Share

Chapter 8. ร่างกายสภาพผัก

            หากไม่นับร่างกายที่มีสภาพเป็นผักเช่นนี้  ชีวิตความเป็นอยู่อันแสนยากจนทว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนี้ก็นับว่ามีความสุขมากนัก  ติงเชาที่เด็ก ๆ เรียกพ่อบุญธรรมเป็นพรานป่าอาศัยหาของป่าเลี้ยงชีพ เขาเองไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของติงเชา แต่เหมยซิงและเด็ก ๆ ที่นี่เป็นผู้ที่หลงเหลือจากสงครามเมื่อหกปีก่อน  ผลัดพรากจากพ่อแม่ญาติพี่น้องหรืออาจตายจากกันไปแล้ว  พวกเขาจึงอยู่ที่นี่กันอย่างเรียบง่าย ไม่นานมานี่ติงเชาเกิดเจ็บป่วยทำให้เหมยซิงไปทำงานในบ้านเศรษฐีเป็นหญิงรับใช้ และถูกทำร้ายปางตาย ทำให้นางกลับมาอยู่ที่เดิมนี่

            เขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมนี้เป็นมาอย่างไร  แต่เหมยซิงเองคงเข้าใจไปว่าเจ้าของร่างนี้เป็นเช่นเดียวกับนาง เพราะนาง ‘เก็บ’ เขามาจากป่าช้า

            นอกจากปลายนิ้วมือ และเท้าแล้ว ก็มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้ตามใจซึ่งยามนี้เขาเฝ้ามอง ร่างของเด็กสาวผอมบางที่ควงไม้พลองอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางเสียงปรบมือของน้อง ๆ

            “พี่สาวเก่งแบบนี้ไปขายศิลปะในเมืองคงได้หลายเงินเป็นแน่”  ติงเกาพูดขึ้นแล้วทำท่าหมุนตัวเลียนแบบพี่สาว

            “ขายศิลปะคืออะไร?”  

เหมยซิงถามพลางเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยท่อนแขน  อยู่ที่นี่มาสองเดือนเริ่มชินกับร่างกายนี้แล้ว พอได้ขยับตัวบ่อยการเคลื่อนไหวบ่อยๆ ก็เริ่มคุ้นชิน นางฝึกยืดหยุ่นตัวเหมือนตอนที่ยังเป็น ‘พันดาว’ ในทุกวันนางมีตารางฝึกออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วพร้อมรับทุกบทบาทที่ได้รับมา

            “ก็ไปแสดงศิลปะการต่อสู้ แลกเงินหรือข้าวสารของกินได้”  ติงเกาพูดด้วยรอยยิ้มมีความหวัง “พี่สาวสอนข้าบ้างซิ”

            เหมยซิงพยักหน้าเข้าใจ คงจะเหมือนกับ ‘เปิดหมวก’ ละซิ  ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี  นางอยากหาเงินซื้อข้าวสารมาตุนไว้ให้น้อง ๆ  เมล็ดพันธุ์พืชที่ได้มาก็ลงแรงเพาะปลูกไปแล้ว  ช่วงนี้อาการพ่อบุญธรรมดีขึ้นก็ลุกขึ้นมาสอนนางใช้ธนูล่าสัตว์  นางจึงได้รื้อเอาเครื่องมือล่าสัตว์ของบิดาออกมาซ่อมแซม   นางรู้ว่าพ่อบุญธรรมดูประหลาดใจที่นางสนใจเรื่องพวกนี้ แต่นางก็ใช้รอยยิ้มกลบเกลื่อนทำให้ติงเชาไม่เอ่ยถามอะไร  สอนให้นางรู้เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้อย่างเต็มใจ

            หญิงสาวหันมาทางชายหนุ่มที่ทุกคนในบ้านต่างตกลงใจที่จะเรียกเขาว่า ‘อาหมาน’ ติงปิงบอกว่า ‘หมาน’ แปลว่า ‘เต็ม’  แม้สีหน้าคนถูกเรียกจะไม่เต็มใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้  นางเห็นเหมยลี่ช่วยหวีผมให้อาหมานแล้วก็กระโดดลงมายืนจ้องมองชายหนุ่มที่กระตุกกระติกตัวไม่ได้แล้วยิ้มอย่างภูมิใจ

            “เหมยลี่เก่งจริง ๆ”  นางเอ่ยชมน้องสาวคนเล็ก แล้วเดินไปใกล้แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำลายที่มุมปากให้อาหมาน ดูเขาอึดอัดใจที่นางคอยดูแลเขาเช่นนี้

            “อย่าคิดมาก ข้าเคยดูแลคนอาการหนักกว่าเจ้าอีก  ถึงบ้านนี้จะมีเด็กผู้ชายแต่เขาก็เด็กเกินกว่าให้มาทำอะไรพวกนี้เอง ให้ข้าจัดการให้เถอะ เจ้าก็ทำเป็นมองไม่เห็นก็ได้”

            นางพยายามไม่ให้เขาคิดมาก แต่ดูท่าเขาจำยอมอย่างจนใจ นางประเมินอาหมานว่าเขาคงอายุประมาณยี่สิบนิด ๆ หรือไม่เกินนี้  ถ้านับตามอายุ ‘พันดาว’ แล้วละก็ ชายผู้นี้ก็เป็น ‘น้อง’ ของนางอีกด้วย และความที่เขาผอมบางมาก ทำให้นางสามารถใช้ร่างเหมยซิงเด็กสาวอายุสิบหกแบกเขาไปโน้นมานี่ได้อย่างไม่ลำบากนัก

