แสงไฟจากโคมระย้าที่ประดับอยู่กลางห้องบอลรูมหรูหราของโรงแรมระดับห้าดาวส่องประกายระยิบระยับ เสียงพูดคุยหัวเราะของแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแต่งดังก้องไปทั่ว แต่บรรยากาศในใจของพิมพ์ดาวกลับว่างเปล่า
ชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ที่เธอสวมใส่เป็นผลงานจากดีไซเนอร์ชื่อดัง ถูกตัดเย็บอย่างประณีตเพื่อให้เหมาะกับรูปร่างของเธอที่สุด ผ้าลูกไม้เนื้อละเอียดโอบรัดช่วงไหล่ และกระโปรงยาวพริ้วไหวดั่งเจ้าหญิงในเทพนิยาย ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แต่หัวใจของเธอกลับไม่รู้สึกถึงความงดงามใด ๆ เลย
เจ้าสัวพิชิต และคุณหญิงจินดา วรากร ยืนยิ้มรับแขกพร้อมคู่บ่าวสาวอยู่ที่หน้างาน
“ทำไมไม่เห็นครอบครัวฝ่ายชายเลยหล่ะ” คุณหญิงพยายามมองหาแต่ก็ไม่พบ จนตอนนี้จะเริ่มงานแล้ว เจ้าบ่าวก็ยังไม่ได้พาแขกผู้ใหญ่มาแนะนำสักคน
“เคยได้ยินว่าเขาเติบโตอยู่ต่างประเทศ” เจ้าสัวตอบกลับภรรยา เขาก็รู้สึกไม่ดีที่ครอบครัวฝ่ายชายไม่มาร่วมงาน เหมือนไม่ให้เกียรติกันยังไงยังงั้น
“ต่อให้เติบโตอยู่ต่างประเทศ แต่นี้คืองานแต่งลูกชายนะ จะไม่มาร่วมงานกันเลยเหรอ เหลวไหลจริง ๆ” คุณหญิงยังไม่วายบ่นออกมา เมื่อเหลือบไปเห็นหน้าของลูกสาวก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“ดูหน้าเจ้าสาวสิ ทำไมหน้าดูไม่มีความสุขอย่างนี้ ฉันสงสารลูกจังเลยคุณ”
เจ้าสัวเหลือบมองไปยังเจ้าสาวที่ยืนเคียงข้างกับเจ้าบ่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาก็สะท้านใจ เขารู้ว่าลูกสาวต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือกจริง ๆ
ธีรภัทรในชุดสูทสีดำสง่างามยืนอยู่ข้างเธอ มือของเขาประสานกับมือของเธอหลวม ๆ ท่ามกลางสายตาของแขกในงานที่จับจ้องมองด้วยความสนใจ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงหุ่นเชิดในละครที่ถูกกำกับให้เดินตามบทบาทที่ไม่ได้เป็นของตัวเอง
“เจ้าสาวสวยมากเลยนะครับคุณธีร์” แขกคนหนึ่งกล่าวชื่นชม
ธีรภัทรแค่ยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่บีบมือของพิมพ์ดาวเบา ๆ ราวกับจะเตือนให้เธออยู่ในบทบาทของตัวเอง
งานแต่งนี้ไม่มีความโรแมนติก ไม่มีคำสาบานรัก ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มจริงใจจากเจ้าบ่าว มีเพียงพิธีการที่ถูกจัดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของเขาและเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลเธอเท่านั้น
เมื่อถึงเวลาที่พิธีกรประกาศให้เจ้าบ่าวกล่าวคำพูดขอบคุณแขกในงาน
"แขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ" เสียงของพิธีกรดังขึ้น "เจ้าบ่าวของเราอยากจะกล่าวอะไรกับเจ้าสาวของเขาสักหน่อย"
พิมพ์ดาวชะงัก หัวใจเต้นแรงด้วยความกังวล เธอไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร แต่จากท่าทีของเขา คำพูดนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่เธออยากฟังแน่
ธีรภัทรก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทีมั่นใจ เขาหยิบไมโครโฟนขึ้นมาและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างสุขุม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันนี้”
เขาหยุดเล็กน้อย รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก แต่มันไม่ได้อบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
