“ทีม Local ไปกันเถอะ ไม่อยากคุยกับ...หมา มันเห่าแล้วหนวกหู”
นรินทร์พูดพร้อมหันไปเน้นย้ำคำหลังอย่างหนักแน่นและมองตรงไปยังภากรณ์อย่างตั้งใจ คนในทีมหัวเราะคิกคักชอบใจกับความดื้อร้ายไม่ยอมใครของนรินทร์ ก่อนเทวินจะถอนหายใจแล้วเงยหน้าพูดกับภากรณ์ที่ขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคืองกับคำพูดของนรินทร์
“เฮ้อ...นี่สินะตัวอย่างสุภาษิตไทยที่ว่า...หมาหวงก้าง”
ภากรณ์ได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองขวางเทวินที่ยืนยิ้มตาปริบๆ หน้าระรื่นใส่เขา ภากรณ์แค่นหัวเราะออกมาอย่างเยาะเย้ยพร้อมกับกอดอกเหมือนผู้ชนะ
“อย่าได้ใจไปเลย ยังไงนรินทร์ก็ไม่มีทางเลิกรักฉันได้หรอก ไม่งั้นคงไม่อยู่กับฉันมาถึงเจ็ดปี ป่านนี้คงนึกเสียใจอยู่ข้างใน แค่ไม่แสดงออกก็เท่านั้น”
“ครับ ผมจะรักษาแผลใจนั้นอย่างดีเลย ขอบคุณ...คุณภากรณ์ที่ช่วยเปิดทางให้”
เทวินพูดขึ้นทั้งรอยยิ้มไม่มีทีท่าว่าจะสลดใจกับคำพูดของภากรณ์เลยแม้แต่น้อย การที่ผู้หญิงกำลังอ่อนแอแล้วมีใครสักคนเข้าไปดูแลอย่างจริงใจย่อมโอนเอนไปทางคนผู้นั้น ภากรณ์เข้าใจความหมายคำพูดของเทวินเป็นอย่างดี สีหน้าที่ยิ้มเยาะเทวินในตอนแรกกลับบึ้งตึงในทันทีพร้อมกับจ้องมองตามหลังเทวินที่วิ่งตามนรินทร์ไป
“ฉันไม่มีทางให้มันเป็นอย่างนั้นแน่ ไอ้เทวิน”
ห้องประชุม
“ฉันไม่เห็นด้วยค่ะบก.! งานเลี้ยงของบริษัททำไมทีมฉันถึงไปไม่ได้แล้วต้องไปทำงานแทน!”
“เอาน่านรินทร์ นิตรสารของทีมเธอขายดีมากนะ งานมันเลยต้องต่อเนื่องเรื่อยๆลูกค้าจะได้ไม่หาย”
“แต่ฉันทำ Local ของประเทศอื่นๆที่เรายังไม่รู้จักนะคะ ทำไมอยู่ๆ ถึงให้ทำ Local ภายในประเทศทั้งๆที่เราก็รู้จักประเทศเราดีอยู่แล้ว”
“ก็นี่ไง หมู่บ้านนี้ไงที่ยังไม่มีข้อมูลที่ไหน เราจึงยิ่งต้องนำเสนอไม่ใช่หรือ สมัยนี้น่ะเขานิยม Local Trend ภายในประเทศจะตาย ยิ่งที่ไหนยังไม่มีใครเคยไปมาก่อนก็ยิ่งน่าสนใจ ยิ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ก็ยิ่งดีไปกันใหญ่ เรามีแต่ได้กับได้”
“ถ้าบก. ยังไม่ฟัง ฉันคงจะต้องยุบทีมแล้วไปรวมกับทีมแฟชั่นที่ฉันเคยตั้งขึ้นมาแทน ไม่ต้องมีทีม Local Trend ดีไหมนะ? ล้มเลิกไปเลย!”
