Share

Chapter 4. บ้าน

“ท่านพ่อ”  นางเข้าไปทำตาละห้อยใส่พ่อบุญธรรมที่ยืนกรานไม่ให้นางไปทำงานรับใช้ใครทั้งนั้น

“ไม่ได้! พ่อไม่ให้เจ้าไปลำบากอีกแล้ว”   ติงเชายืนกราน ครั้งก่อนลูกสาวหนีไปทำงานเป็นหญิงรับใช้ ถูกใส่ความแปดเปื้อนทำร้ายปางตายซ้ำถูกโยนทิ้งในป่าช้า

“แต่ท่านพ่อ ข้าอยากได้เมล็ดพันธุ์มาเพาะปลูก” นางทำหน้างอง้ำ  มีที่ดินพอจะเพาะปลูกได้  กระท่อมอยู่ใกล้แหล่งน้ำ

นางจดจำเรื่องการทำฝายทดน้ำได้จากที่เคยไปออกค่ายอาสา น่าจะปรับมาใช้กับที่ดินที่นี่ได้   ผันน้ำเข้าที่นาตัวเอง  ยังไงก็ต้องลองปลูกพืชระยะสั้นดูก่อน หากไม่รีบทำอะไรเสียตั้งแต่ตอนนี้ เข้าฤดูหนาว หิมะตกเพาะปลูกอะไรก็ลำบาก รวมทั้งหาของป่ากินยิ่งยาก  นางรอดตายจากระเบิด และไฟคลอกมาแล้ว อย่าต้องมาอดตายเลยนะ

“เจ้ามั่นใจว่าจะทำได้รึ”

“ยังไม่ได้ลงมือทำ ก็บอกไม่ได้หรอกเจ้าค่ะว่าจะทำได้หรือไม่”  นางยืนยัน 

ติงเชาเห็นแววตามุ่งมั่นของลูกสาวก็ได้แต่ยิ้มบางๆ  ก่อนหน้านี้เด็กสาวตรงหน้าทั้งอ่อนแอ และบอบบาง ทว่าจิตใจนางเข้มแข็งนัก  เพื่อให้น้อง ๆ ได้สบายตัวเองยอมลำบากเท่าใดก็ได้ แม้ฟื้นมาครั้งนี้รู้สึกแปลกไปบ้าง แต่นับว่าดีไม่น้อย  ยิ่งเห็นนางแอบฝึกฝนร่างกาย  ควงไม้พลอง และยิงธนู เขายิ่งอยากลุกขึ้นจากที่นอนแล้วไปสอนนางด้วยตนเอง  ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไร นางไม่เคยแตะต้องเลยสักครั้ง เพียงแค่อยากสอนให้นางป้องกันตัวได้บ้าง  แต่เมื่อเห็นว่านางไม่มีความถนัดด้านนี้ เขาไม่คิดบีบบังคับให้นางต้องฝืนใจทำ   แต่มายามนี้นางกลับอยากเรียนรู้แต่สภาพร่างกายของเขานั้นไม่เอื้ออำนวย ได้แต่ทอดถอนใจอย่างเสียดาย

“ท่านพ่อ ลองดูสักครั้งเถิด  ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าผิดพลาดที่ใด ครั้งหน้าจะได้ไม่ผิดพลาดอีก”

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปหาเถ้าแก่มู่ บอกว่าพ่อขอยืมเมล็ดพันธุ์สำหรับการเพาะปลูก”

“เถ้าแก่มู่?”  นางทวนคำด้วยสีหน้างุนงง

“เจ้าคงจำไม่ได้ แต่ไปหาไม่ยากหรอก เถ้าแก่มู่อยู่ที่ตลาดให้   ติงหยี่ไปเป็นเพื่อนเจ้าก็ได้ บอกว่าพ่อให้มาขอปันเมล็ดพันธุ์”

