Share

Chapter 2. ทะลุมิติ

            ติงเชาเป็นชายพิการอายุสี่สิบแล้ว  แม้ตัวเองจะพิการแต่จิตใจดีมีเมตตา  หลายปีก่อนที่หมู่บ้านแห่งนี้ประสบภัยสงคราม หลายครอบครัวพลัดพราก  เด็กเป็นกำพร้า บางคนที่พอจะมีเงินมีฐานะก็อพยพย้ายถิ่นฐานหนีภัยสงคราม  แต่ติงเชาผู้ไร้ญาติขาดมิตรไม่ใส่ใจความเป็นความตายของตนเอง  เก็บเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้มา  เด็ก ๆ เหล่านี้ยังเด็กเล็กมาก จำชื่อตัวเองไม่ได้  ติงเชาจึงตั้งชื่อให้ใหม่ รวมทั้งนางด้วย ตอนนั้นนางอายุเพียงสิบขวบ  เหมยลี่ยังเป็นเด็กน้อยที่ร้องไห้จ้าในอ้อมอกมารดาที่สิ้นใจไปแล้ว  ติงเชาช่วยเด็ก ๆ เท่าที่พอทำได้  ทำให้ทั้งหมดรอดพ้นความตายในภัยสงครามเมื่อหกปีก่อนได้ แม้จะรูปร่างผ่ายผอมเนื่องจากกินไม่อิ่ม แต่กระนั้นทุกคนก็รักใคร่กลมเกลียว

            ผ่านภัยสงครามมาหลายปีทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ติงเชาแม้เป็นชายพิการ ขาซ้ายมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่น่ากลัว เวลาเดินจะต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเอง แต่เมื่อต้องขึ้นเขาหาของป่ามาค้าขาย หรือป้อนใส่ปากเด็ก ๆ ก็ยังคล่องแคล่ว  เหมยซิงซึ่งนับได้ว่าเป็นพี่ใหญ่พอจะทำงานได้แล้ว นางรับจ้างในโรงเตี๊ยมไม่ไกลบ้าน  หรือคือกระท่อมผุพังนี้   ใครใช้อะไรนางก็ทำทุกอย่างขอเพียงได้เงินมาจุนเจือครอบครัว  จนกระทั้งเมื่อครึ่งปีก่อน นางไปสมัครเป็นสาวใช้บ้านตระกูลหวัง   แรก ๆ เหมือนจะเป็นไปด้วยดี  น้อง ๆ ของนางยังคิดว่าถ้าพวกเขาเติบโตอีกหน่อยจะไปทำงานที่เดียวกับเหมยซิง  แต่ติงเชาคัดค้าน แม้พ่อบุญธรรมไม่เห็นด้วยแต่เหมยซิงก็แอบไปเพราะต้องการเงินมาจุนเจือครอบครัว    ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงเป็นเช่นไรไม่อาจรู้ได้  แต่คนในบ้านตระกูลหวังประกาศเพียงแค่ว่าเหมยซิงขโมยของสำคัญในจวน  เมื่อถูกจับได้ก็ถูกพ่อบ้านลงโทษ โบยนางจนตาย  นางกลายเป็นเพียงศพไร้ญาติ  บ่าวรับใช้เอาร่างของนางมาทิ้งที่ป่าช้า  ติงเชาได้ยินข่าวจึงรีบไปที่ป่าช้า ร้องไห้ราวคนเสียสติ พบร่างที่ถูกโบยตีบอบช้ำ เดิมทีคิดว่าถ้านางตายก็จะไม่ให้นางตายเช่นศพไร้ญาติเช่นนี้  แต่ร่างนางกลับกระตุกลืมตาขึ้นมา ติงเชาแบกลูกสาวบุญธรรมออกจากป่าช้า  แม้ไม่มีเงินจะเชิญหมอมาดูอาการแต่ก็พยายามป้อนน้ำ ให้เหมยลี่ที่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่สาว  เด็กชายทั้งสามแม้รู้ว่าเหมยซิงถูกพามาจากป่าช้าแต่ก็ไม่กลัว เขาช่วยดูแลอย่างดียิ่ง จนนางลืมตาฟื้นจริง ๆ

