ไม่แน่ใจว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจะสามารถใช้บรรยายความซวยของมนุษยชาติในเวลานี้ได้หรือเปล่าล้วนไม่มีใครรู้ เมื่อรู้ตัวอีกทีหลายพื้นที่บนโลกก็ไม่ต่างจากภาพยนตร์วันสิ้นโลกที่เคยโด่งดังเรื่องหนึ่ง
มันเริ่มจากโรคติดต่อร้ายแรงที่มีการแพร่กระจายจากคนสู่คน ทำได้เพียงรักษาไปตามอาการจนเชื้อในร่างกายตายหมดเท่านั้น ซึ่งผ่านมาเกือบสองปีก็ยังไม่มีประเทศไหนคิดค้นวัคซีนที่จะทำให้หายขาดหรือป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้เลย
นานวันเข้าก็เริ่มมีผู้คนล้มตายมากขึ้น จากประชากรเกือบ 5 พันล้านคนทั่วโลก ถูกประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 1 ใน 5
หลายครัวเรือนเริ่มกักตุนอาหาร ร้านขายของชำปิดให้บริการ ราคาอาหารแห้งแพงยิ่งกว่าทอง นี่เป็นสิ่งที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องเผชิญไม่มีใครหลีกเลี่ยง
แต่แค่นั้นมันยังน้อยเกินไป
วันที่ xx เดือน xx ค.ศ. xxxx
องค์การ xx ระบุว่ามีอุกกาบาตขนาดใหญ่กำลังจะพุ่งชนมายังโลก ซึ่งแน่นอนว่ามันจะสร้างความเสียหายไม่ต่างจากหลายล้านปีก่อนที่เป็นเหตุให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์
ยังดีที่เทคโนโลยีในปัจจุบันพัฒนาไปมาก มนุษย์รู้ตัวเร็วทำให้พอมีเวลาหาหนทางกำจัดภัยร้ายนี้ได้ก่อนมาถึงโลก แต่ใครจะรู้ว่าอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดทำได้เพียงสร้างรอยขีดข่วนให้มันเท่านั้น เวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อย ๆ บีบคั้นให้ทุกคนลงความเห็นให้เบี่ยงมันออกไปจากวงโคจรเดิม อาจมีเศษซากอุกกาบาตหล่นลงมาบนพื้นโลกบ้าง แต่ก็ยังดีกว่ามันพุ่งชนมาทั้งก้อน
ปฏิบัติการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากนานาประเทศทั่วโลก เป็นข่าวโด่งดังยิ่งกว่าโรคระบาดเสียอีก แม้แต่ประเทศที่ไม่ชอบหน้ากันยังหันมาจับมือผลิตอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงเพียงพอที่จะทำให้เกิดแรงระเบิดมหาศาล และผลักหินก้อนยักษ์ให้ห่างจากจุดหมายของมันให้มากที่สุด
ค่ำคืนนั้นผู้คนที่เคยหลบลี้หนีหน้ากันเพราะโรคระบาดต่างมายืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน เฝ้ารอฝนดาวตกหรือสะเก็ดอุกกาบาตจากการปฏิบัติการความร่วมมือระหว่างประเทศครั้งยิ่งใหญ่ โดยคราวนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่การทำลาย
หากสำเร็จทุกคนบนโลกจะรอดชีวิตไปอีกหลายล้านปี แต่ถ้าไม่… คงเป็นการรีเซตโลกใบนี้ใหม่ไม่ต่างจากยุคดึกดำบรรพ์
จรวดบรรทุกขีปนาวุธจะถึงอุกกาบาตยักษ์ในอีก
...3
...2
...1
ตูม!
ท้องฟ้ามืดมิดพลันเกิดแสงสว่างเจิดจ้าราวกับเที่ยงวัน ก่อนฝนดาวตกจำนวนมากจะพากันวิ่งตัดผ่านขอบฟ้าเป็นริ้ว ๆ โทรทัศน์ถ่ายทอดสดรายงานว่าวิถีของอุกกาบาตถูกเหวี่ยงให้พ้นจากวงโคจรของดาวโลกแล้ว ปฏิบัติการเบี่ยงทิศอุกกาบาตสำเร็จไปได้ด้วยดี หลายพื้นที่ต่างพากันเฉลิมฉลองความสำเร็จในครั้งนี้แม้จะเป็นการฉลองแค่เพียงในบ้านก็ตาม
เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นใช่ไหม
แน่นอนว่าไม่ใช่
พ้นจากเคราะห์กรรมนอกโลกก็หันกลับมาผจญกับโรคระบาดต่อ ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันต่อวันแทบจะเป็นหลักพันต่อหนึ่งหมื่นคน
“เฮ้อ เมื่อไหร่จะพ้นช่วงนี้ไปสักทีนะ” เฉินเฟิงวางมือจากพืชสวนไร่นาที่กำลังทำอยู่แล้วไปนั่งพักที่แคร่หน้าบ้าน
วันนี้ปลุกผักได้เยอะทีเดียว นึกเอ่ยชมตัวเองในใจ
ช่วงแรกแค่จับจอบขุดได้แค่ไม่กี่หลุมมือก็พองไปหมด
เฉินเฟิงเป็นลูกครึ่ง แค่ชื่อก็บอกภูมิลำเนาถิ่นเกิดของบรรพบุรุษได้ดี ก่อนหน้านี้ไม่นานนักบิดามารดาของเขาเดินทางไปประเทศ C เพื่อไปร่วมฟังพินัยกรรมของคุณปู่ แต่ใครเล่าจะรู้ว่านั่นจะทำให้ทั้งสองคนติดเชื้อโรคระบาดจากการเดินทาง ทำการรักษาอยู่ไม่กี่วันก็สิ้นใจ ทางญาติพี่น้องตระกูลเฉินจึงติดต่อให้เขามาดูศพและจัดการเรื่องพินัยกรรมที่ยังคงค้างคาไม่ได้ข้อยุติ
ก่อนเดินทางไปประเทศ C เฉินเฟิงใจสลายแค่ไหนไม่มีใครรู้ กระทั่งญาติผู้ใหญ่ที่คิดว่าเป็นพี่น้องของพ่อก็ไม่ได้สนใจไยดีกับการจากไปของสายเลือดร่วมอุทร เอาแต่พูดว่าในเมื่อพ่อของเขาก็ไม่อยู่แล้ว มรดกในส่วนนี้ก็ควรเป็นของคนพี่น้องคนอื่นเพราะตัวเขานั้นไม่ได้เป็นที่รู้จักของคนในตระกูล และข้ออ้างอีกมากมายที่คนเหล่านั้นนำมากรอกใส่สมองตลอดเวลาที่อยู่ประเทศนั้น
