“ขออภัยทุกท่าน” เสียเอี๋ยนลุกขึ้นประสานมือคาวระเด็กสาว และหันไปทางชายที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้าชื่อเสียเอี๋ยนได้รับคำสั่งให้ออกติดตามหาคุณชายหานมานับเดือนแล้ว เมื่อทราบว่าคุณชายอยู่ที่นี่จึงได้รีบเข้ามา บุกรุกบ้านของพวกท่านโดยมิได้ตั้งใจ โปรดอภัยให้ด้วย”
“คุณชายหาน?” เหมยซิงขมวดคิ้วแล้วหันไปทางอาหมาน เนื่องจากนางดูแลเขามาจนพอจะเข้าใจสายตาของเขาแล้ว จึงเห็นแววตาของเขามีประกายตื่นเต้นยินดี ซึ่งแสดงว่าต้องรู้จักกับคนผู้นี้
‘ไยเรียกข้าว่าคุณชายหาน’
ซุนเว่ยหมินส่งเสียงถามอยู่ในใจ แต่เสียเอี๋ยนที่มีพรสวรรค์เรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติกระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับด้วยเสียงที่มี
แต่ซุนเว่ยหมินที่ได้ยินเช่นกัน
‘ก็ร่างที่ท่านอ๋องยืมใช้อยู่นี่เป็นร่างของคุณชายหานหงปิง ข้าจำเป็นต้องเรียกท่านว่าคุณชายหานนะซิ!’
“อาหมาน เจ้ารู้จักชายผู้นี้หรือไม่” เหมยซิงถามเพื่อความแน่ใจ เห็นใบหน้านั้นพยักหน้าลงเล็กน้อย นางก็พยักหน้ารับหันไปทางพ่อบุญธรรมของและน้อง ๆ ที่ยืนมองอย่างงุนงง
“อาหมานรู้จักชายผู้นี้” นางเอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ค่อยไว้ใจนัก จู่ ๆ โผล่เข้ามาก็น่าสงสัยไม่น้อย “เหตุใดท่านจึงรู้ว่าอาหมานอยู่ที่นี่”
“อาหมาน?” เสียเอี๋ยนทำหน้างุนงง กลอกตามองไปยังซุนเว่ยหมินที่พยักหน้าเล็กน้อย
‘นางเรียกข้าว่าอาหมาน’
“อ๋อ! คุณชายของเราถูกลอบทำร้าย ข้าได้ส่งคนออกติดตามมานานนับเดือนแล้ว และมีคนส่งข่าวว่าน่าจะอยู่แถบนี้ ทีแรกคิดจะเข้ามาสอบถาม แต่พอเห็นคุณชายก็ดีใจเกินไปจนลืมมารยาทไปสิ้น”
เหมยซิงที่ยืนกอดอกแหงนหน้ามองชายที่เข้ามาใหม่อย่างประเมิน มีความแคลงใจอยู่บ้าง เพราะบ้านของนางห่างไกลผู้คน ไม่คิดว่าจะมีใครล่วงรู้ว่าที่บ้านของนางรับคนแปลกหน้ามาอยู่เพิ่ม
“ทุกท่าน ข้าขอคุยกับคุณชายสักครู่เถิด”
“ท่านจะคุยได้อย่างไร อาหมานพูดไม่ได้”
“อะไรนะ!” เสียเอี๋ยนทำหน้าตกใจ ลืมไปว่าที่เขาสนทนากับซุนเว่ยหมินนั้นใช้การพูดด้วยกระแสจิต แม้ได้ขยับปากส่งเสียจึงคุยกันได้
“ท่านเป็นคนดูแลอาหมานมิรู้หรือ?” เหมยซิงหาทางจับผิด
“เพราะดีใจที่ได้พบจนลืมไป” เขายิ้มแก้เก้อ
“ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนหรือไม่” นางถามจ้องตาเขาอย่างจริงจัง เห็นใบหน้านั้นส่ายไปมาช้า ๆ จึงได้แต่พยักหน้ายอมรับ
“ข้าจะเอาน้ำชามาให้ รอสักครู่”
“ขอบใจแม่นางน้อยมาก”
นางจำใจต้องถอยห่าง พาน้อง ๆ ออกมารวมทั้งพ่อบุญธรรมด้วย เหมยลี่เบ้ปากเหมือนจะร้องไห้ ทำให้เหมยซิงอุ้มน้องสาวตัวเล็กขึ้นมาหอมแก้มนุ่ม ๆ เล่น
“เหมยลี่คนดีเป็นอะไรไป”
“เขาจะเอาอาหมานไป”
“อาหมานไม่ใช่ของเราเสียหน่อย” ติงเกาพูดขึ้น
“ถ้าเป็นญาติของอาหมานจริง ๆ ก็ดีซิ อาหมานจะได้กลับบ้านไง” ติงหยี่ปลอบน้องสาวตัวเล็ก เขารู้ว่าเหมยลี่มองอาหมานเหมือนของเล่นที่นางประคบประหงมดูแล
“ใช่ ๆ อาหมานไม่สบายกลับบ้านไปจะได้มีหมอรักษาอย่างไรเล่า” ติงปิงเองก็ช่วยปลอบน้องสาวไปด้วย
แต่ทั้งหมดที่พูดมาเหมือนจะปลอบใจเหมยซิงด้วยเช่นกัน นางดูแลเขามาเกือบครึ่งเดือน แม้รู้ว่าวันหนึ่งเขาต้องกลับไปในที่ที่จากมา
แต่นางก็อดเศร้าใจไปด้วยไม่ได้
เด็ก ๆ มัวแต่ซ่อนความเศร้าที่อาหมานจะจากไป มีแต่ติงเชาที่รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ทั้งการมาของชายที่เรียกตัวเองว่า ‘เสียเอี๋ยน’ และคนที่ลูกสาวแบกมาจากป่าช้าที่ชายผู้นั้นเรียก ‘คุณชายหานหงปิง’ หากอาหมานเป็นคุณชายหานหงปิงตัวจริง ไยเหมยซิงจึงจำไม่ได้ว่าคนที่นางดูแลเป็นคุณชายหาน
เพราะบ้านเศรษฐีที่นางไปเป็นหญิงรับใช้นั้นคือบ้านตระกูลหาน! คนพวกนั้นลงโทษนาง และเอานางไปโยนทิ้งในป่าช้าราวเศษสวะชิ้นหนึ่ง!.
“ข้าไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด”
เสียเอี๋ยนรีบเอ่ยขึ้นหลังจากไม่มีผู้อื่นในบริเวณนี้แล้ว “แต่ท่านอ๋องมีเวลาไม่มากแล้ว ต้องรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็ว”
‘เหตุใดจึงรีบร้อนนัก’ ซุนเว่ยหมินเอ่ยตอบอยู่ในใจ โชคดีที่สามารถสื่อสารด้วยจิตได้ ทำให้เขาไม่ลำบากนัก
“ดวงจิตของท่านอ๋องออกจากร่างมานานนับเดือนแล้ว ท่านต้องรีบกลับเข้าร่างภายในสี่สิบเก้าวัน มิเช่นนั้นจะกลับเข้าร่างไม่ได้ตลอดไป”
‘เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ ไยเจ้าเพิ่งหาข้าพบ!’ เขาก็มิได้อยากอยู่ในร่างผู้อื่นเช่นนี้
“หาใช่ความผิดของข้า” เสียเอี๋ยนเบ้ปาก “เป็นท่านที่ดวงจิตกระเด็นกระดอนออกจากร่างมาอยู่ในร่างของ....”
