“ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” นางรีบพูดขึ้นแล้วประคองให้เขาเอนหลังผิงผนังห้อง เพราะสภาพเหมือนผักเช่นเขาให้นั่งตัวตรงยังยากลำบาก
ติงเชากวาดตามองชายร่างผอมที่ลูกสาวแบกกลับมาเมื่อสามวันก่อนแล้วพยักหน้ารับ ใบหน้าดุดันแม้มุมปากจะยกยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ได้ยิ้ม เขาไม่พูดอะไร แต่จากสภาพของชายแปลกหน้าที่นอนหมดสติมาหลายวันก็ทำให้เขาพอเข้าใจ และเกรงว่าสภาพนี้ถ้าเขาพูดอะไรมากไปก็จะทำให้คนป่วยลำบากใจเสียเปล่า
“บ้านนี้อยู่กันง่าย ๆ เจ้าพักผ่อนให้แข็งแรงดีก่อน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย” ติงเชาพูดขึ้นแล้วหันไปพูดกับเด็ก ๆ รอบตัว “อย่าได้รบกวนคุณชายท่านนี้ ถือเสียว่าเขาเป็นแขกของพ่อก็แล้วกัน”
“ขอรับท่านพ่อ” ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง พูดขึ้นพร้อมกัน แต่เพราะเป็นเด็กก็อดมองแบบอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายใบหน้าเหยเกดูน่ากลัว พวกเขากลับสงสารเห็นใจ ส่วนเด็กน้อยเหมยลี่หลบอยู่ด้านหลังพ่อบุญธรรม
“ข้าขอดูแลเขาสักครู่แล้วจะออกไปแบกฟืนมาเก็บไว้ให้นะ” เหมยซิงเอ่ยขึ้น เห็นพ่อบุญธรรมพยักหน้าแล้วก็หันมาทางคนที่มีสภาพเป็นผัก
“หิวหรือไม่” นางได้คำตอบเป็นการพยักหน้าช้า ๆ ยังดีที่สามารถสื่อสารกันได้บ้าง “รอสักประเดี๋ยว ข้าเพิ่งทำโจ๊กเสร็จ จะยกมาให้”
ซุนเว่ยหมินมองเด็กสาวลุกขึ้นแล้วเดินเร็ว ๆ ออกไป ไม่นานนักนางก็กลับเข้ามาพร้อมชามบิ่น ๆ บรรจุโจ๊กเปล่าแต่ส่งกลิ่นหอมยื่นมาตรงหน้า
“บ้านข้าจน มีให้เจ้าได้แค่โจ๊กเปล่าชามนี้ แต่กินเสียหน่อยให้ร่างกายได้รับอาหารบ้าง”
นางใช้ช้อนตักโจ๊กแล้วเป่าไล่ไอร้อนจนมั่นใจว่าไม่ร้อนเกินไปแล้วจึงจ่อที่ปากของเขา แม้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ แต่นางก็ใจเย็นพอที่จะป้อนโจ๊กทีละคำให้เขาจนหมด
มันช่างเป็นโจ๊กที่ไร้รสชาติเสียเหลือเกิน เรียกว่าอาหารขั้นเลวที่
สุดที่เขาเคยกินมา แต่ยามนี้เนื้อข้าวลงสู่กระเพาะทำให้รู้สึกอุ่นสบายท้องยิ่งนัก
“นั่นน้องชายของข้า ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง” เหมยซิงชวนคุย และรู้สึกดีที่เขากินได้ค่อนข้างมาก “พวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อติงเชารับมาเลี้ยงเมื่อสิ้นสุดสงคราม บ้านนี้ก็ไม่ใช่ของพวกเราหรอก เจ้าของบ้านอพยพไปตั้งแต่มีสงครามครั้งนั้นแล้ว อ้อ! แต่พวกเราไม่ใช่ขโมยนะ ถ้าเจ้าของมาทวง เราค่อยย้ายออกไป”
ซุนเว่ยหมินจ้องมองเด็กสาวที่พูดปนหัวเราะเสียงใส ราวกับชะตากรรมของตัวเองเป็นเรื่องตลกขบขัน นางป้อนโจ๊กหมดก็ตามด้วยน้ำและเช็ดมุมปากให้เรียบร้อยแล้วประคองเขาลงนอน
“เจ้าเพิ่งฟื้นก็อย่าเพิ่งคิดมากไป พักอีกสักหน่อย ถ้าอยากให้ติดต่อคนที่บ้านอย่างไรค่อยว่ากัน” นางส่งยิ้มให้ “ข้าจะให้เหม่ยลี่มานั่งอยู่ใกล้ ๆ หากต้องการอะไรส่งสายตาบอกนาง นางจะวิ่งไปเรียกข้าเอง ข้าอยู่หน้าบ้าน ต้องหอบฟืนมาเก็บในครัวเสียก่อน”
ซุนเว่ยหมินมองตามร่างของเด็กสาวที่เดินหายออกไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ ครู่ต่อมาเด็กหญิงตัวน้อยก็มานั่งจ้องหน้าเขาด้วยดวงอยากรู้อยากเห็น
เขาได้แต่ร้องโอดครวญในอก มันเกิดอะไรกับชีวิตจวิ้นอ๋องอย่างเขากันแน่.
