“แล้วอย่างนี้พี่จะมีพลังหรือเปล่าครับ” เปลี่ยนร่างได้แล้วก็ต้องมีพลังสิ เด็กชายดลมองด้วยดวงตาคาดหวัง เหมือนตัวการ์ตูนที่เขาเคยดู
“พลังเหรอ” ชายหนุ่มทวน
จะใช่ความรู้สึกว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างตอนตื่นขึ้นมาหรือเปล่า? ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าออกไปด้านนอกบ้าน หลังจากกินอาหารเช้าแล้วไม่รู้จะทำอะไร
เขาได้พูดคุยกับดาริณีเรื่องอาหารที่เก็บไว้ว่าควรนำเนื้อหมูออกมาแปรรูปให้สามารถเก็บไว้กินได้นานกว่านี้ หากเหตุการณ์ไม่กลับมาสงบได้ในเร็ววัน พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอดอยาก
เขาจำได้ว่าตัวเองตีล้อมรั้วบ้านไปจนสุดแปลงผักเป็นเนื้อที่เกือบ 2 ไร่ แถมก่อนเกิดเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้เขาก็เพิ่งจะพรวนดินหว่านเมล็ดไปได้ไม่นาน อีกทั้งช่วงที่เขาหมดสติไป ดาริณีก็เป็นคนรับหน้าที่รดน้ำต้นไม้ตลอด พวกมันจึงยังอยู่รอดปลอดภัย
เฉินเฟิงกำชับให้สองแม่ลูกอยู่ในบ้านไปก่อน เขาจะออกไปดูความปลอดภัยด้านนอก สองมือชายหนุ่มกำขวานในมือแน่น ความตื่นกลัวพาลให้หูกระต่ายตั้งชันและรับรู้เสียงได้มากขึ้น เมื่อลองเพ่งสมาธิก็พบว่าสามารถได้ยินไกลไปเกือบ 2 กิโลเมตร
นอกจากเสียงบ้านข้างเรือนเคียงที่อยู่ห่างไม่มากนัก เฉินเฟิงยังได้ยินเสียงเดินลากเท้าแปลก ๆ อยู่นอกรั้วบ้าน และเสียงคนกลุ่มหนึ่งไกลออกไป เขาลองกระโดดจับขอบกำแพงเพื่อมองดูสถานการณ์ด้านนอก กลับกลายเป็นว่าเขากระโดดขึ้นไปยืนบนกำแพงที่สูงกว่าสองเมตรได้อย่างไม่ยากเย็น นอกจากหูจะรับเสียงได้ดีแล้ว กำลังกายก็ดูจะเพิ่มขึ้นมาด้วย
เรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่านะกับสถานการณ์แบบนี้
เขาคงกลายพันธุ์ไปแล้วจริง ๆ
เพราะอยู่บนกำแพงสูงชายหนุ่มจึงมองเห็นชาวบ้านที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาเดินลากขาเหมือนคนหมดแรงอยู่นอกบ้าน 5-6 คน บนใบหน้าและตามตัวมีบาดแผลสาหัส ดวงตาที่เคยมีจุดดำกลับขาวโพลนขึ้นฝ้า บางคนหนักหน่อยก็ขาขาดรุ่งริ่งทว่ายังใช้ขาข้างที่เดินได้พยุงตัวไปตลอดทางราวกับไม่มีความเจ็บปวด
“อุก” เฉินเฟิงยกมือขึ้นปิดจมูกเมื่อลมชายทุ่งพัดเอากลิ่นเหม็นเน่ามาตามลม ความสะอิดสะเอียนตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ชายหนุ่มต้องหลับตาตั้งสติอยู่นานเพื่อไม่ให้ตนเผลออาเจียนเอาอาหารเช้าออกมา
นี่มันสภาพวันสิ้นโลกหรือไงกัน คนพวกนี้ตายไปแล้วเหรอ ชายหนุ่มพลันนึกถึงซอมบี้ตัวแรกที่กระโดดพุ่งมาจากข้างทางแล้วคว้าเอาตะกร้าใส่เนื้อของเขาไปกิน ถ้าตอนนั้นเขาไม่ปั่นหนีสุดแรงคงไม่ต่างจากคนในหมู่บ้านที่เดินขวักไขว่อยู่ในตอนนี้แน่ ๆ
แล้วซอมบี้ตนนั้นมาจากไหน?
แม้จะเลือนลางเพราะความมืดสลัวแต่เฉินเฟิงก็จำได้ว่าซอมบี้ตัวแรกที่เขาเจอไม่ใช่คนในหมู่บ้านแน่นอน ส่วนน้องดลบอกว่าคุณยายของน้องอยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมากัดตาทั้งที่ก่อนหน้านี้แค่ล้มป่วยเป็นลมแดดธรรมดา
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นซอมบี้ได้ทั้งที่ไม่ได้รับเชื้อจากซอมบี้ตัวอื่นล่ะ ลอยมาตามลมหรือ?