“ไอหย๋า พูดอะไรอย่างนั้น นิตยสาร Local Trend ตอนนี้ชูสำนักพิมพ์เราเลยนะ ยิ่งเธอเป็นคนเขียนบทความยอดขายยิ่งดีไปกันใหญ่ อย่าคิดโง่ๆ ปิดกั้นโอกาสตัวเองแบบนั้นสินรินทร์”
บรรณาธิการของสำนักพิมพ์เริ่มทำหน้าเครียด เหงื่อตกท่วมใบหน้าเต็มไปหมด เมื่อได้ยินว่านรินทร์จะยุบทีมเพราะนรินทร์ถือว่าเป็นคนที่เขียนบทความสร้างรายได้ให้สำนักพิมพ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และไหนจะลูกชายตัวดีของตนเป็นคนมาขอร้องอ้อนวอนบรรยายสรรพคุณหมู่บ้านนี้ให้ส่งทีมนรินทร์ไปเพราะไม่มีใครทำได้ดีเท่าเธอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เหมือนกับเล่นสงครามประสาทเพราะพึ่งหย่ากันไปแล้วเมื่อวานทำเอาเขาหนักใจไม่น้อย
ภากรณ์หัวเราะเยาะนรินทร์ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาอย่างหาเรื่อง
“หรือว่าเธอกลัวความลำบากกันแน่นะ...ไม่งั้นคงไม่มาจับฉันหรอกใช่ไหม”
“สำคัญตัวเกินไปมาก แค่เดินตกท่อหัวฟาดหรอกย่ะถึงไปคว้านายมาน่ะ...คนอย่างฉันทำ Local Trend ในสถานที่ที่ลำบากมาเป็นร้อย ๆเล่ม จะมากลัวความลำบากอะไรตอนนี้ใช้สมองอันน้อยนิดคิดหน่อย”
“แต่ที่นั่นมันทุรกันดารมากเลยนะ ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าจะใช้...”
“ฉันจะทำ!”
“หัวหน้า!!”
นรินทร์พูดตอบรับอย่างลืมตัวกับการยั่วยุของภากรณ์ เพราะเขาอยู่กับเธอมานานจึงรู้นิสัยของเธอดี มันจึงง่ายที่เขาจะหลอกล่อให้เธอตอบรับ คนในทีมถึงกับร้องห้ามแทบไม่ทันพร้อมกับกุมขมับไปตามๆ กัน นรินทร์ที่เพิ่งได้สติจากเสียงเรียกของคนในทีมก็ถึงกับทำหน้าเจื่อนพร้อมกับเม้มปากแน่นอย่างรู้สึกผิด
“หึ...”
“หัวหน้าไม่น่าไปหลงกลเลย โธ่...” เทวินเอ่ยด้วยใบหน้าเสียดาย
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ เลิกประชุมได้”
บรรณาธิการของสำนักพิมพ์รีบพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างพอใจ แล้วหันไปยกนิ้วโป้งให้ลูกชายของตนเป็นเชิงบอกว่าเขาทำได้ดีมาก ภากรณ์ยักคิ้วให้ผู้เป็นพ่อพร้อมกับยกยิ้ม นรินทร์มองเหตุการณ์ทั้งหมดตาขวางก่อนจะรีบเก็บสมุดบันทึกในที่ประชุม แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ปล่อยให้สองพ่อลูกดีใจกันอยู่อย่างนั้น
“ผมว่า ผมเปลี่ยนใจจะไปกับทีม Local นะพ่อ”
“อ้าว แล้วงานเลี้ยงบริษัทที่ญี่ปุ่น?”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง”
“แล้วทำไมอยู่ๆ นึกอยากจะไปล่ะนั่น”
“ผมคิดว่านรินทร์คงทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีผม”
ภากรณ์พูดกับผู้เป็นพ่อก่อนจะยิ้มกริ่มออกมา พลางนึกหลงตัวเองว่านรินทร์จะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเขาไป เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดจะใจดีกับเธอเพื่อมิตรภาพที่ดีในอนาคตเพียงเท่านั้น ถึงแม้เขาจะคิดอย่างนั้นแต่ความรู้สึกของเขากลับบอกว่า กลัวเธอจะไปอยู่กับชายอื่นสองต่อสองในที่แบบนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รักเธอแล้วแต่ก็ไม่ได้อยากให้เธอเลิกรักเขาเสียหน่อย
นรินทร์กลับมาถึงคอนโดหลังจากการทำงานที่หนักหน่วงเธอหัวเสียอย่างที่สุด เสียพลังงานต่อล้อต่อเถียงกับบก.แต่มันก็ไม่เป็นผล ดันหลงกลสองพ่อลูกนั่นจนได้ที่ตั้งใจจะไปแย้งเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดหรูก็ดันไปตกหลุมพรางของอดีตผัวเก่าอย่างภากรณ์ซะได้ หรือเธอเองคงจะเคยชินกับการถูกเขาหลอกเสียล่ะมั้งผลเลยออกมาเป็นแบบนี้แต่คนอย่างนรินทร์ต้องไม่แพ้! เธอไม่มีวันให้เขาดูถูกเธอได้ยิ่งสถานะของเธอและเขาตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วมาดูกันหน่อยเป็นไงว่าคนอย่างนรินทร์น่ะเหรอกลัวความลำบาก คิดแล้วเธอก็เริ่มเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อหาข้อมูลของสถานที่ที่ทีมของเธอต้องไปทำสกู๊ปนรินทร์นั่งหน้าจมอยู่กับหน้าจอคอมเพื่อหาข้อมูลของสถานที่ที่เธอต้องไป จากคนที่ทำแต่งานไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน ก็ต้องมานั่งหาข้อมูลกันเสียหน่อย“บูรบุรี เมืองอะไรกันล่ะเนี่ยไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย” ความรู้สึกแปลกประหลาดวังเวงคลืบคลานเข้ามาจนทำให้ขนลุก ห้องก็ห้องตัวเองอยู่มาก็นานแต่ทำไมเหมือนกับว่ามีคนอื่นที่นอกเหนือจากตนเองอยู่ด้วยกันนะ นรินทร์หันหน้าไปไปมอ
นรินทร์สะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับหายใจหอบ ภาพฝันที่วูบเข้าหาตัวเธอนั้นยังคงจำได้ติดตา มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน นรินทร์เสยผมตรงสวยของตนก่อนจะหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเตียงเพื่อดูเวลาพร้อมกับถอนหายใจ “ตีสาม...อีกแล้วเหรอ”หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะพาร่างของตนลุกขึ้นแล้วเดินไปยังโซนห้องครัวเพื่อหาน้ำเปล่ามาดื่มเรียกสติให้ตัวเองตื่นเสียหน่อย มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เธอฝันอะไรแบบนี้ การตื่นกลางดึกทั้งที่เป็นเวลาพักผ่อนมันทำให้ร่างกายเธอของอ่อนเพลียไม่น้อย แต่ครั้นจะให้นอนก็เห็นทีจะนอนไม่หลับไปเสียแล้วร่างโปร่งมองหญิงสาวอันเป็นที่รักอย่างห่วงใย ภายในใจสงสัยไม่น้อยว่าทำไมคีภัทราถึงได้แทรกแซงฝันของนรินทร์ได้ เขาจึงทำได้เพียงปลุกเธอให้ตื่นด้วยมนตร์เท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่นรินทร์ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเสียทุกครั้ง“คีภัทรานี่ใครกัน...ฝันถึงหลายรอบแล้วนะ...นางเจ้าองค์ไหนอีก...”นรินทร์พึมพำกับตนเองพร้อมกับนึ
“ไปกันใหญ่แล้วมึง เห็นกูเป็นพระถังซัมจั๋งเหรอถึงได้คิดว่ามันเคารพกูน่ะ” นรินทร์พูดตอบนิลนนท์ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงอย่างยิ้มๆ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่นิลนนท์พูด“แต่กูเชื่ออย่างนั้นนะ...” นิลนนท์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่น นรินทร์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ คิดว่านิลนนท์คงพูดหยอกล้อต่อมุขเธอเล่น เธอจึงไม่ได้ตอบอะไรออกไปก่อนจะมีเพื่อนรุ่นน้องในทีมจะกล่าวเสริม“พี่นิลนนท์พูดเหมือนกับอ่านใจงูได้อย่างนั้นแหละ” มินตราที่นั่งติดกระจกรถข้างๆนิลนนท์พูดขึ้นแล้วมองนิลนนท์อย่างสงสัย เพราะเธอก็เห็นเขาจ้องมองงูเหมือนกับกำลังคุยกับมันอย่างไรอย่างนั้น“มินตรา มึงเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ...สาวคลั่งเทคโนโลยีอย่างมึงเนี่ยนะ” เทวินที่นั่งอยู่ข้างหลังกับภากรณ์พูดขึ้นและมองมินตราอย่างไม่อยากเชื่อ คนอื่นๆก็มองเทวินก่อนจะหันกลับมามองมินตราเช่นกัน“เปรียบเปรยจ้ะ เขาเรียกว่าเรียกว่าเปรียบเปรย” มินตราตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก“อาจจะคุยรู้เรื่องก็ได้ พวกอสรพิษ…เลี้ยงไม่เชื่องอยู่แล้ว…พวกมั
