และเพราะคำขอร้องของพ่อบ้านหวางมู่ที่ให้นางช่วยกินอาหารเป็นเพื่อนคุณชายใหญ่ หลังจากกินมื้อเย็นแล้ว นางจะกลับห้องของตนเอง แต่พูดคุยติดพันกัน นางควรเป็นฝ่ายส่งเขาเข้านอน แต่กลับผล็อยหลับไปเมื่อใดไม่อาจรู้ได้ ตื่นมาก็เห็นสีหน้าถมึงทึงของพ่อบ้านหวางมู่กับรอยยิ้มอ่อนโยนของหานหงปิงแล้ว นางคิดว่าเรื่องนี้คงรู้กันไปถ้วนทั่วแล้ว จึงเป็นเหตุให้พ่อบ้านหวางมู่มาพบนางพร้อมแจ้งว่าฮูหยินใหญ่ต้องการพบ แต่ก่อนนั้นนางเคยนอนเตียงเดียวกับเขาก็จริง แต่เพราะเป็นความจำเป็นต่างหาก เวลานี้นางเกรงว่าผู้อื่นจะคิดว่านางใฝ่สูง ใช้ร่างกายปีนป่ายตำแหน่งภรรยาของหานหงปิง แต่เมื่อพ่อบ้านหวางมู่นำทางมาถึงห้องโถงใหญ่ นางจึงรู้ว่าหานหงปิงรออยู่ก่อนแล้ว และบรรยากาศไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางหวาดกลัว “บาดแผลของเจ้าเป็นเช่นไร ดีขึ้นหรือไม่” “ผ่านมาสิบวันแล้ว อาการของข้า...ข้าน้อยดีขึ้นมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มกระจ่าง หานหงปิงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม เขามักยิ้มอยู่เสมอเพียงแค่มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มคือสิ่งใด เขามองเหมยซิงแล้วส่ายหน้าไปมา นางคงไม
“ออกไปหลายวันได้เรื่องหรือไม่” จากเดิมที่น้ำเสียงอ่อนโยนพลันแข็งกร้าว แน่นอนว่านางคือหานฮูหยิน ผู้รั้งตำแหน่งประมุขตระกูลหาน นางจึงมิใช่หญิงอ่อนแออย่างที่คนอื่นเข้าใจ“ข้าอ่อนด้อยความสามารถ ยังไม่อาจสืบได้แน่ชัดว่าผู้ใดลอบทำร้ายหลานหงปิง” หานเหวินซิ่งแสดงท่าทีสำนึกผิด แต่ปรายตามองยังหลานชายแล้วส่งยิ้มให้ “เจ้าดูดีกว่าเมื่อก่อนนัก ราวกับมิใช่คนเดียวกัน”“เหลวไหล!” หานฮูหยินทุบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาหงหนิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สะดุ้งตกใจแต่ก้มหน้าหลบสายตาของทุกคน“ที่ปิงเอ๋อร์เป็นเช่นนี้เพราะข้าสวดวิงวอนต่อสวรรค์ สวรรค์เมตตาจึงให้ปิงเอ๋อร์พ้นเคราะห์กรรมกลับมาดีเช่นคนปกติทั่วไป เจ้าเองแม้จะเป็นน้องชายของสามีข้า แต่เจ้าก็เป็นบุตรอันเกิดจากหญิงรับใช้ เดิมฮูหยินผู้เฒ่าก็มิใคร่พอใจในตัวเจ้านัก หากสามีของข้ามิให้โอกาสเจ้า คิดเรอะว่าเจ้าจะมีที่ยืนอยู่ในตระกูลหาน”“ขอบคุณฮูหยินใหญ่ที่คอยเตือนสติข้า” หานเหวินซิ่งเพียงพูดด้วยน้ำเสียงเจียมตน“ใครกล้าบังอาจทำร้ายลูกปิงเอ๋อร์ของข้า มันผู้นั้นมิได้ตายดีเป็นแน่ เจ้าก็เร่งเสาะหาว่าเป็นผู้ใด อย่าให้ข้าต้องลงมือเอง”“ข้าทราบแล้ว”“ท่านแม่ ข้าขอตัวไปดูแลซิ
