“ไปกันใหญ่แล้วมึง เห็นกูเป็นพระถังซัมจั๋งเหรอถึงได้คิดว่ามันเคารพกูน่ะ” นรินทร์พูดตอบนิลนนท์ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงอย่างยิ้มๆ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่นิลนนท์พูด
“แต่กูเชื่ออย่างนั้นนะ...” นิลนนท์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่น นรินทร์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ คิดว่านิลนนท์คงพูดหยอกล้อต่อมุขเธอเล่น เธอจึงไม่ได้ตอบอะไรออกไปก่อนจะมีเพื่อนรุ่นน้องในทีมจะกล่าวเสริม
“พี่นิลนนท์พูดเหมือนกับอ่านใจงูได้อย่างนั้นแหละ” มินตราที่นั่งติดกระจกรถข้างๆนิลนนท์พูดขึ้นแล้วมองนิลนนท์อย่างสงสัย เพราะเธอก็เห็นเขาจ้องมองงูเหมือนกับกำลังคุยกับมันอย่างไรอย่างนั้น
“มินตรา มึงเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ...สาวคลั่งเทคโนโลยีอย่างมึงเนี่ยนะ” เทวินที่นั่งอยู่ข้างหลังกับภากรณ์พูดขึ้นและมองมินตราอย่างไม่อยากเชื่อ คนอื่นๆก็มองเทวินก่อนจะหันกลับมามองมินตราเช่นกัน
“เปรียบเปรยจ้ะ เขาเรียกว่าเรียกว่าเปรียบเปรย” มินตราตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“อาจจะคุยรู้เรื่องก็ได้ พวกอสรพิษ…เลี้ยงไม่เชื่องอยู่แล้ว…พวกมันชอบสุ่มเงียบแล้วค่อยแอบฉกเหยื่อที่จ้องไว้ซะด้วยสิ...”
ภากรณ์ที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นเขาตั้งใจจะจิกกัดนิลนนท์ ทุกคนต่างหันไปมองภากรณ์อย่างไม่สบอารมณ์นักและทุกคนก็ต่างสงสัยว่าเขาตามนรินทร์มาทำไมที่นี่ อีกอย่างใครจะชอบนรินทร์หรือมาจีบเธอก็ไม่ผิดเสียหน่อย เพราะเธอนั้นเซ็นใบหย่าเรียบร้อยแล้วเท่ากับว่าเป็นหม้ายเนื้อหอม
“งูไปหมดแล้วครับ…ผมนี่ตกใจแทบแย่”
ลุงคนขับรถร้องบอกคนในรถอย่างนึกโล่งอกก่อนจะเช็ดเหงื่อในมือกับกางเกงยีนส์เกิดมาเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นงูตัวใหญ่ขนาดนี้หากว่าไม่ได้อยู่บนรถเขาคงจะทำอะไรไม่ถูก นรินทร์เองก็รู้สึกไม่ต่างจากลุงคนขับรถเธอเห็นด้วยในใจแต่ไม่แสดงออกเพราะไม่อยากให้คนในทีมใจเสีย
“งั้นเราก็ไปกันต่อเถอะค่ะ”
หนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงที่หมายนรินทร์ตัดบทเพื่อให้ถึงที่หมายก่อนมืดค่ำ ลุงคนขับทำใจแข็งจับพวงมาลัยไปต่อพลางสายตามองสอดส่องสองข้างทางอย่างระแวดระวัง กลัวจะเจออย่างเมื่อครู่ที่ทำเอาใจหายใจคว่ำไปเสียหมด
ไม่เกินอึดใจรถตู้กระจกทึบก็แล่นเข้ามาในเขตของหมู่บ้านบูรบุรี หมู่บ้านที่ตั้งอยู่หลังภูเขาลูกหนึ่งของภาคตะวันออก เส้นทางเข้าคดเคี้ยวลำบากยากเข็ญจนไม่คิดว่ารถยนต์จะเข้ามาได้ เพราะเหตุนี้หมู่บ้านนี้จึงถูลืมเลือนราวกับว่าไม่มีอยู่ในแผนที่ประเทศไทยและเป็นหมู่บ้านที่ความเจริญเข้าไม่ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะพัฒนาไปไกลแค่ไหนก็ตาม
รถตู้แล่นเข้ามาจอดหน้าที่ว่าการผู้ใหญ่บ้านสถานที่สำคัญของชุมชนที่คอยคุมกฏระเบียบของคนในหมู่บ้านเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
ทีมนิตยสารของสำนักพิมพ์ชื่อดังลงจากรถมาทักทายผู้ใหญ่บ้านที่ยืนรอต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ใส่แค่โสร่งพันรอบเอว ด้านบนถอดเสื้อพาดผ้าขาม้าบนบ่าเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสักราวกับชายยุคโบราณยกมือรับไหว้พวกเธอ
แม้แต่ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านก็ดูสวยสง่าในชุดผ้าซิ่นแบบพื้นบ้านเสื้อคอจีนสีขาวพอดีตัวแขนสามส่วนส่งเสริมให้บุคลิกของเธอดูมีราศีกว่าชาวบ้านทั่วไป หน้าตายังดูสะสวยอายุอานามของเธอคงจะห่างกับผู้ใหญ่บ้านหลายปี