แม่สายทำท่าทางตกใจไม่น้อยราวกับไม่เชื่อหูที่ได้ยิน นรินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเอียงหน้ามองแม่สายอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแม้จะอยากรู้เสียเต็มประดาว่าทำไมแม่สายภรรยาผู้ใหญ่บ้านที่เธอไม่รู้จักถึงได้มีท่าทีแบบนั้น“เก็บข้าวของเรียบร้อยข้าจะพาทีมคุณนรินทร์ไปไหว้ศาลเจ้าปู่ประจำหมู่บ้านเสียก่อนค่อยหาข้าวปลากินกัน”“ทำไมต้อง…อะ...อ้าว” นรินทร์ไม่ทันได้ถามแม่สายก็ชิงเดินนำหน้าไปก่อนเสียแล้ว ทิ้งความสงสัยว่าทำไมแม่สายถึงได้รู้ชื่อของเธอไว้ในใจ นรินทร์ตั้งท่าที่จะเดินตามแม่สายให้ทันแต่ก็ถูกมือหนาของเทวินคว้าแขนไว้เสียก่อน“หัวหน้าคุยอะไรกันหรือครับ? ท่าทางดูตกใจขนาดนั้น” เทวินเอ่ยถาม“ไม่”“หือ? อะไรนะครับ”“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้มะ?”เอ่ยตอบพร้อมยักคิ้วอย่างกวนๆ“โห่…หัว…”ไม่ทันได้ตอบภากรณ์ก็เดินเข้ามาแทรกกลางทั้งสองทำเอาเทวินถึงกับยอมละมือที่คว้าจับแขนของนรินทร์เอาไว้ออกแทบจะทันที เทวินหันไปมองตามหลังภากรณ์ขบเคี้ยวเขี้ยว
“พญานาค? ทำไมถึงชอบนับถือกันนะ…คนในหมู่บ้านเคยเห็นเหรอคะ?” มินตราพูดพร้อมกับทำท่านึกสงสัย ก่อนจะหันไปถามแม่สายด้วยความอยากรู้จนลืมสิ่งที่ผ่านสายตาไปเสียสนิท“ไม่มีใครเห็นหรอกค่ะ…แต่มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่ทำให้รู้ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยเสียงเรียบ“ไม่เคยเห็นแล้วทำไมถึงได้เชื่อขนาดนั้นกันนะ เหตุการณ์ที่ว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือวิทยาศาสตร์ก็ได้” นรินทร์พูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ แม่สายหันไปจ้องมองนรินทร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาของแม่สายนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่ได้ยินแบบนั้น“เอ่อ…เรามาเพื่อศึกษประเพณีของชาวบ้าน ไม่ได้มาลบหลู่สิ่งที่ชาวบ้านศรัทธานะคะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่รับรู้ว่าเรื่องความเชื่อนี้ยากที่จะแตะต้อง ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนรินทร์…สิ่งที่มองไม่เห็นมันก็ยากที่จะเชื่อ…แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆจ้องมองนรินทร์ราวกับมีนัยบางอย่าง“โห…ประโยคคลาสสิค
หาดทรายละเอียดสีขาว... รอบข้างเต็มไปด้วยหมอกควัน...ตรงหน้ามีเพียงทะเลน้ำสีฟ้าใสไล่สีครามลงกว้างใหญ่ไพศาลสุดตา...สถานที่แห่งนี้เหมือนไม่มีจริงในโลก..."เอ๊ะ?"หญิงสาวร่างอรชรอุทานขึ้นถ้าเป็นสมัยที่เธอดูคงจะถูกเรียกว่าสาวอวบอึ๋ม มองเห็นชายหนุ่มท่อนบนเปลือยเปล่าไร้เครื่องประดับประดาในตัวยกเว้นเข็มขัดทองที่รั้งผ้านุ่งโสร่งสีขาวเดินขึ้นมาจากผืนน้ำ ทำให้เห็นมัดกล้ามกำยำชัดเจน รูปร่างชายชาตรีสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ผิวพรรณผ่องใส เรียบเนียน มีแสงระยิบระยับตามร่างกายนั้น ผมของเขายาวประบ่าแต่ถูกรวบมัดมวยไว้เพียงครึ่ง พอเผยให้เห็นกรอบหน้าชัดเจน จมูกโด่งเป็นสัน ปลายรั้งเชิด ปลายจมูกโค้งมนเป็นหยดน้ำ ปากเรียวได้รูปรับกับใบหน้า ทำให้ดูหน้าหวานปานหยาดน้ำผึ้ง คิ้วเข้มตรงสวย แต่ไม่หนาจนเกินพอดีรับกรอบหน้าทำให้ดูสมเป็นชายขึ้นมาเสียหน่อย กับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปลือกตาสองชั้น มองมาที่เธอด้วยสายตาอ่อนโยนระคนเศร้าไม่ว่ายุคสมัยไหนถ้าได้เห็นชายผู้นี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่หลงรักเป็นแน่ แต่น่าแปลกที่เขาเหมือนไม่มีอยู่ในโลกที่เธอรู้จัก เพราะไม่มีใครจะหล่อเหลาปานเทพบุตรเช่นเขาแน่ ไม่ทันที่เธอจะได้เอะ