            “พี่สาว พี่สาวจำพวกเราไม่ได้เหรอ” 

เสียงเด็กทั้งสามถามพลางกลั้นน้ำตา  พันดาวที่คราวแรกยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่เหมยซิงจึงได้แต่ลอบถอนหายใจ สงสารเด็กน้อยใจแทบขาด นางจึงยอมรับสภาพว่าตัวเองคือ เหมยซิง

            เพราะคลุกคลีอยู่ในแวดวงบันเทิง พล็อตละครแนวย้อนยุคทะลุมิติไม่มีอะไรแปลกใหม่  ใครจะคาดคิดว่าวันหนึ่งนางโชคดีกระโดดลงมาเล่นเป็นนางเอกเต็มตัว   แต่ชีวิตในโลกนี้ก็คล้ายคลึงกับชีวิตของพันดาวไม่น้อย  อายุสิบขวบมารดาก็หอบหิ้วมาให้ ‘ลุงทองดี’ ช่วยเลี้ยง   ครานั้นให้เหตุผลว่าบิดาของนางทอดทิ้ง  มารดาต้องทำงานไม่สะดวกที่จะเลี้ยงลูกไปด้วยทำงานไปด้วยได้  ลุงทองดีเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของมารดา  ภรรยาตายด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อห้าปีก่อน และไม่มีลูกด้วยกัน   เพราะเห็นเป็นหลานจึงรับฝากเลี้ยง ครึ่งปีแรกมารดาส่งเงินมาให้สม่ำเสมอเดือนละสามถึงสี่พันบาท แต่พอเริ่มเข้าเดือนที่เจ็ดก็เงียบหาย  ร่างกายลุงทองดีก็ไม่ค่อยแข็งแรงนัก อดีตเคยเป็นทหารเก่า  อาศัยเอาดีด้านต่อยมวย เป็นตัวแทนของสมาคมอยู่หลายปี แต่เพราะสมัยก่อนการต่อยมวยไม่ได้รัดกุมเช่นทุกวันนี้  สมองได้รับการกระทบกระเทือน ส่งผลให้ร่างกายเดินเหินไม่ปกติ  สุดท้ายก็ลาออกจากทหาร  ประจวบกับมีคนรู้จักมาเชิญลุงทองดีเป็นครูฝึกสอนการต่อสู้ที่โรงเรียนฝึกสอนสตั๊นต์

            มีแม่ก็เหมือนไม่มี  ได้ยินว่าที่แม่ทิ้งเธอไปเพราะติดพันผู้ชายคนใหม่  พันดาวเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของลุงทองดี จนเรียก ‘พ่อทองดี’ ด้วยความที่พ่อทองดีเป็นห่วงพันดาวที่เป็นผู้หญิง จึงสอนศิลปะการป้องกันตัว  และเพราะพ่อทองดีอีกนั้นแหละที่หอบหิ้วไปโรงเรียนฝึกสอนสตั๊นต์แมนทำให้เธอได้เรียนรู้ที่นี่ไปด้วย  ด้วยความอยากแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว นางจึงรับงานตัวประกอบตั้งแต่อายุสิบหก เดินผ่านกล้องบ้าง งานในรายการเกมโชว์บ้าง  เมื่อเห็นว่ามีช่องทางหารายได้ นางจึงตัดสินใจฝึกฝนจริงจังรับงานเป็นสตั๊นต์เกิร์ล  เรียนจบมัธยมก็เรียนต่อสถาบันวิทยาลัยพละศึกษา พันดาวไม่ได้อยากเป็นคนเด่นดัง  ไม่ได้อยากเป็นนางเอกหรือหลงใหลในแวดวงมายา  แต่เธอต้องการใช้เงินเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยเรื้อรังของลุงทองดี

