“อาหมาน...ซื้อม้าตัวหนึ่งนี่ต้องใช้เงินเท่าไร ม้าตัวนี้เสียเอี๋ยนให้ข้าใช้พาเจ้ามาส่ง ข้าผูกพันกับมันมาก อยากได้มันไปอยู่กับข้าด้วย” “อาหมาน...ข้าอยากซื้อบ้านสักหลัง บ้านที่ข้าอยู่ตอนนี้มันของผู้อื่น ไม่รู้เจ้าของจะมาทวงเอาคืนเมื่อใด เจ้าว่าต้องใช้เงินเท่าไรกัน” “อาหมาน...ไหน ๆ ต้องซื้อบ้านแล้ว ข้าว่าซื้อบ้านในเมืองหน่อยดีหรือไม่ จะได้ทำการค้าไปด้วย” “อาหมาน...” ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่สามารถขยับปากพูดคุยตอบคำถามของนางได้ แต่นางก็ยังตั้งคำถามอยู่เสมอ และเขาเองชินกับการถูกเรียกว่า ‘อาหมาน’ ไปแล้ว เขาจดจำจังหวะการเดินของนางได้ นางจะวิ่งมาเต็มฝีเท้า และหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้าบานประตูครู่หนึ่งก่อนค่อย ๆ ผลักบานประตูเข้ามา “อาหมาน...รอข้านานไหม พอดีข้าได้ถั่วฝักยาวมาก็เลยเอาไปให้เจ้าโชคดี” นางเอ่ยขึ้นแล้วเดินเข้ามาใกล้ ๆ จ้องมองดวงตาของเขาซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่โต้ตอบกับนางได้ จะมีสตรีสักกี่นางที่กล้าจ้องตาเขาเช่นนี้ “ตัวข้ามีแต่กลิ่นม้า ข้าจะเช็ดตัวสักครู่ เจ้ารอก่อนนะ ประเดี๋ยวค่อยเข้านอนพร้อมกัน”
ซุนเว่ยหมินกะพริบตาอย่างประหลาดใจ มองดูแขนของตนที่ยกขึ้นได้แล้ว และยังมีเรี่ยวแรงพอจะรั้งนางไม่ให้พลิกตัวจนตกเตียง เขาจ้องมองคนที่ยังหลับอยู่แล้วลองขยับตัวใช้สองแขนยันร่างตัวเองขึ้นจากที่นอน แม้การขยับตัวง่าย ๆ นี้ก็ทำให้เหงื่อซึมออกมาที่หน้าผาก แต่เขาก็ยิ้มอย่างดีใจที่ขยับตัวได้มากถึงเพียงนี้ แต่ยิ้มได้เพียงครู่เดียวก็รู้ว่าร่างของตนโงนเงน และล้มลงเหมือนกิ่งไม้ไร้น้ำหนัก ยังดีที่เขายังเหลือแรงใช้ศอกยันที่นอนไม่ให้ตัวเองทับร่างของหญิงสาว เขาถอนหายใจเบา ๆ เห็นนางหลับสนิทค่อยเบาใจ เขายังไม่มั่นใจว่าตนเองจะขยับตัวได้เช่นนี้อีกหรือไม่ หญิงอัปลักษณ์!เขาต่อว่านางที่บังอาจมาล่วงเกินเขาได้ มือเล็กของนางไม่นุ่มนิ่มซึ่งไม่น่าประหลาดใจนัก นางนอนพลิกตัวบ่อยไร้ความเป็นกุลสตรี ยามหัวเราะนางไม่เคยสะกดกลั้นเสียงของตนเอง ยามนางยิ้ม ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ แม้นางผายผอมไปสักหน่อย แต่ยามที่นางเปียกน้ำในบ่อน้ำพุร้อนนั้น เขามั่นใจว่าหากนางได้กินดีกินอิ่มทั้งสามมื้อต้องมีน้ำมีนวลกว่านี้ กลิ่นกายของนางนั้นละมุนอย่างที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อน หญิงอื่นมักอบร่ำตนเองให้หอ