ชายหนุ่มไม่ได้เสียดายมรดกหลายร้อยล้านของปู่ เขาแค่เสียใจที่คนในตระกูลนั้นไม่มีใครสักคนที่แสดงความเสียใจกับการจากไปของครอบครัวเขาเลย
หลังจากติดต่อเรื่องพิธีศพกับทางโรงพยาบาลเขาก็ไม่มีอารมณ์อยู่ในประเทศ C อีก จองตั๋วบินตรงกับประเทศบ้านเกิดแทบจะทันที และแน่นอนว่าช่วงโรคระบาดแบบนี้เฉินเฟิงต้องโดนกักตัวและตรวจสอบอย่างละเอียด พร้อมกำชับว่าให้กักตัวอยู่บ้านจนพ้นระยะฟักตัวของเชื้อก่อนถึงจะออกจากบ้านได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขามาจับจอบขุดดินถางหญ้า หว่านเมล็ดผักลงแปลงในเวลานี้ ห้าวันก่อนเขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องของพ่อกับแม่ สัมผัสความอบอุ่นที่อบอวลอยู่ในห้องนั้นไม่ขยับไปไหน วาระสุดท้ายของพวกท่าน เขาไม่มีแม้แต่โอกาสได้บอกลา แค่จะรับตัวกลับมาทำพิธีศพยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำเนื่องจากเป็นนโยบายป้องกันโรค พ่อกับแม่คงต้องถูกฝังรวมกับผู้เสียชีวิตรายอื่นอีกเป็นล้านคนในหลุมเดียวกัน ฟังดูแย่ แต่ถ้าปรับมุมมองใหม่ก็สามารถคิดไปได้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ไปกันแค่สองคน แต่มีเพื่อนร่วมเดินทางไปโลกหลังความตายเยอะแยะจนจำชื่อไม่หมด
และเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้จึงต้องลุกมาหาอะไรทำ อีกทั้งตัวเขาเองก็ยังอยู่ในสถานะตกงานร้านที่ทำอยู่ต้องปิดกิจการจากพิษเศรษฐกิจ เฉินเฟิงรู้สึกเคว้งคว้างจึงอยากลองลงทุนกับพวกงานเกษตรกรรมภายในบ้าน เผื่อเป็นลู่ทางทำมาหากินในอนาคต
ขายไม่ได้ก็กินเอง อย่างน้อยก็คงไม่อดตาย
ชายหนุ่มจัดการนำเงินประกันของพ่อกับแม่มาต่อเติมบ้านและล้อมรั้วกำแพงเอาไว้ ถึงจะอยู่ชานเมืองแต่ช่วงวิกฤตแบบนี้โจรขโมยคงชุกชุมไม่น้อย ทั้งยังกักตุนอาหารเพราะไม่รู้จะมีประกาศเคอร์ฟิวเมื่อไหร่
แต่ใครจะคิดว่ามันจะวิกฤตได้มากกว่านี้อีกกัน
[ ประกาศฉุกเฉิน ขณะนี้ขอให้ประชาชนอยู่แต่ภายในบ้าน ห้ามออกมาด้านนอกที่พักอาศัยเด็ดขาด ย้ำ! ห้ามออกมาด้านนอกที่พักอาศัยเด็ดขาด! ]
อยู่ ๆ ทหารก็ออกมาประกาศให้ประชาชนอยู่บ้านโดยไม่แจ้งเหตุผลประกอบ สร้างความตื่นตระหนกในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ปกติชนบทก็ไม่ค่อยมีข่าวสารส่งมาถึงรวดเร็วเท่าในเมืองอยู่แล้ว แทนที่จะเก็บตัวอยู่ในบ้านทุกคนพากันออกไปตุนอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต่อให้โดนพ่อค้าแม่ค้าโกงราคาก็ไม่เกี่ยง ขอให้ปากท้องไม่ว่างก็เพียงพอ
เฉินเฟิงเองก็ตั้งใจจะออกไปซื้อพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาเก็บไว้ แต่คิดได้ว่าตอนโรคระบาดเริ่มใหม่ ๆ ผู้คนล้วนเลือกที่จะไปจับจ่ายซื้อของตามห้างสรรสินค้า หรือร้านค้าปลีกรายใหญ่ ทำให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่อยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มไม่อยากไปเสี่ยงจึงได้เปลี่ยนใจไปซื้อตามร้านขายของชำในหมู่บ้านแทน แต่ก็ได้มาไม่มากเพราะบางร้านก็เริ่มเก็บของไว้ใช้เอง
“ขอโทษนะอาเฟิง ยายขายให้ได้เท่านี้จริง ๆ” คุณยายร้านขายของชำห่ออาหารแห้งส่งให้
“ไม่เป็นไรครับ ได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว” บางร้านไม่ยอมขายให้เขาด้วยซ้ำ
“อาเฟิงได้ข่าวอะไรบ้างไหม ทำไมถึงมีประกาศจากทหารได้”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ อาจจะมีคนติดโรคระบาดเพิ่มขึ้นก็ได้”
“นี่หลานชายยายที่อยู่ในตัวจังหวัดก็ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ลูกชายยายจะไปหาก็เป็นห่วง กลัวยายอยู่บ้านคนเดียว” คุณยายถอนหายใจเสียงดัง เป็นห่วงหลานชายและลูกสะใภ้ของตนมาก
จะว่าไปช่วงหลังมานี้โทรศัพท์เริ่มใช้การไม่ได้ แต่เพราะเป็นหมู่บ้านชนบทที่ไม่ได้มีสัญญาณดีอยู่แล้ว ทุกคนก็เลยคิดว่ามันไม่มีอะไร ขนาดเด็กที่ต้องเรียนออนไลน์ยังต้องวิ่งไปหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตตามภูเขาเลย
โทรทัศน์เองก็มีแต่ประกาศอะไรก็ไม่รู้ซ้ำไปซ้ำมา มองดูแล้วเหมือนเป็นเทปวิดีโอที่ตั้งเวลาให้เปิดมากกว่า เขาจึงเลือกปิดมันไปเสีย
เปลืองไฟ...
เฉินเฟิงคุยกับคุณยายอีกเล็กน้อยก็ขอตัวกลับบ้าน เย็นนี้เขาตั้งใจจะไปตลาดสดซื้อเนื้อกลับมาบ้านมากหน่อย
หรือเขาควรซื้อตู้แช่มาเพิ่ม?
