“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่อาหมานของนาง แม้มีใบหน้าเดียวกัน รูปร่างเช่นเดียวกัน ทว่าแววตาของเขา ไม่ใช่อาหนามที่นางรู้จัก ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะไม่ไกลนัก กลับมาอีกครั้งพร้อมชามใส่ยา“เจ้าตื่นมาก็ดีแล้ว ดื่มยาเสียหน่อย มันขมไปนิดแต่ช่วยขับพิษในร่างกายของเจ้า” เขาช้อนศีรษะนางขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว มืออีกข้างถือชามยาจ่อที่ปากของนาง ดวงตาของหญิงสาวยังเบิกตากว้างมองเขาอย่างงุนงง แต่อีกฝ่ายกลับเห็นเพียงเป็นความขบขัน มุมปากจึงยกยิ้มขึ้นทำให้ใบหน้าซีดเซียวนั้นแลดูอ่อนโยนยิ่งนัก “อ้าปากแล้วดื่มยาเสีย ก่อนนี้เป็นเจ้าที่บังคับข้า แต่เวลานี้ข้าต้องบังคับเจ้าแล้ว” เหมยซิงยอมดื่มยาแสนขมจนหมดชาม มองเขาประคองนางลงนอน เขาเดินเอาชามยาไปวางแล้วกลับมาห่มผ้าให้ ‘ก่อนหน้านี้ เขาขยับตัวแทบไม่ได้ เหตุใดยามนี้เดินเหินได้ปกติ พูดจาโต้ตอบได้ปกติ’ “เจ้า...เจ้า...ไม่ใช่อาหมาน” ชายหนุ่มได้ยินที่นางเอ่ยออกมา เขายังคงคลี่ยิ้มอ่อนโยน นั่งลงริมเตียงแล้วโน้มหน้าลงจรด
ชายหนุ่มก้มมองฝ่ามือตัวเอง มือคู่นี่ผอมแกร็นเหมือนกิ่งไม้ นึกถึงร่างกายที่เริ่มขยับตัวไม่ได้ และเข้าสู่สภาวะคนใกล้ตายทุกขณะ เขาคิดถึงนาง เขาได้ยินบ่าวไพร่กระซิบกระซาบนินทาพูดถึงเหมยซิงที่ถูกโยนทิ้งในป่าช้าอย่างน่าอนาถ ด้วยใจที่คิดถึง หรือพลังใดไม่อาจรู้ได้ เขาลุกขึ้นยืน และก้าวออกไปทีละก้าวทีละก้าว รู้เพียงแค่ต้องไปพบนาง นางถูกทิ้งที่ป่าช้า เมื่อไปถึงกลับถูกคนกลุ่มหนึ่งทำร้าย เขาหนีไม่ได้ไกลนัก ลื่นหกล้มไปทับร่างของผู้อื่นที่เขาเองไม่รู้ชะตากรรม เห็นเสื้อเปื้อนเลือดของคนผู้นั้นแล้ว เขารวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ถอดเสื้อของชายไร้ลมหายใจผู้นั้นเอาเสื้อตัวนอกมาสวมคลุมร่างตนแล้วแสร้งเป็นคนตาย ทว่าเหมือนสติสุดท้ายดับวูบลง เหมือนเพียงแค่หลับไป เขารับรู้ทุกเรื่องราวแต่ทำได้แค่เฝ้ามอง ดวงจิตของซุนเว่ยหมินมาอาศัยร่างของเขา ไม่ว่าจะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอย่างไร ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ จนกระทั่งลูกเกาทัณฑ์นั้นพุ่งตรงทะลุอกของเหมยซิงราวกับมีสายฟ้าฟาดที่ร่างของเขา เสียงคำรามดังกึกก้อง ดวงจิตของเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง เป็นจังหวะที่พ่อบ้านหวางมู่นำคนมาช่วยเขาพอดี พ่อบ้านหวางมู่ซึ่งเตรียมพร้อมพาเขาเดิน
“เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า” เขาพูดพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “หลายเดือนก่อน เจ้าไปสมัครเป็นหญิงรับใช้ที่บ้านตระกูลหวัง ตระกูลหวังทำการค้ากับครอบครัวข้ามาช้านาน ทางนั้นได้ข่าวว่าข้าจะไปเยี่ยมเยือนบ้านบรรพชนจึงได้รับสาวใช้ไว้คนหนึ่งเพื่อคอยดูแลข้า ข้าจึงได้รู้จักเจ้า...ซึ่งสภาพข้าคราวนั้นก็ไม่ต่างที่เจ้าเคยแบกร่างนี้ขึ้นหลังของเจ้าเท่าใดนักหรอก” “ข้า...เป็นสาวใช้ของท่านหรือ?” เหมยซิงชี้นิ้วที่หน้าตัวเองแล้วหันปลายนิ้วไปยังชายหนุ่มผิวขาวซีดตรงหน้า หานหงปิงส่งยิ้มเอ็นดูให้นาง “เจ้าเป็นคนเดียวที่ดูแลข้าจากใจจริง แต่เพราะเจ้าสนิทสนมกับข้ามากเกินไป ทำให้ถูกใส่ร้ายว่าเป็นขโมยถูกลงโทษจนตาย” “เจ้า...เจ้า...รู้...” นางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่คิดจะมีคนรู้เรื่องนี้ นางเห็นเขายังยิ้ม นางจึงสูดลมหายใจลึกเรียกสติ แต่กลับเจ็บบาดแผลจนต้องยกมือขึ้นกดหน้าอก “อย่าขยับตัวแรงเกินไป กว่าจะห้ามเลือดให้เจ้าได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซ้ำยังเสียเลือดมากไป เจ้าเฉียดความตายครั้งที่สองแล้ว” “ความตายครั้งที่สอง?” “ถ
“ใช่ ๆ แม่กลับมาแล้ว” นางนั่งข้าง ๆ ลูกชาย ดวงตามีน้ำตาคลอเบ้า “แม่ได้รับข่าวจากพ่อบ้านก็รีบกลับมาทันที ลูกปิงเอ๋อร์ของแม่...เจ้า...ดูดีขึ้นมาก”‘ซ้ำยังกินอาหารเองอีกด้วย’ ประโยคหลังมิกล้าเอ่ยออกไปเกรงลูกชายคนเดียวของตระกูลจะน้อยใจทิ้งตะเกียบเสีย “เอ่อ...” เหมยซิงผู้ไม่รู้เรื่องอะไรได้แต่ทำหน้าเหรอหรา ห่วงกินก็ห่วง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงได้แต่กลอกตามองคนรอบกายสลับไปมา “แม่นางผู้นี้...” “ท่านแม่ นี่คือเหมยซิง นางเป็นผู้มีพระคุณของลูก” หานหงปิงแนะนำ “ซิงเอ๋อร์ นี่ท่านแม่ของข้าเอง” “ท่านแม่ อุ๊ย ท่านหญิง เอ..ไม่ใช่ซิ..พ่อบ้านหวางมู่ ข้าต้องเรียกท่านแม่ของหานหงปิงว่าอย่างไร” “เรียกฮูหยินใหญ่!” “อ๋อ! ข้าน้อยเหมยซิง คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” นางลุกขึ้นยืนแล้วย่อตัวคารวะ แต่เพราะไม่คุ้นเคยท่าทางจึงดูแปลกตาพิกล แต่กระนั้นฮูหยินใหญ่ก็มิได้ถือสา ยื่นมือไปแตะมือของเหมยซิงให้ลุกขึ้น “นั่งเถิด กินข้าวกันอยู่รึ ดีจริง กินเยอะ ๆ นะ อยากกินอะไรบอกพ่อบ้างหวางมู่ได้เลย” “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ
“เอาเถอะ เห็นแก่ที่เจ้ายอมเจ็บตัวปกป้องคุณชายใหญ่ ข้าจะไม่ถือโทษโกรธเจ้า แต่เจ้าจงจำไว้ว่าตัวยาที่นำมาใช้ถอนพิษให้เจ้านั้นเป็นตัวยาที่หายาก และราคาสูงนัก เจ้าก็ทำตัวให้คุ้มค่ายาที่คุณชายใหญ่ลงทุนกับเจ้าหน่อยก็แล้วกัน” “เจ้าค่ะ” นางอยากต่อปากต่อคำแต่เกรงว่าจะยิ่งทำให้พ่อบ้านหวางมู่มองนางไม่ดีมากยิ่งขึ้น นางจึงจำใจรับคำไปเสียอย่างนั้น พ่อบ้านเห็นนางไม่พูดอะไรอีกจึงร้องบอกผู้อยู่ด้านในก่อนผลักบานประตูเข้าไป กลิ่นยาฉุนกึกปะทะปลายจมูกของเหมยซิงทันที นางทำหน้าแหย แค่ยาที่นางดื่มวันละสามเวลา ก็แทบจะวิงวอนร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว นี่ในห้องนอนของเขามีกลิ่นยาอบอวลเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ได้ช่วยให้เขาหายดีแต่อาจเป็นสาเหตุให้เขาล้มป่วยไม่แข็งแรง เอ๋?... ไม่นะ... คงไม่ใช่อย่างที่นางคิดไว้หรอกนะ หานหงปิงขมวดคิ้วกับอาหารเบื้องหน้า ทว่าเมื่อเห็นหญิงสาวร่างเล็กโผล่หน้ามาจากด้านหลังพ่อบ้านหวางมู่ เรียวปากที่เป็นเส้นตรงกลับโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยิ่งได้เห็นนางสวมอาภรณ์งดงาม และมีปิ่นประดับศีรษะ ทำให้เขาพยักหน้าอย่างพอใจ
