แสงไฟจากโคมระย้าที่ประดับอยู่กลางห้องบอลรูมหรูหราของโรงแรมระดับห้าดาวส่องประกายระยิบระยับ เสียงพูดคุยหัวเราะของแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแต่งดังก้องไปทั่ว แต่บรรยากาศในใจของพิมพ์ดาวกลับว่างเปล่า
ชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ที่เธอสวมใส่เป็นผลงานจากดีไซเนอร์ชื่อดัง ถูกตัดเย็บอย่างประณีตเพื่อให้เหมาะกับรูปร่างของเธอที่สุด ผ้าลูกไม้เนื้อละเอียดโอบรัดช่วงไหล่ และกระโปรงยาวพริ้วไหวดั่งเจ้าหญิงในเทพนิยาย ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แต่หัวใจของเธอกลับไม่รู้สึกถึงความงดงามใด ๆ เลย
เจ้าสัวพิชิต และคุณหญิงจินดา วรากร ยืนยิ้มรับแขกพร้อมคู่บ่าวสาวอยู่ที่หน้างาน
“ทำไมไม่เห็นครอบครัวฝ่ายชายเลยหล่ะ” คุณหญิงพยายามมองหาแต่ก็ไม่พบ จนตอนนี้จะเริ่มงานแล้ว เจ้าบ่าวก็ยังไม่ได้พาแขกผู้ใหญ่มาแนะนำสักคน
“เคยได้ยินว่าเขาเติบโตอยู่ต่างประเทศ” เจ้าสัวตอบกลับภรรยา เขาก็รู้สึกไม่ดีที่ครอบครัวฝ่ายชายไม่มาร่วมงาน เหมือนไม่ให้เกียรติกันยังไงยังงั้น
“ต่อให้เติบโตอยู่ต่างประเทศ แต่นี้คืองานแต่งลูกชายนะ จะไม่มาร่วมงานกันเลยเหรอ เหลวไหลจริง ๆ” คุณหญิงยังไม่วายบ่นออกมา เมื่อเหลือบไปเห็นหน้าของลูกสาวก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“ดูหน้าเจ้าสาวสิ ทำไมหน้าดูไม่มีความสุขอย่างนี้ ฉันสงสารลูกจังเลยคุณ”
เจ้าสัวเหลือบมองไปยังเจ้าสาวที่ยืนเคียงข้างกับเจ้าบ่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาก็สะท้านใจ เขารู้ว่าลูกสาวต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือกจริง ๆ
ธีรภัทรในชุดสูทสีดำสง่างามยืนอยู่ข้างเธอ มือของเขาประสานกับมือของเธอหลวม ๆ ท่ามกลางสายตาของแขกในงานที่จับจ้องมองด้วยความสนใจ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงหุ่นเชิดในละครที่ถูกกำกับให้เดินตามบทบาทที่ไม่ได้เป็นของตัวเอง
“เจ้าสาวสวยมากเลยนะครับคุณธีร์” แขกคนหนึ่งกล่าวชื่นชม
ธีรภัทรแค่ยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่บีบมือของพิมพ์ดาวเบา ๆ ราวกับจะเตือนให้เธออยู่ในบทบาทของตัวเอง
งานแต่งนี้ไม่มีความโรแมนติก ไม่มีคำสาบานรัก ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มจริงใจจากเจ้าบ่าว มีเพียงพิธีการที่ถูกจัดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของเขาและเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลเธอเท่านั้น
เมื่อถึงเวลาที่พิธีกรประกาศให้เจ้าบ่าวกล่าวคำพูดขอบคุณแขกในงาน
"แขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ" เสียงของพิธีกรดังขึ้น "เจ้าบ่าวของเราอยากจะกล่าวอะไรกับเจ้าสาวของเขาสักหน่อย"
พิมพ์ดาวชะงัก หัวใจเต้นแรงด้วยความกังวล เธอไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร แต่จากท่าทีของเขา คำพูดนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่เธออยากฟังแน่
ธีรภัทรก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทีมั่นใจ เขาหยิบไมโครโฟนขึ้นมาและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างสุขุม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันนี้”
เขาหยุดเล็กน้อย รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก แต่มันไม่ได้อบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
"ผมรู้ว่าหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมผมถึงแต่งงานครั้งนี้" เขาเริ่มพูด น้ำเสียงเรียบเย็น "แต่ความจริงแล้ว... ผมไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก"
เสียงซุบซิบของแขกดังขึ้นทันที พิมพ์ดาวรู้สึกเหมือนมีมีดกรีดผ่านหัวใจเธอ เธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่แรงกดดันจากทุกสายตาที่มองมาทำให้เธอแทบทรุดลงไปตรงนั้น
"ผมแต่งงานเพราะ... มันเป็นสิ่งที่ผมต้องรับผิดชอบ" ธีรภัทรกล่าวต่อ ดวงตาคมกริบของเขามองเธอแน่วแน่ "เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคาดหวังอะไรจากผมมากนักนะ พิมพ์ดาว"
ประโยคนั้นดังก้องในโสตประสาทของเธอ ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้อง ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอ พิมพ์ดาวกำมือแน่นเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ตัวสั่น