บุรุษวัยสามสิบปีนามว่าเสียเอี๋ยนยืนอยู่ริมหน้าผา สายตากวาดมองไปยังเบื้องล่างคล้ายรอคอยบางสิ่ง สายลมสงบไม้ไหวขยับไหวเพียงเล็กน้อย ผีเสือปีกขาวพิสุทธิ์สะท้อนแสงอาทิตย์งามระยิบระยิบโบยบินอย่างอ้อยอิ่งมาเบื้องหน้า จนกระทั้งชายหนุ่มยื่นปลายนิ้วออกไป มันจึงเกาะที่นิ้วเรียวของเขา
“กลับมาแล้วรึ” เขาเอ่ยกับผีเสื้อตัวน้อย ยกปลายนิ้วขึ้นเสมอระดับสายตา นี่มิใช่ผีเสื้อธรรมดาแต่เป็นภูตผีเสื้อที่ถูกร่ายมนตร์ให้ติดตามหาข่าวสารของคนผู้หนึ่งที่เขาออกตามหานานนับเดือนแล้ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย แต่ข้าจำเป็นต้องรีบค้นหาคนผู้นั้น เจ้าช่วยนำทางไปทีเถิด”
ผีเสื้อกระพือปีกบินขึ้นอีกครา มันบินวนเวียนชายที่แต่งกายราวนักพรตแล้วบินนำไปเบื้องหน้า แม้ผีเสื้อจะโบยบินห่างออกไปแล้ว แต่มีลำแสงสีขาวที่มีเพียงเสียเอี๋ยนเท่านั้นที่มองเห็นเป็นเครื่องหมายนำทาง เขาพยักหน้าอย่างพอใจ กระโจนขึ้นหลังอาชาสีนิลแล้วบังคับม้าให้ติดตามผีเสื้อโบยบิน
หนึ่งเดือนเต็มกับการตามหาซุนเว่ยหมิน สิ่งที่เขาตามหามิใช่ร่างกายแต่เป็นดวงจิตของซุนเว่ยหมิน เขาส่งร่างของซุนเว่ยหมินกลับเมืองหลวงไปนานแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุลอบทำร้าย และก้อนหินถล่ม ทำให้ซุนเว่ยหมินบาดเจ็บสาหัส จนปานนี้ยังไม่ฟื้น แต่สาเหตุที่ไม่ฟื้นมิใช่เพราะแค่เขาได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่เพราะดวงจิตของเขาหลุดออกจากร่างไป นี่ก็ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ดวงจิตนั้นหลุดออกจากร่าง มีเวลาเพียงแค่สี่สิบเก้าวันเท่านั้น เขาต้องเร่งรีบหาดวงจิตของซุนเว่ยหมินให้พบ เขาได้ใช้ภูตผีเสื้อออกตามหา มาบัดนี้เพิ่งได้ทราบข่าว หัวใจของเขายิ่งตื่นเต้น และเป็นทุกข์พร้อมกัน
ซุนเว่ยหมินเป็นคนที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง เขาเป็นถึงอนุชาของเต๋อเฟย สนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ แม้ท่าทางเหมือนคุณชายไม่เอาไหน แท้จริงแล้วเขาเสมือนมือขวาขององค์ฮ่องเต้ ได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง มอบทหารหนึ่งแสนนายเพื่อปกป้องราชวงศ์