“ฮึบ” ดูมากกว่านี้ก็ไม่เกิดประโยชน์ ชายหนุ่มจึงเดินเช็กรั้วบ้านทุกตารางนิ้วว่าไม่มีตรงไหนชำรุด แต่ในขณะที่เฉินเฟิงกำลังตรวจตราอยู่ด้านหลัง ไม่ไกลออกไปก็ปรากฏชายฉกรรจ์จำนวนสี่คนเฝ้ามองบ้านหลังน้อยนี้ไม่คลาดสายตา
“ที่นี่แหละพี่ ผมได้กลิ่นอาหารลอยมา” ชายคนหนึ่งที่มีใบหูกลมเอ่ยขึ้น จมูกสูดกลิ่นหอมหวานที่ยังติดตรึงในมวลอากาศ
“รั้วรอบขอบชิดเหมาะที่จะทำเป็นที่พักของพวกเรามาก” ชายอีกคนมองประเมิน
“ในบ้านมีกี่คน” ชายที่ดูจะเป็นหัวหน้ายืนมองกรงเล็บแหลมคมของตน พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกเลือกได้พลังพิเศษมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่คนเริ่มกลายเป็นซอมบี้ อาศัยช่วงที่ในเมืองวุ่นวายฉีกตัวออกมายังชนบทเพื่อหาที่กบดานชั่วคราว แต่ที่นี่เองก็มีซอมบี้เหมือนกัน ต่างแค่จำนวนและความสามารถ
พวกเขาเดินเลือกอยู่หลายหลังก็มาถูกใจกับบ้านหลังนี้ที่มีรั้วสูงกว่าสองเมตร ไหนจะตัวบ้านสไตล์โมเดิร์นหนึ่งชั้น ดูก็รู้ว่าผู้อยู่อาศัยเดิมคงเป็นวัยรุ่น ไม่เหมือนกับบ้านใกล้เคียงที่เป็นเรือนไม้ไต้ถุนยกสูงไม่มีรั้ว
“ประมาณ 3 ครับ” ชายหูกลมหลับตานิ่งฟัง “สองคนในบ้าน อีกคนน่าจะอยู่นอกบ้าน” ฟังจากเสียงรองเท้าที่ตอนเดินมีเสียงสวบสาบของต้นไม้ใบหญ้าต่างกับอีกสองคนที่มีเพียงเสียงพูดคุยกันเบา ๆ ไม่ได้เดินไปไหน
“ระวังตัวด้วย พวกมันอาจมีคนกลายพันธุ์แล้ว”
แล้วก็ใช่ เฉินเฟิงได้ยินตั้งแต่คนพวกนี้เริ่มฆ่าซอมบี้บริเวณบ้านของเขารวมถึงบทสนทนาทั้งหมดด้วย ดวงตากลมโตสีแดงฉายประกายอำมหิต ดูท่าสิ่งที่น่ากลัวในตอนนี้คงไม่ใช่ศพคนเดินได้แต่เป็นมนุษย์ด้วยกันเองแล้วล่ะ
ถ้ามีแค่ตัวคนเดียวเขาอาจจะหาทางหลบหนีออกไปก่อน แม้จะเสียดายบ้านแต่จะให้สู้กับคนหลายคนทั้งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อนก็คงไม่ไหว เอาตัวให้รอดไว้ก่อนค่อยกลับมาทวงคืนในภายหลังก็ไม่สาย แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ที่เขามีอีกสองชีวิตให้ต้องดูแล น้องดลและดาริณีดูจะไม่ใช่คู่มือของพวกมันได้เลยครั้นจะให้วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปจามหัวพวกมันก็ไม่รู้ว่าจะกล้าทำอย่างที่คิดไหมอีกในขณะที่ครุ่นคิดศัตรูแรกในวันสิ้นโลกก็บุกเข้ามาประชิด“เคร้ง!” เสียงประตูเหล็กหน้าบ้านถูกอะไรบางอย่างดันเข้ามาอย่างแรงเป็นผลให้กระถางต้นไม้และตู้ที่ถูกนำมาวางกั้นประตูล้มระเนระนาด“เสียงดังเกินไปแล้ว” หนึ่งในชายฉกรรจ์เอ่ยเตือน ถึงพวกเขาจะฆ่าซอมบี้ละแวกนี้ไปแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวอื่นมาอีก“พวกคนในบ้านรู้ตัวกันหมดแล้วมั้ง” ชายที่มีหูกลมส่ายหัวให้กับความสมองน้อยของเจ้าบ้าชอบใช้กำลัง“...” เจ้าบ้าชอบใช้กำลัง“ช่างเถอะ เข้าไปทั้งแบบนี้แหละ” คนเป็นหัวหน้าไม่ใส่ใจกับความสะเพร่าเล็ก ๆ น้อย ๆ จะอย่างไรพวกเขาก็แข็งแกร่งและมีอาวุธครบมือ ต่อให้มีซอมบี้ออกมาอีกก็แค่ยิงทิ้งไปเสียเฉินเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังบ้านตื่นตระหนก ประตูบ้านเขาพังเพราะกำลังของคน!น
