เสียงล้อรถบดลงบนถนนกรวดหน้าคฤหาสน์อัครเดชากุลดังขึ้น ก่อนที่รถยนต์สีดำสนิทจะจอดลงอย่างสมบูรณ์ ธาริน อัครวรเดช หรือ ธาร เปิดประตูรถก้าวลงมาอย่างสง่างาม รองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังก้องสะท้อนกับความเงียบสงัดของคฤหาสน์หลังใหญ่ นึกถึงครั้งหนึ่งที่เคยมีบ้านแบบเดียวกันนี้และมีครอบครัวที่อบอุ่นสำหรับเธอ แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความทรงจำที่เจ็บปวด
“คุณหนูธารินกลับมาแล้วหรือคะ”
ป้าละม่อม แม่บ้านเก่าแก่ของครอบครัวรีบออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าตื่นเต้นปนดีใจ เธอพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบ ๆ บ้านหลังนี้ตกแต่งใกล้เคียงกับบรรยากาศของบ้านหลังเดิมทำให้ความรู้สึกเดิม ๆ กลับมากระทบกับจิตใจของเธอ แต่ทุกอย่างในความรู้สึกของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“พี่ชายล่ะ?” ธารินถามเสียงเรียบ ขณะที่เดินตรงเข้าไปด้านใน
“คุณธีรภัทรอยู่ในห้องทำงานค่ะ กำลังรอคุณหนูอยู่”
ธารินเดินขึ้นบันไดไปยังห้องทำงานของพี่ชาย ประตูไม้หนาหนักถูกผลักออก เผยให้เห็นธีรภัทรที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาคมเข้มฉายแววเหนื่อยล้าแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งอำนาจ
“ธาร กลับมาแล้วสินะ” เขาพูดเสียงเรียบ
“ค่ะ และฉันกลับมาเพื่อช่วยพี่ทำในสิ่งที่ควรจะทำให้จบ” เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อย เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม
“ฉันหวังว่าพี่จะยังไม่ลืมว่าพวกมันทำอะไรกับครอบครัวเรา”
ธีรภัทรขบกรามแน่น ความเจ็บปวดและความแค้นที่เขาพยายามกดเอาไว้ในใจยังคงเด่นชัด ครอบครัวของพิมพ์ดาวเป็นต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องพังพินาศ พ่อของเขาต้องจบชีวิตลง แม่ของเขาป่วยหนัก และตัวเขาต้องดิ้นรนสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่จากศูนย์
ส่วนธารินเองก็ต้องถูกตราหน้าว่าเป็น "ลูกสาวคนล้มละลาย" เธอถูกเหยียดหยามและโดนดูถูกจากสังคมชั้นสูงที่เคยยกย่องตระกูลของพวกเขา
“พี่จำได้” เขาตอบเสียงเรียบ “แต่เรื่องนี้พี่จะเป็นคนจัดการเอง”
“แต่พี่กำลังอ่อนข้อให้ยัยพิมพ์ดาว!” ธารินเสียงแข็งขึ้น ดวงตาของเธอฉายแววไม่พอใจ
“พี่เริ่มใจอ่อนแล้วใช่ไหม?”
ธีรภัทรถอนหายใจหนักหน่วง จริงอยู่ที่เขาเริ่มรู้สึกซับซ้อนกับพิมพ์ดาว ผู้หญิงที่เขาเคยตั้งใจให้เป็นเพียงเครื่องมือในการแก้แค้น แต่ช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้กัน ทำให้เขาเริ่มเห็นเธอในมุมอื่นที่เขาไม่เคยสนใจมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้น...เขายังละทิ้งแผนการไม่ได้
“พี่ไม่ได้อ่อนข้อ” เขาตอบกลับไปเสียงเย็นชา
“แต่พี่ไม่ต้องการให้เรื่องนี้ผิดพลาด พิมพ์ดาวยังต้องเจ็บปวด แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผน”
ธารินกัดฟันแน่น เธอไม่ชอบเลยที่เห็นพี่ชายของเธอเป็นแบบนี้
“ฉันไม่เข้าใจพี่เลย ทำไมต้องอ้อมค้อมขนาดนี้! ยัยผู้หญิงคนนั้นต้องเจอเหมือนกับที่ฉันเคยเจอ!”
ธีรภัทรมองน้องสาวของเขานิ่ง ก่อนจะเดินไปยืนตรงหน้าเธอ วางมือบนไหล่บางของเธอ
“ธาร เราสูญเสียมามากพอแล้ว พี่รู้ว่ามันยาก แต่เราต้องควบคุมเกมนี้ให้ได้”
ธารินมองพี่ชายของเธอ ก่อนจะเบือนหน้าหนี เธอไม่ชอบเลยที่พี่ชายของเธอดูอ่อนโยนต่อศัตรูแบบนี้ แต่ในเมื่อเขายังยึดมั่นในแผนการ เธอคงต้องรอดูต่อไป
“ฉันจะเชื่อพี่...แต่ถ้าพี่ปล่อยให้ยัยผู้หญิงคนนั้นได้มีความสุข ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด” เธอเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืน
“และอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
เธอหันหลังเดินออกจากห้อง ทิ้งให้ธีรภัทรยืนอยู่เพียงลำพัง ดวงตาของเขามีแต่ความเคร่งเครียดและลังเลใจระหว่างแผนการที่เขายึดถือมาโดยตลอด กับความรู้สึกที่เริ่มสั่นคลอนเพราะพิมพ์ดาว
สามวันต่อมา......
