่เพราะเจ้าเป็นห่วงข้าหรือเจ้าเด็กนั่น!” ในสายตาเขา ไม่เห็นเป็นองค์รัชทายาท มองอย่างไรก็เป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่พี่สาวของเขาเป็นเต๋อเฟยแต่อย่างใด เหมยซิงหัวเราะเสียงใส “แบบนี้เรียกว่าเหม็นน้ำส้มได้หรือไม่” ซุนเว่ยหมินเลิกคิ้ว นางย้อนเขาด้วยเรื่องที่เขาเคยล้