ชายหนุ่มค่อย ๆ ดันสองแม่ลูกให้ถอยหลังไปตามทางเดินของบ้านโดยมีโจรตามเข้ามาทีละนิด พวกมันดูสนุกสนานกับการต้อนเหยื่อให้จนมุม แค่เห็นหนึ่งในนั้นเลียริมฝีปากมองพวกเขาเหมือนอาหารอันโอชะก็กระตุ้นความโกรธที่อยากจะตั๊นหน้ามันสักครั้งในจังหวะที่ถอยผ่านตู้เย็นหลังใหญ่ ดวงตาสีทับทิมก็สว่างวาบนี่ไงล่ะ... โอกาส!มือเรียวรีบคว้าขอบบนตู้เย็นไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีแล้วกระชากมันล้มลง จากนั้นก็คว้าเอาตู้กับข้าวอีกฝั่งหนึ่งให้ล้มทับปิดทางด้วย สบโอกาสก็รีบจูงมือสองแม่ลูกเข้าไปในห้องเก็บของ ใช้ขาที่มีพละกำลังมากขึ้นถีบประตูบานเก่าสนิมเขรอะจนมันกระเด็นหลุดออกไปโครม!!ตึก ตึก!“จับมัน! อย่าให้มันหนีไปได้!!” ชายที่เป็นหัวหน้าตะโกนกร้าว สั่งให้ลูกน้องที่มีความแข็งแรงด้านพละกำลังยกตู้เย็นขึ้น ในนี้มีเสบียงอาหารอยู่ จะปล่อยให้เสียหายไม่ได้ จากนั้นตะโกนสั่งคนที่อยู่นอกบ้านอย่างเดือดดาลชายที่มีใบหูคล้ายหนูตามมาได้ทันแต่ก็ช้าไป เฉินเฟิงอุ้มดาริณีและเด็กชายดลไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนกระโดดข้ามรั้วบ้านที่มีความสูง 2 เมตรวิ่งหนีเข้าป่าไปโจรปล้นบ้านมองไปทางป่าที่ไม่คุ้นเคยอย่างชั่งใจ มันไม่ใช่คนในพื้นที่ การตามเข้
“...” คนคนนี้เธอเคยเจอเขาเป็นครั้งคราวตอนมีประชุมหมู่บ้าน เขามีอาชีพรับจ้างทั่วไป ใครในหมู่บ้านจ้างอะไร ขอแค่ให้เงินเขาก็ไปทำทั้งนั้น แต่มาตอนนี้…“แม่!” เห็นแม่นิ่งเงียบไปก็ใจไม่ดี ไหนจะการร้องไห้แบบไม่มีเสียงสะอื้นนี่อีก“ผมว่าพวกเราไปต่อเถอะ” เฉินเฟิงที่พอมีแรงขึ้นมาบ้างเล็กน้อยรีบกล่าวทำลายบรรยากาศ พวกเขาเสียเวลาอยู่ตรงนี้มากไปแล้ว ดวงตาสีแดงเลือกที่จะไม่มองสภาพศพเละเทะตรงนั้นป้องกันไม่ให้สำรอกเอาเศษอาหารออกมา ปลอบใจตัวเองว่าพอถึงคราวจวนตัวมนุษย์ก็ต้องสู้แม้ว่าคนที่สู้ด้วยจะเคยเป็นคนรู้จักก็ตาม…“แม่ครับ ไปเถอะ” เด็กชายเองก็อยากอาเจียนกับภาพตรงหน้า แต่แม่กำลังไม่ได้สติ เด็กน้อยจึงยื่นมือไปดึงมือแม่ให้ลุกขึ้นเดินตามตน“น้องดล!” ดาริณีราวกับหลุดจากภวังค์ฝัน หญิงสาวคว้าร่างลูกชายหมุนซ้ายขวามองหาร่องรอยบาดเจ็บตอนที่เธอเห็นซอมบี้เบนเป้าหมายไปที่ลูกชาย เธอก็เหมือนสติขาดผึง กระหน่ำฟาดอะไรก็ตามที่กำลังจะทำอันตรายเด็กชาย“ผมไม่เป็นอะไรครับ เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ” มือเล็กจับมือแม่แล้วดึงให้ไปทางพี่ชายเฉินเฟิงที่ยืนรออยู่“อะ อืม” ดาริณีเองก็เหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้าง กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามแร
เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นร่างของหญิงสาวกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงโดยมี เอ่อ... เสาเตียงที่ถูกหักออกมาอยู่ในมืออีกฝ่าย แถมยังอยู่ในสภาพที่ถูกบีบจนเนื้อไม้ผิดรูปไปมาก ซึ่งเขาจำได้ดีว่ามันไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งแบบนี้“แม่ครับ” เด็กชายดลเห็นผู้ให้กำเนิดไร้สติแบบนี้ก็เป็นห่วงนัก เขากำลังเช็ดตัวอยู่ดี ๆ แม่ก็คว้าเอาเสาไม้ที่อยู่ใกล้มือไปจับแล้วบีบจนเป็นอย่างที่เห็น เขาตกใจทำอะไรไม่ถูกจนต้องไปตามพี่ชายมาช่วย“พี่เฟิง แม่ผมเป็นอะไร” ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา หรือว่าแม่เขาจะเป็นเหมือนคุณยายไปแล้ว“เราปล่อยคุณแม่ไว้อย่างนี้ก่อนเถอะ” ปล่อยในความหมายของชายหนุ่มคือให้หญิงสาวอยู่ภายในห้องคนเดียว หากเป็นซอมบี้ขึ้นมาจะได้ไม่ออกไปกัดคนอื่นที่ด้านนอก ฝ่ามือใหญ่กว่าคว้าแขนของเด็กน้อยพาออกไปนอกประตู“แต่แม่...”“รอดูกันก่อนเถอะ” เฉินเฟิงปลอบ เขากลัวว่าถ้าหากดาริณีกลายเป็นซอมบี้ขึ้นมา เด็กชายดลจะถูกลูกหลงไปด้วย“ครับ” สุดท้ายเด็กชายก็ยอมเดินตามพี่ชายออกมาจากบ้านแต่โดยดี เขาขอสัญญาว่าถ้าหากแม่กลับมาเป็นปกติจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนอีกต่อไปเฉินเฟิงพาเด็กน้อยมายังห้องที่เขาทำขึ้นเพื่อใช้สำหรับเก็บของ ยังด
