แชร์

Chapter 9. เรียกข้า

ผู้แต่ง: เพลงมีนา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-29 19:42:56

            “ขออภัยทุกท่าน”  เสียเอี๋ยนลุกขึ้นประสานมือคาวระเด็กสาว และหันไปทางชายที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้าชื่อเสียเอี๋ยนได้รับคำสั่งให้ออกติดตามหาคุณชายหานมานับเดือนแล้ว เมื่อทราบว่าคุณชายอยู่ที่นี่จึงได้รีบเข้ามา บุกรุกบ้านของพวกท่านโดยมิได้ตั้งใจ โปรดอภัยให้ด้วย”

            “คุณชายหาน?”  เหมยซิงขมวดคิ้วแล้วหันไปทางอาหมาน  เนื่องจากนางดูแลเขามาจนพอจะเข้าใจสายตาของเขาแล้ว จึงเห็นแววตาของเขามีประกายตื่นเต้นยินดี ซึ่งแสดงว่าต้องรู้จักกับคนผู้นี้

            ‘ไยเรียกข้าว่าคุณชายหาน’

            ซุนเว่ยหมินส่งเสียงถามอยู่ในใจ แต่เสียเอี๋ยนที่มีพรสวรรค์เรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติกระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับด้วยเสียงที่มี

 แต่ซุนเว่ยหมินที่ได้ยินเช่นกัน

            ‘ก็ร่างที่ท่านอ๋องยืมใช้อยู่นี่เป็นร่างของคุณชายหานหงปิง ข้าจำเป็นต้องเรียกท่านว่าคุณชายหานนะซิ!’

            “อาหมาน เจ้ารู้จักชายผู้นี้หรือไม่”  เหมยซิงถามเพื่อความแน่ใจ เห็นใบหน้านั้นพยักหน้าลงเล็กน้อย นางก็พยักหน้ารับหันไปทางพ่อบุญธรรมของและน้อง ๆ ที่ยืนมองอย่างงุนงง

            “อาหมานรู้จักชายผู้นี้”  นางเอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ค่อยไว้ใจนัก จู่ ๆ โผล่เข้ามาก็น่าสงสัยไม่น้อย  “เหตุใดท่านจึงรู้ว่าอาหมานอยู่ที่นี่”

            “อาหมาน?”  เสียเอี๋ยนทำหน้างุนงง กลอกตามองไปยังซุนเว่ยหมินที่พยักหน้าเล็กน้อย

            ‘นางเรียกข้าว่าอาหมาน’

            “อ๋อ! คุณชายของเราถูกลอบทำร้าย ข้าได้ส่งคนออกติดตามมานานนับเดือนแล้ว และมีคนส่งข่าวว่าน่าจะอยู่แถบนี้ ทีแรกคิดจะเข้ามาสอบถาม แต่พอเห็นคุณชายก็ดีใจเกินไปจนลืมมารยาทไปสิ้น”

            เหมยซิงที่ยืนกอดอกแหงนหน้ามองชายที่เข้ามาใหม่อย่างประเมิน  มีความแคลงใจอยู่บ้าง เพราะบ้านของนางห่างไกลผู้คน ไม่คิดว่าจะมีใครล่วงรู้ว่าที่บ้านของนางรับคนแปลกหน้ามาอยู่เพิ่ม

            “ทุกท่าน ข้าขอคุยกับคุณชายสักครู่เถิด”

            “ท่านจะคุยได้อย่างไร อาหมานพูดไม่ได้”

            “อะไรนะ!”  เสียเอี๋ยนทำหน้าตกใจ ลืมไปว่าที่เขาสนทนากับซุนเว่ยหมินนั้นใช้การพูดด้วยกระแสจิต แม้ได้ขยับปากส่งเสียจึงคุยกันได้

            “ท่านเป็นคนดูแลอาหมานมิรู้หรือ?”  เหมยซิงหาทางจับผิด

            “เพราะดีใจที่ได้พบจนลืมไป”  เขายิ้มแก้เก้อ

            “ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนหรือไม่”  นางถามจ้องตาเขาอย่างจริงจัง เห็นใบหน้านั้นส่ายไปมาช้า ๆ จึงได้แต่พยักหน้ายอมรับ