‘ข้าอยู่ในร่างของผู้ใด!’ ตั้งแต่ลืมตามา รู้เพียงแค่ว่านี้ไม่ใช่ร่างของตน แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นของใคร
เสียเอี๋ยนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกล่าวออกมา “เป็นคุณชายหานหงปิง”
‘หานหงปิง! เขามิได้พิกลพิการเจ็บป่วยหนักหนาอยู่เมืองหลวงหรอกหรือ? ไยมาอยู่หมู่บ้านกันดารแห่งนี้’
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ แต่ข้ามั่นใจว่าใบหน้า และรูปนี้เป็นของคุณชายหาน เพราะข้าเคยพบเขามาก่อน”
เสียเอี๋ยนโคลงศีรษะไปมา เขาเคยพบคุณชายหานมาก่อนจริง เพราะคนในตระกูลหานเคยขอร้องให้เขาไปตรวจดูอาการคุณชายหงปิงที่ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด และยังมีไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หากไม่เพราะตระกูลหานเป็นตระกูลที่ร่ำรวยเพราะทำการค้า เป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวง และหานหงปิงเป็นเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอก ชะตากรรมของชายผู้นี้คงไร้คนเหลียวแล และทิ้งให้ตายอย่างน่าเวทนา
แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณชายหานหงปิงมาอยู่ที่นี่ และเหตุใดดวงจิตของจวิ้นอ๋องหรือซุนเว่ยหมิน ถึงมาอยู่ในร่างของคุณชายหานหงปิง
‘ทำอย่างไรดวงจิตของข้าจึงจะกลับเข้าร่างเดิมได้’
“ร่างของท่านอ๋องเวลานี้อยู่ที่จวนแล้ว เดิมทีคิดว่าที่ท่านยังไม่ได้สติเพราะบาดแผลที่ได้รับ แต่เมื่อหมอหลวงขจัดพิษจนหมดแล้ว ท่านก็ยังไม่ตื่นฟื้น ข้าเดินทางตามไปทีหลังจึงได้ตรวจดูว่าดวงจิตของท่านหลุดลอยออกจากร่าง ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาข้าใช้ความพยายามค้นหาดวงจิตของท่าน ดีที่ย้อนกลับมาที่เดิม ภูตผีเสื้อหาท่านพบ”
เสียเอี๋ยนนิ่งไปครู่หนึ่ง รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวด้านหลัง เขาจึงหุบปาก และเมื่อร่างของเด็กสาวเดินเข้ามาพร้อมกาน้ำชา เขาก็คลี่ยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ
“บ้านข้ายากจน ใบชานี้ก็ทำเอง ไม่รู้จะถูกปากท่านหรือไม่” “เพียงน้ำใจที่มอบให้ก็นับว่ามีค่ายิ่งนักแล้ว” เหมยซิงรินน้ำชาให้ แต่ดวงตาลอบมองอาหมานด้วยความเป็นห่วง แต่เห็นดวงตาคู่นั้นเพียงแค่จ้องมองการเคลื่อนไหวของนาง ไม่มีแววร้องขอความช่วยเหลือใด นางก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ เสียเอี๋ยนสังเกตสายตาของซุนเว่ยหมินที่กลอกตามองตามร่างเล็กที่เดินออกไปแล้ว “ท่านเชื่อใจนาง” เสียเอี๋ยนถามยิ้ม ๆ นิสัยของชายผู้นี้ยากจะไว้ใจใครได้ง่าย ‘สภาพเช่นข้าไม่มีทางเลือกนัก’ เขาปากหนักเกินกว่าจะยอมรับสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างใน “เห็นทีว่าข้าต้องขอความช่วยเหลือจากนางแล้ว” ‘เจ้าหมายถึงเรื่องใด’ “ข้าคงต้องการให้นางพาร่างนี้กลับเมืองหลวง” ‘ไยต้องเป็นนาง!’ “กว่าข้าจะหลบผู้คนออกมาตามหาท่านก็มิใช่เรื่องง่าย คนที่ลอบสังหารท่านก็ยังจับตัวไม่ได้ ที่ข้ามาที่นี่ก็มาเพียงลำพัง ร่างของท่านนั้นข้าให้เยี่ยนฉือองครักษ์ของท่านค่อยดูแลมิให้ใครเข้าใกล้” เสียเอี๋ยนชี้หน้าตัวเองแล้วฉีกยิ้ม “ข้าคิดว่าคนที่ลอบสังหารท่านยั
“ข้าไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด แต่...คุณชายจะอยู่ได้เพียงสี่สิบเก้าวัน ตอนนี้เวลาเหลือเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น หากไม่รีบกลับเมืองหลวงคุณชายของข้าก็จะ...” ‘ตาย’ แม้ไม่ได้พูดมาแต่นางเข้าใจคำนั้นได้อย่างดีหญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ไม่เพียงแค่อยากรู้ถึงเหตุผลที่ตัวเองมาที่นี่ รวมทั้งร่างของตัวเองในอีกโลกยังรวมถึงชีวิตของอาหมานอีกด้วย แต่นางอดเป็นห่วงคนที่นี่ไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่แข็งแรงที่สุด เป็นพี่สาวของน้อง ๆ “ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยเป็นคนมีคุณธรรมไม่อาจเอาเรื่องเงินทองมาพูดคุยได้ แต่ถ้าเจ้ามีใจเมตตา ข้ายินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ในเวลานี้ทันทีห้าสิบตำลึง และจะได้รับอีกห้าสิบตำลึง เมื่อคุณชายกลับถึงเมืองหลวง” “ห้าสิบตำลึง” เงินห้าสิบตำลึงมันเยอะแค่ไหนนะ? ดวงตากลมมีแววประหลาดใจ นางมองหน้าเสียเอี๋ยนกับอาหมานสลับไปมาแล้วถอนหายใจหนัก“ยังไงก็ต้องเป็นข้าใช่ไหม” “แม่นาง...” “ขอข้าปรึกษาท่านพ่อก่อน” นางพูดตามตรง “แต่ท่านควรรู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รู้เส้นทาง” “เรื่องนั้นมิใช่ปัญหา เพียงของแค่
“ใช้เวลาเดินทางสิบวัน ถ้าเป็นม้าเร็วก็ใช้เวลาแค่ครึ่งหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นหมู่บ้านที่อยู่ก็ไม่ไกลเมืองหลวงมากซินะ”เหมยซิงพูดกับตัวเองแต่ให้ดังพอที่คนข้างหลังได้ยิน แม้เขาโต้ตอบนางไม่ได้ก็เถอะ นางอยากส่งเสียงให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เหมยซิงนึกถึงเรื่องราวที่พูดคุยกับเสียเอี๋ยน แม้คนผู้นั้นพูดกำกวมไม่ขยายความให้เข้าใจทั้งหมด แต่คาดเดาว่าคุณชายของเสียเอี๋ยนผู้นี้คล้ายกับนางตรงที่ดวงจิตมาอยู่อีกร่าง ซ้ำร้ายที่ดวงจิตของเขาดันมาอยู่ในร่างที่เป็นผักสื่อสารกับใครไม่ได้เช่นนี้ อยากกลับบ้านก็ทำไม่ได้ ส่วนนางดวงจิตมาอยู่ในร่างเด็กสาววัยสิบหก ทว่าดวงจิตของนางหลุดมาจากอีกโลกหนึ่ง นางเหลือความหวังน้อยเหลือเกินที่จะได้กลับไปโลกเดิม แต่พอคิดว่านางอาจจะช่วยคนที่มีสภาพเป็นผักให้กลับคืนเป็นปกติในร่างที่ควรอยู่ นางก็มีกำลังใจขึ้นมา และที่สำคัญ...หากนางกลับไม่ได้จริง ๆ ขอเพียงได้รู้ว่าลุงทองดีสบายดีก็พอแล้ว จะว่าไปชีวิตในร่างนี้มีส่วนคล้ายกับนางในโลกโน้น นางมีลุงทองดีเป็นเหมือนพ่อบุญธรรม อยู่ที่นี่นางก็มีติงเชาเป็นพ่อบุญธรรม แต่ที่นี่นางยังมีน้อง ๆ
ซุนเว่ยหมินแทบสำลักน้ำลายตัวเอง สองหูได้ยินสิ่งที่หญิงผู้นั้นพูดท่าทางสงสารเหมยซิงจับใจ เหมยซิงเมื่อพาชายหนุ่มเข้ามาในห้องแล้วก็จัดท่าทางให้เขาได้เอนหลังสบาย ๆ เห็นดวงตาของเขาจ้องมองเขม็ง นางถลึงตามองกลับก่อนย่นจมูกแล้วยื่นปลายนิ้วมาจิ้มจมูกของเขาเบา ๆ “ข้าจำเป็นต้องบอกพวกเขาว่าเจ้าเป็นสามีของข้า ข้าจะพาสามีกลับบ้าน”นางยิ้มทะเล้นใส่ แล้วหมุนตัวไปรินน้ำป้อนให้เขาจิบที่ละนิด“ประเดี๋ยวข้าจะออกไปดูสักหน่อยว่าจะทำอาหารเย็นกินกัน เจ้ารออยู่คนเดียวก่อนนะ” นางไม่รอให้เขาพยักหน้ารับ รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แม้นางจะปิดประตูห้องแล้ว แต่เขายังได้ยินเสียงนางพูดคุยกับหญิงชรา และสะใภ้ผู้นั้น แม้จับใจความที่พวกนางสนทนาไม่ได้แต่เสียงหัวเราะของเหมยซิงทำให้เขาพลอยหัวเราะตามไปด้วย ไม่นานนักเหมยซิงก็กลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำ “เช็ดตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน เสื้อผ้าเจ้าข้าจะรีบซักตาก น่าจะแห้งก่อนเดินทาง”แม้ในบ้านจะมีผู้ชาย แต่ก็เป็นเด็กและพ่อบุญธรรมก็ป่วย นางจึงรับหน้าที่ดูแลอาหมาน ในโลกโน้นนางอยู่กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เป็นสตั๊นต์แมน เห็นผู้ชายเปล
เพราะเสียงหัวเราะของเหมยซิงทำให้หญิงชรา และสะใภ้ผู้นั้นขบขันไปด้วย เข้าใจไปว่านาแสร้งทำให้ทั้งสองหัวเราะทั้งทีความจริงแล้ว เหมยซิงไม่รู้ว่าการแสดงความคารวะ หรือขอบคุณผู้อื่นนั้นต้องทำเช่นไร “ข้าจำมาจากในหนังจีน” เหมยซิงบ่นอุบอิบพลางย่อตัวลงแล้วแบกร่างผักของชายหนุ่มขึ้นหลัง พาเขาเข้าไปนอนในที่นอนที่นางเอาออกไปผึ่งลมเมื่อวาน เขาไม่ชอบกลิ่นอับ นางรู้เรื่องนี้ดี นางปีนขึ้นหลังรถม้า จัดที่ทางและท่านอนให้เขาอย่างพอเหมาะ และเขาต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นนางใช้เส้นไหมผูกปลายนิ้วชี้ของเขาไว้ “ข้านั่งข้างหน้าบังคับม้า เจ้าอยู่ด้านหลัง ส่งเสียงเรียกข้าก็ไม่ได้ ขยับได้แค่ปลายนิ้วกับกลอกตาไปมา ข้าเลยขอเส้นไหมจากท่านย่าผูกปลายนิ้วของเจ้า ปลายเส้นไหมอีกด้านนั้นข้างจะผูกไว้กับนิ้วมือของข้า หากเจ้าต้องการอะไร หรืออยากเรียกข้าก็แค่กระตุกเส้นไหมนี้ ข้าจะได้รู้อย่างไรล่ะ” เหมยซิงมุดกลับออกไปนั่งด้านหน้า กระตุกบังเหียนให้ม้าก้าวเท้าออกเดินทาง ปลายนิ้วชี้ข้างขวาผู้เส้นไหมสีแดงกับเขาปลายนิ้วของชายที่เอนตัวลงนอนอยู่ด้านในของรถม้า ซุนเว่ยหมินมองเส้นไหมด้วยความร
ร่างกายภายใต้น้ำพุร้อนสบายยิ่ง เขารู้สึกว่าตนเองขยับตัวได้มากกว่าปลายนิ้ว ตอนนี้เขาสามารถหมุนข้อมือตัวเองได้ ปลายเท้าก็ขยับได้มากขึ้น ลองยกขาขึ้นแต่ยังไม่สามารถทำได้ เขาถอนหายใจหนักหน่วง หวังให้ร่างกายนี้ขยับตัวได้มากกว่านี้ “อย่ากังวลเลย เจ้าต้องขยับตัวได้แน่” ซุนเว่ยหมินลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงที่อยู่ใกล้ ๆ นางค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาหาเขา ท่อนแขนเรียวยื่นออกไปหยิบบางสิ่งที่อยู่ด้านหลังของเขา ชายหนุ่มแทบกลั้นหายใจ ครู่หนึ่งนางก็ชักมือกลับมาพร้อมกับจ่อยาลูกกลอนที่เสียเอี๋ยนสั่งให้เขากินทุกหนึ่งชั่วยาม “ได้เวลากินยาแล้ว” เหมยซิงยิ้มกว้าง “ข้ารู้ว่าเจ้าฝึกขยับตัวอยู่เสมอ อย่าได้เร่งร้อนเกินไปจะบาดเจ็บได้ เอ้า! อ้าปากแล้วกลืนยานี่” ชายหนุ่มทำตามที่นางสั่ง อ้าปากให้นางป้อนยาลูกกลอนเคลือบน้ำผึ้งลงคออย่างง่ายดาย “ข้าจะขึ้นจากน้ำสวมเสื้อผ้าก่อน เจ้ารอประเดี๋ยวนะ” นางก้าวขึ้นจากน้ำ ซุนเว่ยหมินหลุบตาลงแต่กระนั้นก็ยังทันได้เห็นเรือนร่างผอมบางที่แม้จะสวมเอี๊ยมปกปิดเรือนร่าง ทว่ายามเปียกน้ำนั้นมันกลับเหมือนนางไม่ได้สวมใส่สิ่งใด
“อาหมาน...ซื้อม้าตัวหนึ่งนี่ต้องใช้เงินเท่าไร ม้าตัวนี้เสียเอี๋ยนให้ข้าใช้พาเจ้ามาส่ง ข้าผูกพันกับมันมาก อยากได้มันไปอยู่กับข้าด้วย” “อาหมาน...ข้าอยากซื้อบ้านสักหลัง บ้านที่ข้าอยู่ตอนนี้มันของผู้อื่น ไม่รู้เจ้าของจะมาทวงเอาคืนเมื่อใด เจ้าว่าต้องใช้เงินเท่าไรกัน” “อาหมาน...ไหน ๆ ต้องซื้อบ้านแล้ว ข้าว่าซื้อบ้านในเมืองหน่อยดีหรือไม่ จะได้ทำการค้าไปด้วย” “อาหมาน...” ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่สามารถขยับปากพูดคุยตอบคำถามของนางได้ แต่นางก็ยังตั้งคำถามอยู่เสมอ และเขาเองชินกับการถูกเรียกว่า ‘อาหมาน’ ไปแล้ว เขาจดจำจังหวะการเดินของนางได้ นางจะวิ่งมาเต็มฝีเท้า และหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้าบานประตูครู่หนึ่งก่อนค่อย ๆ ผลักบานประตูเข้ามา “อาหมาน...รอข้านานไหม พอดีข้าได้ถั่วฝักยาวมาก็เลยเอาไปให้เจ้าโชคดี” นางเอ่ยขึ้นแล้วเดินเข้ามาใกล้ ๆ จ้องมองดวงตาของเขาซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่โต้ตอบกับนางได้ จะมีสตรีสักกี่นางที่กล้าจ้องตาเขาเช่นนี้ “ตัวข้ามีแต่กลิ่นม้า ข้าจะเช็ดตัวสักครู่ เจ้ารอก่อนนะ ประเดี๋ยวค่อยเข้านอนพร้อมกัน”
ซุนเว่ยหมินกะพริบตาอย่างประหลาดใจ มองดูแขนของตนที่ยกขึ้นได้แล้ว และยังมีเรี่ยวแรงพอจะรั้งนางไม่ให้พลิกตัวจนตกเตียง เขาจ้องมองคนที่ยังหลับอยู่แล้วลองขยับตัวใช้สองแขนยันร่างตัวเองขึ้นจากที่นอน แม้การขยับตัวง่าย ๆ นี้ก็ทำให้เหงื่อซึมออกมาที่หน้าผาก แต่เขาก็ยิ้มอย่างดีใจที่ขยับตัวได้มากถึงเพียงนี้ แต่ยิ้มได้เพียงครู่เดียวก็รู้ว่าร่างของตนโงนเงน และล้มลงเหมือนกิ่งไม้ไร้น้ำหนัก ยังดีที่เขายังเหลือแรงใช้ศอกยันที่นอนไม่ให้ตัวเองทับร่างของหญิงสาว เขาถอนหายใจเบา ๆ เห็นนางหลับสนิทค่อยเบาใจ เขายังไม่มั่นใจว่าตนเองจะขยับตัวได้เช่นนี้อีกหรือไม่ หญิงอัปลักษณ์!เขาต่อว่านางที่บังอาจมาล่วงเกินเขาได้ มือเล็กของนางไม่นุ่มนิ่มซึ่งไม่น่าประหลาดใจนัก นางนอนพลิกตัวบ่อยไร้ความเป็นกุลสตรี ยามหัวเราะนางไม่เคยสะกดกลั้นเสียงของตนเอง ยามนางยิ้ม ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ แม้นางผายผอมไปสักหน่อย แต่ยามที่นางเปียกน้ำในบ่อน้ำพุร้อนนั้น เขามั่นใจว่าหากนางได้กินดีกินอิ่มทั้งสามมื้อต้องมีน้ำมีนวลกว่านี้ กลิ่นกายของนางนั้นละมุนอย่างที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อน หญิงอื่นมักอบร่ำตนเองให้หอ