พิมพ์ดาวนั่งนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล สายตาของเธอเหม่อลอย น้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาไม่อาจหยุดได้ ความจริงที่เธอเพิ่งได้รับรู้ช่างหนักหนาเหลือเกิน ในตัวเธอมีอีกหนึ่งชีวิตกำลังก่อตัวขึ้นมา แต่กลับไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
เธอคิดถึงธีรภัทร…
ใบหน้าคมคายของเขาผุดขึ้นมาในความคิด ภาพวันที่เขาสั่งให้เธอออกไปจากบ้านของเขายังคงฝังแน่นในใจ คำพูดเย็นชานั้นดังก้องราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน “อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญ”
พิมพ์ดาวกอดตัวเองแน่น เธออยากจะร้องไห้ให้หมดแรง อยากจะกรีดร้องให้ความเจ็บปวดในใจนี้หายไป แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขัดจังหวะทุกอย่าง เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมามอง…เบอร์ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก
ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกดรับ
“ฮัลโหล…”
“คุณพิมพ์ดาว…ใช่ไหม?”
เสียงปลายสายเป็นเสียงของผู้หญิง น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาและอ่อนโยนจนพิมพ์ดาวรู้สึกถึงความห่วงใย แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักเจ้าของเสียง แต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านมากลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
ระหว่างที่พิมพ์ดาวเดินออกจากโรงพยาบาลและขึ้นรถไปสนามบิน ธีรภัทรเพิ่งได้รับรายงานจากลูกน้องที่เฝ้าติดตามเธออยู่"เจ้านายครับ… เธอกำลังเดินทางไปสนามบิน"คำพูดสั้น ๆ นั้นทำให้ธีรภัทรเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ ดวงตาสีนิลฉายแววตื่นตระหนก"อย่าให้เธอออกจากประเทศได้เด็ดขาด!"เขารีบคว้ากุญแจรถออกไปจากบริษัททันที ขับรถมุ่งหน้าไปยังสนามบินด้วยความเร็วสูง หัวใจเต้นแรงอย่างรุนแรง ความรู้สึกภายในใจสับสนวุ่นวาย แต่มีเพียงความคิดเดียวที่เขามั่นใจที่สุดเขาจะไม่ปล่อยให้พิมพ์ดาวจากไป!ธีรภัทรกดคันเร่งจนสุด รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าเหมือนสัตว์ร้าย สายตาจับจ้องเส้นทาง มือกำพวงมาลัยแน่นจนข้อขาว เขารู้ดีว่ามีเวลาไม่มาก และหากเขาช้าไปเพียงวินาทีเดียว... พิมพ์ดาวจะจากไปตลอดกาลเมื่อมาถึงสนามบิน เขาแทบกระโจนลงจากรถ ไม่สนใจเสียงบีบแตรจากรถคันอื่น หัวใจเต้นรัวเหมือนกลองศึก ร่างสูงพุ่งผ่านผู้คน มุ่งหน้าไปยังจุดตรวจผู้โดยสารขาออก ก่อนที่เสียงประกาศจะดังขึ้นเหนือศีรษะ"เที่ยวบินที่ PG107 เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยัง..."สายตาของเขาเหลือบไปที่กระจกบานใหญ่ของสนามบ