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ทุบตีผู้อื่นเช่นนี้เหมือนกัน!” ยังดีที่นางฝึกฝนตัวเองมาตลอด แม้รูปร่าเล็กแต่ยังต้านทานน้ำหนักที่ฟาดลงมาได้อยู่ “ข้าเป็นสามีของนาง ข้าจะทำอย่างไรกับนางก็ได้” “สามี!” เหมยซิงพูดอย่างไม่เชื่อ หันไปมองสองแม่ลูกที่กอดกันกลมร้องไห้จนหน้าตาเปื้อนเปรอะไปหมด “เป็นสามีภาษาอะไร ทุบตีภรรยาและลูกเหมือนหมูหมาเช่นนี้” นางโมโหจนอยากกระทืบเท้าแรง ๆ บ้านไหนเมืองไหน ยุคสมัยใดแทบไม่แตกต่างกันเลยจริง ๆ “ข้าตีมันสองแม่ลูกมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า!” ชายผู้นั้นหัวเราะเยาะ “ถ้ามันยอมดี ๆ ข้าก็ไม่ต้องเหนื่อยตีมันเช่นนี้หรอก” “ท่านพ่อจะขายท่านแม่ไปอยู่ในซ่องนางโลม” เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านพ่ออย่าขายท่านแม่เลย ข้าจะทำงานหาเงินให้ท่านเอง” “เหอะ! ตัวแค่นี้ทำอะไรได้” ไม่พูดเปล่า ยังใช้เท้ายันร่างเล็กเหมือนเขี่ยขยะชิ้นหนึ่ง “เงินมันสำคัญกับเจ้าขนาดขายภรรยาทิ้งเลยรึ” นางตะคอกใส่อย่างหัวเสีย “ใช่นะซิ ไม่งั้นข้าจะขายพวกมันเรอะ” ชายคนนั้นหัวเราะเยาะ “ถ้าเจ้าอยากได้มันสองแม่
“ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก” สองแม่ลูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หันมากล่าวคำขอบคุณกับเด็กสาวแปลกหน้า เหมยซิงเพียงโบกมือไปมา ยันตัวเองลุกขึ้นแล้วพูดอย่างจริงจัง “สามีที่คิดจะขายเจ้า ทำร้ายเจ้าและลูก เจ้าตรองดูเอาเองแล้วกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะคงไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเช่นนี้ทุกครั้ง” ซุนเว่ยหมินมองร่างของเหมยซิงที่เดินตรงมาทางเขา ก้มตัวลงแบกเขาขึ้นหลังเช่นทุกครั้ง เห็นนางดื่มสุราเข้าไปมากขนาดนั้นไม่คิดว่านางยังมีแรงแบกเขาไหว “แม่นาง...ข้าไม่ใช่คนใจดำ ถ้าไม่รังเกียจพักในหอนางโลมของข้าสักคืนค่อยเดินทางก็ได้” ซิงลี่แสดงความใจกว้างต่อหน้าผู้อื่น ทำให้ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์เลื่อมใสในความมีน้ำใจ เหมยซิงทำเสียงงึมงำในลำคอแต่พยักหน้ารับ เดินตามเสี้ยวเอ้อไปห้องพักที่ซิงลี่จัดให้ นางแบกร่างของอาหมานไปวางบนเตียง แล้วสั่งเสี้ยวเอ้อให้ยกน้ำอุ่นมาให้หนึ่งอ่าง รอจนได้ทุกอย่างที่ต้องการ และในห้องไม่มีผู้อื่นแล้ว ร่างของนางร่วงผล็อยลงไปทับร่างของอาหมานที่นอนอยู่ก่อนแล้ว “อือออออ” เป็นเสียงครางตกใจที่หลุดออกจากลำคอของอาหมาน “ข้ารู