"ผมรู้ว่าหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมผมถึงแต่งงานครั้งนี้" เขาเริ่มพูด น้ำเสียงเรียบเย็น "แต่ความจริงแล้ว... ผมไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก"
เสียงซุบซิบของแขกดังขึ้นทันที พิมพ์ดาวรู้สึกเหมือนมีมีดกรีดผ่านหัวใจเธอ เธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่แรงกดดันจากทุกสายตาที่มองมาทำให้เธอแทบทรุดลงไปตรงนั้น
"ผมแต่งงานเพราะ... มันเป็นสิ่งที่ผมต้องรับผิดชอบ" ธีรภัทรกล่าวต่อ ดวงตาคมกริบของเขามองเธอแน่วแน่ "เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคาดหวังอะไรจากผมมากนักนะ พิมพ์ดาว"
ประโยคนั้นดังก้องในโสตประสาทของเธอ ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้อง ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอ พิมพ์ดาวกำมือแน่นเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ตัวสั่น
ธีรภัทรยังคงพูดต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ผมเห็นว่าเธอและครอบครัวของเธออยู่ในสถานการณ์ลำบาก และผมมีวิธีช่วย ดังนั้นการแต่งงานนี้จึงเกิดขึ้น” เขาหันไปสบตาเธอโดยตรง
“มันเป็นเพียงข้อตกลง ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น”
เมื่อได้ยินสิ่งที่พูดออกมาจากปากเจ้าบ่าว เจ้าสัวและภรรยาที่ยืนยิ้มในตอนแรกก็ต้องรีบหุบยิ้มทันที ทั้งสองคนทำหน้าไม่ถูกเมื่อมีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ตัวพวกเขา สลับกับเจ้าสาวเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงการเหยียดหยามอย่างที่สุด
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากบางมุมของงาน พิมพ์ดาวกำมือแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือตัวเองเพื่อระงับอารมณ์ เธอรู้สึกเหมือนถูกทำให้เป็นตัวตลกในวันสำคัญของตัวเอง
เสียงคน ๆ หนึ่ง ตะโกนขึ้นไปบนเวที “ถ้ารู้ว่าตระกูลวรากรยอมรับข้อเสนอแบบนี้ด้วย ผมคงรีบติดต่อเจ้าสัวก่อนคุณธีรภัทรแล้ว แต่เงินผมไม่ได้เยอะเท่าคุณธีร เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ได้จัดงานแต่ง แต่แค่ได้ใกล้ชิดชั่วคราวก็เท่านั้นนะครับ”
เมื่อจบประโยคนั้น ชายคนนั้นและเพื่อน ๆ พร้อมกับแขกหลายคนก็หัวเราะเยาะออกมา
พิมพ์ดาวกะพริบตาถี่ ๆ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
‘ทำไมเขาต้องพูดออกสื่อแบบนี้’ เธอถามตัวเอง ‘ทำไมต้องเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฉันขนาดนี้’
หลังจากลงจากเวที พิมพ์ดาวเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงทันทีโดยไม่รอใคร เธอไม่สนว่ามันจะดูเสียมารยาทแค่ไหน เธอรู้แค่ว่าเธอทนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
เธอเดินไปตามทางเดินของโรงแรม หัวใจเต้นแรงด้วยความโกรธและความอับอาย ก่อนที่มือใหญ่ของใครบางคนจะคว้าแขนเธอไว้จากด้านหลัง
“คุณจะไปไหน” ธีรภัทรถามเสียงเรียบแต่แฝงด้วยแรงกดดัน
“ไปให้พ้นจากคุณไง!” เธอสบตาเขาด้วยแววตาแข็งกร้าว แต่ในใจกลับรู้สึกสั่นไหว
ธีรภัทรถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกระซิบเสียงเย็น "อย่าทำให้เรื่องยุ่งยากกว่านี้ พิมพ์ดาว"
เธอจ้องหน้าเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวด "ฉันมันน่าสมเพชขนาดนั้นเลยใช่ไหม? จนคุณต้องมาพูดเหยียดฉันต่อหน้าคนทั้งงานแบบนี้!"
เขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกระตุกแขนเธอเบา ๆ ให้เดินตามเขาไป "คืนนี้ยังอีกยาวไกล อย่าดื้อ"
เมื่อกลับเข้ามาถึงในห้อง พิมพ์ดาวก็ได้ยินเสียงแขกกลุ่มหนึ่งกำลังพูดถึงเธอกับครอบครัวอยู่
“ก็ว่าทำไมแต่งงานเร็ว ที่แท้ก็เรื่องเงินสินะ”
“น่าสงสารคุณธีร์จริง ๆ ต้องแต่งเพราะความรับผิดชอบ”
“ผมก็อยากจะแต่งเพราะความรับผิดชอบกับเจ้าสาวที่สวยแบบนี้เหมือนกันนะครับ”
“แล้วคุณมีเงินเท่ากับคุณธีร์หรือเปล่าหล่ะ ได้ข่าวว่าหนี้สินฝั่งนั้นมีไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน”
“โห ถ้าแต่งผู้หญิงแค่คนเดียวต้องเสียถึง 100 ล้าน ต่อให้สวยแค่ไหน ผมก็ไม่เอาหรอกครับ เอาเงินไปซื้อดาราตัวท๊อปมานอนกอดเล่นดีกว่า เปลี่ยนได้ทุกวัน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณเนี่ยช่างพูดจริง ๆ”
ธีรภัทรสังเกตเห็นพิมพ์ดาวมองตรงไปที่คนกลุ่มนี้ เมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังพูด ปากก็กระตุกยิ้มขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มไม่รอช้าจูงมือเจ้าสาวตรงเข้าไปในกลุ่มทันที
“สวัสดีครับ ขอบคุณทุกคนนะครับมาร่วมงานแต่งผมกับคุณดาวในวันนี้” เสียงทุ้มดังขึ้น ปลุกให้วงซุบซิบของไฮโซนี้รีบหยุดปากลงทันที ทุกคนหันหน้ามาหาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“ยินดีด้วยนะครับ คุณธีร์ เจ้าสาวสวยจริง ๆ แต่สินสอดแพงไปหน่อยนะครับ”
ทุกคนพยักเพยิดกันอย่างขำ ๆ ในขณะที่พิมพ์ดาวได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าใคร พร้อมกับกำมือแน่น
ธีรภัทรรู้ว่าหญิงสาวรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ แต่นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาหันไปมองหน้าเจ้าสัวพิชิตและภรรยาที่ตอนนี้ยืนทำหน้าเสีย ในขณะที่มือก็กำไว้แน่นเพื่ออดทนให้งานนี้ผ่านไปให้เร็วที่สุด
เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างชั่วร้าย ‘อย่าเพิ่งอกแตกตายกันไปก่อนหล่ะ นี่มันเพิ่งเริ่มต้น’
เมื่อถึงเวลาส่งตัว เจ้าสาวต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนหอตามธรรมเนียม แต่สำหรับพิมพ์ดาว ทุกอย่างดูเหมือนเพียงพิธีกรรมที่ไร้ซึ่งความหมาย เป็นเพียงจุดสิ้นสุดของค่ำคืนอันเลวร้ายที่เธอไม่สามารถหลีกหนีได้
พ่อแม่ของเธอยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและไม่สบายใจ แม่ของพิมพ์ดาวพยายามฝืนยิ้มแม้ดวงตาจะคลอไปด้วยน้ำตา
“ฝากลูกสาวเราด้วยนะ” เสียงของแม่แผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความหมาย
ธีรภัทรเหลือบมอง ก่อนจะพยักหน้ารับเพียงนิด ไม่มีแม้แต่คำพูดใด ๆ ตอบกลับมา
บรรยากาศเงียบงันและน่าอึดอัด
ทันใดนั้น เขายื่นมือมาคว้าข้อมือของพิมพ์ดาว ดึงเธอให้เดินตามเข้าไปด้านใน
“เจ็บนะ!” พิมพ์ดาวพยายามสะบัดแขนออก แต่แรงของเขาแน่นหนาเหมือนกุญแจมือ
“อย่าดื้อ” ธีรภัทรโน้มหน้าลงมากระซิบเสียงเข้ม “คุณไม่อยากให้คืนนี้แย่ไปกว่านี้ใช่ไหม?”