"มาถึงละ เมื่อไหร่จะมา เสียเวลาจริง!"ปากเรียวบางอมชมพูพูดขึ้นกับปลายสายด้วยเสียงหงุดหงิด หญิงสาวใบหน้าหวานจิ้มลิ้มร่างอรชรพอเหมาะพอดีไม่ผอมไม่อ้วนเกินไปยืนนิ่งหลังจากวางสายสนทนาเมื่อครู่ เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ดวงตาสวยที่แข็งกร้าวเริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแต่ต้องกลั้นมันไว้ไม่ให้ไหลออกมา .... ยัยนรินทร์...เธอต้องเข้มแข็ง....หลังจากปลอบใจตัวเองได้ไม่นานนักร่างสูงในชุดหนังและกางเกงยีนส์ขาดๆ ก็เดินเข้ามาหาเธอพร้อมสาวสวยในชุดคล้ายๆกันเหมือนชุดคู่รัก ภากรณ์เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินตรงมาทางเธอ ก่อนจะโอบเอวบางของหญิงสาวข้างกายด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น นรินทร์มองดูพวกเขาเหมือนไม่ใส่ใจแต่กลับเม้มปากแน่น"อะไรกัน...จะร้องไห้เหรอ?""ร้องไห้ดีใจน่ะสิ จะได้หลุดพ้นวังวนอุบาทว์นี้เสียที""พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ เพื่อน"หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายภากรณ์ได้เอ่ยขึ้น ใบหน้าสะสวยที่คุ้นเคยสำหรับนรินทร์ พวกเธอเป็นเพื่อนรักกันมาก่อนตลอดสี่ห้าปี ด้วยความเชื่อใจ เวลาไปไหนมาไหนมักจะไปด้วยกันตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่คิดว่าจะโดนหักหลังแบบไม่น่าให้อภัยโดยการเป็นชู้รักกับสามีของเธอมาตลอดสองปีหลัง นรินทร์มองใบหน้
ยามค่ำคืนดึกดื่นที่มีเพียงแสงไฟตามตึกน้อยใหญ่...ห้องสี่เหลี่ยมในคอนโดเล็กๆ ใจกลางเมือง ภายในห้องไร้แสงไฟส่องสว่าง ร่างอรชรนอนขดตัวอยู่กลางเตียงใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้อง ไร้การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจากหญิงสาว มีเพียงหยดน้ำตาที่ยังคงเคลื่อนไหวไหลลงอาบสองแก้มเนียนไม่หยุด ตั้งแต่กลับมาจากที่ว่าการอำเภอหลังจากเซ็นใบหย่าร้างใบแรกในชีวิตเธอก็หมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรทำได้แต่นอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้นหยดน้ำตาใสไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหลออกจากดวงตาของนิรนทร์แม้แต่น้อยเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นซ้ำๆ เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงขยับตัวเลย ดวงตาเรียวหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย มือขวาเอื้อมไปกุมที่หน้าอกซ้ายด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่จุกอกอยู่ภายใน สมองพลางคิดโทษโชคชะตาว่าทุกครั้งที่มีความรักทำไมถึงได้พบแต่กับความผิดหวังไม่รู้จบ...ฉันทำกรรมอะไรไว้วะ...ถึงได้มีความรักที่เฮงซวยมันทุกครั้ง!!......พี่ขอโทษ…นรินธรา...เหตุจากคำมั่นสัญญารักของเรา พี่มิอาจปล่อยน้องไปได้...เสียงที่โต้ตอบเสียงความคิดของเธอที่น้อยเนื้อต่ำใจ...แม้เสียงนั้นจะเอื้อนเอ่ยดังเพียงใดก็ไม่สามารถส่งไปถึงหญิงสาวอั
“พญานาค? ทำไมถึงชอบนับถือกันนะ…คนในหมู่บ้านเคยเห็นเหรอคะ?” มินตราพูดพร้อมกับทำท่านึกสงสัย ก่อนจะหันไปถามแม่สายด้วยความอยากรู้จนลืมสิ่งที่ผ่านสายตาไปเสียสนิท“ไม่มีใครเห็นหรอกค่ะ…แต่มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่ทำให้รู้ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยเสียงเรียบ“ไม่เคยเห็นแล้วทำไมถึงได้เชื่อขนาดนั้นกันนะ เหตุการณ์ที่ว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือวิทยาศาสตร์ก็ได้” นรินทร์พูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ แม่สายหันไปจ้องมองนรินทร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาของแม่สายนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่ได้ยินแบบนั้น“เอ่อ…เรามาเพื่อศึกษประเพณีของชาวบ้าน ไม่ได้มาลบหลู่สิ่งที่ชาวบ้านศรัทธานะคะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่รับรู้ว่าเรื่องความเชื่อนี้ยากที่จะแตะต้อง ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนรินทร์…สิ่งที่มองไม่เห็นมันก็ยากที่จะเชื่อ…แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆจ้องมองนรินทร์ราวกับมีนัยบางอย่าง“โห…ประโยคคลาสสิค
แม่สายทำท่าทางตกใจไม่น้อยราวกับไม่เชื่อหูที่ได้ยิน นรินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเอียงหน้ามองแม่สายอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแม้จะอยากรู้เสียเต็มประดาว่าทำไมแม่สายภรรยาผู้ใหญ่บ้านที่เธอไม่รู้จักถึงได้มีท่าทีแบบนั้น“เก็บข้าวของเรียบร้อยข้าจะพาทีมคุณนรินทร์ไปไหว้ศาลเจ้าปู่ประจำหมู่บ้านเสียก่อนค่อยหาข้าวปลากินกัน”“ทำไมต้อง…อะ...อ้าว” นรินทร์ไม่ทันได้ถามแม่สายก็ชิงเดินนำหน้าไปก่อนเสียแล้ว ทิ้งความสงสัยว่าทำไมแม่สายถึงได้รู้ชื่อของเธอไว้ในใจ นรินทร์ตั้งท่าที่จะเดินตามแม่สายให้ทันแต่ก็ถูกมือหนาของเทวินคว้าแขนไว้เสียก่อน“หัวหน้าคุยอะไรกันหรือครับ? ท่าทางดูตกใจขนาดนั้น” เทวินเอ่ยถาม“ไม่”“หือ? อะไรนะครับ”“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้มะ?”เอ่ยตอบพร้อมยักคิ้วอย่างกวนๆ“โห่…หัว…”ไม่ทันได้ตอบภากรณ์ก็เดินเข้ามาแทรกกลางทั้งสองทำเอาเทวินถึงกับยอมละมือที่คว้าจับแขนของนรินทร์เอาไว้ออกแทบจะทันที เทวินหันไปมองตามหลังภากรณ์ขบเคี้ยวเขี้ยว
“ไปกันใหญ่แล้วมึง เห็นกูเป็นพระถังซัมจั๋งเหรอถึงได้คิดว่ามันเคารพกูน่ะ” นรินทร์พูดตอบนิลนนท์ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงอย่างยิ้มๆ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่นิลนนท์พูด“แต่กูเชื่ออย่างนั้นนะ...” นิลนนท์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่น นรินทร์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ คิดว่านิลนนท์คงพูดหยอกล้อต่อมุขเธอเล่น เธอจึงไม่ได้ตอบอะไรออกไปก่อนจะมีเพื่อนรุ่นน้องในทีมจะกล่าวเสริม“พี่นิลนนท์พูดเหมือนกับอ่านใจงูได้อย่างนั้นแหละ” มินตราที่นั่งติดกระจกรถข้างๆนิลนนท์พูดขึ้นแล้วมองนิลนนท์อย่างสงสัย เพราะเธอก็เห็นเขาจ้องมองงูเหมือนกับกำลังคุยกับมันอย่างไรอย่างนั้น“มินตรา มึงเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ...สาวคลั่งเทคโนโลยีอย่างมึงเนี่ยนะ” เทวินที่นั่งอยู่ข้างหลังกับภากรณ์พูดขึ้นและมองมินตราอย่างไม่อยากเชื่อ คนอื่นๆก็มองเทวินก่อนจะหันกลับมามองมินตราเช่นกัน“เปรียบเปรยจ้ะ เขาเรียกว่าเรียกว่าเปรียบเปรย” มินตราตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก“อาจจะคุยรู้เรื่องก็ได้ พวกอสรพิษ…เลี้ยงไม่เชื่องอยู่แล้ว…พวกมั