“สวัสดีพวกคนเมือง นึกว่าจะพากันมาไม่ถูกเสียแล้ว”
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยทักทายขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหน้าไปมองนรินทร์นิ่งค้างไปชั่วขณะแล้วพยักหน้ากลมใหญ่นั้น ไม่ต่างจากภรรยาของผู้ใหญ่บ้านที่เธอเองก็กำลังจ้องมองนรินทร์อย่างไม่ละสายตามาได้พักใหญ่
“เกือบจะมาไม่ถึงแล้วผู้ใหญ่ ระหว่างทางมีงูตัวเบ่อเร่อขวางรถเอาไว้ ใจผมนี่ตกไปถึงตาตุ่มเลยเชียว” คนขับรถอดไม่ได้ที่พูดถึงเรื่องที่น่าระทึกใจยังจำได้ติดตาอยู่เลย รีบฟ้องผู้ใหญ่บ้านทันที
“งั้นรึ? …บ้านป่าเมืองเถื่อนก็เป็นอย่างนี้แหละ เอาล่ะ…ข้าเตรียมบ้านไว้ให้แล้ว เดี๋ยวแม่สายเมียข้าจะนำทางไป”
ผู้ใหญ่บ้านพูดแค่นั้นก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ภรรยาที่ยืนอยู่ข้างกาย แม่สายภรรยาผู้ใหญ่ก็พยักหน้าก่อนจะเดินนำทางเหล่าคณะทีมของนรินทร์ไปด้านหลังบ้านของผู้ใหญ่บ้าน แอบเดินชะลอคอยให้หญิงสาวที่เจ้าหล่อนได้จ้องมองไว้เดินตามมาได้ทันก่อนจะเอียงหน้าไปถามชื่อแส้บ้านเกิดเมืองนอน
“คุณมาจากที่ไหนเหรอ?” แม่สายเอ่ยถามนรินทร์ที่เดินอยู่ข้างหลังเธอเพียงเล็กน้อยใกล้ๆ
“กรุงเทพค่ะ…”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงบ้านเกิด”
“อ๋อ…เป็นคนทางเหนือค่ะ นครพล...เมืองแพรก”
“จริงรึนี่…ไม่น่าเชื่อ”
แม่สายทำท่าทางตกใจไม่น้อยราวกับไม่เชื่อหูที่ได้ยิน นรินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเอียงหน้ามองแม่สายอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแม้จะอยากรู้เสียเต็มประดาว่าทำไมแม่สายภรรยาผู้ใหญ่บ้านที่เธอไม่รู้จักถึงได้มีท่าทีแบบนั้น“เก็บข้าวของเรียบร้อยข้าจะพาทีมคุณนรินทร์ไปไหว้ศาลเจ้าปู่ประจำหมู่บ้านเสียก่อนค่อยหาข้าวปลากินกัน”“ทำไมต้อง…อะ...อ้าว” นรินทร์ไม่ทันได้ถามแม่สายก็ชิงเดินนำหน้าไปก่อนเสียแล้ว ทิ้งความสงสัยว่าทำไมแม่สายถึงได้รู้ชื่อของเธอไว้ในใจ นรินทร์ตั้งท่าที่จะเดินตามแม่สายให้ทันแต่ก็ถูกมือหนาของเทวินคว้าแขนไว้เสียก่อน“หัวหน้าคุยอะไรกันหรือครับ? ท่าทางดูตกใจขนาดนั้น” เทวินเอ่ยถาม“ไม่”“หือ? อะไรนะครับ”“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้มะ?”เอ่ยตอบพร้อมยักคิ้วอย่างกวนๆ“โห่…หัว…”ไม่ทันได้ตอบภากรณ์ก็เดินเข้ามาแทรกกลางทั้งสองทำเอาเทวินถึงกับยอมละมือที่คว้าจับแขนของนรินทร์เอาไว้ออกแทบจะทันที เทวินหันไปมองตามหลังภากรณ์ขบเคี้ยวเขี้ยว
“พญานาค? ทำไมถึงชอบนับถือกันนะ…คนในหมู่บ้านเคยเห็นเหรอคะ?” มินตราพูดพร้อมกับทำท่านึกสงสัย ก่อนจะหันไปถามแม่สายด้วยความอยากรู้จนลืมสิ่งที่ผ่านสายตาไปเสียสนิท“ไม่มีใครเห็นหรอกค่ะ…แต่มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่ทำให้รู้ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยเสียงเรียบ“ไม่เคยเห็นแล้วทำไมถึงได้เชื่อขนาดนั้นกันนะ เหตุการณ์ที่ว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือวิทยาศาสตร์ก็ได้” นรินทร์พูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ แม่สายหันไปจ้องมองนรินทร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาของแม่สายนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่ได้ยินแบบนั้น“เอ่อ…เรามาเพื่อศึกษประเพณีของชาวบ้าน ไม่ได้มาลบหลู่สิ่งที่ชาวบ้านศรัทธานะคะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่รับรู้ว่าเรื่องความเชื่อนี้ยากที่จะแตะต้อง ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนรินทร์…สิ่งที่มองไม่เห็นมันก็ยากที่จะเชื่อ…แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆจ้องมองนรินทร์ราวกับมีนัยบางอย่าง“โห…ประโยคคลาสสิค