ธีรภัทรยังคงพูดต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ผมเห็นว่าเธอและครอบครัวของเธออยู่ในสถานการณ์ลำบาก และผมมีวิธีช่วย ดังนั้นการแต่งงานนี้จึงเกิดขึ้น” เขาหันไปสบตาเธอโดยตรง
“มันเป็นเพียงข้อตกลง ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น”
เมื่อได้ยินสิ่งที่พูดออกมาจากปากเจ้าบ่าว เจ้าสัวและภรรยาที่ยืนยิ้มในตอนแรกก็ต้องรีบหุบยิ้มทันที ทั้งสองคนทำหน้าไม่ถูกเมื่อมีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ตัวพวกเขา สลับกับเจ้าสาวเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงการเหยียดหยามอย่างที่สุด
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากบางมุมของงาน พิมพ์ดาวกำมือแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือตัวเองเพื่อระงับอารมณ์ เธอรู้สึกเหมือนถูกทำให้เป็นตัวตลกในวันสำคัญของตัวเอง
เสียงคน ๆ หนึ่ง ตะโกนขึ้นไปบนเวที “ถ้ารู้ว่าตระกูลวรากรยอมรับข้อเสนอแบบนี้ด้วย ผมคงรีบติดต่อเจ้าสัวก่อนคุณธีรภัทรแล้ว แต่เงินผมไม่ได้เยอะเท่าคุณธีร เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ได้จัดงานแต่ง แต่แค่ได้ใกล้ชิดชั่วคราวก็เท่านั้นนะครับ”
เมื่อจบประโยคนั้น ชายคนนั้นและเพื่อน ๆ พร้อมกับแขกหลายคนก็หัวเราะเยาะออกมา
พิมพ์ดาวกะพริบตาถี่ ๆ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
‘ทำไมเขาต้องพูดออกสื่อแบบนี้’ เธอถามตัวเอง ‘ทำไมต้องเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฉันขนาดนี้’
หลังจากลงจากเวที พิมพ์ดาวเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงทันทีโดยไม่รอใคร เธอไม่สนว่ามันจะดูเสียมารยาทแค่ไหน เธอรู้แค่ว่าเธอทนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
เธอเดินไปตามทางเดินของโรงแรม หัวใจเต้นแรงด้วยความโกรธและความอับอาย ก่อนที่มือใหญ่ของใครบางคนจะคว้าแขนเธอไว้จากด้านหลัง
“คุณจะไปไหน” ธีรภัทรถามเสียงเรียบแต่แฝงด้วยแรงกดดัน
“ไปให้พ้นจากคุณไง!” เธอสบตาเขาด้วยแววตาแข็งกร้าว แต่ในใจกลับรู้สึกสั่นไหว
ธีรภัทรถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกระซิบเสียงเย็น "อย่าทำให้เรื่องยุ่งยากกว่านี้ พิมพ์ดาว"
เธอจ้องหน้าเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวด "ฉันมันน่าสมเพชขนาดนั้นเลยใช่ไหม? จนคุณต้องมาพูดเหยียดฉันต่อหน้าคนทั้งงานแบบนี้!"
เขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกระตุกแขนเธอเบา ๆ ให้เดินตามเขาไป "คืนนี้ยังอีกยาวไกล อย่าดื้อ"
เมื่อกลับเข้ามาถึงในห้อง พิมพ์ดาวก็ได้ยินเสียงแขกกลุ่มหนึ่งกำลังพูดถึงเธอกับครอบครัวอยู่
“ก็ว่าทำไมแต่งงานเร็ว ที่แท้ก็เรื่องเงินสินะ”
“น่าสงสารคุณธีร์จริง ๆ ต้องแต่งเพราะความรับผิดชอบ”
“ผมก็อยากจะแต่งเพราะความรับผิดชอบกับเจ้าสาวที่สวยแบบนี้เหมือนกันนะครับ”
“แล้วคุณมีเงินเท่ากับคุณธีร์หรือเปล่าหล่ะ ได้ข่าวว่าหนี้สินฝั่งนั้นมีไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน”
“โห ถ้าแต่งผู้หญิงแค่คนเดียวต้องเสียถึง 100 ล้าน ต่อให้สวยแค่ไหน ผมก็ไม่เอาหรอกครับ เอาเงินไปซื้อดาราตัวท๊อปมานอนกอดเล่นดีกว่า เปลี่ยนได้ทุกวัน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณเนี่ยช่างพูดจริง ๆ”
ธีรภัทรสังเกตเห็นพิมพ์ดาวมองตรงไปที่คนกลุ่มนี้ เมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังพูด ปากก็กระตุกยิ้มขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มไม่รอช้าจูงมือเจ้าสาวตรงเข้าไปในกลุ่มทันที
“สวัสดีครับ ขอบคุณทุกคนนะครับมาร่วมงานแต่งผมกับคุณดาวในวันนี้” เสียงทุ้มดังขึ้น ปลุกให้วงซุบซิบของไฮโซนี้รีบหยุดปากลงทันที ทุกคนหันหน้ามาหาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“ยินดีด้วยนะครับ คุณธีร์ เจ้าสาวสวยจริง ๆ แต่สินสอดแพงไปหน่อยนะครับ”
ทุกคนพยักเพยิดกันอย่างขำ ๆ ในขณะที่พิมพ์ดาวได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าใคร พร้อมกับกำมือแน่น