ซุนเว่ยหมินไม่คิดว่าชีวิตจะมีวันที่ตัวเองตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้
เอ่ยปากส่งเสียงสื่อสารกับใครก็ได้เพียงแค่เสียงอือ ๆ อา ๆ ครางเครือในลำคอ ขยับร่างกายได้แค่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า และใบหน้า ส่วนอื่นของร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจเลยสักนิด เรื่องที่น่าสมเพชที่สุดคือการขับถ่ายที่เขาไม่อาจทำได้ด้วยตนเอง อาศัยเพียงเหมยซิงจัดการเช็ดทำความสะอาดให้อย่างไม่รังเกียจ เขาอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราต้องพบเจอมากเพียงใดถึงทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้
ร่างกายที่ไม่ใช่ของเขาเริ่มดีขึ้น ร่องรอยบอบช้ำจางไปมาก แต่ก็ยังคงสภาพความเป็น ‘ผัก’ เช่นเดิม เมื่อเขาไม่มีไข้แล้ว เหมยซิงก็กังวลว่าเขาจะนอนให้ห้องเหม็นอับอย่างเบื่อหน่าย จึงแบกร่างผักนี้ขึ้นหลังมานั่งอยู่ที่ลานกว้างของบ้าน ได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
หากไม่นับร่างกายที่มีสภาพเป็นผักเช่นนี้ ชีวิตความเป็นอยู่อันแสนยากจนทว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะนี้ก็นับว่ามีความสุขมากนัก ติงเชาที่เด็ก ๆ เรียกพ่อบุญธรรมเป็นพรานป่าอาศัยหาของป่าเลี้ยงชีพ เขาเองไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของติงเชา แต่เหมยซิงและเด็ก ๆ ที่นี่เป็นผู้ที่หลงเหลือจากสงครามเมื่อหกปีก่อน ผลัดพรากจากพ่อแม่ญาติพี่น้องหรืออาจตายจากกันไปแล้ว พวกเขาจึงอยู่ที่นี่กันอย่างเรียบง่าย ไม่นานมานี่ติงเชาเกิดเจ็บป่วยทำให้เหมยซิงไปทำงานในบ้านเศรษฐีเป็นหญิงรับใช้ และถูกทำร้ายปางตาย ทำให้นางกลับมาอยู่ที่เดิมนี่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมนี้เป็นมาอย่างไร แต่เหมยซิงเองคงเข้าใจไปว่าเจ้าของร่างนี้เป็นเช่นเดียวกับนาง เพราะนาง ‘เก็บ’ เขามาจากป่าช้า นอกจากปลายนิ้วมือ และเท้าแล้ว ก็มีเพียงดวงตาที่กลอกไปมาได้ตามใจซึ่งยามนี้เขาเฝ้ามอง ร่างของเด็กสาวผอมบางที่ควงไม้พลองอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางเสียงปรบมือของน้อง ๆ “พี่สาวเก่งแบบนี้ไปขายศิลปะในเมืองคงได้หลายเงินเป็นแน่” ติงเกาพูดขึ้นแล้วทำท่าหมุนตัวเลียนแบบพี่สาว “ขายศิลปะคืออะไร?”