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ระหว่างที่เจ้ายังต้องกินยาให้ครบสามสิบวัน เจ้าลองศึกษาดูว่าจะทำการค้าใด ข้าจำได้ว่าเจ้าอยากค้าขาย อยากดูแลพ่อบุญธรรมและน้อง ๆ ตระกูลหานของข้าแม้เป็นตระกูลเล็ก ๆ แต่ทำการค้ามาถึงสามชั่วอายุคนแล้ว หากมิใช่ข้ามีสภาพน่าเวทนาเช่นที่เจ้าเห็น ข้าเองต้องรับหน้าที่สืบทอดกิจการแล้ว” “ดียิ่ง เห็นทีต้องรบกวนเจ้าแล้ว” นางยิ้มอย่างดีใจกลอกตามองไปรอบกาย นี่ขนาดเป็นตระกูลเล็ก ๆ บ้านช่องยังใหญ่โตกว่านางหลายร้อยหลายพันเท่านัก “จริงซิ มีอีกเรื่องหนึ่ง” “เจ้าว่ามาเถิด” “ในห้องนอนของเจ้าทั้งอับทั้งทึบ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก แถมยังมีควันอะไรเต็มห้องอีกก็ไม่รู้ ข้าว่าเจ้าให้คนรับใช้เปิดหน้าต่างประตูระบายอากาศ แล้วเอาควันฉุน ๆ นั้นออกไปได้ไหม?” “ควันฉุน ๆ ที่เจ้าว่าคงเป็นกำยานของท่านอา ท่านอาเคยบอกว่าเป็นกำยานสมุนไพรมาจากทิเบตจุดในห้องนอนจะทำให้สุขภาพดีขึ้น” “แล้วดีขึ้นไหม อุ๊บ!” นางรีบปิดปากตัวเองที่รู้ว่าตนเผลอพลั้งปากพูดอย่างที่ใจคิดอีกแล้ว แม้หานหงปิงจะแย้มยิ้มแต่วูบหนึ่งในแววตามีประกายลึกล้ำที่ย
และเพราะคำขอร้องของพ่อบ้านหวางมู่ที่ให้นางช่วยกินอาหารเป็นเพื่อนคุณชายใหญ่ หลังจากกินมื้อเย็นแล้ว นางจะกลับห้องของตนเอง แต่พูดคุยติดพันกัน นางควรเป็นฝ่ายส่งเขาเข้านอน แต่กลับผล็อยหลับไปเมื่อใดไม่อาจรู้ได้ ตื่นมาก็เห็นสีหน้าถมึงทึงของพ่อบ้านหวางมู่กับรอยยิ้มอ่อนโยนของหานหงปิงแล้ว นางคิดว่าเรื่องนี้คงรู้กันไปถ้วนทั่วแล้ว จึงเป็นเหตุให้พ่อบ้านหวางมู่มาพบนางพร้อมแจ้งว่าฮูหยินใหญ่ต้องการพบ แต่ก่อนนั้นนางเคยนอนเตียงเดียวกับเขาก็จริง แต่เพราะเป็นความจำเป็นต่างหาก เวลานี้นางเกรงว่าผู้อื่นจะคิดว่านางใฝ่สูง ใช้ร่างกายปีนป่ายตำแหน่งภรรยาของหานหงปิง แต่เมื่อพ่อบ้านหวางมู่นำทางมาถึงห้องโถงใหญ่ นางจึงรู้ว่าหานหงปิงรออยู่ก่อนแล้ว และบรรยากาศไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางหวาดกลัว “บาดแผลของเจ้าเป็นเช่นไร ดีขึ้นหรือไม่” “ผ่านมาสิบวันแล้ว อาการของข้า...ข้าน้อยดีขึ้นมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มกระจ่าง หานหงปิงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม เขามักยิ้มอยู่เสมอเพียงแค่มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มคือสิ่งใด เขามองเหมยซิงแล้วส่ายหน้าไปมา นางคงไม