ธีรภัทรรู้ว่าหญิงสาวรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ แต่นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาหันไปมองหน้าเจ้าสัวพิชิตและภรรยาที่ตอนนี้ยืนทำหน้าเสีย ในขณะที่มือก็กำไว้แน่นเพื่ออดทนให้งานนี้ผ่านไปให้เร็วที่สุด
เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างชั่วร้าย ‘อย่าเพิ่งอกแตกตายกันไปก่อนหล่ะ นี่มันเพิ่งเริ่มต้น’
เมื่อถึงเวลาส่งตัว เจ้าสาวต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนหอตามธรรมเนียม แต่สำหรับพิมพ์ดาว ทุกอย่างดูเหมือนเพียงพิธีกรรมที่ไร้ซึ่งความหมาย เป็นเพียงจุดสิ้นสุดของค่ำคืนอันเลวร้ายที่เธอไม่สามารถหลีกหนีได้
พ่อแม่ของเธอยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและไม่สบายใจ แม่ของพิมพ์ดาวพยายามฝืนยิ้มแม้ดวงตาจะคลอไปด้วยน้ำตา
“ฝากลูกสาวเราด้วยนะ” เสียงของแม่แผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความหมาย
ธีรภัทรเหลือบมอง ก่อนจะพยักหน้ารับเพียงนิด ไม่มีแม้แต่คำพูดใด ๆ ตอบกลับมา
บรรยากาศเงียบงันและน่าอึดอัด
ทันใดนั้น เขายื่นมือมาคว้าข้อมือของพิมพ์ดาว ดึงเธอให้เดินตามเข้าไปด้านใน
“เจ็บนะ!” พิมพ์ดาวพยายามสะบัดแขนออก แต่แรงของเขาแน่นหนาเหมือนกุญแจมือ
“อย่าดื้อ” ธีรภัทรโน้มหน้าลงมากระซิบเสียงเข้ม “คุณไม่อยากให้คืนนี้แย่ไปกว่านี้ใช่ไหม?”
พ่อของพิมพ์ดาวขยับตัวเข้ามาหมายจะห้าม แต่ธีรภัทรหันไปมองด้วยสายตานิ่งเฉย ราวกับไม่ได้รู้สึกผิดหรือเห็นความสำคัญของใครเลย
แม่ของเธอกลั้นน้ำตาไว้ ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ขณะที่พ่อของเธอกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหลังมือ
“ทำไมเขาถึงทำกับลูกเราแบบนี้…” พ่อพึมพำเบา ๆ อย่างข่มอารมณ์
คืนนั้น ครอบครัวของพิมพ์ดาวจากไปด้วยความเจ็บช้ำ ขณะที่ตัวเธอเองต้องเผชิญหน้ากับชีวิตแต่งงานที่ไร้หัวใจเพียงลำพัง—ชีวิตที่เธอไม่เคยต้องการเลยแม้แต่น้อย
พิมพ์ดาวก้าวเข้าไปในห้องหอที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างหรูหรา ภายในห้องชุดขนาดใหญ่ของโรงแรมห้าดาว ทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง เตียงนอนขนาดคิงไซส์ปูด้วยผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดตา กลีบกุหลาบสีแดงกระจัดกระจายไปทั่วพื้นผ้า ดวงไฟสีเหลืองนวลส่องแสงให้บรรยากาศโรแมนติกสมกับค่ำคืนแห่งการเริ่มต้นชีวิตคู่แต่สำหรับเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้กลับดู แห้งแล้งปราศจากชีวิตชีวา และไร้ความหมายเสียงปิดประตูดัง "ปัง!" ดึงสติของพิมพ์ดาวให้กลับมาอีกครั้ง เธอหันไปมองชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาหลังเธอ ธีรภัทรถอดสูทออกอย่างไม่ใยดี ก่อนจะโยนมันลงบนโซฟาตัวหรูแล้วเดินตรงไปยังมินิบาร์ เทไวน์รินใส่แก้วอย่างใจเย็น ก่อนจะจิบมันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาไม่แม้แต่จะปรายตามองเธอด้วยซ้ำพิมพ์ดาวยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามา—ความโกรธ ความอับอาย ความเจ็บปวด และความสิ้นหวัง เธอพยายามข่มมันเอาไว้ กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของตัวเอง“คุณจะให้ฉันยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยหรือไง” เธอเอ่ยขึ้นในที่สุด พยายามรักษาน้ำเสียงให้มั่นคงธีรภัทรถอนหายใจเบา ๆ ก่
พิมพ์ดาวนอนลืมตาอยู่บนเตียง กวาดสายตามองเพดานสีขาวสะอาดที่ไร้ซึ่งรายละเอียดใด ๆ ขณะที่เสียงลมหายใจของธีรภัทรดังแผ่วเบาจากโซฟาฝั่งตรงข้าม ห้องหอที่ตกแต่งอย่างวิจิตรกลับเต็มไปด้วยความเย็นชาและห่างเหินเธอขยับตัวเล็กน้อยแล้วพลิกตัวตะแคงข้างเพื่อมองชายหนุ่มที่นอนหลับตานิ่งอยู่ไม่ไกล แผ่นหลังของเขากว้างขวาง ท่าทางผ่อนคลายราวกับไม่มีสิ่งใดกวนใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิง หัวใจของพิมพ์ดาวสับสนวุ่นวาย เธอรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้เกิดจากข้อตกลงทางธุรกิจ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะปฏิบัติต่อเธอราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนเช่นนี้เธอรู้สึกได้ถึงโกรธเคืองที่มีอยู่ในน้ำเสียงของธีรภัทร โดยที่เธอไม่รู้ว่าเขาโกรธเคืองเธอด้วยเรื่องอะไร ทั้ง ๆ ที่ข้อเสนอนี้เขาเป็นยื่นมาเอง และรู้ว่าหากเธออยากให้ชีวิตคู่ครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดี เธอต้องทำอะไรบางอย่าง เธอไม่ต้องการให้การแต่งงานของเธอเป็นเพียงแค่พันธะที่ไร้ซึ่งหัวใจพิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง เธอเดินอย่างแผ่วเบาไปยังโซฟาที่ธีรภัทรนอนอยู่แล้วนั่งลงใกล้ ๆ เขา“ธีรภัทร...” เธอเอ่ยเรียกชื่อเขาเบา