“ขออภัยทุกท่าน” เสียเอี๋ยนลุกขึ้นประสานมือคาวระเด็กสาว และหันไปทางชายที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้าชื่อเสียเอี๋ยนได้รับคำสั่งให้ออกติดตามหาคุณชายหานมานับเดือนแล้ว เมื่อทราบว่าคุณชายอยู่ที่นี่จึงได้รีบเข้ามา บุกรุกบ้านของพวกท่านโดยมิได้ตั้งใจ โปรดอภัยให้ด้วย” “คุณชายหาน?” เหมยซิงขมวดคิ้วแล้วหันไปทางอาหมาน เนื่องจากนางดูแลเขามาจนพอจะเข้าใจสายตาของเขาแล้ว จึงเห็นแววตาของเขามีประกายตื่นเต้นยินดี ซึ่งแสดงว่าต้องรู้จักกับคนผู้นี้ ‘ไยเรียกข้าว่าคุณชายหาน’ ซุนเว่ยหมินส่งเสียงถามอยู่ในใจ แต่เสียเอี๋ยนที่มีพรสวรรค์เรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติกระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับด้วยเสียงที่มี แต่ซุนเว่ยหมินที่ได้ยินเช่นกัน ‘ก็ร่างที่ท่านอ๋องยืมใช้อยู่นี่เป็นร่างของคุณชายหานหงปิง ข้าจำเป็นต้องเรียกท่านว่าคุณชายหานนะซิ!’ “อาหมาน เจ้ารู้จักชายผู้นี้หรือไม่” เหมยซิงถามเพื่อความแน่ใจ เห็นใบหน้านั้นพยักหน้าลงเล็กน้อย นางก็พยักหน้ารับหันไปทางพ่อบุญธรรมของและน้อง ๆ ที่ยืนมองอย่างงุนงง “อาหมานรู้จักชายผู้นี้” นางเอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ค
“บ้านข้ายากจน ใบชานี้ก็ทำเอง ไม่รู้จะถูกปากท่านหรือไม่” “เพียงน้ำใจที่มอบให้ก็นับว่ามีค่ายิ่งนักแล้ว” เหมยซิงรินน้ำชาให้ แต่ดวงตาลอบมองอาหมานด้วยความเป็นห่วง แต่เห็นดวงตาคู่นั้นเพียงแค่จ้องมองการเคลื่อนไหวของนาง ไม่มีแววร้องขอความช่วยเหลือใด นางก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ เสียเอี๋ยนสังเกตสายตาของซุนเว่ยหมินที่กลอกตามองตามร่างเล็กที่เดินออกไปแล้ว “ท่านเชื่อใจนาง” เสียเอี๋ยนถามยิ้ม ๆ นิสัยของชายผู้นี้ยากจะไว้ใจใครได้ง่าย ‘สภาพเช่นข้าไม่มีทางเลือกนัก’ เขาปากหนักเกินกว่าจะยอมรับสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างใน “เห็นทีว่าข้าต้องขอความช่วยเหลือจากนางแล้ว” ‘เจ้าหมายถึงเรื่องใด’ “ข้าคงต้องการให้นางพาร่างนี้กลับเมืองหลวง” ‘ไยต้องเป็นนาง!’ “กว่าข้าจะหลบผู้คนออกมาตามหาท่านก็มิใช่เรื่องง่าย คนที่ลอบสังหารท่านก็ยังจับตัวไม่ได้ ที่ข้ามาที่นี่ก็มาเพียงลำพัง ร่างของท่านนั้นข้าให้เยี่ยนฉือองครักษ์ของท่านค่อยดูแลมิให้ใครเข้าใกล้” เสียเอี๋ยนชี้หน้าตัวเองแล้วฉีกยิ้ม “ข้าคิดว่าคนที่ลอบสังหารท่านยั
“ข้าไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด แต่...