หาดทรายละเอียดสีขาว... รอบข้างเต็มไปด้วยหมอกควัน...ตรงหน้ามีเพียงทะเลน้ำสีฟ้าใสไล่สีครามลงกว้างใหญ่ไพศาลสุดตา...สถานที่แห่งนี้เหมือนไม่มีจริงในโลก..."เอ๊ะ?"หญิงสาวร่างอรชรอุทานขึ้นถ้าเป็นสมัยที่เธอดูคงจะถูกเรียกว่าสาวอวบอึ๋ม มองเห็นชายหนุ่มท่อนบนเปลือยเปล่าไร้เครื่องประดับประดาในตัวยกเว้นเข็มขัดทองที่รั้งผ้านุ่งโสร่งสีขาวเดินขึ้นมาจากผืนน้ำ ทำให้เห็นมัดกล้ามกำยำชัดเจน รูปร่างชายชาตรีสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ผิวพรรณผ่องใส เรียบเนียน มีแสงระยิบระยับตามร่างกายนั้น ผมของเขายาวประบ่าแต่ถูกรวบมัดมวยไว้เพียงครึ่ง พอเผยให้เห็นกรอบหน้าชัดเจน จมูกโด่งเป็นสัน ปลายรั้งเชิด ปลายจมูกโค้งมนเป็นหยดน้ำ ปากเรียวได้รูปรับกับใบหน้า ทำให้ดูหน้าหวานปานหยาดน้ำผึ้ง คิ้วเข้มตรงสวย แต่ไม่หนาจนเกินพอดีรับกรอบหน้าทำให้ดูสมเป็นชายขึ้นมาเสียหน่อย กับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปลือกตาสองชั้น มองมาที่เธอด้วยสายตาอ่อนโยนระคนเศร้าไม่ว่ายุคสมัยไหนถ้าได้เห็นชายผู้นี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่หลงรักเป็นแน่ แต่น่าแปลกที่เขาเหมือนไม่มีอยู่ในโลกที่เธอรู้จัก เพราะไม่มีใครจะหล่อเหลาปานเทพบุตรเช่นเขาแน่ ไม่ทันที่เธอจะได้เอะ
"มาถึงละ เมื่อไหร่จะมา เสียเวลาจริง!"ปากเรียวบางอมชมพูพูดขึ้นกับปลายสายด้วยเสียงหงุดหงิด หญิงสาวใบหน้าหวานจิ้มลิ้มร่างอรชรพอเหมาะพอดีไม่ผอมไม่อ้วนเกินไปยืนนิ่งหลังจากวางสายสนทนาเมื่อครู่ เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ดวงตาสวยที่แข็งกร้าวเริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแต่ต้องกลั้นมันไว้ไม่ให้ไหลออกมา .... ยัยนรินทร์...เธอต้องเข้มแข็ง....หลังจากปลอบใจตัวเองได้ไม่นานนักร่างสูงในชุดหนังและกางเกงยีนส์ขาดๆ ก็เดินเข้ามาหาเธอพร้อมสาวสวยในชุดคล้ายๆกันเหมือนชุดคู่รัก ภากรณ์เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินตรงมาทางเธอ ก่อนจะโอบเอวบางของหญิงสาวข้างกายด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น นรินทร์มองดูพวกเขาเหมือนไม่ใส่ใจแต่กลับเม้มปากแน่น"อะไรกัน...จะร้องไห้เหรอ?""ร้องไห้ดีใจน่ะสิ จะได้หลุดพ้นวังวนอุบาทว์นี้เสียที""พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ เพื่อน"หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายภากรณ์ได้เอ่ยขึ้น ใบหน้าสะสวยที่คุ้นเคยสำหรับนรินทร์ พวกเธอเป็นเพื่อนรักกันมาก่อนตลอดสี่ห้าปี ด้วยความเชื่อใจ เวลาไปไหนมาไหนมักจะไปด้วยกันตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่คิดว่าจะโดนหักหลังแบบไม่น่าให้อภัยโดยการเป็นชู้รักกับสามีของเธอมาตลอดสองปีหลัง นรินทร์มองใบหน้
ยามค่ำคืนดึกดื่นที่มีเพียงแสงไฟตามตึกน้อยใหญ่...