“งั้นพี่รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมขอไปเอาอาหารที่ห้องเก็บของก่อน” หญิงสาวกล่าวขอบคุณอีกเล็กน้อย เฉินเฟิงพยักหน้ารับแล้วจึงออกไปทำตามที่พูดหลังอิ่มหนำพวกเขาทั้งสามคนจึงมานั่งปรึกษากันอีกครั้ง เวลานี้ไม่มีบ้านหลังใหญ่ให้นอนอุ่นเหมือนก่อนอีกแล้ว ทั้งอาหารที่มีก็เพียงพอให้คนคนเดียวอยู่ได้ประมาณ 10 วันเท่านั้น แต่พวกเขามีถึง 3 คน...ดาริณีเสนอว่าตัวเธอจะออกไปหาผักป่าในละแวกนี้มาปลูก ด้วยความที่เธอเติบโตมาในหมู่บ้านชนบทและเคยตามบิดาขึ้นเขาลูกนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงพอคุ้นชินว่าผักชนิดไหนกินได้และมีหน้าตาเป็นอย่างไร“แล้วบ้านของอาเฟิงล่ะ” จะปล่อยให้คนเลวพวกนั้นได้อยู่อย่างสุขสบายหรือ“ผม…” เขาอยากแก้แค้น แต่ตอนนี้คงยังไม่สามารถทำได้“เอ่อ... เราอยู่กันแบบนี้ก็ได้เนอะ พี่เองก็มีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาก เดี๋ยวจะเป็นคนจัดการเรื่องปลูกผักปลูกหญ้าเอง” หญิงสาวอยากจะตีปากตัวเองที่ถามเรื่องนี้ออกไป บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของเฉินเฟิงกับครอบครัว คราวที่ได้รู้ว่าชายหนุ่มสูญเสียบิดามารดาไปเพราะโรคร้าย คนในหมู่บ้านยังขนข้าวของมาเลี้ยงดูปูเสื่อเพื่อปลอบขวัญชายหนุ่มอยู่หลายวัน“สักวันผมจะไปจัดการกับคนพวกนั้นให้ได้ครับ
เสียงผ่าไม้ดังสนั่นลั่นเขาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหญิงสาวได้เริ่มงานของตนเองแล้ว ชายหนุ่มจึงพาเด็กน้อยไปยังด้านหลังที่เป็นแปลงปลูกผัก กลายเป็นว่าพวกเขาสลับบทบาทหน้าที่ในบ้านได้ทันทีหลังเห็นพละกำลังของกันและกัน“ดีที่บนเขายังพอมีผักป่าให้เราเก็บ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้แล้วล่ะ ว่าจะกินอยู่กันยังไง” เฉินเฟิงลากพืชผักที่ไปหามากองไว้ตรงลานโล่งที่ถางจนเตียน“เดี๋ยวน้องดลช่วยพี่โกยดินมากองรวมกันตรงนี้นะครับ” เริ่มจากปลูกหัวมันสำปะหลังให้รอดก่อน จากนั้นก็เป็นเผือกและต้นหอม อย่างหลังนี่เขาน่าจะเป็นคนนำขึ้นมา จำได้ว่าเคยหยิบเมล็ดผักโปรยไว้หวังให้มันขึ้นเองตามธรรมชาติ ดูเหมือนจะเหลือผู้ชนะแค่เพียงชนิดเดียวนั่นก็คือต้นหอมอย่างนี้จะเรียกผักป่าได้อีกเหรอ?“ผมไม่ชอบต้นหอมเลยอะ” น้องดลเบะปากเมื่อเห็นพี่ชายกำลังขุดหลุมปลูกต้นอะไรบางอย่างอีกมุมหนึ่ง พอเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็คือต้นหอมที่เด็กชายชอบเขี่ยไว้ข้างจาน“เวลานี้เลือกกินไม่ได้หรอก อีกหน่อยอาหารกระป๋องในบ้านก็จะหมดลง” ชายหนุ่มพูดสอนทั้งมือยังคงขุดปลูกไปเรื่อยจนเสร็จ“จะไม่มีรถขายกับข้าวผ่านหน้าบ้านแล้วเหรอครับ”“ถ้ามีก็ดีสิ”“แล้วผักพวกนี้จะกินได้เมื่อไหร
หนึ่งวันเต็มชายหนุ่มสลบไสลไม่ได้สติ พอฟื้นขึ้นมาก็ยังคงรู้สึกไร้เรี่ยวแรง คงเป็นผลจากการที่เขาใช้พลังจนเกินลิมิตตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขานึกถึงเลยก็คือคนที่มีพลังเหมือนกันอย่างดาริณี ก่อนที่เขาจะไปปลูกผัก เขาเห็นเธอทั้งแบกต้นไม้ ผ่าฟืน ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง“ฟื้นแล้วหรือ” นึกถึงก็มาพอดี“พี่รู้สึกยังไงบ้างครับ” เฉินเฟิงเอ่ยถามเสียงพร่า“??” ดาริณีงุนงงกับคำถาม ควรเป็นเธอไม่ใช่หรือที่ถามเขา “พี่ไม่เป็นอะไร เรานั่นแหละอยู่ ๆ ก็เป็นลม แถมยังมีพลังพฤกษาเพิ่มขึ้นมาอีก”“น้องดลเล่าให้ฟังเหรอครับ”“อืม” หญิงสาวพยักหน้า “วิ่งไปตามพี่มา บอกว่าเราเป็นลม แต่ตอนที่พี่ไปถึง