เสียงล้อรถบดลงบนถนนกรวดหน้าคฤหาสน์อัครเดชากุลดังขึ้น ก่อนที่รถยนต์สีดำสนิทจะจอดลงอย่างสมบูรณ์ ธาริน อัครวรเดช หรือ ธาร เปิดประตูรถก้าวลงมาอย่างสง่างาม รองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังก้องสะท้อนกับความเงียบสงัดของคฤหาสน์หลังใหญ่ นึกถึงครั้งหนึ่งที่เคยมีบ้านแบบเดียวกันนี้และมีครอบครัวที่อบอุ่นสำหรับเธอ แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความทรงจำที่เจ็บปวด“คุณหนูธารินกลับมาแล้วหรือคะ”ป้าละม่อม แม่บ้านเก่าแก่ของครอบครัวรีบออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าตื่นเต้นปนดีใจ เธอพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบ ๆ บ้านหลังนี้ตกแต่งใกล้เคียงกับบรรยากาศของบ้านหลังเดิมทำให้ความรู้สึกเดิม ๆ กลับมากระทบกับจิตใจของเธอ แต่ทุกอย่างในความรู้สึกของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป“พี่ชายล่ะ?” ธารินถามเสียงเรียบ ขณะที่เดินตรงเข้าไปด้านใน“คุณธีรภัทรอยู่ในห้องทำงานค่ะ กำลังรอคุณหนูอยู่”ธารินเดินขึ้นบันไดไปยังห้องทำงานของพี่ชาย ประตูไม้หนาหนักถูกผลักออก เผยให้เห็นธีรภัทรที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาคมเข้มฉายแววเหนื่อยล้าแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งอำนาจ&l
ธีรภัทรจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของพิมพ์ดาว ราวกับกำลังประเมินว่าเธอรู้อะไรมาบ้าง เขาไม่ตอบในทันที แต่กลับเดินเข้ามาใกล้ มือใหญ่คว้ากระดาษหนังสือพิมพ์ในมือของเธอไปดู"ข่าวนี้...เธอไปเจอมันที่ไหน?" เสียงของเขาเรียบเย็น แต่แฝงไปด้วยความระแวง"ฉันแค่...บังเอิญเจอในลิ้นชัก" พิมพ์ดาวตอบพลางมองเขาด้วยแววตาจริงจัง"มันเป็นข่าวเกี่ยวกับบริษัทที่ล้มละลายเพราะถูกคู่ค้าหักหลัง... แล้วทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันเกี่ยวกับฉัน?"ธีรภัทรกำเอกสารแน่น ราวกับกำลังอดกลั้นอารมณ์บางอย่าง"เธอไม่จำเป็นต้องรู้" เขาตอบเสียงเข้ม ก่อนจะหันหลังเดินไปทางประตู แต่พิมพ์ดาวไม่ยอมแพ้ เธอรีบเดินไปขวางหน้าเขาไว้"ฉันต้องรู้! เพราะตั้งแต่ฉันก้าวเข้ามาในบ้านนี้ ทุกคนมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ฉันถูกดูถูก เหยียดหยาม และถูกตราหน้าว่าเป็น 'ลูกของคนทรยศ' โดยที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของฉันทำอะไรผิด! ถ้าคุณไม่บอก ฉันก็คงต้องไปหาคำตอบเอง!"ธีรภัทรจ้องเธอด้วยสายตาแข็งกร้าว ดวงตาที่เคยเย็นชาเริ่มฉายแววความเจ็บปวดที่เขาพยายามซ่อนมาโดยตลอด"เธออยากรู้จริง ๆ ใช่ไหม?" น้ำ
พิมพ์ดาวยังคงทำหน้าที่ของเธอไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะรู้ว่าธีรภัทรยังคงวางกำแพงสูงชันระหว่างพวกเขา แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอคอยดูแลเขาและธารินอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหาร คอยสอบถามอาการป่วย และจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านอย่างเงียบ ๆธีรภัทรแม้จะยังคงความเย็นชา แต่ลึก ๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นถึงความพยายามของพิมพ์ดาว เขาไม่ได้แสดงออกว่าใจอ่อน แต่มีบางช่วงที่สายตาของเขาอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว และนั่นคือสิ่งที่ธารินสังเกตเห็นเช่นกันธารินเกลียดสายตาแบบนั้นของธีรภัทร เธอเกลียดที่เขาเริ่มมีความรู้สึกอ่อนโยนให้กับพิมพ์ดาว แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม และเธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเช้าวันหนึ่ง พิมพ์ดาวตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารให้ธีรภัทรกับธาริน เธอทำข้าวต้มปลาอย่างพิถีพิถันและยกไปเสิร์ฟให้ที่โต๊ะอาหาร"ขอบคุณนะคะพิมพ์ดาว" ธารินเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน ก่อนจะรับถ้วยข้าวต้มไปพิมพ์ดาวแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง เพราะปกติแล้วธารินแทบจะไม่เคยพูดดี ๆ กับเธอ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่คิดมาก และหันไปจัดโต๊ะต่อแต่ทันทีที่ธีรภัทรลุกออกจากห้องอาหาร ธารินก็เปลี่ยนไปทันที"เธอคิดว