อย่าดีกว่า... ถึงอาหารจะจำเป็นแต่มีเงินก้อนเก็บไว้บ้างจะดีกว่า อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน เกิดเขากว้านซื้อทุกอย่างจนเงินหมดบัญชี แล้วหลังโรคระบาดจะลงทุนทำร้านหรืออะไรสักอย่างคงต้องไปกู้หนี้ยืมสินให้เป็นหนี้อีก
เย็นวันนั้นเฉินเฟิงไปตลาดนัดตามที่ตั้งใจไว้ แม้ทหารจะออกมาประกาศให้อยู่แต่ในบ้าน แต่ก็มีพ่อค้า แม่ค้าบางส่วนฝ่าฝืนประกาศออกมาตั้งแผงขายของ หวังระบายของสดที่มีออกไปบ้าง ได้กำไรนิดหน่อยก็ยังดี
ความตั้งใจที่จะซื้อของแค่เล็กน้อยเป็นอันต้องปัดตกไป เขาดันใจอ่อนช่วยลุง ๆ ป้า ๆ ซื้อหมูซื้อไก่มาสิบกิโลกว่า
“หนักโว้ย” แล้วก็มาเป็นภาระตอนขนกลับบ้าน ตะกร้าหลังรถจักรยานไม่พอใส่จนต้องแขวนไว้ที่แฮนด์จักรยานทั้งสองข้างเพื่อถ่วงน้ำหนัก
กรรร…
ในขณะที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสา กลับมีเสียงคำรามต่ำในลำคอของสัตว์ป่าดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัดของถนนลูกรัง เฉินเฟิงไม่ได้จอดจักรยาน ขายาวกลับเร่งความเร็วขึ้นมากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเขาแค่หูแว่วไปหรือมีสัตว์ร้ายอยู่แถวนี้จริง
ฟุ่บ
เอี๊ยดดด!
“เหวอ!”
เพราะมัวแต่ระแวงข้างทางจึงไม่ทันสังเกตเห็นเงาสิ่งมีชีวิตด้านหลังที่พุ่งมาคว้าตะกร้าที่บรรจุเนื้อสิบกิโลกว่าไว้
แรงมหาศาลฉุดกระชากส่งให้เชือกที่มัดตะกร้ายึดกับจักรยานขาดออกจากกัน
ดีที่ตั้งสติได้เร็ว ยันเท้าลงกับพื้นทันพอตั้งตัวได้ไม่ให้ล้มไปทั้งคนทั้งจักรยาน ชายหนุ่มหัวเสียหนักรีบหันกลับไปมองด้านหลัง
“นั่นมัน... อะไร” ลำคอเรียวเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่กับภาพที่เห็น
แม้เวลาจะค่อนไปทางเกือบมืดแต่ก็พอมีแสงโพล้เพล้ให้ได้เห็นราง ๆ ว่าสิ่งที่กำลังหยิบเนื้อในถุงเข้าปากสด ๆ ราวกับเป็นอาหารอันโอชะอยู่นั่นคือมนุษย์
“เชี่ยไรวะเนี่ย”
กรรร…
ดวงตาที่ควรจะมีจุดดำกลับขึ้นฝ้าสีขาว มันหันมามองเขาแล้วส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอ รูปลักษณ์นั้นเหมือนกับซอมบี้ที่เคยเห็นในภาพยนตร์ไม่มีผิด
“ไวรัสกลายพันธุ์เหรอวะ แม่งเอ๊ย!“ แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่รอให้ตัวเองเป็นเหยื่อรายต่อไป รีบใส่เกียร์หมาปั่นจักรยานสุดชีวิต
แม่งเอ๊ย ๆ ๆ ไอ้ตัวนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดใช่ไหม
หรือจะเป็นรายการแอบถ่ายสักรายการ?
จะอะไรก็ช่างหนีก่อนแล้วกัน!
ชายหนุ่มไม่สนใจรอบข้างอีกแล้ว คราวนี้เขาปั่นหน้าตั้งมุ่งกลับบ้าน ไม่สนว่าจะมีใครทักถามอะไรทั้งนั้นด้วยกลัวว่าคนตรงหน้าจะไม่ใช่เพื่อนบ้านที่เขารู้จักอีกต่อไป
“แฮ่ก ๆ”
ร่างโปร่งพาตัวเองและจักรยานล้มโครมทันทีที่ผ่านเข้ามาในรั้วบ้าน เฉินเฟิงรีบลุกไปปิดประตูรั้ว ตั้งแต่ต่อเติมรั้วบ้าน เขาก็ไม่เคยปิดประตูเลยสักครั้งแม้แต่เวลานอน มาวันนี้รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่มีมัน
เพียะ!
ฝ่ามือหยาบกระทบใบหน้าสร้างความปวดร้าวปนแสบร้อนไปครึ่งหน้า ภายในปากได้กลิ่นสนิมรวมถึงรสขมปร่าที่ปลายลิ้น
เจ็บ…
ไม่ใช่ความฝัน
ฉิบหายแล้วแม่งเอ๊ย!
นี่มันอะไรกันวะ!!
เฉินเฟิงนั่งปรับระดับลมหายใจอยู่ที่เดิมจนกระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านนอกจึงรีบลนลานหอบถุงใส่อาหารกลับเข้าไปในบ้าน จัดการปิดประตูหน้าต่าง ขนเฟอร์นิเจอร์ใกล้มือที่คิดว่ามีน้ำหนักมาปิดทางเข้าออกทั้งหมดเสียงกรีดร้องผสมเสียงขอความช่วยเหลือดังระงมอยู่ค่อนคืน ชายหนุ่มยกมือทั้งสองขึ้นปิดหูตนแล้วขดตัวอยู่ใต้โต๊ะติดกำแพงร่างโปร่งสั่นระริกทุกครั้งยามที่มีคนเขย่าประตูเหล็กหน้าบ้าน นัยน์ตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาจากความหวาดกลัวและละอายใจทำไมเขาไม่เตือนคนอื่นยิ่งเสียงกรีดร้องดังมากเท่าไร ภายในจิตใจเฉินเฟิงยิ่งปวดร้าวมากเท่านั้นขี้ขลาด!แกมันขี้ขลาดเห็นแก่ตัว“พี่เฟิงช่วยผมด้วย” เสียงเล็กคุ้นหูหน้าบ้านเรียกสติให้ชายหนุ่มผลุนผลันคลานออกมาจากใต้โต๊ะ รีบกวาดสิ่งของที่ขวางประตูอยู่ให้เปิดออกทันเห็นเด็กชายกับแม่ของอีกฝ่ายกำลังเกาะรั้วเหล็กหน้าบ้านพลางหันซ้ายหันขวา“น้องดล” เฉินเฟิงเรียกเด็กชายเสียงเบา สภาพของเด็กข้างบ้านแทบไม่มีส่วนไหนเรียกว่าชิ้นดี ผมเผ้าพองฟู เสื้อผ้ามอมแมมผสมคราบดินและคราบเลือดจนหาสีเสื้อเดิมไม่เจอ“อาเฟิง ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย” ดาริณีมีหนึ่งกำรั้วเหล็ก อีกมือก็ดึงลูกชายมากอ