ห้องสี่เหลี่ยมในคอนโดเล็กๆ ใจกลางเมือง ภายในห้องไร้แสงไฟส่องสว่าง ร่างอรชรนอนขดตัวอยู่กลางเตียงใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้อง ไร้การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจากหญิงสาว มีเพียงหยดน้ำตาที่ยังคงเคลื่อนไหวไหลลงอาบสองแก้มเนียนไม่หยุด ตั้งแต่กลับมาจากที่ว่าการอำเภอหลังจากเซ็นใบหย่าร้างใบแรกในชีวิตเธอก็หมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรทำได้แต่นอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้นหยดน้ำตาใสไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหลออกจากดวงตาของนิรนทร์แม้แต่น้อยเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นซ้ำๆ เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงขยับตัวเลย ดวงตาเรียวหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย มือขวาเอื้อมไปกุมที่หน้าอกซ้ายด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่จุกอกอยู่ภายใน สมองพลางคิดโทษโชคชะตาว่าทุกครั้งที่มีความรักทำไมถึงได้พบแต่กับความผิดหวังไม่รู้จบ...ฉันทำกรรมอะไรไว้วะ...ถึงได้มีความรักที่เฮงซวยมันทุกครั้ง!!......พี่ขอโทษ…นรินธรา...เหตุจากคำมั่นสัญญารักของเรา พี่มิอาจปล่อยน้องไปได้...เสียงที่โต้ตอบเสียงความคิดของเธอที่น้อยเนื้อต่ำใจ...แม้เสียงนั้นจะเอื้อนเอ่ยดังเพียงใดก็ไม่สามารถส่งไปถึงหญิงสาวอั
"ใครเขาจะมายืนบอกกันล่ะ""ถ้าเหตุเป็นเพราะพี่...พี่ก็ดีใจ"คำพูดพร้อมรอยยิ้มอย่างดีใจของชายหนุ่มทำให้นรินทร์ไม่กล้าที่จะปฏิเสธขัด การเห็นเขาดีใจกลับทำให้รู้สึกดีใจตามไปด้วย หญิงสาวมองใบหน้าเทพบุตรนั้นอยู่นาน รู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับเขาและรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้พบเจอกับเขา เธอแอบคิดว่าถ้าเขามีอยู่ในชีวิตจริงคงจะดีไม่น้อย...แต่นี่คงเป็นแค่ชายในฝันเหมือนที่ใครๆพูดกัน"แล้วคุณเป็นใคร? เทวดา ผี หรือเทพบุตรกันคะสุดหล่อ?" ไหนๆก็อยู่ในฝันแล้วขอจีบชายในฝันสักหน่อยจะเป็นไรไป นั่นคือสิ่งที่หมอกเมยคิด"เมื่อถึงเพลาก็จักรู้เอง""ทำไมไม่บอกล่ะตัวเอง…เห็นบอกว่าฉันเป็นคนรักของคุณไม่ใช่หรือคะ?""อดีตชาติเราคือคนรักที่ยากจะแยกจาก...รักยาวนานเป็นพันๆ ปี...""แล้วตอนนี้คุณยังรักฉันอยู่หรือคะ ผ่านมาตั้งพันปีไม่มีคนอื่นบ้างเลยเหรอ?""ความรักสำหรับชาวเราผู้ที่ครองอมตะ...มักจักมีหนึ่งเดียวใจเดียวตามที่ตั้งสัตย์สัญญาไว้""ว้า...ฉันผ่านการมีสามีมาแล้วน่ะสิ ไม่ได้อยู่รอสุดหล่อเลย""พี่รู้แจ้งแก่ใจ...ชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก...เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ย่อมมีสิ่งที่ทำให้ลุ่มหลง...เหตุเพราะความทรงจำในอดีตถูกลบเลื
หญิงสาวรูปร่างอรชรผิวขาวเนียนผ่องเป็นยองใยเนียนละเอียดในชุดโบราณแต่งองค์ทรงเครื่องประดับด้วยทองหยองเต็มตัว มงกุฎทองคำพันรอบศีรษะสวย ผมมวยสูงทัดด้วยดอกมะลิส่งกลิ่นหอมอบอวลเสมือนกลิ่นประจำกายของหญิงสาว นิ้วมือเรียวสวยกรีดกรายลงบนผิวน้ำใสอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองลงไปในแม่น้ำเห็นสรรพสัตว์มากมายแหวกว่ายไม่ไกลมือของเจ้าหล่อนนัก “เจ้าทำอันใดอยู่รือหลานปู่” ชายหนุ่มที่ดูไม่แก่ชราลงเลย แต่แทนตัวเองว่าปู่เดินเอามือไขว้หลังบ่งบอกถึงความมีอำนาจมาดใหญ่เข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งรื่นรมย์อยู่ริมธารพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มแต่งองค์ทรงเครื่องมงกุฎทองครอบเศียรทรงขอมที่มองดูก็ว่าคือราชาของเมืองนี้ บริวารที่เฝ้าตามารับใช้หญิงสาวต่างพากันโค้งหมอบให้ผู้ที่เดินเข้ามา มีเพียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างลำธารเพียงเท่านั้นที่หันไปมองราชาหนุ่มผู้มาเยือนพร้อมกับหันไปยิ้มรับอย่างอ่อนหวานก่อนจะเก็บมือไว้หน้าตักอย่างเรียบร้อยและโค้งศีรษะลงอย่างเคารพ “เจ้าปู่มุจรินท์ มีเรื่องอันใดรือเพคะถึงได้มาตามหาหลานด้วยพระองค์เอง” “เงยหน้าขึ้นเถิดหลานปู่...”
“ขอประทานอภัยที่กระหม่อมต้องกล่าวความเช่นนี้...กระหม่อมมีชายาที่เจ้าเมืองต่างๆ การประทานให้หลังออกรบมีชัยกลับมา มิมีนางใดที่ข้ากระหม่อมพึงใจรักแม้แต่นางเดียว กระหม่อมขอสาบานว่า...มิได้ล่วงเกินชายานางใดแม้แต่ปลายเส้นผม มิได้ผูกเวรผูกกรรมต่อกันแล้วพระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นนั้น...เจ้าพี่เพชรจักพึงใจในตัวน้องรือเพคะ?” “ยามแลเห็นน้องคราแรก จากที่คิดว่าดวงใจนี้กลายเป็นหิน ก็กลับหลงรักน้องอย่างมิอาจหักใจ” “ชายใดเข้ามามักจักกล่าววาจาหวานหู ใจแท้จักเป็นจริงดั่งปากว่ารือมิรู้ได้” “ขอน้องนางจงอย่าเปรียบเทียบพี่กับชายใด พี่หลงรักน้องยาใจแม่นมั่นมิผันแปร” เจ้าเพชรแก้วตอบโต้นรินธราด้วยสายตาที่ไม่หลบเลี่ยงอย่างมาดมั่น แต่หญิงสาวกลับก้มหน้าลอบมองเจ้าเพชรแก้วอย่างขวยเขิน องค์มุจรินท์เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่นิมิตเห็น ทั้งสองคนคือคู่แท้กันมาตั้งแต่กี่ภพชาติมีเพียงเจ้าปู่เท่านั้นที่หยั่งรู้เห็นในชะตารักของคนทั้งคู่ งานอภิเษกสมรสของเจ้าเมืองบูรพา พญาเพชรแก้วจันทรานาคราชและพระนางนรินธรานาคีหลานของ
“พญานาค? ทำไมถึงชอบนับถือกันนะ…คนในหมู่บ้านเคยเห็นเหรอคะ?” มินตราพูดพร้อมกับทำท่านึกสงสัย ก่อนจะหันไปถามแม่สายด้วยความอยากรู้จนลืมสิ่งที่ผ่านสายตาไปเสียสนิท“ไม่มีใครเห็นหรอกค่ะ…แต่มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่ทำให้รู้ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยเสียงเรียบ“ไม่เคยเห็นแล้วทำไมถึงได้เชื่อขนาดนั้นกันนะ เหตุการณ์ที่ว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือวิทยาศาสตร์ก็ได้” นรินทร์พูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ แม่สายหันไปจ้องมองนรินทร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาของแม่สายนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่ได้ยินแบบนั้น“เอ่อ…เรามาเพื่อศึกษประเพณีของชาวบ้าน ไม่ได้มาลบหลู่สิ่งที่ชาวบ้านศรัทธานะคะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่รับรู้ว่าเรื่องความเชื่อนี้ยากที่จะแตะต้อง ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนรินทร์…สิ่งที่มองไม่เห็นมันก็ยากที่จะเชื่อ…แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆจ้องมองนรินทร์ราวกับมีนัยบางอย่าง“โห…ประโยคคลาสสิค
แม่สายทำท่าทางตกใจไม่น้อยราวกับไม่เชื่อหูที่ได้ยิน นรินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเอียงหน้ามองแม่สายอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแม้จะอยากรู้เสียเต็มประดาว่าทำไมแม่สายภรรยาผู้ใหญ่บ้านที่เธอไม่รู้จักถึงได้มีท่าทีแบบนั้น“เก็บข้าวของเรียบร้อยข้าจะพาทีมคุณนรินทร์ไปไหว้ศาลเจ้าปู่ประจำหมู่บ้านเสียก่อนค่อยหาข้าวปลากินกัน”“ทำไมต้อง…อะ...อ้าว” นรินทร์ไม่ทันได้ถามแม่สายก็ชิงเดินนำหน้าไปก่อนเสียแล้ว ทิ้งความสงสัยว่าทำไมแม่สายถึงได้รู้ชื่อของเธอไว้ในใจ นรินทร์ตั้งท่าที่จะเดินตามแม่สายให้ทันแต่ก็ถูกมือหนาของเทวินคว้าแขนไว้เสียก่อน“หัวหน้าคุยอะไรกันหรือครับ? ท่าทางดูตกใจขนาดนั้น” เทวินเอ่ยถาม“ไม่”“หือ? อะไรนะครับ”“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้มะ?”เอ่ยตอบพร้อมยักคิ้วอย่างกวนๆ“โห่…หัว…”ไม่ทันได้ตอบภากรณ์ก็เดินเข้ามาแทรกกลางทั้งสองทำเอาเทวินถึงกับยอมละมือที่คว้าจับแขนของนรินทร์เอาไว้ออกแทบจะทันที เทวินหันไปมองตามหลังภากรณ์ขบเคี้ยวเขี้ยว