สองเดือนต่อมา...พิมพ์ดาวยืนอยู่กลางห้องจัดเลี้ยงที่ตกแต่งด้วยแสงไฟสีอบอุ่น ธารินเป็นคนช่วยเธอจัดเตรียมทุกอย่างสำหรับเซอร์ไพรส์วันเกิดของธีรภัทร ตั้งแต่สถานที่ไปจนถึงลิสต์แขกที่ได้รับเชิญแต่เธอไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแผนการร้ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มของธารินภายในห้องโถงกว้าง แขกในงานเริ่มทยอยมาถึงกันเรื่อย ๆ ทุกคนแต่งตัวสวยหรู ดูมีระดับราวกับอยู่ในงานเลี้ยงของนักธุรกิจชั้นนำ พิมพ์ดาวรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เธอเชื่อธารินจึงจัดออกมายิ่งใหญ่ แทนที่จะเป็นแบบครอบครัวที่เธออยากทำในตอนแรกแต่เธอก็ปลอบตัวเองว่า คืนนี้เป็นคืนสำคัญของพี่ธีร์ เธออยากให้มันออกมาดีที่สุดเสียงดนตรีคลอเบา ๆ ขับกล่อมบรรยากาศในงาน แต่แล้วเสียงของธารินก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของแขกพิเศษที่เธอไม่ได้เชิญ"ทุกคนคะ! ขอแนะนำให้รู้จัก กานต์รวี! คนที่สนิทที่สุดของพี่ธีร์ค่ะ"พิมพ์ดาวสะดุ้ง หัวใจของเธอเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะกานต์รวีเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ร่างสูงโปร่งในชุดเดรสสีแดงเพลิงที่ช่วยขับผิวขาวนวลของเธอให้โดดเด่นขึ้นไปอีก ริมฝีปากสีแดงสดของเธอยกยิ้
พิมพ์ดาวยืนอยู่หน้ากระจกในห้องของตัวเอง จ้องมองเงาสะท้อนที่ดูอ่อนล้าและปราศจากแววตาสดใสที่เคยมี คำพูดของธีรภัทรในงานเลี้ยงวันเกิดยังคงดังก้องในหัวของเธอ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเสียงสะท้อนที่ไม่มีวันจางหาย"อย่าคิดว่าความใจดีของเธอจะทำให้ฉันลืมทุกอย่างได้"แค่คิดถึงคำพูดนั้น หัวใจของพิมพ์ดาวก็ปวดหนึบ เธอเคยเชื่อว่าถ้าเธอพยายามมากพอถ้าเธอให้ความรักมากพอ สักวันธีรภัทรจะต้องใจอ่อนแต่ดูเหมือนว่ายิ่งเธอพยายามมากเท่าไหร่ เธอกลับยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้นถึงอย่างนั้น เธอก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนเดิม ในฐานะภรรยาของธีรภัทร เธอยังคงดูแลทุกอย่างรอบตัวเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้ว่า....ภายในใจจะค่อย ๆ พังทลายลงไปทุกวันธีรภัทรเองก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของพิมพ์ดาว เขาเห็นว่าเธอยังคงทำงานตามปกติแต่แววตาของเธอไม่สดใสเหมือนเดิม เธอไม่พูดมากเหมือนเคย และรอยยิ้มที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นกลับดูจืดจางลงอย่างเห็นได้ชัดเขาควรจะรู้สึกดีใจไม่ใช่เหรอ? เพราะนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เขาพยายามผลักไสเธอออกไปจากชีวิต พยายามให้เธอเลิกหลอกตัวเอง
เสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ คลออยู่ภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรู แขกเหรื่อในงานต่างพากันพูดคุยและดื่มด่ำกับบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมราคาแพง แสงไฟระยิบระยับสะท้อนกับแก้วแชมเปญที่ผู้คนถืออยู่ในมือ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ แต่ในมุมหนึ่งของงานเลี้ยง มีใครบางคนที่กำลังจ้องมองอยู่เงียบ ๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและเล่ห์กลธารินยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ดวงตาคมไล่มองไปยังเป้าหมายของเธออย่างใจเย็น พิมพ์ดาว…ผู้หญิงที่เธอเกลียดที่สุด‘ผู้หญิงหน้าโง่…’ เธอคิดในใจพลางกระตุกยิ้มมุมปากเธอเห็นพิมพ์ดาวยืนอยู่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง สวมชุดเดรสสีงาช้างที่ขับให้เธอดูงดงามเหนือคำบรรยาย แต่แม้ว่าเธอจะดูสง่างามแค่ไหน ธารินก็รู้ดีว่าในใจของพิมพ์ดาวตอนนี้กำลังพังทลายลงทุกวัน เพราะธีรภัทร ผู้ชายที่พิมพ์ดาวรักสุดหัวใจ กำลังผลักไสเธอออกไปอย่างไร้เยื่อใยและคืนนี้… ธารินจะทำให้ทุกอย่างพังยิ่งกว่าที่เคยเธอเดินตรงไปหาผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ บริกร เขาเป็นนายแบบหนุ่มที่เธอจ้างมาเพื่อแผนการของเธอโดยเฉพาะ ชื่อของเขาคือ กรินทร์ ชายหนุ่มรูปร่างดีที่พร้อมทำทุกอย่
พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะพูดเสียงสั่นว่า "ฉัน… ฉันพร้อมแล้ว ที่จะให้โอกาสคุณอีกครั้ง"ธีรภัทรเบิกตากว้าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้า เขายกมือขึ้นกุมมือของพิมพ์ดาวแน่น ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอด"ขอบคุณนะพิมพ์ดาว… ขอบคุณที่ยอมให้โอกาสผม…"ปริญมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาพึงพอใจ เขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน"ผมยินดีกับพวกคุณทั้งสองคนจริง ๆ" ปริญพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปหาธีรภัทรธีรภัทรลุกขึ้นยืนหันไปมองปริญ ปริญยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า"ฉันกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ แต่ขอให้รู้ไว้ ถ้านายทำให้พิมพ์ดาวเสียใจแม้แต่นิดเดียว… ฉันจะกลับมา และพาพิมพ์ดาวกับลูกหนีไปจากนายทันที"ธีรภัทรมองสบตาปริญด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าตอบ"ฉันสัญญา… ฉันจะไม่มีวันทำให้พิมพ์ดาวเสียใจอีก"ปริญยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะตบไหล่ธีรภัทรเบา ๆทันใดนั้น…"แด๊ดดี้! แม่!"เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นก่อนที่พัตเตอร์จะวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก เด็กน้อยวิ่งตรงมาหาธีรภัทรกับพิมพ์ดาว ก่อนจะกระโดดกอดพวกเข
ปริญยืนมองหลังของธีรภัทรที่เดินจากไปจนลับสายตา เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบเครื่องอัดเสียงขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คลื่นความรู้สึกบางอย่างกระเพื่อมอยู่ในอก เขารู้ดีว่าธีรภัทรรักพิมพ์ดาวมากแค่ไหน คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดเพื่อเอาใจ แต่เป็นคำพูดที่มาจากหัวใจอย่างแท้จริงปริญก้มมองเครื่องอัดเสียงในมือ ก่อนจะกำมันไว้แน่น และตัดสินใจเดินตรงไปที่รถของตัวเอง เขาสตาร์ทรถและมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของพิมพ์ดาวทันทีบรรยากาศในบ้านของพิมพ์ดาวเงียบสงบ มีเพียงเสียงของลมที่พัดผ่านหน้าต่าง ปริญนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น โดยมีพิมพ์ดาว พ่อ แม่ และน้องชายของเธอนั่งอยู่ล้อมรอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด"ปริญ... มีอะไรเหรอ?" พิมพ์ดาวถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความสงสัยปริญสบตากับเธอ ก่อนจะยกเครื่องอัดเสียงขึ้นมา"ฉันอยากให้พวกเธอได้ยินสิ่งนี้" เขาพูดช้า ๆ ก่อนจะเปิดเครื่องอัดเสียงทันทีที่เสียงของธีรภัทรดังขึ้น ความเงียบก็ปกคลุมทั่วห้อง"ผมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น..."ดวงตาของพิมพ์ดาวเบิกกว้าง หัวใจเธอเต้นแรงเม
เสียงเครื่องบินที่กำลังลดระดับลงล้อแตะกับรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้พิมพ์ดาวที่กำลังยืนรออยู่หน้าเกทขาเข้าหัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังประตูที่กำลังเปิดออก ผู้โดยสารทยอยเดินออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของพ่อ แม่ และน้องชายที่เดินมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต พิมพ์ดาวรีบสาวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะโผเข้าสวมกอดมารดาแน่น ร่างบางสั่นไหวเล็กน้อยอย่างตื้นตัน“คุณแม่... คุณพ่อ...” พิมพ์ดาวน้ำตาคลอเบ้า“แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน” น้ำเสียงอบอุ่นของมารดาทำให้พิมพ์ดาวกอดท่านแน่นขึ้น ก่อนจะหันไปกอดบิดา และสุดท้ายคือ ภัทร น้องชายที่ยืนกอดอก มองพี่สาวด้วยสีหน้ากึ่งดีใจ กึ่งเคืองขุ่น“กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะคะ” พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ขณะที่คุณหญิงจินดาและเจ้าสัวพิชิตพยักหน้า แม้รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านทั้งสองจะดูขมขื่นเล็กน้อยก็ตาม“กลับมาก็ดีแล้วล่ะ จะได้ดูแลพิมพ์ดาวกับหลานให้ดี ๆ เสียที” เจ้าสัวพิชิตกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม แววตาเย็นชานั้นทำให้พิมพ์ดาวรู้ดีว่าเขายังไม่ให้อภัยธีรภัทร