ถ้าเป็นเวลาปกติเธอคงเอ็ดลูกชายไปแล้วที่นอนดึก แต่ภาพเหตุการณ์ในวันนี้ไม่ทำให้สติแตกจนฟั่นเฟือนก็เรียกว่าดีมากแล้วสำหรับเด็กเด็กชายดลนับว่าเป็นหัวโจกกลุ่มเด็กในหมู่บ้านคนหนึ่ง เขามักนำตัวเองเป็นศูนย์กลางของกลุ่มเด็กทโมนพาเพื่อนไปเล่นสุ่มเสี่ยง ตรงไหนที่ผู้ใหญ่ห้ามหรือดุก็จะแอบพากันไปจนรู้แน่ชัดว่าห้ามเพราะอะไรก็จะหยุดเอง ตอนที่ยายล้มลงแล้วลุกขึ้นมากัดตา ณ ตอนนั้นเด็กชายดลเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่ไม่ปกติ คนตรงหน้าไม่ใช่ยายของเขาอีกต่อไปเด็กตัวเล็กคนหนึ่งรีบพาแม่ออกจากบ้าน ดาริณีวิ่งตามลูกชายมาอย่างงุนงงในตอนแรกเพราะช็อกกับสภาพที่พ่อถูกแม่กัดเลือดท่วมตัว ไหนจะคนในหมู่บ้านบางคนที่มีลักษณะเหมือนแม่ของเธอ ทั้งสองคนจึงได้แต่วิ่งฝ่าความมืดหวังไปขอพึ่งพิงบ้านสามี ได้แต่โทษตัวเองว่าคืนนี้เธอไม่น่าขอบ้านนั้นพาลูกมานอนที่นี่เลย จะได้ไม่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ใครจะคาดคิดว่าแทนที่จะได้รับความช่วยเหลือ เธอกลับถูกขับไล่เพราะอีกฝ่ายเห็นว่ามีฝูงตัวอะไรบางอย่างกำลังคืบคลานมาหาเธอและลูก พวกเขาเขวี้ยงปาสิ่งของจากชั้นบนของบ้านเธอได้แต่เหลียวหลังไปดูคนในหมู่บ้านที่เปลี่ยนสภาพไม่ต่างจากแม่ที่กัดพ่อก็
“ก็ใช่น่ะสิ เอาล่ะ ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวพี่ไปทำกับข้าวให้” ดาริณีลุกเดินเข้าครัว มุมปากยกยิ้มสนุก...รอให้เจ้าตัวเห็นเองจะดีกว่าเฉินเฟิงไม่ทันเห็นรอยยิ้มประหลาดของพี่สาวข้างบ้านจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเอง คว้าเสื้อผ้าในตู้แล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำ แต่พอจะถอดเสื้อผ้าออกจากหัวกลับรู้สึกว่าส่วนคอเสื้อไปเกี่ยวอะไรสักอย่างบนศีรษะอะไร?ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับ“?!!”ตึง ๆ“แม่ พี่เฟิงต้องเห็นแล้วแน่เลย” เสียงดังตึงตังออกมาจากห้องนอนของชายหนุ่ม“พี่เขาคงตกใจน่ะ ตอนเราเห็นครั้งแรกก็ตกใจเนอะ” หญิงสาวยิ้มขัน เชื่อว่าเจ้าตัวคงตกใจจนช็อกไปแล้วไม่ผิดจากที่ดาริณีพูด เฉินเฟิงตกใจมากจริง ๆ ถึงกับต้องวิ่งไปเกาะกระจกเพื่อดูไอ้สิ่งที่มันติดอยู่บนหัวเขา!ใช่! บนหัวเขามีบางอย่างโผล่ขึ้นมาไม่ใช่มีแค่เส้นผมเพียงอย่างเดียว“เฮ้ย” แล้วทำไมผมของเขากลายเป็นสีขาว!“นี่มันอะไรกันวะ!” ไหนจะดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ที่เตะตาเขาตั้งแต่แรกเห็นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปมีตั้งแต่เกิด เพราะบนศีรษะของเขากลับมีบางสิ่งบางอย่างงอกขึ้นมาเพิ่ม นั่นคือหูยาวสีขาวเหมือนกระต่ายต่างหากที่ทำให้เขาอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกใช่แล้วมันคือ หู
“แล้วอย่างนี้พี่จะมีพลังหรือเปล่าครับ” เปลี่ยนร่างได้แล้วก็ต้องมีพลังสิ เด็กชายดลมองด้วยดวงตาคาดหวัง เหมือนตัวการ์ตูนที่เขาเคยดู“พลังเหรอ” ชายหนุ่มทวนจะใช่ความรู้สึกว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างตอนตื่นขึ้นมาหรือเปล่า? ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าออกไปด้านนอกบ้าน หลังจากกินอาหารเช้าแล้วไม่รู้จะทำอะไรเขาได้พูดคุยกับดาริณีเรื่องอาหารที่เก็บไว้ว่าควรนำเนื้อหมูออกมาแปรรูปให้สามารถเก็บไว้กินได้นานกว่านี้ หากเหตุการณ์ไม่กลับมาสงบได้ในเร็ววัน พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอดอยากเขาจำได้ว่าตัวเองตีล้อมรั้วบ้านไปจนสุดแปลงผักเป็นเนื้อที่เกือบ 2 ไร่ แถมก่อนเกิดเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้เขาก็เพิ่งจะพรวนดินหว่านเมล็ดไปได้ไม่นาน อีกทั้งช่วงที่เขาหมดสติไป ดาริณีก็เป็นคนรับหน้าที่รดน้ำต้นไม้ตลอด พวกมันจึงยังอยู่รอดปลอดภัย เฉินเฟิงกำชับให้สองแม่ลูกอยู่ในบ้านไปก่อน เขาจะออกไปดูความปลอดภัยด้านนอก สองมือชายหนุ่มกำขวานในมือแน่น ความตื่นกลัวพาลให้หูกระต่ายตั้งชันและรับรู้เสียงได้มากขึ้น เมื่อลองเพ่งสมาธิก็พบว่าสามารถได้ยินไกลไปเกือบ 2 กิโลเมตรนอกจากเสียงบ้านข้างเรือนเคียงที่อยู่ห่