‘เป็นนางที่เถลไถล มิใช่ข้า’ ‘อ๋อ! เป็นเพราะนางมิใช่ท่าน’ เสียเอี๋ยนเอ่ยตอบผ่านผีเสื้อตัวน้อย ‘อย่างไรท่านก็ระวังตัวให้มาก ยิ่งใกล้เมืองหลวง ข้ายิ่งมิอาจปรากฏกายได้แต่จะให้องครักษ์ลับคอยดูแลท่าน’ ‘เสียเอี๋ยน เมื่อดวงจิตข้ากลับสู่ร่างแล้ว ร่างนี้จะเป็นอย่างไร’ ‘ข้ามิอาจตอบได้ในตอนนี้’ ซุนเว่ยหมินรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ที่หน้าประตู เขาจึงยกมือขึ้นโบกไปมา ผีเสื้อตัวน้อยหายวับไปราวกับหมอกควัน เป็นเสียงฝีเท้าของเหมยซิง นางวิ่งมา และหยุดหน้าประตู สงบใจครู่หนึ่งก่อนเปิดประตูออกพร้อมรอยยิ้ม แต่คราวนี้นางมีขนมเปี๊ยะในมือ “นี่ ๆ ข้าเพิ่งเคยได้กินขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ เจ้าลองกินดูไหม” นางบิขนมในมือแบ่งเป็นสองส่วน “ข้าเจอซิงลี่ นางให้ข้ามา ข้ากินไปชิ้นหนึ่งแล้วไม่มีอันตรายใดก็เลยขอมาฝากเจ้าชิ้นหนึ่ง” ‘โง่นัก! หากเจ้าเป็นอะไรไปจะทำเช่นไร แค่ขนมเปี๊ยะชิ้นเดียว รอให้ข้ากลับคืนร่างก่อนเถอะ! เจ้าอยากกินอะไรข้าจะหามาให้เจ้ากินจนต้องส่ายหน้าไม่กินอีก!’ เหมยซิงยื่นขนมไปจ่อที่ปากของอาหมาน แต่เขาเม้มปากแน่นไม่ยอมอ้
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้หญิงสาวในชุดสาวจีนโบราณสีชมพูอ่อนหวานถึงกับก้าวเท้าไม่ออก ราวกับเท้าทั้งสองถูกตะปูตอกตรึงไว้ ชายหนุ่มที่เธอรักและเชื่อใจกำลังจูบดูดดื่มกับหญิงสาวอีกคน! “ดาว ได้เวลาเข้าฉากแล้ว” หญิงสาวเจ้าของชื่อได้สติ แม้มีแต่เสียงตะโกนเรียกแต่คนเรียกอยู่ไกลนักจึงไม่มีใครรู้ว่าในที่ลับตาคนมีพระเอกหนุ่มที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงกับนางเอกสาวบุคลิกชวนให้คนทะนุถนอมกอดจูบดูดดื่มไม่สนใจฟ้าสนใจฟ้าดิน เป็นชายหนุ่มที่ได้ยินเสียงตะโกนนั้น ทำให้เขาชะงักและผละจากนางเอกสาวที่อ่อนระทวยในวงแขน เสี้ยววินาทีสั้น ๆ ‘พันดาว’ สบตากับ ‘ศรัณย์’ มีบางอย่างในดวงตาของเขาที่ทำให้เธอสะบัดหน้าหนีหันหลังเดินตัวตรงจากมาอย่างไม่คิดจะหันกลับไปมองอีก ร่างเพรียวเดินมารับกระบี่ปลอม นักแสดงตัวประกอบหลายคนอยู่ในชุดจีนโบราณ และหลายคนที่เป็นทีมงานกองถ่ายภาพยนตร์ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสบาย ๆ ช่างเมคอัพเข้ามาแต่งหน้าให้พันดาวอีกเล็กน้อย อีกคนจูงม้าสีน้ำตาลสวยเข้ามาอย่างรู้คิวงาน ผู้ช่วยอีกคนเข้ามาซักซ้อมคิวการแสดง พันดาวมองเลยไปยังคู่พระเอกนางเอกที่เดิน