            “ข้าจะเอาน้ำชามาให้ รอสักครู่”

            “ขอบใจแม่นางน้อยมาก”

            นางจำใจต้องถอยห่าง พาน้อง ๆ ออกมารวมทั้งพ่อบุญธรรมด้วย เหมยลี่เบ้ปากเหมือนจะร้องไห้ ทำให้เหมยซิงอุ้มน้องสาวตัวเล็กขึ้นมาหอมแก้มนุ่ม ๆ เล่น

            “เหมยลี่คนดีเป็นอะไรไป”

            “เขาจะเอาอาหมานไป”

            “อาหมานไม่ใช่ของเราเสียหน่อย”  ติงเกาพูดขึ้น

            “ถ้าเป็นญาติของอาหมานจริง ๆ ก็ดีซิ อาหมานจะได้กลับบ้านไง”  ติงหยี่ปลอบน้องสาวตัวเล็ก เขารู้ว่าเหมยลี่มองอาหมานเหมือนของเล่นที่นางประคบประหงมดูแล

            “ใช่ ๆ อาหมานไม่สบายกลับบ้านไปจะได้มีหมอรักษาอย่างไรเล่า” ติงปิงเองก็ช่วยปลอบน้องสาวไปด้วย

            แต่ทั้งหมดที่พูดมาเหมือนจะปลอบใจเหมยซิงด้วยเช่นกัน  นางดูแลเขามาเกือบครึ่งเดือน แม้รู้ว่าวันหนึ่งเขาต้องกลับไปในที่ที่จากมา

แต่นางก็อดเศร้าใจไปด้วยไม่ได้

            เด็ก ๆ มัวแต่ซ่อนความเศร้าที่อาหมานจะจากไป มีแต่ติงเชาที่รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ทั้งการมาของชายที่เรียกตัวเองว่า ‘เสียเอี๋ยน’ และคนที่ลูกสาวแบกมาจากป่าช้าที่ชายผู้นั้นเรียก ‘คุณชายหานหงปิง’  หากอาหมานเป็นคุณชายหานหงปิงตัวจริง  ไยเหมยซิงจึงจำไม่ได้ว่าคนที่นางดูแลเป็นคุณชายหาน

            เพราะบ้านเศรษฐีที่นางไปเป็นหญิงรับใช้นั้นคือบ้านตระกูลหาน!  คนพวกนั้นลงโทษนาง และเอานางไปโยนทิ้งในป่าช้าราวเศษสวะชิ้นหนึ่ง!.

          “ข้าไม่มีเวลาอธิบายเรื่องทั้งหมด”

เสียเอี๋ยนรีบเอ่ยขึ้นหลังจากไม่มีผู้อื่นในบริเวณนี้แล้ว “แต่ท่านอ๋องมีเวลาไม่มากแล้ว ต้องรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็ว”

            ‘เหตุใดจึงรีบร้อนนัก’  ซุนเว่ยหมินเอ่ยตอบอยู่ในใจ โชคดีที่สามารถสื่อสารด้วยจิตได้ ทำให้เขาไม่ลำบากนัก

            “ดวงจิตของท่านอ๋องออกจากร่างมานานนับเดือนแล้ว  ท่านต้องรีบกลับเข้าร่างภายในสี่สิบเก้าวัน มิเช่นนั้นจะกลับเข้าร่างไม่ได้ตลอดไป”

            ‘เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ ไยเจ้าเพิ่งหาข้าพบ!’  เขาก็มิได้อยากอยู่ในร่างผู้อื่นเช่นนี้

            “หาใช่ความผิดของข้า”  เสียเอี๋ยนเบ้ปาก “เป็นท่านที่ดวงจิตกระเด็นกระดอนออกจากร่างมาอยู่ในร่างของ....”