“ไปกันใหญ่แล้วมึง เห็นกูเป็นพระถังซัมจั๋งเหรอถึงได้คิดว่ามันเคารพกูน่ะ” นรินทร์พูดตอบนิลนนท์ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงอย่างยิ้มๆ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่นิลนนท์พูด“แต่กูเชื่ออย่างนั้นนะ...” นิลนนท์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่น นรินทร์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ คิดว่านิลนนท์คงพูดหยอกล้อต่อมุขเธอเล่น เธอจึงไม่ได้ตอบอะไรออกไปก่อนจะมีเพื่อนรุ่นน้องในทีมจะกล่าวเสริม“พี่นิลนนท์พูดเหมือนกับอ่านใจงูได้อย่างนั้นแหละ” มินตราที่นั่งติดกระจกรถข้างๆนิลนนท์พูดขึ้นแล้วมองนิลนนท์อย่างสงสัย เพราะเธอก็เห็นเขาจ้องมองงูเหมือนกับกำลังคุยกับมันอย่างไรอย่างนั้น“มินตรา มึงเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ...สาวคลั่งเทคโนโลยีอย่างมึงเนี่ยนะ” เทวินที่นั่งอยู่ข้างหลังกับภากรณ์พูดขึ้นและมองมินตราอย่างไม่อยากเชื่อ คนอื่นๆก็มองเทวินก่อนจะหันกลับมามองมินตราเช่นกัน“เปรียบเปรยจ้ะ เขาเรียกว่าเรียกว่าเปรียบเปรย” มินตราตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก“อาจจะคุยรู้เรื่องก็ได้ พวกอสรพิษ…เลี้ยงไม่เชื่องอยู่แล้ว…พวกมั
นรินทร์สะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับหายใจหอบ ภาพฝันที่วูบเข้าหาตัวเธอนั้นยังคงจำได้ติดตา มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน นรินทร์เสยผมตรงสวยของตนก่อนจะหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเตียงเพื่อดูเวลาพร้อมกับถอนหายใจ “ตีสาม...อีกแล้วเหรอ”หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะพาร่างของตนลุกขึ้นแล้วเดินไปยังโซนห้องครัวเพื่อหาน้ำเปล่ามาดื่มเรียกสติให้ตัวเองตื่นเสียหน่อย มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เธอฝันอะไรแบบนี้ การตื่นกลางดึกทั้งที่เป็นเวลาพักผ่อนมันทำให้ร่างกายเธอของอ่อนเพลียไม่น้อย แต่ครั้นจะให้นอนก็เห็นทีจะนอนไม่หลับไปเสียแล้วร่างโปร่งมองหญิงสาวอันเป็นที่รักอย่างห่วงใย ภายในใจสงสัยไม่น้อยว่าทำไมคีภัทราถึงได้แทรกแซงฝันของนรินทร์ได้ เขาจึงทำได้เพียงปลุกเธอให้ตื่นด้วยมนตร์เท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่นรินทร์ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเสียทุกครั้ง“คีภัทรานี่ใครกัน...ฝันถึงหลายรอบแล้วนะ...นางเจ้าองค์ไหนอีก...”นรินทร์พึมพำกับตนเองพร้อมกับนึ