นรินทร์สะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับหายใจหอบ ภาพฝันที่วูบเข้าหาตัวเธอนั้นยังคงจำได้ติดตา มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน นรินทร์เสยผมตรงสวยของตนก่อนจะหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเตียงเพื่อดูเวลาพร้อมกับถอนหายใจ “ตีสาม...อีกแล้วเหรอ”หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะพาร่างของตนลุกขึ้นแล้วเดินไปยังโซนห้องครัวเพื่อหาน้ำเปล่ามาดื่มเรียกสติให้ตัวเองตื่นเสียหน่อย มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เธอฝันอะไรแบบนี้ การตื่นกลางดึกทั้งที่เป็นเวลาพักผ่อนมันทำให้ร่างกายเธอของอ่อนเพลียไม่น้อย แต่ครั้นจะให้นอนก็เห็นทีจะนอนไม่หลับไปเสียแล้วร่างโปร่งมองหญิงสาวอันเป็นที่รักอย่างห่วงใย ภายในใจสงสัยไม่น้อยว่าทำไมคีภัทราถึงได้แทรกแซงฝันของนรินทร์ได้ เขาจึงทำได้เพียงปลุกเธอให้ตื่นด้วยมนตร์เท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่นรินทร์ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเสียทุกครั้ง“คีภัทรานี่ใครกัน...ฝันถึงหลายรอบแล้วนะ...นางเจ้าองค์ไหนอีก...”นรินทร์พึมพำกับตนเองพร้อมกับนึ
นรินทร์กลับมาถึงคอนโดหลังจากการทำงานที่หนักหน่วงเธอหัวเสียอย่างที่สุด เสียพลังงานต่อล้อต่อเถียงกับบก.แต่มันก็ไม่เป็นผล ดันหลงกลสองพ่อลูกนั่นจนได้ที่ตั้งใจจะไปแย้งเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดหรูก็ดันไปตกหลุมพรางของอดีตผัวเก่าอย่างภากรณ์ซะได้ หรือเธอเองคงจะเคยชินกับการถูกเขาหลอกเสียล่ะมั้งผลเลยออกมาเป็นแบบนี้แต่คนอย่างนรินทร์ต้องไม่แพ้! เธอไม่มีวันให้เขาดูถูกเธอได้ยิ่งสถานะของเธอและเขาตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วมาดูกันหน่อยเป็นไงว่าคนอย่างนรินทร์น่ะเหรอกลัวความลำบาก คิดแล้วเธอก็เริ่มเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อหาข้อมูลของสถานที่ที่ทีมของเธอต้องไปทำสกู๊ปนรินทร์นั่งหน้าจมอยู่กับหน้าจอคอมเพื่อหาข้อมูลของสถานที่ที่เธอต้องไป จากคนที่ทำแต่งานไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน ก็ต้องมานั่งหาข้อมูลกันเสียหน่อย“บูรบุรี เมืองอะไรกันล่ะเนี่ยไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย” ความรู้สึกแปลกประหลาดวังเวงคลืบคลานเข้ามาจนทำให้ขนลุก ห้องก็ห้องตัวเองอยู่มาก็นานแต่ทำไมเหมือนกับว่ามีคนอื่นที่นอกเหนือจากตนเองอยู่ด้วยกันนะ นรินทร์หันหน้าไปไปมอ
“ทีม Local ไปกันเถอะ ไม่อยากคุยกับ...หมา มันเห่าแล้วหนวกหู”นรินทร์พูดพร้อมหันไปเน้นย้ำคำหลังอย่างหนักแน่นและมองตรงไปยังภากรณ์อย่างตั้งใจ คนในทีมหัวเราะคิกคักชอบใจกับความดื้อร้ายไม่ยอมใครของนรินทร์ ก่อนเทวินจะถอนหายใจแล้วเงยหน้าพูดกับภากรณ์ที่ขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคืองกับคำพูดของนรินทร์“เฮ้อ...นี่สินะตัวอย่างสุภาษิตไทยที่ว่า...หมาหวงก้าง”ภากรณ์ได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองขวางเทวินที่ยืนยิ้มตาปริบๆ หน้าระรื่นใส่เขา ภากรณ์แค่นหัวเราะออกมาอย่างเยาะเย้ยพร้อมกับกอดอกเหมือนผู้ชนะ“อย่าได้ใจไปเลย ยังไงนรินทร์ก็ไม่มีทางเลิกรักฉันได้หรอก ไม่งั้นคงไม่อยู่กับฉันมาถึงเจ็ดปี ป่านนี้คงนึกเสียใจอยู่ข้างใน แค่ไม่แสดงออกก็เท่านั้น”“ครับ ผมจะรักษาแผลใจนั้นอย่างดีเลย ขอบคุณ...คุณภากรณ์ที่ช่วยเปิดทางให้”เทวินพูดขึ้นทั้งรอยยิ้มไม่มีทีท่าว่าจะสลดใจกับคำพูดของภากรณ์เลยแม้แต่น้อย การที่ผู้หญิงกำลังอ่อนแอแล้วมีใครสักคนเข้าไปดูแลอย่างจริงใจย่อมโอนเอนไปทางคนผู้นั้น ภากรณ์เข้าใจความหมายคำพูดของเทวินเป็นอย่างดี สีหน้าที่ยิ้มเยาะเทวินในตอนแรกกลับบึ้งตึงในทันทีพร้อมกับจ