            ‘ข้าอยู่ในร่างของผู้ใด!’  ตั้งแต่ลืมตามา รู้เพียงแค่ว่านี้ไม่ใช่ร่างของตน แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นของใคร

            เสียเอี๋ยนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกล่าวออกมา “เป็นคุณชายหานหงปิง”

            ‘หานหงปิง! เขามิได้พิกลพิการเจ็บป่วยหนักหนาอยู่เมืองหลวงหรอกหรือ? ไยมาอยู่หมู่บ้านกันดารแห่งนี้’

            “เรื่องนั้นข้าไม่รู้ แต่ข้ามั่นใจว่าใบหน้า และรูปนี้เป็นของคุณชายหาน เพราะข้าเคยพบเขามาก่อน”

            เสียเอี๋ยนโคลงศีรษะไปมา  เขาเคยพบคุณชายหานมาก่อนจริง เพราะคนในตระกูลหานเคยขอร้องให้เขาไปตรวจดูอาการคุณชายหงปิงที่ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด และยังมีไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  หากไม่เพราะตระกูลหานเป็นตระกูลที่ร่ำรวยเพราะทำการค้า  เป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวง และหานหงปิงเป็นเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอก  ชะตากรรมของชายผู้นี้คงไร้คนเหลียวแล และทิ้งให้ตายอย่างน่าเวทนา

            แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณชายหานหงปิงมาอยู่ที่นี่ และเหตุใดดวงจิตของจวิ้นอ๋องหรือซุนเว่ยหมิน ถึงมาอยู่ในร่างของคุณชายหานหงปิง

‘ทำอย่างไรดวงจิตของข้าจึงจะกลับเข้าร่างเดิมได้’

            “ร่างของท่านอ๋องเวลานี้อยู่ที่จวนแล้ว เดิมทีคิดว่าที่ท่านยังไม่ได้สติเพราะบาดแผลที่ได้รับ แต่เมื่อหมอหลวงขจัดพิษจนหมดแล้ว ท่านก็ยังไม่ตื่นฟื้น  ข้าเดินทางตามไปทีหลังจึงได้ตรวจดูว่าดวงจิตของท่านหลุดลอยออกจากร่าง ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาข้าใช้ความพยายามค้นหาดวงจิตของท่าน  ดีที่ย้อนกลับมาที่เดิม  ภูตผีเสื้อหาท่านพบ”

เสียเอี๋ยนนิ่งไปครู่หนึ่ง รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวด้านหลัง เขาจึงหุบปาก และเมื่อร่างของเด็กสาวเดินเข้ามาพร้อมกาน้ำชา เขาก็คลี่ยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ

บทที่เกี่ยวข้อง

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 10. เจ้าหมายถึงเรื่องใด

    “บ้านข้ายากจน ใบชานี้ก็ทำเอง ไม่รู้จะถูกปากท่านหรือไม่” “เพียงน้ำใจที่มอบให้ก็นับว่ามีค่ายิ่งนักแล้ว” เหมยซิงรินน้ำชาให้ แต่ดวงตาลอบมองอาหมานด้วยความเป็นห่วง แต่เห็นดวงตาคู่นั้นเพียงแค่จ้องมองการเคลื่อนไหวของนาง ไม่มีแววร้องขอความช่วยเหลือใด นางก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ เสียเอี๋ยนสังเกตสายตาของซุนเว่ยหมินที่กลอกตามองตามร่างเล็กที่เดินออกไปแล้ว “ท่านเชื่อใจนาง” เสียเอี๋ยนถามยิ้ม ๆ นิสัยของชายผู้นี้ยากจะไว้ใจใครได้ง่าย ‘สภาพเช่นข้าไม่มีทางเลือกนัก’ เขาปากหนักเกินกว่าจะยอมรับสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างใน “เห็นทีว่าข้าต้องขอความช่วยเหลือจากนางแล้ว” ‘เจ้าหมายถึงเรื่องใด’ “ข้าคงต้องการให้นางพาร่างนี้กลับเมืองหลวง” ‘ไยต้องเป็นนาง!’ “กว่าข้าจะหลบผู้คนออกมาตามหาท่านก็มิใช่เรื่องง่าย คนที่ลอบสังหารท่านก็ยังจับตัวไม่ได้ ที่ข้ามาที่นี่ก็มาเพียงลำพัง ร่างของท่านนั้นข้าให้เยี่ยนฉือองครักษ์ของท่านค่อยดูแลมิให้ใครเข้าใกล้” เสียเอี๋ยนชี้หน้าตัวเองแล้วฉีกยิ้ม “ข้าคิดว่าคนที่ลอบสังหารท่านยั

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter11.  ไม่อาจอธิบายได้

    “ข้าไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด แต่...คุณชายจะอยู่ได้เพียงสี่สิบเก้าวัน ตอนนี้เวลาเหลือเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น หากไม่รีบกลับเมืองหลวงคุณชายของข้าก็จะ...” ‘ตาย’ แม้ไม่ได้พูดมาแต่นางเข้าใจคำนั้นได้อย่างดีหญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ไม่เพียงแค่อยากรู้ถึงเหตุผลที่ตัวเองมาที่นี่ รวมทั้งร่างของตัวเองในอีกโลกยังรวมถึงชีวิตของอาหมานอีกด้วย แต่นางอดเป็นห่วงคนที่นี่ไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่แข็งแรงที่สุด เป็นพี่สาวของน้อง ๆ “ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยเป็นคนมีคุณธรรมไม่อาจเอาเรื่องเงินทองมาพูดคุยได้ แต่ถ้าเจ้ามีใจเมตตา ข้ายินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ในเวลานี้ทันทีห้าสิบตำลึง และจะได้รับอีกห้าสิบตำลึง เมื่อคุณชายกลับถึงเมืองหลวง” “ห้าสิบตำลึง” เงินห้าสิบตำลึงมันเยอะแค่ไหนนะ? ดวงตากลมมีแววประหลาดใจ นางมองหน้าเสียเอี๋ยนกับอาหมานสลับไปมาแล้วถอนหายใจหนัก“ยังไงก็ต้องเป็นข้าใช่ไหม” “แม่นาง...” “ขอข้าปรึกษาท่านพ่อก่อน” นางพูดตามตรง “แต่ท่านควรรู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รู้เส้นทาง” “เรื่องนั้นมิใช่ปัญหา เพียงของแค่

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 12.  พันดาวในร่างของเหมยซิง

    “ใช้เวลาเดินทางสิบวัน ถ้าเป็นม้าเร็วก็ใช้เวลาแค่ครึ่งหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นหมู่บ้านที่อยู่ก็ไม่ไกลเมืองหลวงมากซินะ”เหมยซิงพูดกับตัวเองแต่ให้ดังพอที่คนข้างหลังได้ยิน แม้เขาโต้ตอบนางไม่ได้ก็เถอะ นางอยากส่งเสียงให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เหมยซิงนึกถึงเรื่องราวที่พูดคุยกับเสียเอี๋ยน แม้คนผู้นั้นพูดกำกวมไม่ขยายความให้เข้าใจทั้งหมด แต่คาดเดาว่าคุณชายของเสียเอี๋ยนผู้นี้คล้ายกับนางตรงที่ดวงจิตมาอยู่อีกร่าง ซ้ำร้ายที่ดวงจิตของเขาดันมาอยู่ในร่างที่เป็นผักสื่อสารกับใครไม่ได้เช่นนี้ อยากกลับบ้านก็ทำไม่ได้ ส่วนนางดวงจิตมาอยู่ในร่างเด็กสาววัยสิบหก ทว่าดวงจิตของนางหลุดมาจากอีกโลกหนึ่ง นางเหลือความหวังน้อยเหลือเกินที่จะได้กลับไปโลกเดิม แต่พอคิดว่านางอาจจะช่วยคนที่มีสภาพเป็นผักให้กลับคืนเป็นปกติในร่างที่ควรอยู่ นางก็มีกำลังใจขึ้นมา และที่สำคัญ...หากนางกลับไม่ได้จริง ๆ ขอเพียงได้รู้ว่าลุงทองดีสบายดีก็พอแล้ว จะว่าไปชีวิตในร่างนี้มีส่วนคล้ายกับนางในโลกโน้น นางมีลุงทองดีเป็นเหมือนพ่อบุญธรรม อยู่ที่นี่นางก็มีติงเชาเป็นพ่อบุญธรรม แต่ที่นี่นางยังมีน้อง ๆ