พ่อของพิมพ์ดาวขยับตัวเข้ามาหมายจะห้าม แต่ธีรภัทรหันไปมองด้วยสายตานิ่งเฉย ราวกับไม่ได้รู้สึกผิดหรือเห็นความสำคัญของใครเลย
แม่ของเธอกลั้นน้ำตาไว้ ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ขณะที่พ่อของเธอกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหลังมือ
“ทำไมเขาถึงทำกับลูกเราแบบนี้…” พ่อพึมพำเบา ๆ อย่างข่มอารมณ์
คืนนั้น ครอบครัวของพิมพ์ดาวจากไปด้วยความเจ็บช้ำ ขณะที่ตัวเธอเองต้องเผชิญหน้ากับชีวิตแต่งงานที่ไร้หัวใจเพียงลำพัง—ชีวิตที่เธอไม่เคยต้องการเลยแม้แต่น้อย
พิมพ์ดาวก้าวเข้าไปในห้องหอที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างหรูหรา ภายในห้องชุดขนาดใหญ่ของโรงแรมห้าดาว ทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง เตียงนอนขนาดคิงไซส์ปูด้วยผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดตา กลีบกุหลาบสีแดงกระจัดกระจายไปทั่วพื้นผ้า ดวงไฟสีเหลืองนวลส่องแสงให้บรรยากาศโรแมนติกสมกับค่ำคืนแห่งการเริ่มต้นชีวิตคู่แต่สำหรับเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้กลับดู แห้งแล้งปราศจากชีวิตชีวา และไร้ความหมายเสียงปิดประตูดัง "ปัง!" ดึงสติของพิมพ์ดาวให้กลับมาอีกครั้ง เธอหันไปมองชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาหลังเธอ ธีรภัทรถอดสูทออกอย่างไม่ใยดี ก่อนจะโยนมันลงบนโซฟาตัวหรูแล้วเดินตรงไปยังมินิบาร์ เทไวน์รินใส่แก้วอย่างใจเย็น ก่อนจะจิบมันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาไม่แม้แต่จะปรายตามองเธอด้วยซ้ำพิมพ์ดาวยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามา—ความโกรธ ความอับอาย ความเจ็บปวด และความสิ้นหวัง เธอพยายามข่มมันเอาไว้ กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของตัวเอง“คุณจะให้ฉันยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยหรือไง” เธอเอ่ยขึ้นในที่สุด พยายามรักษาน้ำเสียงให้มั่นคงธีรภัทรถอนหายใจเบา ๆ ก่
เสียงล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์อย่างนุ่มนวล ปลุกธีรภัทรให้ตื่นจากภวังค์ของความคิด ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสุดเนี้ยบ นั่งอยู่ชั้นเฟิร์สคลาส ดวงตาคมกริบจับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง ภาพของเมืองกรุงเทพฯ ที่เขาจากไปหลายปีปรากฏขึ้นอีกครั้ง“ยินดีต้อนรับกลับประเทศไทยครับ คุณธีรภัทร”เสียงพนักงานต้อนรับเอื้อนเอ่ยอย่างสุภาพ ขณะที่เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น จัดเสื้อสูทให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวลงจากเครื่องบิน“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะนายธีร์ ” เขาพึมพำกับตัวเอง แสยะยิ้มบางๆ ที่ซ่อนความหมายบางอย่างธีรภัทร อัครเดชากุล หรือ ธีร์ เจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของประเทศ เขาคือลูกชายคนโตของท่านอรรถพล อัครวรเดช อดีตเจ้าของ อัครวรเดชกรุ๊ป กลุ่มธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เคยรุ่งเรือง กับ คุณหญิงมณีรัตน์ อัครวรเดช ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ สูงโปร่ง สมาร์ท และเต็มไปด้วยบารมี เส้นผมสีดำสนิทถูกจัดทรงอย่างเรียบร้อย ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยเสน่ห์แฝงอำนาจ ดวงตาสีนิลนั้นแสนเย็นชา สายตาไม่บ่งบอกอะไรเมื่อมองไปยังผู้คน ทำให้เกิดความน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถู
พิมพ์ดาวจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า ราวกับว่าเธอได้ยินอะไรผิดไป“คุณพูดว่าอะไรนะคะ?” เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงตกตะลึงธีรภัทรยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเจ้าเล่ห์“คุณได้ยินไม่ผิดหรอกครับ ผมเสนอที่จะช่วยเหลือครอบครัวของคุณ แลกกับการที่คุณต้องแต่งงานกับผมเป็นเวลา 1 ปี”“มันไร้สาระ!” พิมพ์ดาวโพล่งขึ้น น้ำเสียงเธอสั่นเครือด้วยความโกรธ “ฉันไม่มีวันแต่งงานกับคุณ!”“ใจเย็นก่อนลูก” เจ้าสัวพิชิตแตะมือเธอเบา ๆ เพื่อให้เธอสงบลง เขาหันไปมองธีรภัทรด้วยสายตาครุ่นคิด“คุณธีรภัทร นี่เป็นข้อเสนอที่ค่อนข้าง…สุดโต่งไปหน่อย”“สุดโต่ง?” ธีรภัทรหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหน้า วางข้อศอกลงบนโต๊ะ “เจ้าสัวครับ ผมคิดว่าคุณเองก็คงรู้ดี ว่าตอนนี้คุณไม่มีทางเลือกมากนัก”พิมพ์ดาวกัดริมฝีปากแน่น เธออยากเถียงแต่ก็รู้ว่าคำพูดของธีรภัทรไม่ผิดนัก ครอบครัวของเธอกำลังจะล้มละลาย หนี้สินพอกพูน และถ้าไม่มีใครช่วยเหลือ พ่อของเธออาจถูกฟ้องล้มละลาย และ
พิมพ์ดาวก้าวเข้าไปในห้องหอที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างหรูหรา ภายในห้องชุดขนาดใหญ่ของโรงแรมห้าดาว ทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง เตียงนอนขนาดคิงไซส์ปูด้วยผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดตา กลีบกุหลาบสีแดงกระจัดกระจายไปทั่วพื้นผ้า ดวงไฟสีเหลืองนวลส่องแสงให้บรรยากาศโรแมนติกสมกับค่ำคืนแห่งการเริ่มต้นชีวิตคู่แต่สำหรับเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้กลับดู แห้งแล้งปราศจากชีวิตชีวา และไร้ความหมายเสียงปิดประตูดัง "ปัง!" ดึงสติของพิมพ์ดาวให้กลับมาอีกครั้ง เธอหันไปมองชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาหลังเธอ ธีรภัทรถอดสูทออกอย่างไม่ใยดี ก่อนจะโยนมันลงบนโซฟาตัวหรูแล้วเดินตรงไปยังมินิบาร์ เทไวน์รินใส่แก้วอย่างใจเย็น ก่อนจะจิบมันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาไม่แม้แต่จะปรายตามองเธอด้วยซ้ำพิมพ์ดาวยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามา—ความโกรธ ความอับอาย ความเจ็บปวด และความสิ้นหวัง เธอพยายามข่มมันเอาไว้ กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของตัวเอง“คุณจะให้ฉันยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยหรือไง” เธอเอ่ยขึ้นในที่สุด พยายามรักษาน้ำเสียงให้มั่นคงธีรภัทรถอนหายใจเบา ๆ ก่
แสงไฟจากโคมระย้าที่ประดับอยู่กลางห้องบอลรูมหรูหราของโรงแรมระดับห้าดาวส่องประกายระยิบระยับ เสียงพูดคุยหัวเราะของแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแต่งดังก้องไปทั่ว แต่บรรยากาศในใจของพิมพ์ดาวกลับว่างเปล่าชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ที่เธอสวมใส่เป็นผลงานจากดีไซเนอร์ชื่อดัง ถูกตัดเย็บอย่างประณีตเพื่อให้เหมาะกับรูปร่างของเธอที่สุด ผ้าลูกไม้เนื้อละเอียดโอบรัดช่วงไหล่ และกระโปรงยาวพริ้วไหวดั่งเจ้าหญิงในเทพนิยาย ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แต่หัวใจของเธอกลับไม่รู้สึกถึงความงดงามใด ๆ เลยเจ้าสัวพิชิต และคุณหญิงจินดา วรากร ยืนยิ้มรับแขกพร้อมคู่บ่าวสาวอยู่ที่หน้างาน“ทำไมไม่เห็นครอบครัวฝ่ายชายเลยหล่ะ” คุณหญิงพยายามมองหาแต่ก็ไม่พบ จนตอนนี้จะเริ่มงานแล้ว เจ้าบ่าวก็ยังไม่ได้พาแขกผู้ใหญ่มาแนะนำสักคน“เคยได้ยินว่าเขาเติบโตอยู่ต่างประเทศ” เจ้าสัวตอบกลับภรรยา เขาก็รู้สึกไม่ดีที่ครอบครัวฝ่ายชายไม่มาร่วมงาน เหมือนไม่ให้เกียรติกันยังไงยังงั้น“ต่อให้เติบโตอยู่ต่างประเทศ แต่นี้คืองานแต่งลูกชายนะ จะไม่มาร่วมงานกันเลยเหรอ เหลวไหลจริง ๆ” คุณหญิงยังไม่วายบ่นออกมา
พิมพ์ดาวจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า ราวกับว่าเธอได้ยินอะไรผิดไป“คุณพูดว่าอะไรนะคะ?” เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงตกตะลึงธีรภัทรยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและเจ้าเล่ห์“คุณได้ยินไม่ผิดหรอกครับ ผมเสนอที่จะช่วยเหลือครอบครัวของคุณ แลกกับการที่คุณต้องแต่งงานกับผมเป็นเวลา 1 ปี”“มันไร้สาระ!” พิมพ์ดาวโพล่งขึ้น น้ำเสียงเธอสั่นเครือด้วยความโกรธ “ฉันไม่มีวันแต่งงานกับคุณ!”“ใจเย็นก่อนลูก” เจ้าสัวพิชิตแตะมือเธอเบา ๆ เพื่อให้เธอสงบลง เขาหันไปมองธีรภัทรด้วยสายตาครุ่นคิด“คุณธีรภัทร นี่เป็นข้อเสนอที่ค่อนข้าง…สุดโต่งไปหน่อย”“สุดโต่ง?” ธีรภัทรหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหน้า วางข้อศอกลงบนโต๊ะ “เจ้าสัวครับ ผมคิดว่าคุณเองก็คงรู้ดี ว่าตอนนี้คุณไม่มีทางเลือกมากนัก”พิมพ์ดาวกัดริมฝีปากแน่น เธออยากเถียงแต่ก็รู้ว่าคำพูดของธีรภัทรไม่ผิดนัก ครอบครัวของเธอกำลังจะล้มละลาย หนี้สินพอกพูน และถ้าไม่มีใครช่วยเหลือ พ่อของเธออาจถูกฟ้องล้มละลาย และ
เสียงล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์อย่างนุ่มนวล ปลุกธีรภัทรให้ตื่นจากภวังค์ของความคิด ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสุดเนี้ยบ นั่งอยู่ชั้นเฟิร์สคลาส ดวงตาคมกริบจับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง ภาพของเมืองกรุงเทพฯ ที่เขาจากไปหลายปีปรากฏขึ้นอีกครั้ง“ยินดีต้อนรับกลับประเทศไทยครับ คุณธีรภัทร”เสียงพนักงานต้อนรับเอื้อนเอ่ยอย่างสุภาพ ขณะที่เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น จัดเสื้อสูทให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวลงจากเครื่องบิน“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะนายธีร์ ” เขาพึมพำกับตัวเอง แสยะยิ้มบางๆ ที่ซ่อนความหมายบางอย่างธีรภัทร อัครเดชากุล หรือ ธีร์ เจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของประเทศ เขาคือลูกชายคนโตของท่านอรรถพล อัครวรเดช อดีตเจ้าของ อัครวรเดชกรุ๊ป กลุ่มธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เคยรุ่งเรือง กับ คุณหญิงมณีรัตน์ อัครวรเดช ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ สูงโปร่ง สมาร์ท และเต็มไปด้วยบารมี เส้นผมสีดำสนิทถูกจัดทรงอย่างเรียบร้อย ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยเสน่ห์แฝงอำนาจ ดวงตาสีนิลนั้นแสนเย็นชา สายตาไม่บ่งบอกอะไรเมื่อมองไปยังผู้คน ทำให้เกิดความน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถู