นางเป็นหมอผู้มีความสามารถรอบด้านจากโลกอนาคต ซึ่งที่นั่นทรัพยากรเริ่มขาดแคลนมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ก็ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน และทุกคนปรารถนาที่จะเป็นผู้มีความสามารถที่ทำได้ทุกอย่างเช่นนั้นจึงจะสามารถพิสูจน์คุณค่าของตัวเองและได้รับทรัพยากรมากขึ้นแม้แต่นางก็ไม่มีข้อยกเว้นดังนั้นนางจึงหมกมุ่นอยู่ในวงการแพทย์มาเกือบสามสิบปี ก่อนตายแม้แต่มือบุรุษนางก็ไม่เคยได้สัมผัสอ้อ ยกเว้นมือของบุรุษที่ตายไปแล้วน่ะนะคาดไม่ถึงว่าเดินข้ามเวลามายังไม่ทันครบวัน ก็เกือบจะมาเสียคนเอาตอนแก่อ้อ แต่ก็ยังไม่ถือว่าแก่หรอก เพราะร่างนี้อายุแค่สิบหกปีเท่านั้นแม้สถานการณ์ปัจจุบันจะไม่ดีนัก แต่เยี่ยนเว่ยฉือก็มีความสุขมากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกหนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางใส่กำไลห้วงอนันต์มาด้วยในโลกอนาคต ทุกคนจะมีกำไลห้วงอนันต์ที่ทำจากโลหะ ใช้สำหรับเก็บวัตถุที่ไม่มีชีวิตได้ทุกชนิดพื้นที่เก็บของนั้นไม่ใหญ่มาก เพียงสองสามตารางเมตรเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็ใช้เก็บของใช้ทั่วไปหลังจากที่เยี่ยนเว่ยฉือเดินทางข้ามเวลามา แวบแรกนางก็อยากรู้ทันทีว่าได้นำกำไลห้วงอนันต์ติดตัวมาด้วยหรือไม่
อวี๋เฟยเหยียนพยักหน้าและพูดต่อ “บิดาของนางคือผิงอี้โหว เยี่ยนหานซาน ส่วนมารดาของนางเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเสนาธิการทหารเยวี่ยฉงกังที่คอยปกป้องเมืองเป่ยติ้งในเวลานั้น นามว่าเยวี่ยฉงหรง”“หา?” เย่เทียนซูถามด้วยความประหลาดใจ “ไม่ใช่สิ นางเป็นลูกอนุไม่ใช่หรือ? หากมารดาของนางเป็นถึงน้องสาวของแม่ทัพชายแดน เหตุใดกลายมาเป็นอนุได้?”อวี๋เฟยเหยียนส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหตุการณ์ที่แน่ชัด รู้เพียงว่ามารดาของนางเสียชีวิตเมื่อนางอายุได้หกขวบ หลังจากนั้นมารดาเลี้ยงก็ไม่ต้อนรับนาง จึงส่งนางไปยังโรงเลี้ยงสัตว์ ตั้งแต่นั้นมา เด็กคนนี้ก็มีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด”เย่เทียนซูพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติ หัวหน้าหมู่บ้านตามชายแดนมักจะมองคนไม่เท่าเทียมกัน หากนายหญิงไม่ชอบลูกอนุ พวกเขาก็ย่อมปฏิบัติกับนางอย่างโหดร้ายเป็นธรรมดา”“นางนอนในเล้าหมูมาตลอดเลยหรือ?” ซ่างกวนซีถามแทรกอวี๋เฟยเหยียนสะดุ้งเล็กน้อยและตอบโดยไม่รู้ตัว “ศิษย์พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไร?”ซ่างกวนซีเม้มริมฝีปาก เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือที่มีท่าทางเลื่อนลอยไร้แก่นสารจะไม่ได้พูดโกหกชีวิตของนางยากลำบากและเจออุปสรรคมามาก
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เทียนซูพูด อวี๋เฟยเหยียนก็เอ่ยอย่างร้อนใจ “หากนางสามารถช่วยศิษย์พี่ใหญ่กำจัดพิษกู่เย็นได้จริง ๆ ข้าก็จะไม่ถือสาเรื่องที่นางเคยทำลายแผนของพวกเรา”ซ่างกวนซียังคงนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “เฟยเหยียน พรุ่งนี้เจ้าจงเข้าเมืองหลวงมาอย่างเปิดเผย แล้วป่าวประกาศว่าเจ้ามาเมืองหลวงก็เพราะข้า ข้าต้องการให้เจ้ากดดันอันกั๋วกงต่อหน้าธารกำนัล”อวี๋เฟยเหยียนเป็นบุตรของอ๋องเซียวเหยา และที่ดินศักดินาของตระกูลอ๋องเซียวเหยาก็คือเมืองกูซูตามกฎหมาย ตระกูลอ๋องเซียวเหยาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวงโดยปราศจากราชโองการ ดังนั้นอวี๋เฟยเหยียนจึงติดตามซ่างกวนซีมายังเมืองหลวงและซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมาตลอดตอนนี้ซ่างกวนซีสั่งให้เขาปรากฏตัวอย่างเปิดเผย เขาย่อมรู้สึกยินดีมาก ตอบตกลงทันทีจากนั้นซ่างกวนซีก็มองไปที่เย่เทียนซูอีกครั้งและพูดต่อ “ส่วนเจ้ากลับไปที่หอหงซิ่ว ต่อหน้าก็อย่าทำตัวเกี่ยวข้องกับข้า คอย...คอยปกป้องเยี่ยนเว่ยฉืออย่างลับ ๆ ด้วย”หอหงซิ่วเป็นหอนางโลมที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเมืองหลวงเพราะในราชสำนักล้วนถูกอันกั๋วกงและอ๋องจ่างซิ่นค
ซ่างกวนซีรีบนำผ้าห่มไปคลุมไว้แล้วหันหลังจากไปทันทีเขาเดินกลับมาที่เรือนพลางสูดหายใจเฮือกใหญ่ และอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ยัยเด็กบ้าสมควรตายเอ๊ย เหตุใดถึงไม่ใส่เสื้อผ้านอนเล่า?”นั่นเกือบจะทำลาย ‘วิชาถงจื่อกง’ ที่เขาฝึกฝนมาหลายปีซ่างกวนซีกุมหน้าอกของตัวเอง พยายามระงับจังหวะหัวใจที่เต้นรัว แต่เขาไม่สามารถระงับความรู้สึกร้อนรุ่มคันยุบยิบที่กระจายไปทั่วร่างกายได้ไม่รู้ว่ามันเป็นอาการคันจากแผลที่กำลังจะหาย หรือเป็นเพราะความรู้สึกภายในหัวใจที่ไม่สามารถควบคุมได้ซู่ซู่ซู่!ฝนฤดูใบไม้ผลิที่ตกลงมาค่อย ๆ ดับไฟราคะในหัวใจของซ่างกวนซีเขามองกลับไปที่ห้องของเยี่ยนเว่ยฉือ และพยายามพูดหลอกตัวเองว่า “แม้ข้าจะเห็นเรือนร่างของเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็เห็นของข้าไปแล้วเช่นกัน ก็ถือว่า...เจ้าไม่ได้เสียเปรียบ!”ซ่างกวนซีเดินจากไป แต่ความคิดของเขายังคงอยู่ที่ใต้ผ้าห่มผืนนั้น……เช้าวันรุ่งขึ้นเยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าคราวนี้ตนนอนหลับสบายเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะนางเคยนอนในเล้าหมูมาก่อน ยากนักที่จะได้นอนบนเตียงใหญ่ ๆ ที่ไม่มีกลิ่นมูลหมูหรือเสียงหมูรบกวนนางลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย และผ้าห่มบนตัวของนางก็ร่วงลง
เยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตาปริบ ๆ พลางมองทุกคนด้วยความสับสน จากนั้นก็มองไปทางประตูใหญ่ด้านนอก นางขมวดคิ้วและพูดว่า “ตาแก่เช่นท่านนี่ช่างไร้เหตุผลจริง ๆ ท่านพาคนมากมายบุกเข้ามาในจวนองค์รัชทายาทของข้า ซ้ำยังบอกว่าข้าทำตัวสามหาว? ข้าว่าท่านทำตัวสามหาวยิ่งกว่าเสียอีก!”ตาแก่?นางเรียกเขาว่าตาแก่อย่างนั้นรึ?!อันกั๋วกงกัดฟันพลางพูดว่า “เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้าสวมรอยแอบอ้างเป็นชายารัชทายาทแทนน้องสาวของเจ้าเยี่ยนชิงซู ตอนนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”“สวมรอยแอบอ้าง?” เยี่ยนเว่ยฉือเข้าใจจุดประสงค์ในการมาเยือนของอันกั๋วกงแล้วใครมันจะไปอยากปลอมตัวเป็นคนอื่นแล้วเข้าคุกไปมีสัมพันธ์สืบทายาทกันนี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการเลยด้วยซ้ำ จบไหม?เยี่ยนเว่ยฉือกลอกตาใส่อันกั๋วกงและพูดด้วยความโกรธ “อันกั๋วกง การจะใช้คำว่าสวมรอยแอบอ้างได้นั้น ก่อนอื่นก็ต้อง ‘สวมรอย’ ก่อนสิ ข้าไม่เคยบอกเสียหน่อยว่าข้าคือเยี่ยนชิงซู”“เถียงข้าให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ วันนี้เจ้าไม่มีทางรอดพ้นจากความผิดฐานสวมรอยแอบอ้างเป็นชายารัชทายาทไปได้แน่ ใครก็ได้ไปคุมตัวนางมา ข้าจะจับนางส่งเข้าคุก!”เยี่ยนเว่ยฉือถอนหายใจอย่างเ
เยี่ยนเว่ยฉือถอยหลังไปทีละก้าวจนหลังชนบานประตูเสียงดังกึกอันกั๋วกงรู้ว่าซ่างกวนซีอยู่ในห้อง แต่เขาไม่ยอมปรากฏตัว และไม่แม้แต่จะออกมาปกป้องนางเลยหรือซ่างกวนซีอาจจะเกลียดนางไปแล้วเพราะรู้ว่านางไม่ใช่เยี่ยนชิงซู?เมื่อคิดได้เช่นนั้น อันกั๋วกงก็ยิ้มเยาะพลางก้าวเข้าไปหาเยี่ยนเว่ยฉือดูท่าเขาต้องการจะจับนางด้วยตัวเองหรือ?เย่เทียนซูที่อยู่ในความมืดกลอกตาแล้วพูดว่า “ตาแก่ผู้นี้ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง ถึงกับยอมเสียศักดิ์ศรีเพื่อที่จะได้ระบายความโกรธและลงมือทำร้ายสาวน้อยไร้ทางสู้!”อวี๋เฟยเหยียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ยอมออกมาไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด พวกเราควรทำอย่างไรดี?”เย่เทียนซูเองก็คำนึงปัญหานี้ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ครุ่นคิดถึงต้นสายปลายเหตุ ก็มีคนมาเยือนที่จวนองค์รัชทายาทแห่งนี้เพิ่มอีก“ท่านพ่อ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป!” เสียงของเด็กสาวพูดขึ้น“ซูเอ๋อร์ อย่าดื้อ พวกเราต้องยอมรับผิดและขอโทษ ตอนนี้เรื่องเลยเถิดไปไกลแล้ว องค์รัชทายาทคงไม่ยอมข้องเกี่ยวกับเจ้าอีกแน่!” คนที่พูดประโยคนั้นเป็นชายวัยกลางคนดูเหมือนทั้งสองคนจะคิดว่าไม่มีใครอยู่ในจวนองค์รัชทายาท ถึงได้พูดจาไม่ม
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเยี่ยนชิงซูเห็นท่านหญิงหมิงหยางเดินเข้ามา นางก็รีบกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาแล้วพูดอย่างเอาแต่ใจ “ท่านแม่ ท่านมาก็ดีแล้ว พวกเขาบอกว่าท่านพ่อมีความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้เจ้าค่ะ!”หมิงหยางลูบเรือนผมยาวของลูกสาวด้วยความรัก จากนั้นก็มองไปที่อันกั๋วกงพลางขมวดคิ้วและพูดว่า “ท่านใต้เท้าอันกั๋วกง นั่นอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเปล่า? เหตุใดท่านไม่เชิญพี่ชายของข้ามาพูดคุยรายละเอียดกันเล่า?”อันกั๋วกงแค่นเสียงเย็น ท่านหญิงหมิงหยางใช้ชื่อพี่ชายใหญ่อ๋องจ่างซิ่นมาอ้างเช่นนี้ เพื่อต้องการจะกดดันเขาอย่างนั้นน่ะหรือ?ทุกวันนี้ จะเป็นคนจากในหรือนอกราชสำนักก็ไม่มีใครไม่รู้ว่า บรรดาขุนนางบุ๊นจะเชื่อฟังอันกั๋วกง และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊จะภักดีกับอ๋องจ่างซิ่นคนหนึ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและอีกคนเป็นฝ่ายบู๊ ทั้งสองต่างต่อสู้ขับเคี่ยวกันในราชสำนัก จนเกือบจะทำให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหมดบทบาทไปเลยนี่คือเหตุผลที่เยี่ยนหานซานกล้าที่จะให้บุตรีอนุมาแทนที่บุตรีภรรยาเอกเพราะมีจวนอ๋องจ่างซิ่นคอยหนุนหลังเขาอยู่อย่างไรเล่า!แน่นอนว่าเมื่ออันกั๋วกงได้ยินสิ่งที่ท่านหญิงหมิงหยางพูด เขาก็พยายามสงบเสงี่ยมเจียมต
เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มและพูดว่า “โธ่ถัง โกรธมากไม่ดีต่อสุขภาพนะเจ้าคะ ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้ามีวิธีที่จะทำให้ทั้งจวนโหวเอาตัวรอดไปได้โดยไม่เป็นอันตราย ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังสามารถขึ้นเป็นชายาองค์รัชทายาทได้อย่างราบรื่นด้วย และจะกรุยทางให้ท่านพ่อเดินไปสู่ความก้าวหน้าด้านการงาน เราพึ่งพาจวนอ๋องจ่างซิ่นเพียงอย่างไม่พอหรอก เรายังพึ่งจวนองค์รัชทายาทได้อีกด้วย มีแต่คำว่า ‘ได้กับได้’ ท่านพ่อคงไม่ได้ไม่เห็นด้วยใช่ไหมเจ้าคะ?”เยี่ยนหานซานสะดุ้งเล็กน้อยพลางลังเลในใจท่านหญิงหมิงหยางพึ่งพาจวนอ๋องจ่างซิ่นมาหลายปี แต่กลับทำให้เขาได้เป็นแค่ผิงอี้โหวธรรมดา ๆแม้จะมีตำแหน่ง แต่ในหกกรมเขาก็มีอำนาจน้อยมากถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็คือองค์รัชทายาท แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่มีอำนาจ แต่ใครจะกล้ารับประกันว่าในภายภาคหน้าเขาจะไม่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ดู ๆ แล้วหากจะผูกสัมพันธ์ไว้กับทั้งสองทางก็คงไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรมิตรรายล้อมมาพร้อมหลายเส้นทาง ศัตรูมากมายกลายเป็นเพิ่มอุปสรรคเมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยนหานซานก็เดินแยกออกมา เยี่ยนเว่ยฉือที่เห็นเช่นนั้นก็เดินกระโดดปึ๋งตามเขาไปราวกับกระต่ายน้อยหลังจากที่พวกเขาทั้งสอง