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 13.  มีความกล้า

    ซุนเว่ยหมินแทบสำลักน้ำลายตัวเอง สองหูได้ยินสิ่งที่หญิงผู้นั้นพูดท่าทางสงสารเหมยซิงจับใจ เหมยซิงเมื่อพาชายหนุ่มเข้ามาในห้องแล้วก็จัดท่าทางให้เขาได้เอนหลังสบาย ๆ เห็นดวงตาของเขาจ้องมองเขม็ง นางถลึงตามองกลับก่อนย่นจมูกแล้วยื่นปลายนิ้วมาจิ้มจมูกของเขาเบา ๆ “ข้าจำเป็นต้องบอกพวกเขาว่าเจ้าเป็นสามีของข้า ข้าจะพาสามีกลับบ้าน”นางยิ้มทะเล้นใส่ แล้วหมุนตัวไปรินน้ำป้อนให้เขาจิบที่ละนิด“ประเดี๋ยวข้าจะออกไปดูสักหน่อยว่าจะทำอาหารเย็นกินกัน เจ้ารออยู่คนเดียวก่อนนะ” นางไม่รอให้เขาพยักหน้ารับ รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แม้นางจะปิดประตูห้องแล้ว แต่เขายังได้ยินเสียงนางพูดคุยกับหญิงชรา และสะใภ้ผู้นั้น แม้จับใจความที่พวกนางสนทนาไม่ได้แต่เสียงหัวเราะของเหมยซิงทำให้เขาพลอยหัวเราะตามไปด้วย ไม่นานนักเหมยซิงก็กลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำ “เช็ดตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน เสื้อผ้าเจ้าข้าจะรีบซักตาก น่าจะแห้งก่อนเดินทาง”แม้ในบ้านจะมีผู้ชาย แต่ก็เป็นเด็กและพ่อบุญธรรมก็ป่วย นางจึงรับหน้าที่ดูแลอาหมาน ในโลกโน้นนางอยู่กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เป็นสตั๊นต์แมน เห็นผู้ชายเปล

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 14. ลำบาก

    เพราะเสียงหัวเราะของเหมยซิงทำให้หญิงชรา และสะใภ้ผู้นั้นขบขันไปด้วย เข้าใจไปว่านาแสร้งทำให้ทั้งสองหัวเราะทั้งทีความจริงแล้ว เหมยซิงไม่รู้ว่าการแสดงความคารวะ หรือขอบคุณผู้อื่นนั้นต้องทำเช่นไร “ข้าจำมาจากในหนังจีน” เหมยซิงบ่นอุบอิบพลางย่อตัวลงแล้วแบกร่างผักของชายหนุ่มขึ้นหลัง พาเขาเข้าไปนอนในที่นอนที่นางเอาออกไปผึ่งลมเมื่อวาน เขาไม่ชอบกลิ่นอับ นางรู้เรื่องนี้ดี นางปีนขึ้นหลังรถม้า จัดที่ทางและท่านอนให้เขาอย่างพอเหมาะ และเขาต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นนางใช้เส้นไหมผูกปลายนิ้วชี้ของเขาไว้ “ข้านั่งข้างหน้าบังคับม้า เจ้าอยู่ด้านหลัง ส่งเสียงเรียกข้าก็ไม่ได้ ขยับได้แค่ปลายนิ้วกับกลอกตาไปมา ข้าเลยขอเส้นไหมจากท่านย่าผูกปลายนิ้วของเจ้า ปลายเส้นไหมอีกด้านนั้นข้างจะผูกไว้กับนิ้วมือของข้า หากเจ้าต้องการอะไร หรืออยากเรียกข้าก็แค่กระตุกเส้นไหมนี้ ข้าจะได้รู้อย่างไรล่ะ” เหมยซิงมุดกลับออกไปนั่งด้านหน้า กระตุกบังเหียนให้ม้าก้าวเท้าออกเดินทาง ปลายนิ้วชี้ข้างขวาผู้เส้นไหมสีแดงกับเขาปลายนิ้วของชายที่เอนตัวลงนอนอยู่ด้านในของรถม้า ซุนเว่ยหมินมองเส้นไหมด้วยความร