            สองเดือนกับการอยู่ในร่างเหมยซิง  บางทีนางก็อดคิดไม่ได้ว่า อาจเป็นชะตาลิขิตให้นางต้องมาใช้ชีวิตที่นี่ก็เป็นได้  ถ้านางไม่เคยเป็นสตั๊นต์เกิร์ลมาก่อน คงใช้เครื่องมือล่าสัตว์ไม่เป็น ถ้านางไม่เคยออกค่ายอาสา นางคงไม่รู้วิธีเพาะปลูก และถ้านางไม่เคยดูแลคุณตาข้างบ้าน นางก็ไม่รู้ว่าจะดูแลอาหมานอย่างไร

พอคิดแบบนี้แล้วนางมีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตในโลกแปลกประหลาดใบนี้ และเมื่อไหร่ที่นางคิดถึงลุงทองดี นางก็จะดูตั้งใจดูแลพ่อติงเชาและน้อง ๆ ให้มาก

            ซุนเว่ยหมินมองร่างบอบบางเดินเอาผ้าที่เช็ดน้ำลายของเขาไปซักแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ  ชีวิตเขาจะต้องอยู่ในสภาพนี้ไปนานเพียงใด คนที่เคยทำอะไรด้วยตัวเองได้ทุกอย่าง มาเวลานี้ไม่อาจทำอะไรได้เลย ศักดิ์ศรีที่เคยมีท่วมท้น ยามนี้แทบไม่มีสิ่งนั้นเหลือแล้ว  แต่เขายังพอมีหวัง บ้างทีอย่างน้อยเขาเริ่มเปล่งเสียงได้มากขึ้น ขยับข้อมือได้ ลองฝึกยกแขนแม้จะขึ้นเหนือพื้นมาเล็กน้อยแต่ก็นับว่าดี ขอเพียงเขาขยับมือเขียนจดหมายได้ เขาก็จะสามารถติดต่อผู้อื่นได้

            ในขณะที่ใจพะวงหาวิธีการติดต่อกับผู้อื่น  เขาเห็นผีเสื้อสีขาวพิสุทธิ์ตัวหนึ่งโบยบินวนเวียนอยู่เบื้องหน้า ขณะที่จับจ้องมองผีเสื้อแปลกตาตัวนี้มันก็บินมาเกาะที่ปลายจมูกของเขา  เขาหรี่ตามองผีเสื้อตัวนี้ด้วยความรู้สึกคุ้นตา 

            “อืออออ....”

            เหมยซิงที่มักจะไวกับปฏิกิริยาของอาหมานจึงหันมาทันที เห็นเพียงเขามีสีหน้าตื่นเต้น และส่งเสียงครางครือในลำคอเท่านั่น นางเอียงคอมองอย่างประหลาดใจแล้วเดินกลับมานั่งจ้องหน้าชายหนุ่มแล้วเอ่ยถาม

            “มีอะไรรึอาหมาน”

            “อืออออออ...”

            “หือ?”  นางรู้สึกเหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรนาง แต่คราวนี้นางไม่เข้าใจจริง ๆ ได้แต่หันซ้ายหันขวามองตามลูกตาดำของเขาที่กลอกไปมา  ยังไม่ทันได้ค้นหาคำตอบ นางได้ยินเสียงม้าอยู่หน้าบ้าน  บ้านที่ไม่ค่อยมีใครผ่านมานักทำให้เด็ก ๆ และพ่อบุญธรรมหยุดการเคลื่อนไหว และหันไปมองทางประตูหน้าบ้าน

            บุรุษในชุดดำก้าวพรวดพราดเข้ามาในลานกว้างอย่างไม่เกรงใจและมารยาทเจ้าของบ้าน เขากวาดตามองราวกับไม่เห็นผู้ใดในสายตา จับจ้องไปเพียงยังชายที่นั่งเอนหลังนิ่ง ๆ เบิกตากว้างด้วยความดีใจ

            “ท่าน...”  เสียเอี๋ยนก้าวเร็ว ๆ มาคุกเข่าเบื้องหน้า กำลังจะเรียกชื่ออีกฝ่ายแต่ตระหนักได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้แม้มีดวงจิตของท่านอ๋องซุนเว่ยหมินที่เขาตามหามานานนับเดือน ทว่าร่างกาย และใบหน้าไม่ใช่ของท่านอ๋อง  เป็นใบหน้าและร่างกายของ...

            ‘เสียเอี๋ยน!’

            “คุณชาย...”  เสียเอี๋ยนนอกจากจะฝึกยุทธแล้ว เขายังมีความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น  เป็นพรสวรรค์ที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด แต่ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว บิดามารดาจึงยกเขาให้นักพรตท่านหนึ่งเลี้ยงดู ทำให้เขาได้ร่ำเรียนเวทมนตร์คาถาต่าง ๆ พอที่จะเรียกสัตว์ ใช้สัตว์อาคมติดตามหาผู้ที่ต้องการพบตัวได้เช่นนี้

            “คุณชาย?”  เหมยซิงที่อยู่ใกล้ที่สุดออกมายืนขวาง แม้คนผู้นี้ทำท่าสนิทสนมกับอาหมาน แต่เขาจู่ ๆ เข้ามาแบบนี้ก็ไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status