สวนผักกลับมีอะไรก็ไม่รู้ขึ้นเต็มไปหมด พอถามน้องดลก็บอกว่าเป็นพลังของพี่ชาย” พร้อมกับเอาหัวเผือกขนาดยักษ์อวดเธอ“นั่นเป็นพลังของผมเองครับ ผมคิดว่าผมน่าจะใช้พลังมากเกินไป แล้วพี่ล่ะครับ รู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า”“อย่างนี้นี่เอง” เพราะงั้นเขาถึงได้ถามเธอสินะ “ไม่เลยจ้ะ ตอนพี่รู้สึกเหนื่อยก็นั่งพัก พอดีกับที่น้องดลมาตามนั่นแหละ ลืมเรื่องเหนื่อยไปเลย” แสดงว่าเขาต้องมีสัญญาณเตือนก่อนแล้วแต่ไม่ทันสังเกตเลยวูบไปแบบไม่รู้ตัว ห
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเราจะได้เป็นทีมที่ไปเคลียร์โรงงานพวกนั้น” ชายหนุ่มผู้มีใบหูสุนัขบ่นออกมาเสียงดัง พวกเขาเดินทางออกจากฐานมาไกลมากแล้ว พูดบ่นไปก็มีแต่คนในทีมที่ได้ยิน สองมือถือปืนไม่ปล่อยปืนใหม่กระบอกนี้เขาเพิ่งใช้แต้มแลกมาแต้มที่ต้องเก็บหอมรอมริบจากการทำภารกิจถึง 3 ภารกิจโคตรแพง!“เก็บปืนไว้ด้านหลังเลย เกิดลั่นโป้งป้างขึ้นมาเดี๋ยวซวยกันหมด” หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเขยิบถอยห่างออกมา บนศีรษะของเธอมีหูใบเล็กดูน่ารักรับกับเขาขนาดเล็ก“เหอะ เธอจะมาเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายได้ยังไง”“นิค นายคิดว่าไง ตุ่นกอดปืนไม่ปล่อยเลย” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ฟัง เธอจึงรีบหาพรรคพวกสนับสนุน“อย่ามายุ่งกับฉันน่า” หมอประจำกลุ่มหันสายตาไปมองคู่รักที่ทะเลาะกันได้ทุกวันแต่ก็ไม่เลิกกันเสียทีด้วยสายตาเอือมระอา นัยน์ตาคมเหม่อมองออกไปนอกรถบรรทุก“ถ้าจะจีบกันก็ช่วยเบาเสียงหน่อย” ชายที่ทำหน้าที่ขับรถควบตำแหน่งหัวหน้าทีมเบี่ยงหน้ามาบ่นตรงช่องหน้าต่าง เจ้าพวกนี้หวานกันไม่เกรงใจคนไร้คู่บ้างเลยนอกจากเพื่อนร่วมทีมที่มีสารพัดหูสัตว์ก็คงมีแต่โจเซฟคนเดียวที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ก่อนเกิดวันสิ้นโลกเขาเป็นพลทหารที่ได้รับการฝึก
แต่แล้วการปล้นบ้านที่ควรจะเป็นเรื่องราวที่ทำประจำเป็นอันต้องสะดุดลงเมื่อเขาได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านในชนบทแห่งนี้เริ่มแรกพวกเขามองหาบ้านที่เหมาะสมแก่การพักอาศัยจึงไปสะดุดตาเข้ากับบ้านของเฉินเฟิงเข้า บ้านที่มีทั้งกลิ่นทำอาหารและมีรั้วรอบขอบชิด จะมีอะไรเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกล่ะ เมื่อลูกน้องยืนยันจำนวนคนอยู่อาศัยได้ เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะลงมือการบุกปล้นเป็นไปอย่างราบรื่น เครื่องกีดขวางหน้าประตูไม่เป็นปัญหาสำหรับลูกน้องที่มีความสามารถด้านกำลังกายจากรายงานของทศที่กลายพันธุ์เป็นหนู แม้ว่าในระยะไกลการได้ยินจะไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าใกล้เพียงแค่นี้ก็สามารถระบุได้ว่าคนในบ้านนั้นไปรวมกันอยู่ที่ไหนหลังบ้านเป็นจุดที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ จึงแบ่งคนออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่นอกบ้าน และอีกส่วนไปดักทางออกที่ประตูหลังตั้งแต่เด็กจนโต ดินไม่เชื่อเรื่องความรัก ไม่เชื่อทุกสิ่งอย่าง สิ่งที่เขาเชื่อคือกำลังของตนและสิ่งที่เขาปล้นชิงมาได้เพียงเท่านั้นแต่วินาทีแรกที่ได้สบตาสีแดงราวกับเลือดของชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็ราวกับเวลาทั้งหมดได้หยุดชะงักลง เขาไม่ได้ออกคำสั่งให้ลูกน้องออกไปตามหาในทันที บ้านหลังนี้มีห้องนอน 2 ห้