งานเลี้ยงต้อนรับธารินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ภายในโรงแรมหรู แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงสังคมชั้นสูง ทุกอย่างถูกจัดเตรียมอย่างหรูหราไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟระยิบระยับจากแชนเดอเลียร์ หรือเสียงเพลงคลอเบา ๆ ที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูเลิศหรูมากยิ่งขึ้น
พิมพ์ดาวในชุดเดรสเรียบหรูยืนเคียงข้างธีรภัทร แม้เธอจะไม่ได้เต็มใจนัก แต่ในฐานะภรรยา เธอก็ต้องมาร่วมงานตามหน้าที่ คำซุบซิบจากแขกในงานเริ่มดังขึ้นทันทีที่เธอปรากฏตัว สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เธอด้วยความดูถูก
"นี่หรือภรรยาของคุณธีรภัทร?"
"ได้ยินว่าถูกจับแต่งงานกันล่ะสิ ดูท่าจะไม่ใช่ความเต็มใจสักเท่าไหร่"
"ก็แน่ล่ะ ใครจะอยากรับผู้หญิงที่เป็นภาระกันล่ะ ต้องให้เงินใช้หนี้ให้กับครอบครัวของเธอตั้ง 100 ล้าน"
คำพูดเหล่านั้นกรีดลึกเข้าไปในใจพิมพ์ดาว เธอพยายามไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่มือกลับกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ธีรภัทรยืนอยู่ข้างเธอ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย สีหน้าของเขาเรียบเฉยเหมือนไม่ได้รับรู้ถึงคำพูดเหล่านั้น
แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ เสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและดูแคลน
"พวกคุณก็อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นสิคะ" ธารินเดินเข้ามาในวงสนทนา ดวงตาของเธอเปล่งประกายเจ้าเล่ห์
"ถึงยังไงพี่สะใภ้ของฉันก็เป็นภรรยาของพี่ชายฉันแล้ว เรื่องถูกบังคับหรือเปล่าไม่สำคัญหรอกค่ะ จริงไหมคะ พิมพ์ดาว?"
พิมพ์ดาวเงยหน้าขึ้นมองธาริน หญิงสาวร่างเพรียวในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มส่งรอยยิ้มเยาะให้เธอ สายตานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่เธอไม่เข้าใจ
"ฉันไม่เข้าใจว่าคุณต้องการจะพูดอะไร" พิมพ์ดาวตอบเสียงเรียบ
"อ้าว ไม่เข้าใจเหรอ?" ธารินหัวเราะเบา ๆ
"หรือจริง ๆ แล้วเธอแค่แกล้งโง่? ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่อยากบอกว่า... เธอควรจะรู้ตัวนะ ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ในฐานะอะไร อย่าได้คิดว่าจะมีสิทธิ์มาอยู่ในครอบครัวของพวกเราอย่างแท้จริง เพราะยังไงซะ... เธอก็คือลูกของคนทรยศอยู่ดี"
พิมพ์ดาวนิ่งงันไปกับคำพูดนั้น คำว่า "ลูกของคนทรยศ" ก้องอยู่ในหัวของเธอ เธอไม่เข้าใจว่าธารินหมายถึงอะไร ทำไมเธอถึงถูกเรียกแบบนั้น?
แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไร ธารินก็หันไปพูดคุยกับแขกคนอื่น ๆ ราวกับว่าเธอไม่มีค่าแม้แต่จะได้รับคำอธิบาย ปล่อยให้พิมพ์ดาวยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังกับความสงสัยและความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นในใจ
เสียงซุบซิบของแขกในงานยังคงดังแว่วอยู่รอบตัวพิมพ์ดาว แม้เธอจะพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ทุกคำพูดเสียดสีและสายตาที่มองมาด้วยความเหยียดหยามก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พิมพ์ดาวกลับมาถึงห้องนอนของตัวเองในคฤหาสน์ของธีรภัทรด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอยังคงได้ยินเสียงของธารินสะท้อนอยู่ในหัว "ลูกของคนทรยศ" คำพูดนั้นติดอยู่ในใจเธอจนทำให้เธออดสงสัยไม่ได้
เธอพยายามทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา พ่อของเธอเคยเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ครอบครัวของเธอไม่เคยมีปัญหากับใคร แล้วเหตุใดกัน ธารินถึงเกลียดเธอถึงเพียงนี้?