คุณชายจะอยู่ได้เพียงสี่สิบเก้าวัน ตอนนี้เวลาเหลือเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น หากไม่รีบกลับเมืองหลวงคุณชายของข้าก็จะ...” ‘ตาย’ แม้ไม่ได้พูดมาแต่นางเข้าใจคำนั้นได้อย่างดีหญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ไม่เพียงแค่อยากรู้ถึงเหตุผลที่ตัวเองมาที่นี่ รวมทั้งร่างของตัวเองในอีกโลกยังรวมถึงชีวิตของอาหมานอีกด้วย แต่นางอดเป็นห่วงคนที่นี่ไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่แข็งแรงที่สุด เป็นพี่สาวของน้อง ๆ “ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยเป็นคนมีคุณธรรมไม่อาจเอาเรื่องเงินทองมาพูดคุยได้ แต่ถ้าเจ้ามีใจเมตตา ข้ายินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ในเวลานี้ทันทีห้าสิบตำลึง และจะได้รับอีกห้าสิบตำลึง เมื่อคุณชายกลับถึงเมืองหลวง” “ห้าสิบตำลึง” เงินห้าสิบตำลึงมันเยอะแค่ไหนนะ? ดวงตากลมมีแววประหลาดใจ นางมองหน้าเสียเอี๋ยนกับอาหมานสลับไปมาแล้วถอนหายใจหนัก“ยังไงก็ต้องเป็นข้าใช่ไหม” “แม่นาง...” “ขอข้าปรึกษาท่านพ่อก่อน” นางพูดตามตรง “แต่ท่านควรรู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รู้เส้นทาง” “เรื่องนั้นมิใช่ปัญหา เพียงของแค่
“ใช้เวลาเดินทางสิบวัน ถ้าเป็นม้าเร็วก็ใช้เวลาแค่ครึ่งหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นหมู่บ้านที่อยู่ก็ไม่ไกลเมืองหลวงมากซินะ”เหมยซิงพูดกับตัวเองแต่ให้ดังพอที่คนข้างหลังได้ยิน แม้เขาโต้ตอบนางไม่ได้ก็เถอะ นางอยากส่งเสียงให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เหมยซิงนึกถึงเรื่องราวที่พูดคุยกับเสียเอี๋ยน แม้คนผู้นั้นพูดกำกวมไม่ขยายความให้เข้าใจทั้งหมด แต่คาดเดาว่าคุณชายของเสียเอี๋ยนผู้นี้คล้ายกับนางตรงที่ดวงจิตมาอยู่อีกร่าง ซ้ำร้ายที่ดวงจิตของเขาดันมาอยู่ในร่างที่เป็นผักสื่อสารกับใครไม่ได้เช่นนี้ อยากกลับบ้านก็ทำไม่ได้ ส่วนนางดวงจิตมาอยู่ในร่างเด็กสาววัยสิบหก ทว่าดวงจิตของนางหลุดมาจากอีกโลกหนึ่ง นางเหลือความหวังน้อยเหลือเกินที่จะได้กลับไปโลกเดิม แต่พอคิดว่านางอาจจะช่วยคนที่มีสภาพเป็นผักให้กลับคืนเป็นปกติในร่างที่ควรอยู่ นางก็มีกำลังใจขึ้นมา และที่สำคัญ...หากนางกลับไม่ได้จริง ๆ ขอเพียงได้รู้ว่าลุงทองดีสบายดีก็พอแล้ว จะว่าไปชีวิตในร่างนี้มีส่วนคล้ายกับนางในโลกโน้น นางมีลุงทองดีเป็นเหมือนพ่อบุญธรรม อยู่ที่นี่นางก็มีติงเชาเป็นพ่อบุญธรรม แต่ที่นี่นางยังมีน้อง ๆ
ซุนเว่ยหมินแทบสำลักน้ำลายตัวเอง สองหูได้ยินสิ่งที่หญิงผู้นั้นพูดท่าทางสงสารเหมยซิงจับใจ เหมยซิงเมื่อพาชายหนุ่มเข้ามาในห้องแล้วก็จัดท่าทางให้เขาได้เอนหลังสบาย ๆ เห็นดวงตาของเขาจ้องมองเขม็ง นางถลึงตามองกลับก่อนย่นจมูกแล้วยื่นปลายนิ้วมาจิ้มจมูกของเขาเบา ๆ “ข้าจำเป็นต้องบอกพวกเขาว่าเจ้าเป็นสามีของข้า ข้าจะพาสามีกลับบ้าน”นางยิ้มทะเล้นใส่ แล้วหมุนตัวไปรินน้ำป้อนให้เขาจิบที่ละนิด“ประเดี๋ยวข้าจะออกไปดูสักหน่อยว่าจะทำอาหารเย็นกินกัน เจ้ารออยู่คนเดียวก่อนนะ” นางไม่รอให้เขาพยักหน้ารับ รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แม้นางจะปิดประตูห้องแล้ว แต่เขายังได้ยินเสียงนางพูดคุยกับหญิงชรา และสะใภ้ผู้นั้น