หญิงสาวถูกกอดรัดในแวงแขนแข็งแกร่ง รู้สึกได้ว่าฝ่ามือใหญ่แตะแผ่นหลังของนางอยู่ นางร้องครางเจ็บปวดออกมาคราหนึ่ง พยายามดิ้นรนสุดแรงเพื่อให้หลุดออกจากการถูกกักขังด้วยร่างกายใหญ่โตของเขา“อย่าดิ้นรนส่งเดช แผลของเจ้าเปิดแล้ว”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าบาดเจ็บ” นางเงยหน้าจ้องมองดวงตาคู่นั้น ยังไม่ทันได้คำตอบ ชายชุดดำปลดผ้าคลุ่มไหล่ออกมาห่อร่างของนาง และช้อนตัวนางอุ้มขึ้นอย่างง่ายดายบุรุษในชุดดำหันไปส่งสัญญาณให้คนที่ติดตามมาด้วย เหมยซิง ตกใจแต่ร้องไม่ออก เขาอุ้มนางกระโดดตัวลอยราวกับเหาะได้ นี่กระมังที่เรียกว่าวิชาตัวเบา นางถูกเขากอดแน่นไม่อาจดิ้นรนขัดขืนได้“เจ้า! ปล่อยข้านะ! ปล่อย!”“ข้าปล่อยเจ้าแน่แต่ไม่ใช่ที่นี่”เหมยซิงถูกห่อด้วยผ้าคลุมสีดำ นางไม่เห็นสิ่งใดอีก นอกจากได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวเร็วของตนเอง และระลอกความเจ็บปวดที่ทำให้นางหมดสติไปอีกครา. บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีดำสนิทเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง จวบจนหญิงรับใช้เปิดประตูออกมาพร้อมเสื้อผ้าเปื้อนเลือด “นางเป็นอย่างไรบ้าง” “เรียนท่านอ๋อง หมอหญิงกำลังทำแผลให้แม่นาง เสื้อผ้าของแม่นางเปื้อนเลือด บ่าวจะไปนำ
หญิงสาวกะพริบตาปริบ ๆ ทบทวนสิ่งที่เขาพูด ไม่ใช่เห็นเป็นเรื่องประหลาดเพราะนางเองเข้ามาอยู่ในร่างของเหมยซิง เพียงแค่...ถ้าเป็นเช่นที่เขาพูด เขาไม่ใช่คนรักเก่าของนาง แต่เป็นอาหมานที่นางเคยดูแล ซุนเว่ยหมินแทบกลั้นหายใจ เมื่อเห็นหญิงสาวยอมมองหน้าเขาอีกครั้ง นางจ้องมองอย่างสำรวจ อาการตัวเกร็งของนางผ่อนคลายลง เขาจึงยอมคลายมือจากข้อมือของนาง “เจ้าคือ...อาหมาน” “อืม” เขาพยักหน้ารับ แล้วรวบร่างเล็กเข้ามากอด ไม่สนใจอาการตื่นตระหนกอีกระลอกของนาง “ตั้งแต่ฟื้นตื่นกลับคืนร่างเดิม ข้าปรารถนาจะได้กอดเจ้าไว้เช่นนี้ ได้รับรู้ตัวตนของเจ้า” เหมยซิงรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด นางเคยแบก ‘อาหมาน’ ที่ผอมบางราวกิ่งไม้แห้ง แต่ชายผู้นี้นอกจากจะใบหน้าพิมพ์เดียวกับคนรักเก่าแล้วยัง มีเรือนกายใหญ่โต ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กลงไปถนัดตา “เจ้า...เจ้าปล่อยข้าก่อน” นางผลักเขาออก รู้สึกเขินอายที่ร่างกายของนางมีเพียงผ้าห่มปกปิดเรือนร่าง “แล้วเหตุใดเจ้าต้องลักพาตัวข้ามาเช่นนี้” “ถ้าไม่ทำเช่นนี้ข้าจะได้พบเจ้ารึ” เขาเพียงคลายว
“ทำไมอยากเป็นดารา?” หญิงสาวถามขณะช่วยชายหนุ่มยืดกล้ามเนื้อในท่าพื้นฐาน เป็นกฎระเบียบของโรงเรียนฝึกสอนสตั๊นต์แมนต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หากไม่มีการยืดกล้ามเนื้อก่อนเรียนจริงจะทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บได้ “เราอยากได้การยอมรับ” “หือ?” หญิงสาวเอียงหน้ามาสบตากับคนที่เอ่ยตอบ “เป็นดาราแล้วได้การยอมรับยังไง?” “ยอมรับในความสามารถไง” ชายหนุ่มยิ้มเขิน “แล้วดาวล่ะ ทำไมมาเป็นสตั๊นต์เกิร์ล” “ก็ไม่มีอะไร แค่อยากได้เงินใช้เยอะ ๆ ไง” “อะไรกันอย่างดาวนะเหรอ” “อย่างดาวนี่แหละ หน้าเงินที่สุดแล้ว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “แม่แท้ ๆ เอาดาวมาฝากให้ลุงทองดีเลี้ยง จริง ๆ แล้วดาวเป็นหลานนะ ต้องเรียกลุงทองดี แต่เรียกพ่อจนติดปากก็เรียกพ่อมาตลอด แล้วแม่ก็หายไปไม่ติดต่อกลับมาอีก ได้ข่าวแต่งงานใหม่กับฝรั่งไปแล้ว ดาวก็เลยอยู่กับพ่อทองดีมาตลอด ดาวอยากมีเงินเยอะ ๆ พ่อทองดีจะได้สบายไม่ต้องลำบากมากขนาดนี้” “อย่างนี้เองเหรอ” “ก็ง่าย ๆ แค่นี้แหละ ดาวไม่ใช่คนเรื่องมากหรือมีอุดมการณ์อะไรก็ไม่มี แล้วก็ดา