พิมพ์ดาวตัดสินใจว่าจะต้องหาคำตอบ เธอเริ่มสังเกตพฤติกรรมของคนในบ้าน ธารินแทบไม่เคยมองหน้าเธอตรง ๆ นอกจากเวลาจะพูดประชดประชัน ป้าละม่อมแม่บ้านเก่าแก่แม้จะไม่พูดอะไรออกมาตรง ๆ แต่ก็มองเธอด้วยแววตาเย็นชา ส่วนธีรภัทร... แม้จะไม่ได้แสดงออกชัดเจน แต่บางครั้งแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ราวกับกำลังต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่างในใจตัวเอง
เธอรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็นข้อตกลงที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่ามันจะนำมาซึ่งความเกลียดชังมากขนาดนี้
ในคืนเดียวกันนั้นเอง พิมพ์ดาวแอบไปที่ห้องหนังสือของคฤหาสน์ เธอไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไร แต่เธอเชื่อว่าที่นี่อาจมีคำตอบที่เธอต้องการ
เธอเริ่มค้นหาสิ่งที่อาจเกี่ยวข้องกับอดีตของครอบครัวธีรภัทร หนังสือพิมพ์เก่า ๆ ถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก เธอเปิดมันออกมาดูอย่างตั้งใจ และทันใดนั้นเอง เธอก็เจอบทความเก่าชิ้นหนึ่งที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง
"อัครวรเดชกรุ๊ปล้มละลาย หลังจากถูกคู่ค้าหักหลัง สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด"
มือของพิมพ์ดาวสั่นเล็กน้อยเมื่ออ่านถึงตรงนี้ เธอไม่แน่ใจว่าข่าวนี้เกี่ยวข้องกับเธอหรือไม่ แต่เธอรู้สึกได้ว่ามันอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปริศนาความเกลียดชังที่เธอได้รับ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าประตู เธอรีบเก็บหนังสือพิมพ์และทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประตูเปิดออก และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็คือธีรภัทร
"เธอมาทำอะไรที่นี่?" เสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยความสงสัย
พิมพ์ดาวเงยหน้าขึ้นมองเขา แม้จะหวาดหวั่นอยู่ลึก ๆ แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ถอยอีกต่อไป
"ฉันแค่อยากรู้... ว่าทำไมทุกคนในบ้านนี้ถึงเกลียดฉันนัก"
ธีรภัทรจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของพิมพ์ดาว ราวกับกำลังประเมินว่าเธอรู้อะไรมาบ้าง เขาไม่ตอบในทันที แต่กลับเดินเข้ามาใกล้ มือใหญ่คว้ากระดาษหนังสือพิมพ์ในมือของเธอไปดู"ข่าวนี้...เธอไปเจอมันที่ไหน?" เสียงของเขาเรียบเย็น แต่แฝงไปด้วยความระแวง"ฉันแค่...บังเอิญเจอในลิ้นชัก" พิมพ์ดาวตอบพลางมองเขาด้วยแววตาจริงจัง"มันเป็นข่าวเกี่ยวกับบริษัทที่ล้มละลายเพราะถูกคู่ค้าหักหลัง... แล้วทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันเกี่ยวกับฉัน?"ธีรภัทรกำเอกสารแน่น ราวกับกำลังอดกลั้นอารมณ์บางอย่าง"เธอไม่จำเป็นต้องรู้" เขาตอบเสียงเข้ม ก่อนจะหันหลังเดินไปทางประตู แต่พิมพ์ดาวไม่ยอมแพ้ เธอรีบเดินไปขวางหน้าเขาไว้"ฉันต้องรู้! เพราะตั้งแต่ฉันก้าวเข้ามาในบ้านนี้ ทุกคนมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ฉันถูกดูถูก เหยียดหยาม และถูกตราหน้าว่าเป็น 'ลูกของคนทรยศ' โดยที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของฉันทำอะไรผิด! ถ้าคุณไม่บอก ฉันก็คงต้องไปหาคำตอบเอง!"ธีรภัทรจ้องเธอด้วยสายตาแข็งกร้าว ดวงตาที่เคยเย็นชาเริ่มฉายแววความเจ็บปวดที่เขาพยายามซ่อนมาโดยตลอด"เธออยากรู้จริง ๆ ใช่ไหม?" น้ำ
พิมพ์ดาวยังคงทำหน้าที่ของเธอไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะรู้ว่าธีรภัทรยังคงวางกำแพงสูงชันระหว่างพวกเขา แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอคอยดูแลเขาและธารินอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหาร คอยสอบถามอาการป่วย และจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านอย่างเงียบ ๆธีรภัทรแม้จะยังคงความเย็นชา แต่ลึก ๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นถึงความพยายามของพิมพ์ดาว เขาไม่ได้แสดงออกว่าใจอ่อน แต่มีบางช่วงที่สายตาของเขาอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว และนั่นคือสิ่งที่ธารินสังเกตเห็นเช่นกันธารินเกลียดสายตาแบบนั้นของธีรภัทร เธอเกลียดที่เขาเริ่มมีความรู้สึกอ่อนโยนให้กับพิมพ์ดาว แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม และเธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเช้าวันหนึ่ง พิมพ์ดาวตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารให้ธีรภัทรกับธาริน เธอทำข้าวต้มปลาอย่างพิถีพิถันและยกไปเสิร์ฟให้ที่โต๊ะอาหาร"ขอบคุณนะคะพิมพ์ดาว" ธารินเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน ก่อนจะรับถ้วยข้าวต้มไปพิมพ์ดาวแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง เพราะปกติแล้วธารินแทบจะไม่เคยพูดดี ๆ กับเธอ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่คิดมาก และหันไปจัดโต๊ะต่อแต่ทันทีที่ธีรภัทรลุกออกจากห้องอาหาร ธารินก็เปลี่ยนไปทันที"เธอคิดว
สองเดือนต่อมา...พิมพ์ดาวยืนอยู่กลางห้องจัดเลี้ยงที่ตกแต่งด้วยแสงไฟสีอบอุ่น ธารินเป็นคนช่วยเธอจัดเตรียมทุกอย่างสำหรับเซอร์ไพรส์วันเกิดของธีรภัทร ตั้งแต่สถานที่ไปจนถึงลิสต์แขกที่ได้รับเชิญแต่เธอไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแผนการร้ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มของธารินภายในห้องโถงกว้าง แขกในงานเริ่มทยอยมาถึงกันเรื่อย ๆ ทุกคนแต่งตัวสวยหรู ดูมีระดับราวกับอยู่ในงานเลี้ยงของนักธุรกิจชั้นนำ พิมพ์ดาวรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เธอเชื่อธารินจึงจัดออกมายิ่งใหญ่ แทนที่จะเป็นแบบครอบครัวที่เธออยากทำในตอนแรกแต่เธอก็ปลอบตัวเองว่า คืนนี้เป็นคืนสำคัญของพี่ธีร์ เธออยากให้มันออกมาดีที่สุดเสียงดนตรีคลอเบา ๆ ขับกล่อมบรรยากาศในงาน แต่แล้วเสียงของธารินก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของแขกพิเศษที่เธอไม่ได้เชิญ"ทุกคนคะ! ขอแนะนำให้รู้จัก กานต์รวี! คนที่สนิทที่สุดของพี่ธีร์ค่ะ"พิมพ์ดาวสะดุ้ง หัวใจของเธอเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะกานต์รวีเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ร่างสูงโปร่งในชุดเดรสสีแดงเพลิงที่ช่วยขับผิวขาวนวลของเธอให้โดดเด่นขึ้นไปอีก ริมฝีปากสีแดงสดของเธอยกยิ้
พิมพ์ดาวยืนอยู่หน้ากระจกในห้องของตัวเอง จ้องมองเงาสะท้อนที่ดูอ่อนล้าและปราศจากแววตาสดใสที่เคยมี คำพูดของธีรภัทรในงานเลี้ยงวันเกิดยังคงดังก้องในหัวของเธอ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเสียงสะท้อนที่ไม่มีวันจางหาย"อย่าคิดว่าความใจดีของเธอจะทำให้ฉันลืมทุกอย่างได้"แค่คิดถึงคำพูดนั้น หัวใจของพิมพ์ดาวก็ปวดหนึบ เธอเคยเชื่อว่าถ้าเธอพยายามมากพอถ้าเธอให้ความรักมากพอ สักวันธีรภัทรจะต้องใจอ่อนแต่ดูเหมือนว่ายิ่งเธอพยายามมากเท่าไหร่ เธอกลับยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้นถึงอย่างนั้น เธอก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนเดิม ในฐานะภรรยาของธีรภัทร เธอยังคงดูแลทุกอย่างรอบตัวเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้ว่า....ภายในใจจะค่อย ๆ พังทลายลงไปทุกวันธีรภัทรเองก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของพิมพ์ดาว เขาเห็นว่าเธอยังคงทำงานตามปกติแต่แววตาของเธอไม่สดใสเหมือนเดิม เธอไม่พูดมากเหมือนเคย และรอยยิ้มที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นกลับดูจืดจางลงอย่างเห็นได้ชัดเขาควรจะรู้สึกดีใจไม่ใช่เหรอ? เพราะนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เขาพยายามผลักไสเธอออกไปจากชีวิต พยายามให้เธอเลิกหลอกตัวเอง
เสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ คลออยู่ภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรู แขกเหรื่อในงานต่างพากันพูดคุยและดื่มด่ำกับบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมราคาแพง แสงไฟระยิบระยับสะท้อนกับแก้วแชมเปญที่ผู้คนถืออยู่ในมือ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ แต่ในมุมหนึ่งของงานเลี้ยง มีใครบางคนที่กำลังจ้องมองอยู่เงียบ ๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและเล่ห์กลธารินยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ดวงตาคมไล่มองไปยังเป้าหมายของเธออย่างใจเย็น พิมพ์ดาว…ผู้หญิงที่เธอเกลียดที่สุด‘ผู้หญิงหน้าโง่…’ เธอคิดในใจพลางกระตุกยิ้มมุมปากเธอเห็นพิมพ์ดาวยืนอยู่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง สวมชุดเดรสสีงาช้างที่ขับให้เธอดูงดงามเหนือคำบรรยาย แต่แม้ว่าเธอจะดูสง่างามแค่ไหน ธารินก็รู้ดีว่าในใจของพิมพ์ดาวตอนนี้กำลังพังทลายลงทุกวัน เพราะธีรภัทร ผู้ชายที่พิมพ์ดาวรักสุดหัวใจ กำลังผลักไสเธอออกไปอย่างไร้เยื่อใยและคืนนี้… ธารินจะทำให้ทุกอย่างพังยิ่งกว่าที่เคยเธอเดินตรงไปหาผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ บริกร เขาเป็นนายแบบหนุ่มที่เธอจ้างมาเพื่อแผนการของเธอโดยเฉพาะ ชื่อของเขาคือ กรินทร์ ชายหนุ่มรูปร่างดีที่พร้อมทำทุกอย่