แม้จับใจความที่พวกนางสนทนาไม่ได้แต่เสียงหัวเราะของเหมยซิงทำให้เขาพลอยหัวเราะตามไปด้วย ไม่นานนักเหมยซิงก็กลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำ “เช็ดตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน เสื้อผ้าเจ้าข้าจะรีบซักตาก น่าจะแห้งก่อนเดินทาง”แม้ในบ้านจะมีผู้ชาย แต่ก็เป็นเด็กและพ่อบุญธรรมก็ป่วย นางจึงรับหน้าที่ดูแลอาหมาน ในโลกโน้นนางอยู่กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เป็นสตั๊นต์แมน เห็นผู้ชายเปล
เพราะเสียงหัวเราะของเหมยซิงทำให้หญิงชรา และสะใภ้ผู้นั้นขบขันไปด้วย เข้าใจไปว่านาแสร้งทำให้ทั้งสองหัวเราะทั้งทีความจริงแล้ว เหมยซิงไม่รู้ว่าการแสดงความคารวะ หรือขอบคุณผู้อื่นนั้นต้องทำเช่นไร “ข้าจำมาจากในหนังจีน” เหมยซิงบ่นอุบอิบพลางย่อตัวลงแล้วแบกร่างผักของชายหนุ่มขึ้นหลัง พาเขาเข้าไปนอนในที่นอนที่นางเอาออกไปผึ่งลมเมื่อวาน เขาไม่ชอบกลิ่นอับ นางรู้เรื่องนี้ดี นางปีนขึ้นหลังรถม้า จัดที่ทางและท่านอนให้เขาอย่างพอเหมาะ และเขาต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นนางใช้เส้นไหมผูกปลายนิ้วชี้ของเขาไว้ “ข้านั่งข้างหน้าบังคับม้า เจ้าอยู่ด้านหลัง ส่งเสียงเรียกข้าก็ไม่ได้ ขยับได้แค่ปลายนิ้วกับกลอกตาไปมา ข้าเลยขอเส้นไหมจากท่านย่าผูกปลายนิ้วของเจ้า ปลายเส้นไหมอีกด้านนั้นข้างจะผูกไว้กับนิ้วมือของข้า หากเจ้าต้องการอะไร หรืออยากเรียกข้าก็แค่กระตุกเส้นไหมนี้ ข้าจะได้รู้อย่างไรล่ะ” เหมยซิงมุดกลับออกไปนั่งด้านหน้า กระตุกบังเหียนให้ม้าก้าวเท้าออกเดินทาง ปลายนิ้วชี้ข้างขวาผู้เส้นไหมสีแดงกับเขาปลายนิ้วของชายที่เอนตัวลงนอนอยู่ด้านในของรถม้า ซุนเว่ยหมินมองเส้นไหมด้วยความร
ร่างกายภายใต้น้ำพุร้อนสบายยิ่ง เขารู้สึกว่าตนเองขยับตัวได้มากกว่าปลายนิ้ว ตอนนี้เขาสามารถหมุนข้อมือตัวเองได้ ปลายเท้าก็ขยับได้มากขึ้น ลองยกขาขึ้นแต่ยังไม่สามารถทำได้ เขาถอนหายใจหนักหน่วง หวังให้ร่างกายนี้ขยับตัวได้มากกว่านี้ “อย่ากังวลเลย เจ้าต้องขยับตัวได้แน่” ซุนเว่ยหมินลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงที่อยู่ใกล้ ๆ นางค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาหาเขา ท่อนแขนเรียวยื่นออกไปหยิบบางสิ่งที่อยู่ด้านหลังของเขา ชายหนุ่มแทบกลั้นหายใจ ครู่หนึ่งนางก็ชักมือกลับมาพร้อมกับจ่อยาลูกกลอนที่เสียเอี๋ยนสั่งให้เขากินทุกหนึ่งชั่วยาม “ได้เวลากินยาแล้ว” เหมยซิงยิ้มกว้าง “ข้ารู้ว่าเจ้าฝึกขยับตัวอยู่เสมอ อย่าได้เร่งร้อนเกินไปจะบาดเจ็บได้ เอ้า! อ้าปากแล้วกลืนยานี่” ชายหนุ่มทำตามที่นางสั่ง อ้าปากให้นางป้อนยาลูกกลอนเคลือบน้ำผึ้งลงคออย่างง่ายดาย “ข้าจะขึ้นจากน้ำสวมเสื้อผ้าก่อน เจ้ารอประเดี๋ยวนะ” นางก้าวขึ้นจากน้ำ ซุนเว่ยหมินหลุบตาลงแต่กระนั้นก็ยังทันได้เห็นเรือนร่างผอมบางที่แม้จะสวมเอี๊ยมปกปิดเรือนร่าง ทว่ายามเปียกน้ำนั้นมันกลับเหมือนนางไม่ได้สวมใส่สิ่งใด