ซุนเว่ยหมินหัวเราะออกมาอีกครา หากเป็นหญิงอื่นเขาคงคิดว่านี่เป็นจริตมารยา แต่สำหรับเหมยซิงผู้ใสซื่อและจริงใจ นางคิดเช่นไรก็พูดออกไปเช่นนั้น “จวิ้นอ๋อง” เขาแก้ไขให้ “ข้าแซ่ซุนชื่อเว่ยหมิน” “แล้วข้าต้องเรียกเจ้าว่าอะไร” “เว่ยหมินก็พอ” “จะไม่เป็นอะไรรึ เจ้า...เป็น เอ่อ...” “ข้าเป็นอนุชาของเต๋อเฟย” ชายหนุ่มระบายลมหายใจเบา ๆ เห็นสีหน้างุงงงของนางแล้วเขาก็อธิบายเพิ่ม “เต๋อเฟยคือสนมของฮองเต้ ข้าไม่คิดปิดบังเจ้า แต่ต้องการเป็นคนพูดกับเจ้าเอง มิต้องการให้เจ้ารู้จากผู้อื่น” “ตอนนี้ข้ารู้แล้ว เจ้า...ขยับตัวออกไปได้แล้ว” “ทำไม? นอนด้วยกันเช่นนี้ก็ดีไม่ใช่รึ เมื่อครู่เจ้าฝันเห็นสิ่งใดกัน เหมือนเจ้าจะฝันร้าย และยังละเมออีก” “ข้าละเมอด้วยหรือ?” นางทำหน้าไม่เชื่อ แต่เห็นเขาทำหน้าจริงจัง นางดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดครึ่งหน้าด้วยความอับอาย “ข้าคงไม่ได้ล่วงเกินเจ้าหรอกนะ” ซุนเว่ยหมินอดกลั้นไม่ไหว เป็นฝ่ายแหงนหน้าหัวเราะ หญิงผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก ทั้งห่วงว่าเขาจะเสียชื่อเสียง กลัวว่าจะล่
หญิงสาวโผล่หน้าออกมาจากบานประตู นางกวาดตามองรอบกาย ไม่เพียงแต่บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ ยังมีองครักษ์อยู่ตามมุมต่าง ๆ และคาดเดาได้ว่าคงเร้นกายในที่ที่มองไม่เห็นเช่นกัน เหมยซิงก้าวเท้าออกมาจากห้อง เดินตามหญิงรับใช้ที่พานางเดินมาอีกห้องหนึ่งไม่ไกลนัก หากเดินไกลกว่านี้เห็นทีว่าแผลของนางคงได้ปริอีกคราเป็นแน่ กลิ่นอาหารหอมกรุ่นทำให้หญิงสาวน้ำลายสอนางเดินตรงดิ่งไปที่โต๊ะอาหารทันที โน้มหน้าลงสูดดมกลิ่นอาหารบนโต๊ะ ท้องของนางส่งเสียงร้องประท้วงขึ้นมาทันที “เจ้าคงหิวแล้วซินะ” หญิงสาวหันมาทางต้นเสียง เห็นใบหน้าคุ้นเคยที่ไม่อยากเห็นแล้วก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แค่หน้าตาเหมือนกันมิใช่คนเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นนางกลับมีภาพสุดท้ายของศรัณย์กับผู้หญิงคนนั้น นี่ละมั้งที่คนเขาพูดกันว่าถ้าเลิกกันก็ควรจบกันดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะติดค้างในใจให้ก้าวไม่ความทรงจำเลวร้ายเสียที ซุนเว่ยหมินเห็นสีหน้าชวนปวดใจของนางแล้วพลันรู้สึกหงุดหงิดไปด้วย เขาฉวยมือของหญิงสาวไว้ทำให้เหมยซิงเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แม้เพียงแวบเดียวเขาก็สัมผัสรอยหม่นเศร้า เขาชอบความร่าเริง และร