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลอดผ่านม่านสีขาวภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสงบอย่างน่าประหลาด พิมพ์ดาวนั่งเฝ้าธีรภัทรอยู่ข้างเตียง ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวของชายหนุ่มที่ยังคงหลับสนิทเธอวางมือลงเบา ๆ บนหลังมือของเขา แม้ไม่อยากยอมรับ แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงทุกครั้งที่ได้สัมผัสเขาแบบนี้"อืม..."เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นจากริมฝีปากของธีรภัทร ก่อนที่เปลือกตาของเขาจะขยับเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขากวาดมองไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของพิมพ์ดาว"พิมพ์..." เสียงของเขาแหบพร่าและอ่อนแรง แต่แฝงไว้ด้วยความดีใจอย่างชัดเจน "เธอกับลูก... ปลอดภัยใช่มั้ย?"พิมพ์ดาวเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเหมือนก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ความเป็นห่วงเป็นใยของเขาที่มีต่อเธอและพัตเตอร์ ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาโดยไม่รู้ตัว"พวกเราปลอดภัย..." เธอตอบเสียงเบา ก่อนจะก้มลงไปใกล้เขา "คุณน่ะสิ เป็นยังไงบ้าง?"ธีรภัทรยิ้มบาง ๆ แม้ใบหน
วันต่อมา – หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์พิมพ์ดาวยืนอยู่หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์ในช่วงเย็น ขณะที่ธีรภัทรยืนอยู่ข้าง ๆ เขาใส่สูทสีเข้ม ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่พัตเตอร์กำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่ที่สนามเด็กเล่น"ขอบคุณนะคะ ที่มารับพัตเตอร์ด้วยกันทุกวัน" พิมพ์ดาวพูดเบา ๆธีรภัทรหันไปมองเธอ รอยยิ้มบางปรากฏบนริมฝีปาก "ไม่เป็นไรครับ ผมอยากมาอยู่กับพวกคุณ"พิมพ์ดาวหลุบตาลง เธอรู้สึกว่าธีรภัทรกำลังพยายามอย่างหนักที่จะทำให้เธอเปิดใจ แต่เธอยังไม่กล้าที่จะเชื่อใจเขาเต็มร้อยทันใดนั้น…"พิมพ์ดาว!!"เสียงแหลมสูงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังขึ้น ทำให้พิมพ์ดาวและธีรภัทรหันไปมองทันทีร่างของกานต์รวีในชุดเดรสสีดำแนบเนื้อพุ่งตรงเข้ามาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ในมือของเธอมีมีดคมกริบเล่มหนึ่ง"กานต์รวี!" ธีรภัทรร้องเสียงดัง ขณะที่กานต์รวีพุ่งเข้าหาพิมพ์ดาวด้วยความเร็ว"แกต้องตาย!!"พิมพ์ดาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขาทั้งสองข้างของเธอเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น เธอได้แต่มองปลายมีดที่กำลังพุ่งเข้าหาอย่างตกตะ
แสงแดดยามเช้าสาดกระทบผ่านม่านสีขาวในห้องนอนของคอนโดฯ หรูใจกลางเมือง พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ขณะที่เสียงนกร้องแว่วดังมาจากนอกหน้าต่าง ร่างบางขยับกายเบา ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเบา ๆ ตามมาด้วยเสียงของพัตเตอร์ที่ตะโกนเรียกเธอ"มามี๊~ ตื่นได้แล้วครับ!"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง มือเรียวเสยผมยาวสลวยของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไป"มามี๊ตื่นแล้วครับลูก เดี๋ยวมามี๊จะออกไปเดี๋ยวนี้"พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูห้องนอนก็พบกับพัตเตอร์ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าห้อง ในชุดนักเรียนที่ถูกแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มือเล็ก ๆ ถือกล่องนมไว้ในมือ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามากอดขาเธอแน่น"พัตเตอร์ตื่นเช้าจังเลยค่ะ" พิมพ์ดาวลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของเขา"พัตเตอร์ไม่ได้ตื่นเองนะครับ" เด็กชายเงยหน้ามองเธอ ดวงตากลมโตใสซื่อเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา"แด๊ดดี้โทรปลุกพัตเตอร์เองต่างหาก!"พิมพ์ดาวชะงัก หัวใจเต้นกระตุกเมื่อได้ยินคำว่า 'แด๊ดดี้'"คุณธีรภัทรจะมาเหรอคะ?" เธอถามด้วยความสงสัยพัตเตอร์พยักหน้าแรง