เช้าวันรุ่งขึ้น พิมพ์ดาวตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บร้าวทั้งร่างกายและจิตใจ เธอนอนนิ่ง มองเพดานห้องด้วยดวงตาว่างเปล่า ในขณะที่ธีรภัทรลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอ เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดสูทมาใส่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย‘สำหรับเขา... ฉันก็เป็นแค่ของเล่นเท่านั้นสินะ’เสียงประตูห้องเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของธาริน หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะที่เธอกวาดสายตามองสภาพของพิมพ์ดาวที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะแสร้งทำเป็นตกใจ“อ้าว? พี่สะใภ้... ทำไมดูโทรมจังล่ะคะ? หรือว่าเมื่อคืนมีอะไรสนุก ๆ เกิดขึ้นเหรอ?”พิมพ์ดาวเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ตอบอะไร เธอรู้ดีว่าธารินตั้งใจมาเยาะเย้ยเธอ“พี่ธีร์คะ” ธารินหันไปหาพี่ชาย “พี่จะปล่อยให้ผู้หญิงแบบนี้อยู่ในบ้านเราอีกเหรอ? หลังจากที่พี่เห็นกับตาว่าเธอไปนอนกับผู้ชายคนอื่นน่ะ?”ธีรภัทรชะงักเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะฉายแววแข็งกร้าวขึ้น“จริงสิ! หรือว่าพี่ให้อภัยเธอไปแล้ว?” ธารินยิ้มเยาะ “พี่นี่ใจดีจังเลยนะคะ”ธีรภัทรกำหมัดแน่น เขายังคงรู้สึกโกรธทุกครั้งที่นึกถึงภาพเมื่อคืนที่ผ่านมา แม้เขาจะครอบค
เสียงฟ้าร้องคำรามกึกก้องเหนือท้องฟ้ามืดครึ้ม สายฝนที่โปรยปรายอย่างไม่ขาดสายทำให้ร่างบอบบางของพิมพ์ดาวสั่นสะท้าน เธอเดินออกมาจากบริษัทของธีรภัทรอย่างไร้จุดหมาย หัวใจแตกสลายราวกับแก้วที่ร่วงหล่นลงบนพื้นแข็ง กระนั้นเธอก็ไม่รู้จะไปที่ไหน ไม่มีที่พัก ไม่มีใครให้พึ่งพา ไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนยามค่ำคืนทุกย่างก้าวที่เดินออกไป มีแต่ความเหนื่อยล้าและหมดหวังเกาะกินหัวใจ เธอพยายามเข้มแข็งมาตลอด แต่วันนี้ทุกอย่างถาโถมจนเกินจะรับไหว ดวงตากลมโตพร่าเลือนจากหยาดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย พร้อมกับร่างกายที่เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไปอย่างไร้เรี่ยวแรง...ตรงหน้าบริษัทของธีรภัทรนั่นเอง—คนของธีรภัทรที่ได้รับคำสั่งให้ติดตามพิมพ์ดาวมาโดยตลอดตั้งแต่พิมพ์ดาวออกจากบ้านไป รีบเข้าไปพยุงร่างของเธอขึ้นอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มร่างสูงสวมชุดสูทดำรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความหาเจ้านายทันที"คุณพิมพ์ดาวหมดสติอยู่หน้าบริษัทครับ ตอนนี้ผมกำลังพาเธอไปโรงพยาบาล"หลังจากส่งข้อความแล้ว พวกเขาก็ไม่รอช้า รีบพาพิมพ์ดาวขึ้นรถและมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็วที่สุด
พิมพ์ดาวนั่งนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล สายตาของเธอเหม่อลอย น้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาไม่อาจหยุดได้ ความจริงที่เธอเพิ่งได้รับรู้ช่างหนักหนาเหลือเกิน ในตัวเธอมีอีกหนึ่งชีวิตกำลังก่อตัวขึ้นมา แต่กลับไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอคิดถึงธีรภัทร…ใบหน้าคมคายของเขาผุดขึ้นมาในความคิด ภาพวันที่เขาสั่งให้เธอออกไปจากบ้านของเขายังคงฝังแน่นในใจ คำพูดเย็นชานั้นดังก้องราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน “อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญ”พิมพ์ดาวกอดตัวเองแน่น เธออยากจะร้องไห้ให้หมดแรง อยากจะกรีดร้องให้ความเจ็บปวดในใจนี้หายไป แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขัดจังหวะทุกอย่าง เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมามอง…เบอร์ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกดรับ“ฮัลโหล…”“คุณพิมพ์ดาว…ใช่ไหม?”