“ข้าบอกแล้วว่าไม่มีใครทำเช่นนั้นกับเจ้า” เขาได้แต่ข่มโทสะในใจ โกรธโทษนางก็ไม่ได้ เพราะช่วงเวลานั้นเขาอาศัยในร่างผู้อื่น “ดูเจ้าไม่ตื่นตระหนกที่รู้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้” “ข้าก็มิได้ต่างอะไรจากเจ้านี่” นางเอื้อมมือไปรินน้ำดื่มให้ตัวเอง กินอิ่มแล้วเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกินอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เห็นเขากินอะไรสักคำ “อ้อ! แล้วเสียเอี๋ยนล่ะ ข้าอยากพบเขา” “ประเดี๋ยวก็คงมา” ซุนเว่ยหมินมองหน้าแล้วทบทวนสิ่งที่นางเอ่อออกมาเมื่อครู่ “เจ้าว่า...เจ้ามีอะไรเหมือนข้ารึ” “ท่านจะให้ข้าพูดต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้รึ” นางเบ้ปากแล้วผลักท่อนแขนที่รัดรอบเอวอยู่ “ปล่อยได้แล้ว กินอิ่มแล้วเดินย่อยสักหน่อยจะไม่ดีกว่ารึ” “อืม” บุรุษหนุ่มประคองหญิงสาวให้เดินเล่นที่สวนหย่อม เหมยซิงเหลือบตามองคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ในโลกที่นางจากมา ศรัณย์ก็หล่อเหลาไม่น้อยหน้าใคร ยิ่งเป็นผู้ชายที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รูปร่างกล้ามเนื้อขับให้เขาดูโดดเด่นจนได้เป็นดาราดังสมใจ ชายผู้นี้ก็เช่นกัน ใบหน้า และท่าทางองอาจนี่ทำให้หญิงสาวอ่อนร
“คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา
ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน
หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน
ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร
นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ
“ดาว...” “ขอบใจนะศรัณย์” เธอยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับหน้าผากของชายหนุ่ม “ปล่อยดาวไปเถิดนะ” พันดาวสบตาศรัณย์พลันนึกถึงชายอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่แววตาที่จ้องมองเธอนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้ว แววตาของคนที่เธอรัก เธอไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่เพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ทำให้เธอรักเขาจนหมดหัวใจ “เหมยซิง!” หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เหลียวมองรอบตัว ใครกันนะ ใครกันที่เรียกชื่อเธอ ในห้องเต็มไปด้วยพยาบาลและคุณหมอ มารดาของพันดาวเดินตามนายแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามา เท้าของหญิงวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเห็นร่างของลูกสาวเป็นเงาจาง ๆ อยู่เหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียง “ยัยดาว!” “แม่” พันดาวหันกลับมาแล้วส่งยิ้มกว้าง “ดาวรักแม่นะคะ” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเธอ แต่อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจว่าลูกสาวคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่นี้พันดาวก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว “เหมยซิง!” หญิงสาวหันไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน พยายามนึกว่าเป็นเสียงของใคร