“ออกไปหลายวันได้เรื่องหรือไม่” จากเดิมที่น้ำเสียงอ่อนโยนพลันแข็งกร้าว แน่นอนว่านางคือหานฮูหยิน ผู้รั้งตำแหน่งประมุขตระกูลหาน นางจึงมิใช่หญิงอ่อนแออย่างที่คนอื่นเข้าใจ“ข้าอ่อนด้อยความสามารถ ยังไม่อาจสืบได้แน่ชัดว่าผู้ใดลอบทำร้ายหลานหงปิง” หานเหวินซิ่งแสดงท่าทีสำนึกผิด แต่ปรายตามองยังหลานชายแล้วส่งยิ้มให้ “เจ้าดูดีกว่าเมื่อก่อนนัก ราวกับมิใช่คนเดียวกัน”“เหลวไหล!” หานฮูหยินทุบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาหงหนิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สะดุ้งตกใจแต่ก้มหน้าหลบสายตาของทุกคน“ที่ปิงเอ๋อร์เป็นเช่นนี้เพราะข้าสวดวิงวอนต่อสวรรค์ สวรรค์เมตตาจึงให้ปิงเอ๋อร์พ้นเคราะห์กรรมกลับมาดีเช่นคนปกติทั่วไป เจ้าเองแม้จะเป็นน้องชายของสามีข้า แต่เจ้าก็เป็นบุตรอันเกิดจากหญิงรับใช้ เดิมฮูหยินผู้เฒ่าก็มิใคร่พอใจในตัวเจ้านัก หากสามีของข้ามิให้โอกาสเจ้า คิดเรอะว่าเจ้าจะมีที่ยืนอยู่ในตระกูลหาน”“ขอบคุณฮูหยินใหญ่ที่คอยเตือนสติข้า” หานเหวินซิ่งเพียงพูดด้วยน้ำเสียงเจียมตน“ใครกล้าบังอาจทำร้ายลูกปิงเอ๋อร์ของข้า มันผู้นั้นมิได้ตายดีเป็นแน่ เจ้าก็เร่งเสาะหาว่าเป็นผู้ใด อย่าให้ข้าต้องลงมือเอง”“ข้าทราบแล้ว”“ท่านแม่ ข้าขอตัวไปดูแลซิ
“คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา
ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน
หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน
ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร
นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ
“ดาว...” “ขอบใจนะศรัณย์” เธอยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับหน้าผากของชายหนุ่ม “ปล่อยดาวไปเถิดนะ” พันดาวสบตาศรัณย์พลันนึกถึงชายอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่แววตาที่จ้องมองเธอนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้ว แววตาของคนที่เธอรัก เธอไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่เพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ทำให้เธอรักเขาจนหมดหัวใจ “เหมยซิง!” หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เหลียวมองรอบตัว ใครกันนะ ใครกันที่เรียกชื่อเธอ ในห้องเต็มไปด้วยพยาบาลและคุณหมอ มารดาของพันดาวเดินตามนายแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามา เท้าของหญิงวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเห็นร่างของลูกสาวเป็นเงาจาง ๆ อยู่เหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียง “ยัยดาว!” “แม่” พันดาวหันกลับมาแล้วส่งยิ้มกว้าง “ดาวรักแม่นะคะ” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเธอ แต่อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจว่าลูกสาวคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่นี้พันดาวก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว “เหมยซิง!” หญิงสาวหันไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน พยายามนึกว่าเป็นเสียงของใคร