หลังจากเหตุการณ์เปิดโปงอนุชิตในคืนนั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี แต่ในใจของพิมพ์ดาวกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์ ร่องรอยบาดแผลในอดีตยังคงทิ้งรอยแผลลึกไว้ในใจของเธอ…พิมพ์ดาวนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างของคอนโดหรูในกรุงเทพฯ สายลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านเข้ามาเบา ๆ เสียงเรียกเข้าสายดังขึ้น พิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกดรับสาย"พ่อคะ..." น้ำเสียงของพิมพ์ดาวแผ่วเบาแต่มั่นคง"ดาวลูก…" เสียงของเจ้าสัวพิชิตปลายสายเต็มไปด้วยความกังวล"ทุกอย่างจบลงแล้วค่ะพ่อ อนุชิตได้รับผลกรรมของเขาแล้ว พ่อพ้นมลทินแล้วนะคะ"เจ้าสัวพิชิตนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เสียงถอนหายใจของพ่อทำให้พิมพ์ดาวรู้สึกถึงน้ำหนักที่ผ่อนคลายลงในใจ"ดีแล้ว… พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก พ่อจะกลับไปปรึกษาแม่กับน้องชาย แล้วพวกเราจะกลับไปอยู่ที่ประเทศไทยด้วยกัน"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ แม้จะมีน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาเธอทอแสงแห่งความหวัง แต่มันก็ยังไม่อาจลบเลือนบาดแผลในใจได้ง่าย ๆในขณะที่พิมพ์ดาวกำลังเตรียมตัวเพื่อพาครอบครัวกลับมาที่
เสียงในห้องจัดเลี้ยงเงียบสนิทไปชั่วขณะหลังจากคำประกาศของธีรภัทรดังก้องไปทั่วทั้งงาน น้ำเสียงของเขามั่นคง หนักแน่น และเต็มไปด้วยความจริงใจ“ฉันรักพิมพ์ดาว และจะไม่มีวันยอมรับใครเป็นภรรยา นอกจากเธอเท่านั้น”ทุกสายตาหันมาที่พิมพ์ดาว ซึ่งยืนนิ่งเหมือนถูกแช่แข็งอยู่กับที่ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ขณะที่ริมฝีปากเม้มแน่น ราวกับยังประมวลผลไม่ทันกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินกานต์รวีหน้าถอดสี น้ำตารื้นขึ้นในดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่ ขาทั้งสองข้างแทบจะไร้เรี่ยวแรง เธอยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง พลางส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ไม่นะ... ธีร์ต้องล้อฉันเล่นใช่ไหม?” น้ำเสียงของกานต์รวีสั่นไหว ร่างของเธอสั่นสะท้าน ขณะเดินตรงไปหาธีรภัทรด้วยสีหน้าตื่นตระหนก“ทำไมธีร์ถึงพูดแบบนี้? ธีร์รักฉันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”ธีรภัทรหันมามองกานต์รวี ดวงตาคมกริบของเขาเย็นชาและว่างเปล่า ราวกับปราศจากความรู้สึกใด ๆ“ฉันไม่เคยรักเธอ” เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงเย็นเยียบจนทำให้หัวใจของกานต์รวีแทบแตกสลาย“ไม่จริง!” กาน
เสียงเพลงคลาสสิกบรรเลงคลอเบา ๆ ภายในงานเลี้ยงหรูหราที่จัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ของโรงแรมระดับห้าดาว แขกผู้มีเกียรติในชุดราตรีและสูทเรียบหรูต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรานั้น ธีรภัทรยืนสง่างามในชุดสูทสีดำสนิท เขาถือแก้วไวน์แดงในมือ สายตาของเขามองตรงไปยังพิมพ์ดาวที่กำลังยืนอยู่มุมห้อง ข้าง ๆ เธอมีปริญคอยประกบอยู่ไม่ห่าง ทำให้สีหน้าของธีรภัทรดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้นกานต์รวียืนเคียงข้างธีรภัทร เธอสวมชุดราตรีสีแดงสดที่เน้นทรวดทรงอย่างลงตัว ใบหน้าสวยหวานประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทว่าในแววตามีประกายแห่งความมุ่งมั่นซ่อนอยู่"ธีร์คะ..." กานต์รวีเอ่ยเสียงหวานพร้อมเอื้อมมือไปแตะต้นแขนของธีรภัทรเบา ๆ"วันนี้คุณหล่อมากเลยนะคะ"ธีรภัทรปรายตามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะดึงแขนออกจากมือของกานต์รวีอย่างแผ่วเบา"ขอบคุณ" น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ทว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่พิมพ์ดาวไม่วางตากานต์รวีเม้มปากแน่น หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่สบายใจ เธอรู้ว่าธีรภัทรยอมให้เธออยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่เคยแสดงความสนใจในตัวเธอจริง ๆ เลย มันเหมือนกับว่าเขากำลังรออะไรบางอย่าง หรื