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 15.  ระหว่างเดินทาง

    ร่างกายภายใต้น้ำพุร้อนสบายยิ่ง เขารู้สึกว่าตนเองขยับตัวได้มากกว่าปลายนิ้ว ตอนนี้เขาสามารถหมุนข้อมือตัวเองได้ ปลายเท้าก็ขยับได้มากขึ้น ลองยกขาขึ้นแต่ยังไม่สามารถทำได้ เขาถอนหายใจหนักหน่วง หวังให้ร่างกายนี้ขยับตัวได้มากกว่านี้ “อย่ากังวลเลย เจ้าต้องขยับตัวได้แน่” ซุนเว่ยหมินลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงที่อยู่ใกล้ ๆ นางค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาหาเขา ท่อนแขนเรียวยื่นออกไปหยิบบางสิ่งที่อยู่ด้านหลังของเขา ชายหนุ่มแทบกลั้นหายใจ ครู่หนึ่งนางก็ชักมือกลับมาพร้อมกับจ่อยาลูกกลอนที่เสียเอี๋ยนสั่งให้เขากินทุกหนึ่งชั่วยาม “ได้เวลากินยาแล้ว” เหมยซิงยิ้มกว้าง “ข้ารู้ว่าเจ้าฝึกขยับตัวอยู่เสมอ อย่าได้เร่งร้อนเกินไปจะบาดเจ็บได้ เอ้า! อ้าปากแล้วกลืนยานี่” ชายหนุ่มทำตามที่นางสั่ง อ้าปากให้นางป้อนยาลูกกลอนเคลือบน้ำผึ้งลงคออย่างง่ายดาย “ข้าจะขึ้นจากน้ำสวมเสื้อผ้าก่อน เจ้ารอประเดี๋ยวนะ” นางก้าวขึ้นจากน้ำ ซุนเว่ยหมินหลุบตาลงแต่กระนั้นก็ยังทันได้เห็นเรือนร่างผอมบางที่แม้จะสวมเอี๊ยมปกปิดเรือนร่าง ทว่ายามเปียกน้ำนั้นมันกลับเหมือนนางไม่ได้สวมใส่สิ่งใด

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 16.  แค่ตกใจ

    “อาหมาน...ซื้อม้าตัวหนึ่งนี่ต้องใช้เงินเท่าไร ม้าตัวนี้เสียเอี๋ยนให้ข้าใช้พาเจ้ามาส่ง ข้าผูกพันกับมันมาก อยากได้มันไปอยู่กับข้าด้วย” “อาหมาน...ข้าอยากซื้อบ้านสักหลัง บ้านที่ข้าอยู่ตอนนี้มันของผู้อื่น ไม่รู้เจ้าของจะมาทวงเอาคืนเมื่อใด เจ้าว่าต้องใช้เงินเท่าไรกัน” “อาหมาน...ไหน ๆ ต้องซื้อบ้านแล้ว ข้าว่าซื้อบ้านในเมืองหน่อยดีหรือไม่ จะได้ทำการค้าไปด้วย” “อาหมาน...” ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่สามารถขยับปากพูดคุยตอบคำถามของนางได้ แต่นางก็ยังตั้งคำถามอยู่เสมอ และเขาเองชินกับการถูกเรียกว่า ‘อาหมาน’ ไปแล้ว เขาจดจำจังหวะการเดินของนางได้ นางจะวิ่งมาเต็มฝีเท้า และหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้าบานประตูครู่หนึ่งก่อนค่อย ๆ ผลักบานประตูเข้ามา “อาหมาน...รอข้านานไหม พอดีข้าได้ถั่วฝักยาวมาก็เลยเอาไปให้เจ้าโชคดี” นางเอ่ยขึ้นแล้วเดินเข้ามาใกล้ ๆ จ้องมองดวงตาของเขาซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่โต้ตอบกับนางได้ จะมีสตรีสักกี่นางที่กล้าจ้องตาเขาเช่นนี้ “ตัวข้ามีแต่กลิ่นม้า ข้าจะเช็ดตัวสักครู่ เจ้ารอก่อนนะ ประเดี๋ยวค่อยเข้านอนพร้อมกัน”

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 17.   หญิงอัปลักษณ์

    ซุนเว่ยหมินกะพริบตาอย่างประหลาดใจ มองดูแขนของตนที่ยกขึ้นได้แล้ว และยังมีเรี่ยวแรงพอจะรั้งนางไม่ให้พลิกตัวจนตกเตียง เขาจ้องมองคนที่ยังหลับอยู่แล้วลองขยับตัวใช้สองแขนยันร่างตัวเองขึ้นจากที่นอน แม้การขยับตัวง่าย ๆ นี้ก็ทำให้เหงื่อซึมออกมาที่หน้าผาก แต่เขาก็ยิ้มอย่างดีใจที่ขยับตัวได้มากถึงเพียงนี้ แต่ยิ้มได้เพียงครู่เดียวก็รู้ว่าร่างของตนโงนเงน และล้มลงเหมือนกิ่งไม้ไร้น้ำหนัก ยังดีที่เขายังเหลือแรงใช้ศอกยันที่นอนไม่ให้ตัวเองทับร่างของหญิงสาว เขาถอนหายใจเบา ๆ เห็นนางหลับสนิทค่อยเบาใจ เขายังไม่มั่นใจว่าตนเองจะขยับตัวได้เช่นนี้อีกหรือไม่ หญิงอัปลักษณ์!เขาต่อว่านางที่บังอาจมาล่วงเกินเขาได้ มือเล็กของนางไม่นุ่มนิ่มซึ่งไม่น่าประหลาดใจนัก นางนอนพลิกตัวบ่อยไร้ความเป็นกุลสตรี ยามหัวเราะนางไม่เคยสะกดกลั้นเสียงของตนเอง ยามนางยิ้ม ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ แม้นางผายผอมไปสักหน่อย แต่ยามที่นางเปียกน้ำในบ่อน้ำพุร้อนนั้น เขามั่นใจว่าหากนางได้กินดีกินอิ่มทั้งสามมื้อต้องมีน้ำมีนวลกว่านี้ กลิ่นกายของนางนั้นละมุนอย่างที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อน หญิงอื่นมักอบร่ำตนเองให้หอ

บทล่าสุด

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 73. จบ

    “คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 72.   ลูกๆ 

    ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 71.  ว่าที่สะใภ้น้อย

    หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 70.  รับความดีความชอบ

    “ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 69.   ครึ่งปีต่อมา

    ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 68.  กลับมา

    นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 67.  กล่าวคำลา

    “ดาว...” “ขอบใจนะศรัณย์” เธอยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับหน้าผากของชายหนุ่ม “ปล่อยดาวไปเถิดนะ” พันดาวสบตาศรัณย์พลันนึกถึงชายอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่แววตาที่จ้องมองเธอนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้ว แววตาของคนที่เธอรัก เธอไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่เพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ทำให้เธอรักเขาจนหมดหัวใจ “เหมยซิง!” หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เหลียวมองรอบตัว ใครกันนะ ใครกันที่เรียกชื่อเธอ ในห้องเต็มไปด้วยพยาบาลและคุณหมอ มารดาของพันดาวเดินตามนายแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามา เท้าของหญิงวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเห็นร่างของลูกสาวเป็นเงาจาง ๆ อยู่เหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียง “ยัยดาว!” “แม่” พันดาวหันกลับมาแล้วส่งยิ้มกว้าง “ดาวรักแม่นะคะ” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเธอ แต่อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจว่าลูกสาวคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่นี้พันดาวก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว “เหมยซิง!” หญิงสาวหันไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน พยายามนึกว่าเป็นเสียงของใคร