เสียงปลายสายเป็นเสียงของผู้หญิง น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาและอ่อนโยนจนพิมพ์ดาวรู้สึกถึงความห่วงใย แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักเจ้าของเสียง แต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านมากลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะพูดเสียงสั่นว่า "ฉัน… ฉันพร้อมแล้ว ที่จะให้โอกาสคุณอีกครั้ง"ธีรภัทรเบิกตากว้าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้า เขายกมือขึ้นกุมมือของพิมพ์ดาวแน่น ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอด"ขอบคุณนะพิมพ์ดาว… ขอบคุณที่ยอมให้โอกาสผม…"ปริญมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาพึงพอใจ เขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน"ผมยินดีกับพวกคุณทั้งสองคนจริง ๆ" ปริญพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปหาธีรภัทรธีรภัทรลุกขึ้นยืนหันไปมองปริญ ปริญยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า"ฉันกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ แต่ขอให้รู้ไว้ ถ้านายทำให้พิมพ์ดาวเสียใจแม้แต่นิดเดียว… ฉันจะกลับมา และพาพิมพ์ดาวกับลูกหนีไปจากนายทันที"ธีรภัทรมองสบตาปริญด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าตอบ"ฉันสัญญา… ฉันจะไม่มีวันทำให้พิมพ์ดาวเสียใจอีก"ปริญยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะตบไหล่ธีรภัทรเบา ๆทันใดนั้น…"แด๊ดดี้! แม่!"เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นก่อนที่พัตเตอร์จะวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก เด็กน้อยวิ่งตรงมาหาธีรภัทรกับพิมพ์ดาว ก่อนจะกระโดดกอดพวกเข
ปริญยืนมองหลังของธีรภัทรที่เดินจากไปจนลับสายตา เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบเครื่องอัดเสียงขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คลื่นความรู้สึกบางอย่างกระเพื่อมอยู่ในอก เขารู้ดีว่าธีรภัทรรักพิมพ์ดาวมากแค่ไหน คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดเพื่อเอาใจ แต่เป็นคำพูดที่มาจากหัวใจอย่างแท้จริงปริญก้มมองเครื่องอัดเสียงในมือ ก่อนจะกำมันไว้แน่น และตัดสินใจเดินตรงไปที่รถของตัวเอง เขาสตาร์ทรถและมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของพิมพ์ดาวทันทีบรรยากาศในบ้านของพิมพ์ดาวเงียบสงบ มีเพียงเสียงของลมที่พัดผ่านหน้าต่าง ปริญนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น โดยมีพิมพ์ดาว พ่อ แม่ และน้องชายของเธอนั่งอยู่ล้อมรอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด"ปริญ... มีอะไรเหรอ?" พิมพ์ดาวถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความสงสัยปริญสบตากับเธอ ก่อนจะยกเครื่องอัดเสียงขึ้นมา"ฉันอยากให้พวกเธอได้ยินสิ่งนี้" เขาพูดช้า ๆ ก่อนจะเปิดเครื่องอัดเสียงทันทีที่เสียงของธีรภัทรดังขึ้น ความเงียบก็ปกคลุมทั่วห้อง"ผมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น..."ดวงตาของพิมพ์ดาวเบิกกว้าง หัวใจเธอเต้นแรงเม
เสียงเครื่องบินที่กำลังลดระดับลงล้อแตะกับรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้พิมพ์ดาวที่กำลังยืนรออยู่หน้าเกทขาเข้าหัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังประตูที่กำลังเปิดออก ผู้โดยสารทยอยเดินออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของพ่อ แม่ และน้องชายที่เดินมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต พิมพ์ดาวรีบสาวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะโผเข้าสวมกอดมารดาแน่น ร่างบางสั่นไหวเล็กน้อยอย่างตื้นตัน“คุณแม่... คุณพ่อ...” พิมพ์ดาวน้ำตาคลอเบ้า“แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน” น้ำเสียงอบอุ่นของมารดาทำให้พิมพ์ดาวกอดท่านแน่นขึ้น ก่อนจะหันไปกอดบิดา และสุดท้ายคือ ภัทร น้องชายที่ยืนกอดอก มองพี่สาวด้วยสีหน้ากึ่งดีใจ กึ่งเคืองขุ่น“กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะคะ” พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ขณะที่คุณหญิงจินดาและเจ้าสัวพิชิตพยักหน้า แม้รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านทั้งสองจะดูขมขื่นเล็กน้อยก็ตาม“กลับมาก็ดีแล้วล่ะ จะได้ดูแลพิมพ์ดาวกับหลานให้ดี ๆ เสียที” เจ้าสัวพิชิตกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม แววตาเย็นชานั้นทำให้พิมพ์ดาวรู้ดีว่าเขายังไม่ให้อภัยธีรภัทร