ถ้ามีแค่ตัวคนเดียวเขาอาจจะหาทางหลบหนีออกไปก่อน แม้จะเสียดายบ้านแต่จะให้สู้กับคนหลายคนทั้งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อนก็คงไม่ไหว เอาตัวให้รอดไว้ก่อนค่อยกลับมาทวงคืนในภายหลังก็ไม่สาย แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ที่เขามีอีกสองชีวิตให้ต้องดูแล น้องดลและดาริณีดูจะไม่ใช่คู่มือของพวกมันได้เลยครั้นจะให้วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปจามหัวพวกมันก็ไม่รู้ว่าจะกล้าทำอย่างที่คิดไหมอีกในขณะที่ครุ่นคิดศัตรูแรกในวันสิ้นโลกก็บุกเข้ามาประชิด“เคร้ง!” เสียงประตูเหล็กหน้าบ้านถูกอะไรบางอย่างดันเข้ามาอย่างแรงเป็นผลให้กระถางต้นไม้และตู้ที่ถูกนำมาวางกั้นประตูล้มระเนระนาด“เสียงดังเกินไปแล้ว” หนึ่งในชายฉกรรจ์เอ่ยเตือน ถึงพวกเขาจะฆ่าซอมบี้ละแวกนี้ไปแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวอื่นมาอีก“พวกคนในบ้านรู้ตัวกันหมดแล้วมั้ง” ชายที่มีหูกลมส่ายหัวให้กับความสมองน้อยของเจ้าบ้าชอบใช้กำลัง“...” เจ้าบ้าชอบใช้กำลัง“ช่างเถอะ เข้าไปทั้งแบบนี้แหละ” คนเป็นหัวหน้าไม่ใส่ใจกับความสะเพร่าเล็ก ๆ น้อย ๆ จะอย่างไรพวกเขาก็แข็งแกร่งและมีอาวุธครบมือ ต่อให้มีซอมบี้ออกมาอีกก็แค่ยิงทิ้งไปเสียเฉินเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังบ้านตื่นตระหนก ประตูบ้านเขาพังเพราะกำลังของคน!น
ชายหนุ่มค่อย ๆ ดันสองแม่ลูกให้ถอยหลังไปตามทางเดินของบ้านโดยมีโจรตามเข้ามาทีละนิด พวกมันดูสนุกสนานกับการต้อนเหยื่อให้จนมุม แค่เห็นหนึ่งในนั้นเลียริมฝีปากมองพวกเขาเหมือนอาหารอันโอชะก็กระตุ้นความโกรธที่อยากจะตั๊นหน้ามันสักครั้งในจังหวะที่ถอยผ่านตู้เย็นหลังใหญ่ ดวงตาสีทับทิมก็สว่างวาบนี่ไงล่ะ... โอกาส!มือเรียวรีบคว้าขอบบนตู้เย็นไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีแล้วกระชากมันล้มลง จากนั้นก็คว้าเอาตู้กับข้าวอีกฝั่งหนึ่งให้ล้มทับปิดทางด้วย สบโอกาสก็รีบจูงมือสองแม่ลูกเข้าไปในห้องเก็บของ ใช้ขาที่มีพละกำลังมากขึ้นถีบประตูบานเก่าสนิมเขรอะจนมันกระเด็นหลุดออกไปโครม!!ตึก ตึก!“จับมัน! อย่าให้มันหนีไปได้!!” ชายที่เป็นหัวหน้าตะโกนกร้าว สั่งให้ลูกน้องที่มีความแข็งแรงด้านพละกำลังยกตู้เย็นขึ้น ในนี้มีเสบียงอาหารอยู่ จะปล่อยให้เสียหายไม่ได้ จากนั้นตะโกนสั่งคนที่อยู่นอกบ้านอย่างเดือดดาลชายที่มีใบหูคล้ายหนูตามมาได้ทันแต่ก็ช้าไป เฉินเฟิงอุ้มดาริณีและเด็กชายดลไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนกระโดดข้ามรั้วบ้านที่มีความสูง 2 เมตรวิ่งหนีเข้าป่าไปโจรปล้นบ้านมองไปทางป่าที่ไม่คุ้นเคยอย่างชั่งใจ มันไม่ใช่คนในพื้นที่ การตามเข้
“...” คนคนนี้เธอเคยเจอเขาเป็นครั้งคราวตอนมีประชุมหมู่บ้าน เขามีอาชีพรับจ้างทั่วไป ใครในหมู่บ้านจ้างอะไร ขอแค่ให้เงินเขาก็ไปทำทั้งนั้น แต่มาตอนนี้…“แม่!” เห็นแม่นิ่งเงียบไปก็ใจไม่ดี ไหนจะการร้องไห้แบบไม่มีเสียงสะอื้นนี่อีก“ผมว่าพวกเราไปต่อเถอะ” เฉินเฟิงที่พอมีแรงขึ้นมาบ้างเล็กน้อยรีบกล่าวทำลายบรรยากาศ พวกเขาเสียเวลาอยู่ตรงนี้มากไปแล้ว ดวงตาสีแดงเลือกที่จะไม่มองสภาพศพเละเทะตรงนั้นป้องกันไม่ให้สำรอกเอาเศษอาหารออกมา ปลอบใจตัวเองว่าพอถึงคราวจวนตัวมนุษย์ก็ต้องสู้แม้ว่าคนที่สู้ด้วยจะเคยเป็นคนรู้จักก็ตาม…“แม่ครับ ไปเถอะ” เด็กชายเองก็อยากอาเจียนกับภาพตรงหน้า แต่แม่กำลังไม่ได้สติ เด็กน้อยจึงยื่นมือไปดึงมือแม่ให้ลุกขึ้นเดินตามตน“น้องดล!” ดาริณีราวกับหลุดจากภวังค์ฝัน หญิงสาวคว้าร่างลูกชายหมุนซ้ายขวามองหาร่องรอยบาดเจ็บตอนที่เธอเห็นซอมบี้เบนเป้าหมายไปที่ลูกชาย เธอก็เหมือนสติขาดผึง กระหน่ำฟาดอะไรก็ตามที่กำลังจะทำอันตรายเด็กชาย“ผมไม่เป็นอะไรครับ เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ” มือเล็กจับมือแม่แล้วดึงให้ไปทางพี่ชายเฉินเฟิงที่ยืนรออยู่“อะ อืม” ดาริณีเองก็เหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้าง กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามแร
เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นร่างของหญิงสาวกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงโดยมี เอ่อ... เสาเตียงที่ถูกหักออกมาอยู่ในมืออีกฝ่าย แถมยังอยู่ในสภาพที่ถูกบีบจนเนื้อไม้ผิดรูปไปมาก ซึ่งเขาจำได้ดีว่ามันไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งแบบนี้“แม่ครับ” เด็กชายดลเห็นผู้ให้กำเนิดไร้สติแบบนี้ก็เป็นห่วงนัก เขากำลังเช็ดตัวอยู่ดี ๆ แม่ก็คว้าเอาเสาไม้ที่อยู่ใกล้มือไปจับแล้วบีบจนเป็นอย่างที่เห็น เขาตกใจทำอะไรไม่ถูกจนต้องไปตามพี่ชายมาช่วย“พี่เฟิง แม่ผมเป็นอะไร” ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา หรือว่าแม่เขาจะเป็นเหมือนคุณยายไปแล้ว“เราปล่อยคุณแม่ไว้อย่างนี้ก่อนเถอะ” ปล่อยในความหมายของชายหนุ่มคือให้หญิงสาวอยู่ภายในห้องคนเดียว หากเป็นซอมบี้ขึ้นมาจะได้ไม่ออกไปกัดคนอื่นที่ด้านนอก ฝ่ามือใหญ่กว่าคว้าแขนของเด็กน้อยพาออกไปนอกประตู“แต่แม่...”“รอดูกันก่อนเถอะ” เฉินเฟิงปลอบ เขากลัวว่าถ้าหากดาริณีกลายเป็นซอมบี้ขึ้นมา เด็กชายดลจะถูกลูกหลงไปด้วย“ครับ” สุดท้ายเด็กชายก็ยอมเดินตามพี่ชายออกมาจากบ้านแต่โดยดี เขาขอสัญญาว่าถ้าหากแม่กลับมาเป็นปกติจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนอีกต่อไปเฉินเฟิงพาเด็กน้อยมายังห้องที่เขาทำขึ้นเพื่อใช้สำหรับเก็บของ ยังด
แต่แล้วการปล้นบ้านที่ควรจะเป็นเรื่องราวที่ทำประจำเป็นอันต้องสะดุดลงเมื่อเขาได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านในชนบทแห่งนี้เริ่มแรกพวกเขามองหาบ้านที่เหมาะสมแก่การพักอาศัยจึงไปสะดุดตาเข้ากับบ้านของเฉินเฟิงเข้า บ้านที่มีทั้งกลิ่นทำอาหารและมีรั้วรอบขอบชิด จะมีอะไรเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกล่ะ เมื่อลูกน้องยืนยันจำนวนคนอยู่อาศัยได้ เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะลงมือการบุกปล้นเป็นไปอย่างราบรื่น เครื่องกีดขวางหน้าประตูไม่เป็นปัญหาสำหรับลูกน้องที่มีความสามารถด้านกำลังกายจากรายงานของทศที่กลายพันธุ์เป็นหนู แม้ว่าในระยะไกลการได้ยินจะไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าใกล้เพียงแค่นี้ก็สามารถระบุได้ว่าคนในบ้านนั้นไปรวมกันอยู่ที่ไหนหลังบ้านเป็นจุดที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ จึงแบ่งคนออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่นอกบ้าน และอีกส่วนไปดักทางออกที่ประตูหลังตั้งแต่เด็กจนโต ดินไม่เชื่อเรื่องความรัก ไม่เชื่อทุกสิ่งอย่าง สิ่งที่เขาเชื่อคือกำลังของตนและสิ่งที่เขาปล้นชิงมาได้เพียงเท่านั้นแต่วินาทีแรกที่ได้สบตาสีแดงราวกับเลือดของชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็ราวกับเวลาทั้งหมดได้หยุดชะงักลง เขาไม่ได้ออกคำสั่งให้ลูกน้องออกไปตามหาในทันที บ้านหลังนี้มีห้องนอน 2 ห้
“มีคนกำลังเดินขึ้นมา” เฉินเฟิงเตือนทีโอ“มีกี่คน” โจเซฟเองก็ได้รับรายงานเรื่องนี้เช่นกัน“ราว ๆ 5 คน น่าจะมีบางคนกลายพันธุ์ด้วยเหมือนกัน พวกเขากำลังหยุดฟังเรา” ชายหนุ่มวิเคราะห์“จะหลบหรือจะเผชิญหน้าดีล่ะ” ทีโอถาม“หงส์ล่ะ ว่ายังไง”“ไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ อาจเพราะยังไม่มีจิตมุ่งร้าย” หญิงสาวยักไหล่ อีกอย่างมันยังไกลเกินไป“โอเค งั้นเดินลงเขาเส้นทางปกติเลยก็แล้วกัน” เจอก็เจอสิ“หัวหน้าจะบวกเหรอคะ” หงส์ยิ้มหัวเราะ“บวกอะไรเล่า ต้องไปดูเจตนาก่อนสิ” บนเขาใช่ว่าไม่มีคนอยู่นี่นา ยังดีที่ตุ่นอยู่บนนั้นด้วยอีกคน โจเซฟเลยค่อนข้างวางใจที่จะออกไปสำรวจเมืองเพื่อหาของได้จริงอยู่ว่าภูเขาลูกนี้ค่อนข้างใหญ่ ขึ้นไปก็ใช่ว่าจะได้เจอกับบ้านของพวกเขา แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นกลุ่มคนที่ชำนาญพื้นที่ อาจเจอร่องรอยการใช้ชีวิตแล้วเดินไปจนถึงบ้านต้นไม้ได้ถ้ามาดีก็ปล่อยผ่าน อาจเป็นแค่ชาวบ้านที่ขึ้นมาหาอาหารแต่ถ้ามาร้าย…ก็กลายเป็นปุ๋ยต้นไม้อยู่ที่ตีนเขานั่นแหละ“อาจเป็นคนในหมู่บ้าน” เฉินเฟิงตั้งข้อสังเกต“ที่คุณอยู่น่ะเหรอ” นิโคลัสถาม เจ้ากระต่ายชะงักไปเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนถาม ก่อนจะกระแอมเสียงอึกอักในลำคอพยักหน้าตอบ แ