“มีคนกำลังเดินขึ้นมา” เฉินเฟิงเตือนทีโอ“มีกี่คน” โจเซฟเองก็ได้รับรายงานเรื่องนี้เช่นกัน“ราว ๆ 5 คน น่าจะมีบางคนกลายพันธุ์ด้วยเหมือนกัน พวกเขากำลังหยุดฟังเรา” ชายหนุ่มวิเคราะห์“จะหลบหรือจะเผชิญหน้าดีล่ะ” ทีโอถาม“หงส์ล่ะ ว่ายังไง”“ไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ อาจเพราะยังไม่มีจิตมุ่งร้าย” หญิงสาวยักไหล่ อีกอย่างมันยังไกลเกินไป“โอเค งั้นเดินลงเขาเส้นทางปกติเลยก็แล้วกัน” เจอก็เจอสิ“หัวหน้าจะบวกเหรอคะ” หงส์ยิ้มหัวเราะ“บวกอะไรเล่า ต้องไปดูเจตนาก่อนสิ” บนเขาใช่ว่าไม่มีคนอยู่นี่นา ยังดีที่ตุ่นอยู่บนนั้นด้วยอีกคน โจเซฟเลยค่อนข้างวางใจที่จะออกไปสำรวจเมืองเพื่อหาของได้จริงอยู่ว่าภูเขาลูกนี้ค่อนข้างใหญ่ ขึ้นไปก็ใช่ว่าจะได้เจอกับบ้านของพวกเขา แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นกลุ่มคนที่ชำนาญพื้นที่ อาจเจอร่องรอยการใช้ชีวิตแล้วเดินไปจนถึงบ้านต้นไม้ได้ถ้ามาดีก็ปล่อยผ่าน อาจเป็นแค่ชาวบ้านที่ขึ้นมาหาอาหารแต่ถ้ามาร้าย…ก็กลายเป็นปุ๋ยต้นไม้อยู่ที่ตีนเขานั่นแหละ“อาจเป็นคนในหมู่บ้าน” เฉินเฟิงตั้งข้อสังเกต“ที่คุณอยู่น่ะเหรอ” นิโคลัสถาม เจ้ากระต่ายชะงักไปเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนถาม ก่อนจะกระแอมเสียงอึกอักในลำคอพยักหน้าตอบ แ
“ขอบคุณครับ ไว้ผมจะลองทำดู” เฉินเฟิงพยักหน้าหงึกหงัก หูกระต่ายเคลื่อนไหวไปตามแรงสั่นของศีรษะคุณหมีมองตามก้อนขนสีขาวนุ่มฟูส่ายไหวไปมา สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวยื่นมือไปจับตรงโคนหูติดกับหนังศีรษะและเส้นผมสีขาวนุ่มนิ่มหมับ“อื้อ”“...”“มะ... มีอะไรติดอยู่เหรอครับ” เฉินเฟิงละล่ำละลักถาม มองลำแขนแกร่งที่พาดผ่านอยู่เหนือศีรษะ แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือเขาเปล่งเสียงอะไรออกป๊ายยย! แถมยังรู้สึกหวิวตรงช่องท้องอีก“…”“ถะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอ ขอไปนอนก่อนนะครับ” เจ้ากระต่ายที่ทำตัวไม่ถูกรีบเผ่นกลับเข้าบ้านของตนไปด้วยความไวแสง ทิ้งให้คุณหมอหมียืนอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืด“นุ่ม” นิโคลัสยืนมองประตูบ้านของผู้ช่วยเชฟ ก่อนจะเบือนสายตามาที่มือของตน พลางขยับนิ้วมือเข้าหากันสองสามครั้งสัมผัสนุ่มนิ่มนั้นเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก ทั้งนุ่มและลื่นมือ“...” แพทย์ทหารหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดปาก ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นสีแดงจัดจนร้อนอ๊ากกกกก!! เขาเผลอทำอะไรลงไปเนี่ย!!!เช้าวันนี้จึงมีสองสัตว์เล็กใหญ่ที่ทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเจอหน้ากันในตอนเช้า“แม่ พี่เขาเป็นอะไรกันอะครับ” เด็กชายดลกระตุกชายเสื้อคนเป็นแม่ ตอนนี้พว
วัตถุดิบตามธรรมชาติ แถมยังใช้ทดแทนบางสิ่งที่ไม่มี เครื่องปรุงเองก็จำกัดแล้วถ้าที่นี่มีทุกอย่างครบครันตามที่ชายหนุ่มอยากได้ล่ะ“...” กลุ่มทหารรับจ้าง คุณแม่และลูกชายเผลอแลบลิ้นเลียปากโดยไม่รู้ตัว“เข้าเมืองเหรอครับ” เฉินเฟิงมองนิโคลัสที่เอ่ยปากชักชวนกันไปหาของใช้ในเมือง“อืม ตัวอำเภอของที่นี่มีค่ายพักชั่วคราวที่ถูกจัดตั้งโดยส.ส.ในท้องถิ่น คิดว่าในละแวกใกล้เคียงคงมีการเข้าตรวจค้นบ้างแล้ว อาจจะไม่เจอซอมบี้มากเท่าไร” ถึงของที่อยากจะได้จะหายากด้วยเหมือนกันก็ตามแต่ความปลอดภัยของทุกคนควรมาก่อน“ไปครับ ผมเองก็อยากได้เครื่องครัวกับเสื้อผ้าเพิ่มเหมือนกัน”“แล้วเรื่องบ้านของคุณ” นิโคลัสลองถาม ถ้าชายหนุ่มต้องการความช่วยเหลือ เขาก็พร้อมจะใช้กระสุนปืนทั้งหมดที่มีจัดการกับเจ้าพวกโจรชั่วที่บังอาจทำให้เจ้ากระต่ายเสียใจ“ผมต้องไปทวงมันคืนสักวันแน่นอนครับ” เฉินเฟิงบอกด้วยสายตาแน่วแน่ “และผมไม่ลืมที่จะขอความช่วยเหลือจากทุกคนด้วย” อยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่ใช่คนอื่นไกลเขาชอบการอยู่บนเขา แต่บ้านหลังนั้นเองก็มีความทรงจำของพ่อกับแม่อยู่มากมาย ถ้าจะต้องเสียมันไปให้กับคนอื่นสู้เขาเผามันให้ไหม้เป็นจุณยังดีเสียกว่