เสียงระเบิดทำให้เหมยซิงหูอื้อ นางพยายามเบิกตากว้าง ภาพที่เห็นยามนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนั้น ขาดก็เพียงไม่มีสุนัขจิ้งจอกยืนจ้องหน้านาง ดวงตาคู่นั้น... ไฉนเหมือนดวงตาของเด็กชายอายุสิบสองที่ทุกคนก้มศีรษะให้ในฐานะองค์รัชทายาทนักนะ! ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในศีรษะทำให้ดวงตาสุกใสต้องปิดเปลือกตาแน่น ความมืดเข้าครอบงำ สติสัมปชัญญะ ไม่อาจฟื้นรับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างอีกแล้ว!. เสียงร้องไห้เรียกสติของหญิงสาวที่ลืมตาอยู่ในความมืดให้เดินตามเสียงที่ได้ยิน หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ทว่ากลับได้ยินเสียงร้องไห้ชัดขึ้นทำให้ต้องลืมตาอีกครั้งแล้วพบชายใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในชุดสีฟ้ากระจ่าง ใช่แล้ว เธอเคยบอกเขาว่าเขาดูเป็นผู้ชายโรแมนติกในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าละมุนตาอย่างนี้ ความดำมืดค่อย ๆ จางหาย ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง เท้าเล็ก ๆ พาร่างของตนเองไปหยุดยืนข้างเตียง หญิงสาวสีหน้าซีดเซียว ผอมบางจนแทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เมื่อพิจารณาดี ๆ นี่คือร่างของหญิงสาวที่ชื่อ...“พันดาว” น่าประหลาดใจที่ไม่รู้สึกตื
“หัวเราะอะไร” “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าข้าจะไปไหน” “ก็เจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ปิดบังข้า ข้าไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก” ซุนเว่ยหมินยิ้มที่มุมปาก เขาสูดลมหายใจลึกก่อนพูดออกไป “มันไม่ใช่หินถล่มธรรมดา” “เจ้าถูกลอบทำร้าย?” “ย่อมเป็นเช่นนั้น” เขาถอนหายใจกระตุ้น ม้าไปยังจุดหมายที่นัดไว้ “การเป็นคนซื่อตรงเช่นข้าย่อมขัดแข้งขัดขาผู้อื่น” จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงเด็กชายวัยสิบสองขวบที่นางเคยช่วยไว้ผู้นั้น “องค์รัชทายาท...” “ทำไมรึ?” ซุนเว่ยหมินก้มหน้าลง ความสนใจของเขาอยู่ที่กำไลหยกเรียบง่ายทว่าเขามั่นใจว่าเมื่อคืนมันเปล่งแสงได้ “เรื่องของเจ้าเกี่ยวกับองค์รัชทายาทหรือไม่” นางถามตรงไปตรงมา “ที่ถามนี่เพราะเจ้าเป็นห่วงข้าหรือเจ้าเด็กนั่น!” ในสายตาเขา ไม่เห็นเป็นองค์รัชทายาท มองอย่างไรก็เป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่พี่สาวของเขาเป็นเต๋อเฟยแต่อย่างใด เหมยซิงหัวเราะเสียงใส “แบบนี้เรียกว่าเหม็นน้ำส้มได้หรือไม่” ซุนเว่ยหมินเลิกคิ้ว นางย้อนเขาด้วยเรื่องที่เขาเคยล้