“ขอบคุณครับ ไว้ผมจะลองทำดู” เฉินเฟิงพยักหน้าหงึกหงัก หูกระต่ายเคลื่อนไหวไปตามแรงสั่นของศีรษะคุณหมีมองตามก้อนขนสีขาวนุ่มฟูส่ายไหวไปมา สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวยื่นมือไปจับตรงโคนหูติดกับหนังศีรษะและเส้นผมสีขาวนุ่มนิ่มหมับ“อื้อ”“...”“มะ... มีอะไรติดอยู่เหรอครับ” เฉินเฟิงละล่ำละลักถาม มองลำแขนแกร่งที่พาดผ่านอยู่เหนือศีรษะ แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือเขาเปล่งเสียงอะไรออกป๊ายยย! แถมยังรู้สึกหวิวตรงช่องท้องอีก“…”“ถะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอ ขอไปนอนก่อนนะครับ” เจ้ากระต่ายที่ทำตัวไม่ถูกรีบเผ่นกลับเข้าบ้านของตนไปด้วยความไวแสง ทิ้งให้คุณหมอหมียืนอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืด“นุ่ม” นิโคลัสยืนมองประตูบ้านของผู้ช่วยเชฟ ก่อนจะเบือนสายตามาที่มือของตน พลางขยับนิ้วมือเข้าหากันสองสามครั้งสัมผัสนุ่มนิ่มนั้นเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก ทั้งนุ่มและลื่นมือ“...” แพทย์ทหารหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดปาก ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นสีแดงจัดจนร้อนอ๊ากกกกก!! เขาเผลอทำอะไรลงไปเนี่ย!!!เช้าวันนี้จึงมีสองสัตว์เล็กใหญ่ที่ทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเจอหน้ากันในตอนเช้า“แม่ พี่เขาเป็นอะไรกันอะครับ” เด็กชายดลกระตุกชายเสื้อคนเป็นแม่ ตอนนี้พว
วัตถุดิบตามธรรมชาติ แถมยังใช้ทดแทนบางสิ่งที่ไม่มี เครื่องปรุงเองก็จำกัดแล้วถ้าที่นี่มีทุกอย่างครบครันตามที่ชายหนุ่มอยากได้ล่ะ“...” กลุ่มทหารรับจ้าง คุณแม่และลูกชายเผลอแลบลิ้นเลียปากโดยไม่รู้ตัว“เข้าเมืองเหรอครับ” เฉินเฟิงมองนิโคลัสที่เอ่ยปากชักชวนกันไปหาของใช้ในเมือง“อืม ตัวอำเภอของที่นี่มีค่ายพักชั่วคราวที่ถูกจัดตั้งโดยส.ส.ในท้องถิ่น คิดว่าในละแวกใกล้เคียงคงมีการเข้าตรวจค้นบ้างแล้ว อาจจะไม่เจอซอมบี้มากเท่าไร” ถึงของที่อยากจะได้จะหายากด้วยเหมือนกันก็ตามแต่ความปลอดภัยของทุกคนควรมาก่อน“ไปครับ ผมเองก็อยากได้เครื่องครัวกับเสื้อผ้าเพิ่มเหมือนกัน”“แล้วเรื่องบ้านของคุณ” นิโคลัสลองถาม ถ้าชายหนุ่มต้องการความช่วยเหลือ เขาก็พร้อมจะใช้กระสุนปืนทั้งหมดที่มีจัดการกับเจ้าพวกโจรชั่วที่บังอาจทำให้เจ้ากระต่ายเสียใจ“ผมต้องไปทวงมันคืนสักวันแน่นอนครับ” เฉินเฟิงบอกด้วยสายตาแน่วแน่ “และผมไม่ลืมที่จะขอความช่วยเหลือจากทุกคนด้วย” อยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่ใช่คนอื่นไกลเขาชอบการอยู่บนเขา แต่บ้านหลังนั้นเองก็มีความทรงจำของพ่อกับแม่อยู่มากมาย ถ้าจะต้องเสียมันไปให้กับคนอื่นสู้เขาเผามันให้ไหม้เป็นจุณยังดีเสียกว่
กลุ่มทหารรับจ้างค่อนข้างแปลกใจกับขนมที่ดู เอ่อ... ไม่เป็นขนมหงส์เป็นหญิงสาวที่ชื่นชอบของหวานมาก มีช่วงก่อนหน้านี้ที่เธอต้องงดมันเพื่อไม่ให้น้ำหนักเกินเกณฑ์ที่ครูฝึกกำหนด แต่วันสิ้นโลกแบบนี้จะมีใครมากำหนดกฎกับเธออีกล่ะจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อยากกินอะไรก็กินไปเถอะ!ดังนั้นตอนที่คุณเจ้าของบ้านบอกว่ามีขนมเสิร์ฟปิดท้าย เธอจึงเป็นคนแรกที่ร้องแสดงความต้องการเสียงดังแต่พอเห็นหน้าตาของมันเธอถึงกับคิดหนักก้อนสีเขียวนี่กินได้จริงหรือ?“นี่เป็นวุ้นที่ผมคั้นใบบัวบกโขดมาทำครับ” เฉินเฟิงเอ่ยอธิบายเมนูอย่างเคยชิน“ใช่ที่เขากำลังนิยมทำเป็นไม้ประดับห้องหรือเปล่าครับ?” ทีโอถาม เขาเคยเห็นเพื่อนที่คลั่งความเป็นมินิมอล[1]ปลูกอยู่ต้นหนึ่ง ทั้งห้องของเพื่อนคนนี้มีเพียงอุปกรณ์สำหรับนอน โต๊ะเขียนหนังสือ และกระถางบัวบกโขดหนึ่งต้นถ้วน ไม่มีของตกแต่งอย่างอื่นอีกเลย แม้แต่คอมพิวเตอร์ก็อาศัยของมหาลัยทำงานส่งอาจารย์เสมอเขาจึงรู้จักเจ้าต้นนี้ดี เพราะมีเพียงมันเท่านั้นที่ทำให้ห้องสีขาวโปร่งของเพื่อนมีสีสันอื่นประดับอยู่บ้าง“มันกินได้ด้วยเหรอครับ” เขานึกว่าเป็นไม้ประดับอย่างเดียว“ได้ครับ ปกติมันก็ขึ้นตามภูเขาใ
“พอคิดแบบนี้แล้ว พลังพฤกษานี่สุดยอดไปเลยนะคะ จำเป็นมากในยุคนี้จริง ๆ” ยุคที่ข้าวปลาอาหารหายากยิ่งกว่าทองเฉินเฟิงก้มมองฝ่ามือตนเอง เขาโชคดีมากที่ได้รับพลังนี้มาครอบครอง ถ้าเป็นสายตาสู้ ป่านนี้เขาอาจจะยังอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อหาอาหารอยู่ก็เป็นได้“แกะเปลือกหมดแล้ว”“เอ๊ะ” เชฟมัวแต่คุย ลูกมือแกะเปลือกหมากก่อเสร็จก็ยังไม่รู้ตัว แถมยังแย่งหมากก่อในมือของเขาไปแกะเสร็จสรรพอีกต่างหาก“ให้ทำอะไรต่อ” นิโคลัสถาม“งั้นมาทำมื้อหลักของเรากันดีกว่าครับ” เฉินเฟิงว่าพลางหยิบปลากระป๋องสามรสขึ้นมาเปิดดาริณีเดินเลี่ยงออกมา ยิ้มขำกับท่าทางของคุณทหารรับจ้างผู้มีใบหูเหมือนหมี เมื่อครู่นี้คงไม่ได้จงใจพูดขัดขึ้นมาเพราะหึงเธอกับเฉินเฟิงหรอกใช่ไหมแต่คู่นี้ก็เหมาะกันดี... หมีกระต่าย แค่คิดก็ฟินแปลก ๆมื้อเช้าวันนี้จึงประกอบไปด้วยหมากก่อผัดปลากระป๋องสามรสที่ถูกเจ้ากระต่ายนำไปผัดในกระทะปิกนิก ใส่ผักชีและแครอทหันเต๋าเพิ่มสีสันแล้วค่อยปรุงรสด้วยเกลือเพียงเล็กน้อย พอซอสสามรสคลุกเคล้ากับหมากก่อจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันก็เป็นอันเสร็จ กินคู่กับเผือกเผาก็ทำให้อิ่มท้องไม่ต่างจากการกินกับข้าวสวยร้อน ๆ สักจาน อ้อ… มีกล้