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 66.  เสียงระเบิด 

    เสียงระเบิดทำให้เหมยซิงหูอื้อ นางพยายามเบิกตากว้าง ภาพที่เห็นยามนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนั้น ขาดก็เพียงไม่มีสุนัขจิ้งจอกยืนจ้องหน้านาง ดวงตาคู่นั้น... ไฉนเหมือนดวงตาของเด็กชายอายุสิบสองที่ทุกคนก้มศีรษะให้ในฐานะองค์รัชทายาทนักนะ! ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในศีรษะทำให้ดวงตาสุกใสต้องปิดเปลือกตาแน่น ความมืดเข้าครอบงำ สติสัมปชัญญะ ไม่อาจฟื้นรับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างอีกแล้ว!. เสียงร้องไห้เรียกสติของหญิงสาวที่ลืมตาอยู่ในความมืดให้เดินตามเสียงที่ได้ยิน หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ทว่ากลับได้ยินเสียงร้องไห้ชัดขึ้นทำให้ต้องลืมตาอีกครั้งแล้วพบชายใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในชุดสีฟ้ากระจ่าง ใช่แล้ว เธอเคยบอกเขาว่าเขาดูเป็นผู้ชายโรแมนติกในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าละมุนตาอย่างนี้ ความดำมืดค่อย ๆ จางหาย ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง เท้าเล็ก ๆ พาร่างของตนเองไปหยุดยืนข้างเตียง หญิงสาวสีหน้าซีดเซียว ผอมบางจนแทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เมื่อพิจารณาดี ๆ นี่คือร่างของหญิงสาวที่ชื่อ...“พันดาว” น่าประหลาดใจที่ไม่รู้สึกตื

  • วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น   Chapter 65.  เจ้ายังมีข้า

    “หัวเราะอะไร” “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าข้าจะไปไหน” “ก็เจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ปิดบังข้า ข้าไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก” ซุนเว่ยหมินยิ้มที่มุมปาก เขาสูดลมหายใจลึกก่อนพูดออกไป “มันไม่ใช่หินถล่มธรรมดา” “เจ้าถูกลอบทำร้าย?” “ย่อมเป็นเช่นนั้น” เขาถอนหายใจกระตุ้น ม้าไปยังจุดหมายที่นัดไว้ “การเป็นคนซื่อตรงเช่นข้าย่อมขัดแข้งขัดขาผู้อื่น” จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงเด็กชายวัยสิบสองขวบที่นางเคยช่วยไว้ผู้นั้น “องค์รัชทายาท...” “ทำไมรึ?” ซุนเว่ยหมินก้มหน้าลง ความสนใจของเขาอยู่ที่กำไลหยกเรียบง่ายทว่าเขามั่นใจว่าเมื่อคืนมันเปล่งแสงได้ “เรื่องของเจ้าเกี่ยวกับองค์รัชทายาทหรือไม่” นางถามตรงไปตรงมา “ที่ถามนี่เพราะเจ้าเป็นห่วงข้าหรือเจ้าเด็กนั่น!” ในสายตาเขา ไม่เห็นเป็นองค์รัชทายาท มองอย่างไรก็เป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่พี่สาวของเขาเป็นเต๋อเฟยแต่อย่างใด เหมยซิงหัวเราะเสียงใส “แบบนี้เรียกว่าเหม็นน้ำส้มได้หรือไม่” ซุนเว่ยหมินเลิกคิ้ว นางย้อนเขาด้วยเรื่องที่เขาเคยล้

DMCA.com Protection Status