            การอยู่ในโลกนี้ทำให้พันดาวต้องปรับตัวเป็นเหมยซิง  นางไม่รู้ว่าที่ที่อยู่นี่เรียกว่าอะไร ยุคไหน แต่ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกาย และชื่อเรียกขาน ทำให้นางคิดถึงหนังจีนกำลังภายใน  แรก ๆ นางคิดไปว่าตัวเองหลุดมาในโลกนิยายที่ตัวเองแสดงอยู่  แต่รายละเอียดชื่อเมืองต่าง ๆ นั้น ไม่ตรงกัน  ประวัติศาตร์จีนโบราณอะไรนั่น นางยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่

            แม้คิดหาวิธีกลับไปโลกเดิม แต่ในเมื่อยังเป็น ‘เหมยซิง’ ในโลกนี้ นางจำเป็นต้องดูแลเด็ก ๆ ทั้งสี่และพ่อบุญธรรม พวกเด็ก ๆ เองเห็นนางตื่นฟื้นจากความตาย  แม้จำอะไรไม่ได้แต่ก็ไม่ซักถาม อะไรที่นางไม่รู้ทุกคนก็ช่วยสอน อาจเพราะความยากจน และผ่านสงครามมาทำให้พวกเขาเติบโตเกินวัยไปแล้ว  เด็กผู้ชายพานางเดินขึ้นเขา สอนให้นางเก็บฟืน และผักป่า ระยะนี้พ่อบุญธรรมร่างกายไม่แข็งแรงจึงไม่ได้ขึ้นเขาล่าสัตว์ป่ามาเป็นอาหาร  หลังจากผ่านสงครามไปเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาที่ละน้อย

ร่างกายของเหมยซิงผ่ายผอมจนน่าร้องไห้  พันดาวโอดครวญในอก บังเอิญเห็นคันธนูเก่า ๆ แล้วอยากลองล่าสัตว์ด้วยตนเอง  นางเคยฝึกการใช้ธนูมาก่อน การยิงธนูทำได้ค่อนข้างดี แต่ร่างกายของเด็กสาวผอมแห้งผู้นี้แทบไม่มีแรงง้าวสายธนู   รวมถึงการยืดหยุ่นตัวด้วย  นางเคยตีลังกาม้วนตัวได้สบาย ๆ แต่พอมาอยู่ในร่างเหมยซิงแสนน่าสงสารกลับทำอะไรไม่ได้ตามใจคิด   เอาเถิด ระหว่างที่นางคิดวิธีกลับไปโลกเดิมก็ต้องหาวิธีใช้ชีวิตในร่างนี้  นางตื่นเช้า หุงหาอาหารทำกับข้าวอย่างง่าย ๆ ระหว่างนี้ก็อาศัยช่วงที่เด็ก ๆ ยังไม่ตื่นยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายฝึกซ้อมให้ร่างกายเข้าที่เข้าทาง  เพียงครึ่งเดือนนางปรับตัวเข้ากับสถานที่แห่งนี้ได้   นางหาไม้ไผ่ขนาดพอดีมือเอาไว้เป็นไม้พลองฝึกซ้อมป้องกันตัวเอง  เมื่อครั้งที่ยังเป็น ‘พันดาว’ นางชอบใช้ไม้พลองมากที่สุด เคยเป็นนักกีฬาระดับเหรียญทองแดงมาแล้ว   แม้เด็ก ๆ ดูแปลกใจที่จู่ ๆ เหมยซิงผู้อ่อนแอลุกขึ้นมาจับไม้ไผ่แกว่งไปมา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร  ช่างเป็นน้องที่เชื่อฟังพี่เสียจริง  ทำให้พันดาวหรือเหมยซิงรักเด็ก ๆ เหล่านี้มากยิ่งขึ้น

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status