กลุ่มทหารรับจ้างค่อนข้างแปลกใจกับขนมที่ดู เอ่อ... ไม่เป็นขนมหงส์เป็นหญิงสาวที่ชื่นชอบของหวานมาก มีช่วงก่อนหน้านี้ที่เธอต้องงดมันเพื่อไม่ให้น้ำหนักเกินเกณฑ์ที่ครูฝึกกำหนด แต่วันสิ้นโลกแบบนี้จะมีใครมากำหนดกฎกับเธออีกล่ะจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อยากกินอะไรก็กินไปเถอะ!ดังนั้นตอนที่คุณเจ้าของบ้านบอกว่ามีขนมเสิร์ฟปิดท้าย เธอจึงเป็นคนแรกที่ร้องแสดงความต้องการเสียงดังแต่พอเห็นหน้าตาของมันเธอถึงกับคิดหนักก้อนสีเขียวนี่กินได้จริงหรือ?“นี่เป็นวุ้นที่ผมคั้นใบบัวบกโขดมาทำครับ” เฉินเฟิงเอ่ยอธิบายเมนูอย่างเคยชิน“ใช่ที่เขากำลังนิยมทำเป็นไม้ประดับห้องหรือเปล่าครับ?” ทีโอถาม เขาเคยเห็นเพื่อนที่คลั่งความเป็นมินิมอล[1]ปลูกอยู่ต้นหนึ่ง ทั้งห้องของเพื่อนคนนี้มีเพียงอุปกรณ์สำหรับนอน โต๊ะเขียนหนังสือ และกระถางบัวบกโขดหนึ่งต้นถ้วน ไม่มีของตกแต่งอย่างอื่นอีกเลย แม้แต่คอมพิวเตอร์ก็อาศัยของมหาลัยทำงานส่งอาจารย์เสมอเขาจึงรู้จักเจ้าต้นนี้ดี เพราะมีเพียงมันเท่านั้นที่ทำให้ห้องสีขาวโปร่งของเพื่อนมีสีสันอื่นประดับอยู่บ้าง“มันกินได้ด้วยเหรอครับ” เขานึกว่าเป็นไม้ประดับอย่างเดียว“ได้ครับ ปกติมันก็ขึ้นตามภูเขาใ
“พอคิดแบบนี้แล้ว พลังพฤกษานี่สุดยอดไปเลยนะคะ จำเป็นมากในยุคนี้จริง ๆ” ยุคที่ข้าวปลาอาหารหายากยิ่งกว่าทองเฉินเฟิงก้มมองฝ่ามือตนเอง เขาโชคดีมากที่ได้รับพลังนี้มาครอบครอง ถ้าเป็นสายตาสู้ ป่านนี้เขาอาจจะยังอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อหาอาหารอยู่ก็เป็นได้“แกะเปลือกหมดแล้ว”“เอ๊ะ” เชฟมัวแต่คุย ลูกมือแกะเปลือกหมากก่อเสร็จก็ยังไม่รู้ตัว แถมยังแย่งหมากก่อในมือของเขาไปแกะเสร็จสรรพอีกต่างหาก“ให้ทำอะไรต่อ” นิโคลัสถาม“งั้นมาทำมื้อหลักของเรากันดีกว่าครับ” เฉินเฟิงว่าพลางหยิบปลากระป๋องสามรสขึ้นมาเปิดดาริณีเดินเลี่ยงออกมา ยิ้มขำกับท่าทางของคุณทหารรับจ้างผู้มีใบหูเหมือนหมี เมื่อครู่นี้คงไม่ได้จงใจพูดขัดขึ้นมาเพราะหึงเธอกับเฉินเฟิงหรอกใช่ไหมแต่คู่นี้ก็เหมาะกันดี... หมีกระต่าย แค่คิดก็ฟินแปลก ๆมื้อเช้าวันนี้จึงประกอบไปด้วยหมากก่อผัดปลากระป๋องสามรสที่ถูกเจ้ากระต่ายนำไปผัดในกระทะปิกนิก ใส่ผักชีและแครอทหันเต๋าเพิ่มสีสันแล้วค่อยปรุงรสด้วยเกลือเพียงเล็กน้อย พอซอสสามรสคลุกเคล้ากับหมากก่อจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันก็เป็นอันเสร็จ กินคู่กับเผือกเผาก็ทำให้อิ่มท้องไม่ต่างจากการกินกับข้าวสวยร้อน ๆ สักจาน อ้อ… มีกล้