หลังจากที่สะดุ้งตื่นกลางดึกอยู่บ่อยครั้งเช้านี้ก็เป็นอีกครั้งที่นรินทร์สะดุ้งตื่นจากความฝันที่เสมือนจริง เหตุการณ์เลือนรางไปบางช่วงตอนตื่น และก็ต้องหยุดชะงักกลางคันมันเสียตลอด แต่สำหรับเช้าวันใหม่นี้กลับสะดุ้งถึงสองครั้งสองหน แถมยังฝันเรื่องเดิมและมันดันเป็นเรื่องที่ปะติดปะต่อกันเหมือนได้เห็นเหตุการณ์ในโลกนิทานอย่างไรอย่างนั้นร่างอรชรลุกขึ้นจากเตียงใหญ่ด้วยความเมื่อยล้าร่าง แต่ในหัวกลับมีเรื่องที่ฝันเมื่อสักครู่วนเวียนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เลือกที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อและคิดว่าอย่างไรมันก็แค่ความฝัน หญิงสาวเดินเข้าไปอาบน้ำและทำกิจวัตรประจำวันเหมือนอย่างเคย มันแตกต่างจากทุกวันก็ตรงที่เธออยู่คนเดียวแล้วนับตั้งแต่เมื่อวานนี้ร่างโปร่งแสงมองเธอว้าวุ่นไปมาด้วยรอยยิ้มบางๆ แม้เธออาจจะมองไม่เห็นการมีอยู่ของเขาก็ตาม แต่ภายในใจของชายหนุ่มนั้นกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขที่ได้หวนกลับมาพบเจอดวงจิตของผู้เป็นที่รักยิ่งที่เขาเฝ้ารอและตามหามานานนับพันปี เขาได้เฝ้าตามคอยดูแลเธอมาตลอดเท่าอายุของเธอในปัจจุบัน...ประเดี๋ยวเราก็จักได้พานพบกันแล้ว นรินธรา...เส
“ขอประทานอภัยที่กระหม่อมต้องกล่าวความเช่นนี้...กระหม่อมมีชายาที่เจ้าเมืองต่างๆ การประทานให้หลังออกรบมีชัยกลับมา มิมีนางใดที่ข้ากระหม่อมพึงใจรักแม้แต่นางเดียว กระหม่อมขอสาบานว่า...มิได้ล่วงเกินชายานางใดแม้แต่ปลายเส้นผม มิได้ผูกเวรผูกกรรมต่อกันแล้วพระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นนั้น...เจ้าพี่เพชรจักพึงใจในตัวน้องรือเพคะ?” “ยามแลเห็นน้องคราแรก จากที่คิดว่าดวงใจนี้กลายเป็นหิน ก็กลับหลงรักน้องอย่างมิอาจหักใจ” “ชายใดเข้ามามักจักกล่าววาจาหวานหู ใจแท้จักเป็นจริงดั่งปากว่ารือมิรู้ได้” “ขอน้องนางจงอย่าเปรียบเทียบพี่กับชายใด พี่หลงรักน้องยาใจแม่นมั่นมิผันแปร” เจ้าเพชรแก้วตอบโต้นรินธราด้วยสายตาที่ไม่หลบเลี่ยงอย่างมาดมั่น แต่หญิงสาวกลับก้มหน้าลอบมองเจ้าเพชรแก้วอย่างขวยเขิน องค์มุจรินท์เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่นิมิตเห็น ทั้งสองคนคือคู่แท้กันมาตั้งแต่กี่ภพชาติมีเพียงเจ้าปู่เท่านั้นที่หยั่งรู้เห็นในชะตารักของคนทั้งคู่ งานอภิเษกสมรสของเจ้าเมืองบูรพา พญาเพชรแก้วจันทรานาคราชและพระนางนรินธรานาคีหลานของ
หญิงสาวรูปร่างอรชรผิวขาวเนียนผ่องเป็นยองใยเนียนละเอียดในชุดโบราณแต่งองค์ทรงเครื่องประดับด้วยทองหยองเต็มตัว มงกุฎทองคำพันรอบศีรษะสวย ผมมวยสูงทัดด้วยดอกมะลิส่งกลิ่นหอมอบอวลเสมือนกลิ่นประจำกายของหญิงสาว นิ้วมือเรียวสวยกรีดกรายลงบนผิวน้ำใสอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองลงไปในแม่น้ำเห็นสรรพสัตว์มากมายแหวกว่ายไม่ไกลมือของเจ้าหล่อนนัก “เจ้าทำอันใดอยู่รือหลานปู่” ชายหนุ่มที่ดูไม่แก่ชราลงเลย แต่แทนตัวเองว่าปู่เดินเอามือไขว้หลังบ่งบอกถึงความมีอำนาจมาดใหญ่เข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งรื่นรมย์อยู่ริมธารพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มแต่งองค์ทรงเครื่องมงกุฎทองครอบเศียรทรงขอมที่มองดูก็ว่าคือราชาของเมืองนี้ บริวารที่เฝ้าตามารับใช้หญิงสาวต่างพากันโค้งหมอบให้ผู้ที่เดินเข้ามา มีเพียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างลำธารเพียงเท่านั้นที่หันไปมองราชาหนุ่มผู้มาเยือนพร้อมกับหันไปยิ้มรับอย่างอ่อนหวานก่อนจะเก็บมือไว้หน้าตักอย่างเรียบร้อยและโค้งศีรษะลงอย่างเคารพ “เจ้าปู่มุจรินท์ มีเรื่องอันใดรือเพคะถึงได้มาตามหาหลานด้วยพระองค์เอง” “เงยหน้าขึ้นเถิดหลานปู่...”