จากนั้นชายหนุ่มที่เตรียมจะเดินไปหยิบวัตถุดิบเพิ่มเติม ในหลุมเก็บอุณหภูมิเพื่อนำมาทำเมนูหมากก่อต่อเป็นอันต้องชะงัก เพราะเมื่อครู่มัวแต่คิดเรื่องเมนูอาหารจึงไม่ทันได้ยินว่ามีใครอีกคนเดินมาด้านหลังตนตั้งแต่เมื่อไหร่ถ้าเป็นซอมบี้ ป่านนี้เขาโดนกัดคอตายไปแล้ว!“ตกใจหมดเลยครับ” เจ้ากระต่ายมองคุณหมีกริซลี่ในสภาพเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงทหารลายพราง “ทำไมถึงมาเงียบ ๆ ล่ะครับ”สาบานนะว่าเพิ่งตื่น ทำไมเหมือนกำลังจะไปถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารเลยล่ะครับพ่อคุณ…“นั่นเพราะคุณกำลังจดจ่อกับการทำอาหารต่างหาก เลยไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ว่าแต่แผลเป็นยังไงบ้าง”“อ๋อ ไม่ปวดเลยครับ ที่บวมก็ยุบลงไปแล้ว” เฉินเฟิงขยับศีรษะไปมาให้เห็นใบหูสีขาวพลิ้วไหว ไม่ลู่ลงอย่างเมื่อวาน“ถ้าปวดต้องบอกนะ” นิโคลัสยังคงไม่วางใจ“แน่นอนครับ” อดีตคนไข้ยิ้มกว้าง เท่านี้เขาก็จะไม่โดนดุแล้ว“แล้ว…” นิโคลัสมองผ่านไปยังกองไฟที่มีบางอย่างถูกต้มอยู่ในกระป๋อง“อาหารเช้าครับ ผมกำลังเตรียมอยู่”“มีอะไรให้ช่วยไหม”“ถ้าอย่างนั้นรบกวนไปหยิบปลากระป๋องซอสสามรสมาให้หน่อยได้ไหมครับ สัก 5 กระป๋อง”“ได้” คุณหมอหมีรับคำสั่งอย่างว่าง่าย เดินไปหยิบมาให้ท
ทางด้านดาริณีกับโจเซฟที่มีการได้ยินเท่ากับมนุษย์ธรรมดาเมื่อปิดประตูก็เข้านอนตามปกติ ไม่ได้มีกิจกรรมพิเศษอะไร ยกเว้นก็แต่หญิงสาวที่ต้องกล่อมลูกชายก่อนนอน พอเจ้าตัวแสบหมดฤทธิ์ก็ถึงคราวของเธอเข้านอนบ้าง“อันนี้เป็นยาแก้ปวด เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็กินตามไปได้เลย” แพทย์ทหารส่งยาจากกระเป๋ายาสามัญของตนเองให้“ขอบคุณครับ” เฉินเฟิงรับมาอย่างไม่เกี่ยงงอน วันนี้เขาโดนทุกคนดุจนหูชาไปหมดแล้วหลังค่ายพันธมิตรถูกจัดตั้งได้หนึ่งสัปดาห์ คำถามต่าง ๆ ก็หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย และอีกหนึ่งที่เคยเป็นคำถามฮอตฮิตมาก่อนก็คือ มนุษย์ที่กลายพันธุ์ไปเป็นสัตว์นั้นมีการฟื้นฟูร่างกายหรือต่อต้านไวรัสที่ดีขึ้นหรือเปล่าคำตอบก็คือ... ใช่หากใครสามารถวิวัฒนาการตนเองเป็นแบบพวกเขาแล้วจะมีภูมิต้านทานในระดับหนึ่ง อย่างตุ่นที่มีแผลถูกเหล็กแทง แม้จะไม่ลึกมากแต่ถ้าเป็นคนทั่วไปอย่างไรก็ต้องเย็บหลายเข็มและล้างทำความสะอาดแผลอย่างดี แต่นี่แค่ล้างแผลครั้งแรก จากนั้นก็ปิดแผลและระมัดระวังการใช้ขาข้างนั้น ผ่านไปอีกสักสัปดาห์ก็จะหายดี ส่วนแผลที่เกิดจากซอมบี้ ถ้าถูกมันกัดก็จะไม่กลายเป็นพวกมันในทันทีถ้าสามารถเฉือนหรือตัดชิ้นส่วนที่เป็นแผลนั้นทัน
เปียกไปทั้งตัว หูสีขาวบวมเป่งหนึ่งข้างจนมันทนรับน้ำหนักไม่ไหวตกลงมาด้านหน้า ตามแขนเองก็มีรอยถลอกเป็นทางยาวเหมือนโดนอะไรบางอย่างครูดไปกับพื้นดินหรือหิน เสื้อฮู้ดสีเทาตัวเก่งเองก็เลอะตะไคร่น้ำสีเขียวเป็นทางด้วยเช่นกันไหวไหมเนี่ย... หรือมีซอมบี้บนภูเขา“อ่า ผมลองใช้พลังเก็บรังผึ้งบนต้นไม้น่ะครับ” เฉินเฟิงเล่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นคร่าว ๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกมาก แน่นอนว่าเขาไม่ลืมบอกว่าตนเองหนีผึ้งที่ต่อยหูกระต่ายจนบวมเป่งนี้จนต้องหนีกระโดดลงน้ำทำให้เปียกไม่เป็นท่า ไม่ใช่ว่าเขาลืมเก็บหูลงน้ำไปด้วยเลยโดนผึ้งทำร้ายส่วนว่าทำไมร่างกายถึงมีตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะเต็มเสื้อผ้า ก็บอกไปว่าตอนอยู่ในน้ำเกิดหมดสติเพราะใช้พลังไปมาก ดีที่น้ำพัดพาให้ไปติดที่โขดหินแทนการจมน้ำตาย“อาเฟิง” ดาริณีร้องเสียงดัง พอฟังจบเธอไม่รู้ว่าควรระบายความวิตกกังวลที่ใคร จึงได้แต่เรียกเจ้ากระต่ายดื้อ ซนจนได้เรื่อง!“นี่เลยครับแม่” เด็กชายดลวิ่งมาถึงมารดาก็รีบส่งก้านมะยมที่ริดใบออกให้ถึงมือ “เวลาผมซนจนได้แผล แม่จะตีผมด้วยก้านมะยม พี่เฟิงซนจนคนอื่นเป็นห่วงต้องโดนตี” เด็กชายเม้มปากมองพี่ชายที่เขานับถือด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ“น้องดล” เฉ