เสียงระเบิดทำให้เหมยซิงหูอื้อ นางพยายามเบิกตากว้าง ภาพที่เห็นยามนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนั้น ขาดก็เพียงไม่มีสุนัขจิ้งจอกยืนจ้องหน้านาง ดวงตาคู่นั้น... ไฉนเหมือนดวงตาของเด็กชายอายุสิบสองที่ทุกคนก้มศีรษะให้ในฐานะองค์รัชทายาทนักนะ! ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในศีรษะทำให้ดวงตาสุกใสต้องปิดเปลือกตาแน่น ความมืดเข้าครอบงำ สติสัมปชัญญะ ไม่อาจฟื้นรับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างอีกแล้ว!. เสียงร้องไห้เรียกสติของหญิงสาวที่ลืมตาอยู่ในความมืดให้เดินตามเสียงที่ได้ยิน หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ทว่ากลับได้ยินเสียงร้องไห้ชัดขึ้นทำให้ต้องลืมตาอีกครั้งแล้วพบชายใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในชุดสีฟ้ากระจ่าง ใช่แล้ว เธอเคยบอกเขาว่าเขาดูเป็นผู้ชายโรแมนติกในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าละมุนตาอย่างนี้ ความดำมืดค่อย ๆ จางหาย ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง เท้าเล็ก ๆ พาร่างของตนเองไปหยุดยืนข้างเตียง หญิงสาวสีหน้าซีดเซียว ผอมบางจนแทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เมื่อพิจารณาดี ๆ นี่คือร่างของหญิงสาวที่ชื่อ...“พันดาว” น่าประหลาดใจที่ไม่รู้สึกตื
“หัวเราะอะไร” “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าข้าจะไปไหน” “ก็เจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ปิดบังข้า ข้าไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก” ซุนเว่ยหมินยิ้มที่มุมปาก เขาสูดลมหายใจลึกก่อนพูดออกไป “มันไม่ใช่หินถล่มธรรมดา” “เจ้าถูกลอบทำร้าย?” “ย่อมเป็นเช่นนั้น” เขาถอนหายใจกระตุ้น ม้าไปยังจุดหมายที่นัดไว้ “การเป็นคนซื่อตรงเช่นข้าย่อมขัดแข้งขัดขาผู้อื่น” จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงเด็กชายวัยสิบสองขวบที่นางเคยช่วยไว้ผู้นั้น “องค์รัชทายาท...” “ทำไมรึ?” ซุนเว่ยหมินก้มหน้าลง ความสนใจของเขาอยู่ที่กำไลหยกเรียบง่ายทว่าเขามั่นใจว่าเมื่อคืนมันเปล่งแสงได้ “เรื่องของเจ้าเกี่ยวกับองค์รัชทายาทหรือไม่” นางถามตรงไปตรงมา “ที่ถามนี่เพราะเจ้าเป็นห่วงข้าหรือเจ้าเด็กนั่น!” ในสายตาเขา ไม่เห็นเป็นองค์รัชทายาท มองอย่างไรก็เป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่พี่สาวของเขาเป็นเต๋อเฟยแต่อย่างใด เหมยซิงหัวเราะเสียงใส “แบบนี้เรียกว่าเหม็นน้ำส้มได้หรือไม่” ซุนเว่ยหมินเลิกคิ้ว นางย้อนเขาด้วยเรื่องที่เขาเคยล้