จากนั้นชายหนุ่มที่เตรียมจะเดินไปหยิบวัตถุดิบเพิ่มเติม ในหลุมเก็บอุณหภูมิเพื่อนำมาทำเมนูหมากก่อต่อเป็นอันต้องชะงัก เพราะเมื่อครู่มัวแต่คิดเรื่องเมนูอาหารจึงไม่ทันได้ยินว่ามีใครอีกคนเดินมาด้านหลังตนตั้งแต่เมื่อไหร่ถ้าเป็นซอมบี้ ป่านนี้เขาโดนกัดคอตายไปแล้ว!“ตกใจหมดเลยครับ” เจ้ากระต่ายมองคุณหมีกริซลี่ในสภาพเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงทหารลายพราง “ทำไมถึงมาเงียบ ๆ ล่ะครับ”สาบานนะว่าเพิ่งตื่น ทำไมเหมือนกำลังจะไปถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารเลยล่ะครับพ่อคุณ…“นั่นเพราะคุณกำลังจดจ่อกับการทำอาหารต่างหาก เลยไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ว่าแต่แผลเป็นยังไงบ้าง”“อ๋อ ไม่ปวดเลยครับ ที่บวมก็ยุบลงไปแล้ว” เฉินเฟิงขยับศีรษะไปมาให้เห็นใบหูสีขาวพลิ้วไหว ไม่ลู่ลงอย่างเมื่อวาน“ถ้าปวดต้องบอกนะ” นิโคลัสยังคงไม่วางใจ“แน่นอนครับ” อดีตคนไข้ยิ้มกว้าง เท่านี้เขาก็จะไม่โดนดุแล้ว“แล้ว…” นิโคลัสมองผ่านไปยังกองไฟที่มีบางอย่างถูกต้มอยู่ในกระป๋อง“อาหารเช้าครับ ผมกำลังเตรียมอยู่”“มีอะไรให้ช่วยไหม”“ถ้าอย่างนั้นรบกวนไปหยิบปลากระป๋องซอสสามรสมาให้หน่อยได้ไหมครับ สัก 5 กระป๋อง”“ได้” คุณหมอหมีรับคำสั่งอย่างว่าง่าย เดินไปหยิบมาให้ท
ทางด้านดาริณีกับโจเซฟที่มีการได้ยินเท่ากับมนุษย์ธรรมดาเมื่อปิดประตูก็เข้านอนตามปกติ ไม่ได้มีกิจกรรมพิเศษอะไร ยกเว้นก็แต่หญิงสาวที่ต้องกล่อมลูกชายก่อนนอน พอเจ้าตัวแสบหมดฤทธิ์ก็ถึงคราวของเธอเข้านอนบ้าง“อันนี้เป็นยาแก้ปวด เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็กินตามไปได้เลย” แพทย์ทหารส่งยาจากกระเป๋ายาสามัญของตนเองให้“ขอบคุณครับ” เฉินเฟิงรับมาอย่างไม่เกี่ยงงอน วันนี้เขาโดนทุกคนดุจนหูชาไปหมดแล้วหลังค่ายพันธมิตรถูกจัดตั้งได้หนึ่งสัปดาห์ คำถามต่าง ๆ ก็หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย และอีกหนึ่งที่เคยเป็นคำถามฮอตฮิตมาก่อนก็คือ มนุษย์ที่กลายพันธุ์ไปเป็นสัตว์นั้นมีการฟื้นฟูร่างกายหรือต่อต้านไวรัสที่ดีขึ้นหรือเปล่าคำตอบก็คือ... ใช่หากใครสามารถวิวัฒนาการตนเองเป็นแบบพวกเขาแล้วจะมีภูมิต้านทานในระดับหนึ่ง อย่างตุ่นที่มีแผลถูกเหล็กแทง แม้จะไม่ลึกมากแต่ถ้าเป็นคนทั่วไปอย่างไรก็ต้องเย็บหลายเข็มและล้างทำความสะอาดแผลอย่างดี แต่นี่แค่ล้างแผลครั้งแรก จากนั้นก็ปิดแผลและระมัดระวังการใช้ขาข้างนั้น ผ่านไปอีกสักสัปดาห์ก็จะหายดี ส่วนแผลที่เกิดจากซอมบี้ ถ้าถูกมันกัดก็จะไม่กลายเป็นพวกมันในทันทีถ้าสามารถเฉือนหรือตัดชิ้นส่วนที่เป็นแผลนั้นทัน
เปียกไปทั้งตัว หูสีขาวบวมเป่งหนึ่งข้างจนมันทนรับน้ำหนักไม่ไหวตกลงมาด้านหน้า ตามแขนเองก็มีรอยถลอกเป็นทางยาวเหมือนโดนอะไรบางอย่างครูดไปกับพื้นดินหรือหิน เสื้อฮู้ดสีเทาตัวเก่งเองก็เลอะตะไคร่น้ำสีเขียวเป็นทางด้วยเช่นกันไหวไหมเนี่ย... หรือมีซอมบี้บนภูเขา“อ่า ผมลองใช้พลังเก็บรังผึ้งบนต้นไม้น่ะครับ” เฉินเฟิงเล่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นคร่าว ๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกมาก แน่นอนว่าเขาไม่ลืมบอกว่าตนเองหนีผึ้งที่ต่อยหูกระต่ายจนบวมเป่งนี้จนต้องหนีกระโดดลงน้ำทำให้เปียกไม่เป็นท่า ไม่ใช่ว่าเขาลืมเก็บหูลงน้ำไปด้วยเลยโดนผึ้งทำร้ายส่วนว่าทำไมร่างกายถึงมีตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะเต็มเสื้อผ้า ก็บอกไปว่าตอนอยู่ในน้ำเกิดหมดสติเพราะใช้พลังไปมาก ดีที่น้ำพัดพาให้ไปติดที่โขดหินแทนการจมน้ำตาย“อาเฟิง” ดาริณีร้องเสียงดัง พอฟังจบเธอไม่รู้ว่าควรระบายความวิตกกังวลที่ใคร จึงได้แต่เรียกเจ้ากระต่ายดื้อ ซนจนได้เรื่อง!“นี่เลยครับแม่” เด็กชายดลวิ่งมาถึงมารดาก็รีบส่งก้านมะยมที่ริดใบออกให้ถึงมือ “เวลาผมซนจนได้แผล แม่จะตีผมด้วยก้านมะยม พี่เฟิงซนจนคนอื่นเป็นห่วงต้องโดนตี” เด็กชายเม้มปากมองพี่ชายที่เขานับถือด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ“น้องดล” เฉ