ติงเชาเป็นชายพิการอายุสี่สิบแล้ว แม้ตัวเองจะพิการแต่จิตใจดีมีเมตตา หลายปีก่อนที่หมู่บ้านแห่งนี้ประสบภัยสงคราม หลายครอบครัวพลัดพราก เด็กเป็นกำพร้า บางคนที่พอจะมีเงินมีฐานะก็อพยพย้ายถิ่นฐานหนีภัยสงคราม แต่ติงเชาผู้ไร้ญาติขาดมิตรไม่ใส่ใจความเป็นความตายของตนเอง เก็บเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้มา เด็ก ๆ เหล่านี้ยังเด็กเล็กมาก จำชื่อตัวเองไม่ได้ ติงเชาจึงตั้งชื่อให้ใหม่ รวมทั้งนางด้วย ตอนนั้นนางอายุเพียงสิบขวบ เหมยลี่ยังเป็นเด็กน้อยที่ร้องไห้จ้าในอ้อมอกมารดาที่สิ้นใจไปแล้ว ติงเชาช่วยเด็ก ๆ เท่าที่พอทำได้ ทำให้ทั้งหมดรอดพ้นความตายในภัยสงครามเมื่อหกปีก่อนได้ แม้จะรูปร่างผ่ายผอมเนื่องจากกินไม่อิ่ม แต่กระนั้นทุกคนก็รักใคร่กลมเกลียว ผ่านภัยสงครามมาหลายปีทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ติงเชาแม้เป็นชายพิการ ขาซ้ายมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่น่ากลัว เวลาเดินจะต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเอง แต่เมื่อต้องขึ้นเขาหาของป่ามาค้าขาย หรือป้อนใส่ปากเด็ก ๆ ก็ยังคล่องแคล่ว เหมยซิงซึ่งนับได้ว่าเป็นพี่ใหญ่พอจะทำงานได้แล้ว นางรับจ้างในโรงเตี๊ยมไม่ไกลบ้าน หรือคือกระท่อมผุพังนี้ ใครใช้อะไรนางก็ทำทุ
ติงเชาที่นอนป่วยบนฟูกเก่า ๆ มองการเคลื่อนไหวผ่านช่องหน้าต่างเห็นเหมยซิงควงไม้ไผ่ลำนั้นอย่างคล่องแคล่วแล้ว ก็ประหลาดใจนัก เขาเห็นความแตกต่างของเหมยซิงหลังจากฟื้นจาก....ชายหนุ่มวัยสี่สิบถอนหายใจอย่างปวดร้าว ไม่คิดว่าลูกสาวบุญธรรมจะกตัญญูถึงเพียงนี้ ยอมไปทำงานเป็นหญิงรับใช้เพื่อหาเงินมาเลี้ยงน้อง ๆ เขาย่อมรู้ว่าการทำงานเป็นบ่าวไพร่มิใช่เรื่องสบาย อาจถูกกดขี่จากผู้อื่นได้ เขาหวังให้นางใช้ชีวิตเรียบง่าย เขาทำได้เพียงแค่สอนหาของป่านำไปขายเลี้ยงชีพ เหมยซิงของเขามองโลกงดงามเกินไป นางถูกทำร้ายหนักหนาเพียงใดหนอ จึงอยู่ในสภาพนั้น เขาไม่เชื่อสุดจิตสุดใจว่าลูกรักจะเป็นขโมยได้ ยังไม่ทันมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง นางถูกหามทิ้งในป่าช้าอย่างอนาถ ยามนั้นเขาคิดเพียงขอได้เห็นหน้าลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย ได้ฝังนางอย่างสงบ แต่นางกลับฟื้นขึ้นมา ดวงตาของนางจ้องมองเขาราวกับจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองก่อนหมดสติไปอีกครั้ง เขาที่ขาพิการต้องแบกร่างเบาหวิวของลูกสาวขึ้นหลังกลับมาที่กระท่อมหลังน้อย โชคดีที่พวกเขาอาศัยอยู่ตีนเขาห่างไกลในเมือง ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเหมยซิงอีก เขาเองกลับเป็นฝ่ายลังเลที่จะไ