นรินทร์กลับมาถึงคอนโดหลังจากการทำงานที่หนักหน่วงเธอหัวเสียอย่างที่สุด เสียพลังงานต่อล้อต่อเถียงกับบก.แต่มันก็ไม่เป็นผล ดันหลงกลสองพ่อลูกนั่นจนได้ที่ตั้งใจจะไปแย้งเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดหรูก็ดันไปตกหลุมพรางของอดีตผัวเก่าอย่างภากรณ์ซะได้ หรือเธอเองคงจะเคยชินกับการถูกเขาหลอกเสียล่ะมั้งผลเลยออกมาเป็นแบบนี้แต่คนอย่างนรินทร์ต้องไม่แพ้! เธอไม่มีวันให้เขาดูถูกเธอได้ยิ่งสถานะของเธอและเขาตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วมาดูกันหน่อยเป็นไงว่าคนอย่างนรินทร์น่ะเหรอกลัวความลำบาก คิดแล้วเธอก็เริ่มเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อหาข้อมูลของสถานที่ที่ทีมของเธอต้องไปทำสกู๊ปนรินทร์นั่งหน้าจมอยู่กับหน้าจอคอมเพื่อหาข้อมูลของสถานที่ที่เธอต้องไป จากคนที่ทำแต่งานไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน ก็ต้องมานั่งหาข้อมูลกันเสียหน่อย“บูรบุรี เมืองอะไรกันล่ะเนี่ยไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย” ความรู้สึกแปลกประหลาดวังเวงคลืบคลานเข้ามาจนทำให้ขนลุก ห้องก็ห้องตัวเองอยู่มาก็นานแต่ทำไมเหมือนกับว่ามีคนอื่นที่นอกเหนือจากตนเองอยู่ด้วยกันนะ นรินทร์หันหน้าไปไปมอ
“ทีม Local ไปกันเถอะ ไม่อยากคุยกับ...หมา มันเห่าแล้วหนวกหู”นรินทร์พูดพร้อมหันไปเน้นย้ำคำหลังอย่างหนักแน่นและมองตรงไปยังภากรณ์อย่างตั้งใจ คนในทีมหัวเราะคิกคักชอบใจกับความดื้อร้ายไม่ยอมใครของนรินทร์ ก่อนเทวินจะถอนหายใจแล้วเงยหน้าพูดกับภากรณ์ที่ขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคืองกับคำพูดของนรินทร์“เฮ้อ...นี่สินะตัวอย่างสุภาษิตไทยที่ว่า...หมาหวงก้าง”ภากรณ์ได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองขวางเทวินที่ยืนยิ้มตาปริบๆ หน้าระรื่นใส่เขา ภากรณ์แค่นหัวเราะออกมาอย่างเยาะเย้ยพร้อมกับกอดอกเหมือนผู้ชนะ“อย่าได้ใจไปเลย ยังไงนรินทร์ก็ไม่มีทางเลิกรักฉันได้หรอก ไม่งั้นคงไม่อยู่กับฉันมาถึงเจ็ดปี ป่านนี้คงนึกเสียใจอยู่ข้างใน แค่ไม่แสดงออกก็เท่านั้น”“ครับ ผมจะรักษาแผลใจนั้นอย่างดีเลย ขอบคุณ...คุณภากรณ์ที่ช่วยเปิดทางให้”เทวินพูดขึ้นทั้งรอยยิ้มไม่มีทีท่าว่าจะสลดใจกับคำพูดของภากรณ์เลยแม้แต่น้อย การที่ผู้หญิงกำลังอ่อนแอแล้วมีใครสักคนเข้าไปดูแลอย่างจริงใจย่อมโอนเอนไปทางคนผู้นั้น ภากรณ์เข้าใจความหมายคำพูดของเทวินเป็นอย่างดี สีหน้าที่ยิ้มเยาะเทวินในตอนแรกกลับบึ้งตึงในทันทีพร้อมกับจ
หลังจากที่สะดุ้งตื่นกลางดึกอยู่บ่อยครั้งเช้านี้ก็เป็นอีกครั้งที่นรินทร์สะดุ้งตื่นจากความฝันที่เสมือนจริง เหตุการณ์เลือนรางไปบางช่วงตอนตื่น และก็ต้องหยุดชะงักกลางคันมันเสียตลอด แต่สำหรับเช้าวันใหม่นี้กลับสะดุ้งถึงสองครั้งสองหน แถมยังฝันเรื่องเดิมและมันดันเป็นเรื่องที่ปะติดปะต่อกันเหมือนได้เห็นเหตุการณ์ในโลกนิทานอย่างไรอย่างนั้นร่างอรชรลุกขึ้นจากเตียงใหญ่ด้วยความเมื่อยล้าร่าง แต่ในหัวกลับมีเรื่องที่ฝันเมื่อสักครู่วนเวียนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เลือกที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อและคิดว่าอย่างไรมันก็แค่ความฝัน