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลอดผ่านม่านสีขาวภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสงบอย่างน่าประหลาด พิมพ์ดาวนั่งเฝ้าธีรภัทรอยู่ข้างเตียง ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวของชายหนุ่มที่ยังคงหลับสนิทเธอวางมือลงเบา ๆ บนหลังมือของเขา แม้ไม่อยากยอมรับ แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงทุกครั้งที่ได้สัมผัสเขาแบบนี้"อืม..."เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นจากริมฝีปากของธีรภัทร ก่อนที่เปลือกตาของเขาจะขยับเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขากวาดมองไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของพิมพ์ดาว"พิมพ์..." เสียงของเขาแหบพร่าและอ่อนแรง แต่แฝงไว้ด้วยความดีใจอย่างชัดเจน "เธอกับลูก... ปลอดภัยใช่มั้ย?"พิมพ์ดาวเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเหมือนก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ความเป็นห่วงเป็นใยของเขาที่มีต่อเธอและพัตเตอร์ ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาโดยไม่รู้ตัว"พวกเราปลอดภัย..." เธอตอบเสียงเบา ก่อนจะก้มลงไปใกล้เขา "คุณน่ะสิ เป็นยังไงบ้าง?"ธีรภัทรยิ้มบาง ๆ แม้ใบหน
วันต่อมา – หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์พิมพ์ดาวยืนอยู่หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์ในช่วงเย็น ขณะที่ธีรภัทรยืนอยู่ข้าง ๆ เขาใส่สูทสีเข้ม ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่พัตเตอร์กำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่ที่สนามเด็กเล่น"ขอบคุณนะคะ ที่มารับพัตเตอร์ด้วยกันทุกวัน" พิมพ์ดาวพูดเบา ๆธีรภัทรหันไปมองเธอ รอยยิ้มบางปรากฏบนริมฝีปาก "ไม่เป็นไรครับ ผมอยากมาอยู่กับพวกคุณ"พิมพ์ดาวหลุบตาลง เธอรู้สึกว่าธีรภัทรกำลังพยายามอย่างหนักที่จะทำให้เธอเปิดใจ แต่เธอยังไม่กล้าที่จะเชื่อใจเขาเต็มร้อยทันใดนั้น…"พิมพ์ดาว!!"เสียงแหลมสูงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังขึ้น ทำให้พิมพ์ดาวและธีรภัทรหันไปมองทันทีร่างของกานต์รวีในชุดเดรสสีดำแนบเนื้อพุ่งตรงเข้ามาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ในมือของเธอมีมีดคมกริบเล่มหนึ่ง"กานต์รวี!" ธีรภัทรร้องเสียงดัง ขณะที่กานต์รวีพุ่งเข้าหาพิมพ์ดาวด้วยความเร็ว"แกต้องตาย!!"พิมพ์ดาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขาทั้งสองข้างของเธอเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น เธอได้แต่มองปลายมีดที่กำลังพุ่งเข้าหาอย่างตกตะ
แสงแดดยามเช้าสาดกระทบผ่านม่านสีขาวในห้องนอนของคอนโดฯ หรูใจกลางเมือง พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ขณะที่เสียงนกร้องแว่วดังมาจากนอกหน้าต่าง ร่างบางขยับกายเบา ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเบา ๆ ตามมาด้วยเสียงของพัตเตอร์ที่ตะโกนเรียกเธอ"มามี๊~ ตื่นได้แล้วครับ!"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง มือเรียวเสยผมยาวสลวยของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไป"มามี๊ตื่นแล้วครับลูก เดี๋ยวมามี๊จะออกไปเดี๋ยวนี้"พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูห้องนอนก็พบกับพัตเตอร์ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าห้อง ในชุดนักเรียนที่ถูกแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มือเล็ก ๆ ถือกล่องนมไว้ในมือ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามากอดขาเธอแน่น"พัตเตอร์ตื่นเช้าจังเลยค่ะ" พิมพ์ดาวลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของเขา"พัตเตอร์ไม่ได้ตื่นเองนะครับ" เด็กชายเงยหน้ามองเธอ ดวงตากลมโตใสซื่อเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา"แด๊ดดี้โทรปลุกพัตเตอร์เองต่างหาก!"พิมพ์ดาวชะงัก หัวใจเต้นกระตุกเมื่อได้ยินคำว่า 'แด๊ดดี้'"คุณธีรภัทรจะมาเหรอคะ?" เธอถามด้วยความสงสัยพัตเตอร์พยักหน้าแรง