“เจ้าค่ะ”  นางอยากถามต่อว่าพูดแค่นี้ก็ได้แล้วหรือ? ต้องหาสิ่งใดไปค้ำประกันหรือไม่ แต่ไม่เห็นพ่อบุญธรรมพูดอะไรอีก นางจึงเข้าใจว่าพ่อบุญธรรมกับเถ้าแก่มู่คงสนิทสนมกันจนสามารถขอหยิบยืมเมล็ดพันธุ์พืชได้

พูดเพียงเล็กน้อยก็เหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด  หญิงสาวประคองพ่อบุญธรรมลงนอนตามเดิม เรียกเด็ก ๆ มาคอยดูแลปรนนิบัติไม่ให้ไปเล่นไกลตา  แล้วเรียกติงหยี่ให้ไปพร้อมกับนาง  หญิงสาวกำชับไม่ให้เด็ก ๆ ไปห่างพ่อบุญธรรมแล้วเร่งรีบเดินทาง

“บ้านเถ้าแก่มู่นี่อยู่ไกลหรือไม่”

“แค่ครึ่งชั่วยามก็ไปถึง”  ติงหยี่เป็นเด็กชายตัวโตที่สุด แต่ก็ยังผอมบางหากเทียบกับเด็กชายวัยสิบสองทั่วไป

“พี่จำอะไรไม่ได้ เจ้าอย่าถือสาพี่เลยนะ”  นางยื่นมือไปโยกศีรษะน้องชายอย่างหยอกล้อ  เขายิ้มกว้างแล้วส่ายหน้าไปมา

“พี่เหมยซิงทำเพื่อพวกเรามากมายนัก ข้าไม่ว่าอะไรพี่หรอก  หากข้าเข้มแข็งกว่านี้ ตัวโตกว่านี้ คงปกป้องพี่และน้อง ๆ ได้แล้ว”

“เด็กโง่ เจ้าอย่าพูดเช่นนั้น อย่างไรพี่ก็เป็นพี่ หน้าที่ของพี่คือดูแลน้อง ๆ” 

เหมยซิงเดินตามถนนเส้นเล็ก ๆ จากบ้านไม่นานนัก ก็เข้าสู่ถนนเส้นหลัก  ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานางไม่เคยออกจากกระท่อมเข้าเมืองเลยสักครั้ง  แม้จะใช้การเดินเท้า  แต่เมื่อพันดาวที่อยู่ในร่างเหมยซิงนั้นไม่คุ้นเคยกับทิวทัศน์สองข้างทาง ก็อดมองอย่างจดจำไปด้วยไม่ได้  ปากคอยสอบถามจนติงหยี่ที่ปกติเป็นคนพูดน้อยต้องพูดมากไปอย่างไม่รู้ตัว

ราวครึ่งชั่วยามทั้งสองก็มาถึงบ้านเถ้าแก่มู่  เหมยซิงยืนมองด้านหน้าเห็นเป็นร้านเหมือนร้านขายของชำแต่เป็นร้านขนาดใหญ่ ติงหยี่ยืนอย่างขลาด ๆ นางจึงหันไปยิ้มให้กำลังใจน้องชายแล้วเดินเข้าไปขอพบเถ้าแก่  เด็กรับใช้ที่ง่วนกับการลูกค้าปลีกตัวมาคุยกับนาง และพานางไปยืนรอด้านใน ไม่นานนักชายวัยห้าสิบก็โผล่หน้าออกมา  เพียงเห็นหน้านางเข้าอีกฝ่ายก็มีสีหน้าตกใจไม่น้อย แต่กระนั้นก็ทำเป็นยิ้มออกมาแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ

“เจ้า...เจ้าสบายดีรึเหมยซิง”

“เจ้าค่ะ”   นางยิ้มรับ ไม่เข้าใจสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ไม่สนใจอะไรนัก “ท่านพ่อให้ข้ามาขอยืมเมล็ดพันธุ์เพื่อนำไปเพาะปลูก”

“เพาะปลูก?”

“เจ้าค่ะ”  นางไม่กล้าพูดอะไรมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้อะไรบ้าง คงแล้วแต่เถ้าแก่มู่จะเมตตาให้ยืมก็แล้วกัน

“พ่อของเจ้าเคยพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”  เถ้าแก่มู่พูดพลางจ้องมองเด็กสาวเหมือนจับผิด แต่ดูอย่างไรก็เป็น ‘เหมยซิง’ ที่เขารู้จัก แม้ได้ข่าวว่านางตายไปแล้วก็ตาม

“ข้าจะให้เด็ก ๆ จัดให้ แล้วลงบัญชีพ่อของเจ้าไว้”

“เจ้าค่ะ”  

นางยิ้มรับแล้วก็เห็นเถ้าแก่พยักหน้าหงึกหงักรีบเดินออกไป นางได้แต่ยืนงงอยู่ ครู่ต่อมาเด็กในร้านก็เอาถุงใส่เมล็ดพันธุ์พืชมาให้

“มีข้าวเปลือกและข้าวโพด แม่นางเชิญลงชื่อที่นี่”  เด็กรับใช้บอกนาง และเชิญให้นางไปที่โต๊ะไม่ไกลนัก 

เหมยซิงขมวดคิ้ว ตัวอักษรยึกยือเหล่านี้คงเป็นตัวอักษรจีน แต่ให้เป็นอักษรจีนปัจจุบัน หรือโบราณนางก็อ่านไม่ออก  ได้แต่นั่งมองอย่างอ้ำอึ้ง เงยหน้าขึ้นมองเด็กรับใช้ อีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจเรียกหลงจู๊ออกมา

“แม่นาง ถ้าเขียนชื่อไม่ได้ก็พิมพ์ลายนิ้วมือที่นี่”

“ได้”  รู้สึกน่าอายเสียจริงที่เขียนชื่อตัวเองก็ไม่ได้   นางลอบมองติงหยี่เห็นเขาก้มหน้าก้มตา  เขาเองก็คงเขียนชื่อตัวเองไม่เป็นเหมือนนาง  เด็กในบ้านไม่มีใครได้เรียนหนังสือสักคน คงยากสักหน่อยที่พวกเขาหรือแม้แต่ตัวนางจะเขียนชื่อตัวเองได้  นางกดนิ้วโป้งกับแท่นหมึกแล้วประทับลงกระดาษที่หลงจู๊บอก  เมล็ดพันธุ์มีหลายถุง โชคดีที่ติงหยี่รอบคอบเอาตะกร้าขึ้นหลังมาด้วย  แม้เขาตัวเล็กแต่ไม่ยอมให้นางแบกแทน

“สักครึ่งทางก็ผลัดให้ข้าแบกก็แล้วกัน”

“ฮืม”  ติงหยี่พยักหน้ารับ

เมื่อออกจากร้านเถ้าแก่หวัง เหมยซิงหรือพันดาวรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมองนาง หญิงสาวจ้องมองกลับเพียงแค่นั้นก็ทำให้คนเหล่านั้นสะดุ้งโหย่ง รีบหันหนีไปทางอื่นทันที

“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือไร จ้องมองกันจริง”  เหมยซิงย่นจมูก อยากเดินดูตลาดเสียหน่อยก็หมดอารมณ์แถมยังกังวลว่าน้องชายจะแบกของหนักอีกด้วย

“เพราะผู้อื่นคิดว่าพี่สาวตายไปแล้ว”  ติงหยี่เอ่ยเสียงเบากลัวพี่สาวเป็นกังวล

“อ๋อ...เรื่องนั้นเองหรือ?”  นางพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเดินออกจากตลาดไปอย่างเงียบ ๆ ไม่น่าแปลกใจถ้าคนที่รู้จักเหมยซิง และรู้เรื่องที่นางถูกโยนทิ้งในป่าช้า  หากมาเห็นนางเดินใต้แสงตะวันกลางวันแสก ๆ เช่นนี้คงตกใจไม่น้อย

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status