หญิงสาวเดินเข้าไปอาบน้ำและทำกิจวัตรประจำวันเหมือนอย่างเคย มันแตกต่างจากทุกวันก็ตรงที่เธออยู่คนเดียวแล้วนับตั้งแต่เมื่อวานนี้ร่างโปร่งแสงมองเธอว้าวุ่นไปมาด้วยรอยยิ้มบางๆ แม้เธออาจจะมองไม่เห็นการมีอยู่ของเขาก็ตาม แต่ภายในใจของชายหนุ่มนั้นกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขที่ได้หวนกลับมาพบเจอดวงจิตของผู้เป็นที่รักยิ่งที่เขาเฝ้ารอและตามหามานานนับพันปี เขาได้เฝ้าตามคอยดูแลเธอมาตลอดเท่าอายุของเธอในปัจจุบัน...ประเดี๋ยวเราก็จักได้พานพบกันแล้ว นรินธรา...เส
“ขอประทานอภัยที่กระหม่อมต้องกล่าวความเช่นนี้...กระหม่อมมีชายาที่เจ้าเมืองต่างๆ การประทานให้หลังออกรบมีชัยกลับมา มิมีนางใดที่ข้ากระหม่อมพึงใจรักแม้แต่นางเดียว กระหม่อมขอสาบานว่า...มิได้ล่วงเกินชายานางใดแม้แต่ปลายเส้นผม มิได้ผูกเวรผูกกรรมต่อกันแล้วพระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นนั้น...เจ้าพี่เพชรจักพึงใจในตัวน้องรือเพคะ?” “ยามแลเห็นน้องคราแรก จากที่คิดว่าดวงใจนี้กลายเป็นหิน ก็กลับหลงรักน้องอย่างมิอาจหักใจ” “ชายใดเข้ามามักจักกล่าววาจาหวานหู ใจแท้จักเป็นจริงดั่งปากว่ารือมิรู้ได้” “ขอน้องนางจงอย่าเปรียบเทียบพี่กับชายใด พี่หลงรักน้องยาใจแม่นมั่นมิผันแปร” เจ้าเพชรแก้วตอบโต้นรินธราด้วยสายตาที่ไม่หลบเลี่ยงอย่างมาดมั่น แต่หญิงสาวกลับก้มหน้าลอบมองเจ้าเพชรแก้วอย่างขวยเขิน องค์มุจรินท์เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่นิมิตเห็น ทั้งสองคนคือคู่แท้กันมาตั้งแต่กี่ภพชาติมีเพียงเจ้าปู่เท่านั้นที่หยั่งรู้เห็นในชะตารักของคนทั้งคู่ งานอภิเษกสมรสของเจ้าเมืองบูรพา พญาเพชรแก้วจันทรานาคราชและพระนางนรินธรานาคีหลานของ
หญิงสาวรูปร่างอรชรผิวขาวเนียนผ่องเป็นยองใยเนียนละเอียดในชุดโบราณแต่งองค์ทรงเครื่องประดับด้วยทองหยองเต็มตัว มงกุฎทองคำพันรอบศีรษะสวย ผมมวยสูงทัดด้วยดอกมะลิส่งกลิ่นหอมอบอวลเสมือนกลิ่นประจำกายของหญิงสาว นิ้วมือเรียวสวยกรีดกรายลงบนผิวน้ำใสอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมองลงไปในแม่น้ำเห็นสรรพสัตว์มากมายแหวกว่ายไม่ไกลมือของเจ้าหล่อนนัก “เจ้าทำอันใดอยู่รือหลานปู่” ชายหนุ่มที่ดูไม่แก่ชราลงเลย แต่แทนตัวเองว่าปู่เดินเอามือไขว้หลังบ่งบอกถึงความมีอำนาจมาดใหญ่เข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งรื่นรมย์อยู่ริมธารพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มแต่งองค์ทรงเครื่องมงกุฎทองครอบเศียรทรงขอมที่มองดูก็ว่าคือราชาของเมืองนี้ บริวารที่เฝ้าตามารับใช้หญิงสาวต่างพากันโค้งหมอบให้ผู้ที่เดินเข้ามา มีเพียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างลำธารเพียงเท่านั้นที่หันไปมองราชาหนุ่มผู้มาเยือนพร้อมกับหันไปยิ้มรับอย่างอ่อนหวานก่อนจะเก็บมือไว้หน้าตักอย่างเรียบร้อยและโค้งศีรษะลงอย่างเคารพ “เจ้าปู่มุจรินท์ มีเรื่องอันใดรือเพคะถึงได้มาตามหาหลานด้วยพระองค์เอง” “เงยหน้าขึ้นเถิดหลานปู่...”