หลังจากเหตุการณ์เปิดโปงอนุชิตในคืนนั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี แต่ในใจของพิมพ์ดาวกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์ ร่องรอยบาดแผลในอดีตยังคงทิ้งรอยแผลลึกไว้ในใจของเธอ…พิมพ์ดาวนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างของคอนโดหรูในกรุงเทพฯ สายลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านเข้ามาเบา ๆ เสียงเรียกเข้าสายดังขึ้น พิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกดรับสาย"พ่อคะ..." น้ำเสียงของพิมพ์ดาวแผ่วเบาแต่มั่นคง"ดาวลูก…" เสียงของเจ้าสัวพิชิตปลายสายเต็มไปด้วยความกังวล"ทุกอย่างจบลงแล้วค่ะพ่อ อนุชิตได้รับผลกรรมของเขาแล้ว พ่อพ้นมลทินแล้วนะคะ"เจ้าสัวพิชิตนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เสียงถอนหายใจของพ่อทำให้พิมพ์ดาวรู้สึกถึงน้ำหนักที่ผ่อนคลายลงในใจ"ดีแล้ว… พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก พ่อจะกลับไปปรึกษาแม่กับน้องชาย แล้วพวกเราจะกลับไปอยู่ที่ประเทศไทยด้วยกัน"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ แม้จะมีน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาเธอทอแสงแห่งความหวัง แต่มันก็ยังไม่อาจลบเลือนบาดแผลในใจได้ง่าย ๆในขณะที่พิมพ์ดาวกำลังเตรียมตัวเพื่อพาครอบครัวกลับมาที่
เสียงในห้องจัดเลี้ยงเงียบสนิทไปชั่วขณะหลังจากคำประกาศของธีรภัทรดังก้องไปทั่วทั้งงาน น้ำเสียงของเขามั่นคง หนักแน่น และเต็มไปด้วยความจริงใจ“ฉันรักพิมพ์ดาว และจะไม่มีวันยอมรับใครเป็นภรรยา นอกจากเธอเท่านั้น”ทุกสายตาหันมาที่พิมพ์ดาว ซึ่งยืนนิ่งเหมือนถูกแช่แข็งอยู่กับที่ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ขณะที่ริมฝีปากเม้มแน่น ราวกับยังประมวลผลไม่ทันกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินกานต์รวีหน้าถอดสี น้ำตารื้นขึ้นในดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่ ขาทั้งสองข้างแทบจะไร้เรี่ยวแรง เธอยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง พลางส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ไม่นะ... ธีร์ต้องล้อฉันเล่นใช่ไหม?” น้ำเสียงของกานต์รวีสั่นไหว ร่างของเธอสั่นสะท้าน ขณะเดินตรงไปหาธีรภัทรด้วยสีหน้าตื่นตระหนก“ทำไมธีร์ถึงพูดแบบนี้? ธีร์รักฉันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”ธีรภัทรหันมามองกานต์รวี ดวงตาคมกริบของเขาเย็นชาและว่างเปล่า ราวกับปราศจากความรู้สึกใด ๆ“ฉันไม่เคยรักเธอ” เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงเย็นเยียบจนทำให้หัวใจของกานต์รวีแทบแตกสลาย“ไม่จริง!” กาน
เสียงเพลงคลาสสิกบรรเลงคลอเบา ๆ ภายในงานเลี้ยงหรูหราที่จัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ของโรงแรมระดับห้าดาว แขกผู้มีเกียรติในชุดราตรีและสูทเรียบหรูต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรานั้น ธีรภัทรยืนสง่างามในชุดสูทสีดำสนิท เขาถือแก้วไวน์แดงในมือ สายตาของเขามองตรงไปยังพิมพ์ดาวที่กำลังยืนอยู่มุมห้อง ข้าง ๆ เธอมีปริญคอยประกบอยู่ไม่ห่าง ทำให้สีหน้าของธีรภัทรดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้นกานต์รวียืนเคียงข้างธีรภัทร เธอสวมชุดราตรีสีแดงสดที่เน้นทรวดทรงอย่างลงตัว ใบหน้าสวยหวานประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทว่าในแววตามีประกายแห่งความมุ่งมั่นซ่อนอยู่"ธีร์คะ..." กานต์รวีเอ่ยเสียงหวานพร้อมเอื้อมมือไปแตะต้นแขนของธีรภัทรเบา ๆ"วันนี้คุณหล่อมากเลยนะคะ"ธีรภัทรปรายตามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะดึงแขนออกจากมือของกานต์รวีอย่างแผ่วเบา"ขอบคุณ" น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ทว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่พิมพ์ดาวไม่วางตากานต์รวีเม้มปากแน่น หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่สบายใจ เธอรู้ว่าธีรภัทรยอมให้เธออยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่เคยแสดงความสนใจในตัวเธอจริง ๆ เลย มันเหมือนกับว่าเขากำลังรออะไรบางอย่าง หรื