“ธาริน!”เสียงทุ้มต่ำของธีรภัทรดังลั่นไปทั่วคฤหาสน์ ดวงตาสีนิลที่เคยสุขุมบัดนี้เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ ธารินที่กำลังนั่งจิบไวน์สบายใจอยู่ในห้องรับแขกสะดุ้งโหยง หันมามองพี่ชายด้วยสีหน้าตกใจ“มีอะไรคะพี่?” เธอถาม แต่เพียงแค่เห็นสายตาของธีรภัทร เธอก็รู้ทันทีว่าเขารู้แล้ว“มีอะไรงั้นเหรอ?!” ธีรภัทรกระแทกแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ กระดาษกระจายเต็มพื้น“เธอกล้าทำเรื่องสกปรกแบบนี้กับพิมพ์ดาวได้ยังไง! เธอเล่นสกปรกขนาดนี้เพื่ออะไร?! เพื่อแก้แค้นพ่อของเธอหรือไง?!”“พี่ธีร์—”“อย่ามาเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงใสซื่อแบบนั้น! เธอสร้างเรื่องหลอกฉัน! เธอจัดฉากให้พิมพ์ดาวดูเหมือนผู้หญิงไร้ศักดิ์ศรี เธอทำทุกอย่างเพื่อให้ฉันเกลียดเธอ! แล้วดูสิ่งที่เธอทำสำเร็จแล้ว เธอพังทุกอย่างของฉัน!!”เสียงตวาดดังก้อง ธารินเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว ความกลัวแวบขึ้นมาในดวงตาของเธอ แต่มันก็ถูกแทนที่ด้วยความดื้อรั้นในเสี้ยววินาที“ใช่! ฉันทำ! เพราะฉันทนไม่ได้ที่เห็นพี่หลงผู้หญิงคนนั้น! ฉันทนไม่ได้ที่พี่จะให้อภัยลูกสาวของคนที่ทำลายครอบครัวเรา!” เธอกรีดเสียงกลับ ดวงตาเต็มไปด้วยความบ้
เสียงร้องไห้ดังลั่นไปทั่วห้องคลอดเมื่อเด็กทารกตัวน้อยลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกพิมพ์ดาวหายใจหอบแรง ร่างกายของเธออ่อนแรงแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องของลูก ดวงตาของเธอพลันมีน้ำตาคลอเธอเอื้อมมือไปรับลูกน้อยที่พยาบาลส่งให้ ก่อนจะมองใบหน้าของเขาด้วยความรักล้นใจ"ลูกของแม่..." เธอกระซิบเสียงแผ่ว กอดร่างน้อยแนบอก เด็กน้อยขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะสงบลงในอ้อมแขนของเธอปริญยืนอยู่ข้างเตียง มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน"เขาน่ารักมากนะพิมพ์ดาว เหมือนเธอไม่มีผิด"พิมพ์ดาวหัวเราะเบา ๆ แม้ดวงตาจะเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา"แต่ฉันว่ามีบางอย่างที่เหมือน...เขา"เธอไม่ได้พูดชื่อออกมา แต่ปริญรู้ดีว่าเธอหมายถึงใคร เขาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยนชีวิตของพิมพ์ดาวหลังจากคลอดลูกไม่ง่ายเลย เธอต้องรับมือกับความเหนื่อยล้าจากการเลี้ยงลูกคนเดียวโดยไม่มีครอบครัวหรือสามีอยู่ข้าง ๆ แม้ปริญจะช่วยเธอเท่าที่ทำได้ แต่สุดท้ายแล้ว ภาระหนักก็ยังอยู่ที่เธอเป็นหลักเธอต้องตื่นกลางดึกหลายครั้งเพื่
พิมพ์ดาววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะไม้ข้างโซฟา ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเบาะอย่างเหนื่อยล้า ดวงตาเธอทอดมองออกไปยังหน้าต่างกระจกที่เผยให้เห็นวิวเมืองยามค่ำคืน แสงไฟจากอาคารสูงระยิบระยับราวกับดวงดาวในห้วงจักรวาลเธอไม่เคยคิดว่าชีวิตของตัวเองจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่เธอสามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง มีธุรกิจของตัวเอง และมีลูกชายที่เป็นทุกอย่างในชีวิตของเธอ แต่ถึงจะมีทุกอย่างครบ พิมพ์ดาวก็ยังรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดหายไป... ครอบครัวของเธอเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิด พิมพ์ดาวเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมาดู และกดรับสาย"ฮัลโหล""ดาว... เป็นหนูจริง ๆ ใช่ไหมลูก?" เสียงของพ่อเธอสั่นเครือเล็กน้อย น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงและตื่นเต้น "พ่อเห็นข่าวของลูก ลูก... ลูกประสบความสำเร็จมากเลยนะ พ่อภูมิใจในตัวลูกจริง ๆ"พิมพ์ดาวรู้สึกเหมือนน้ำตามันเอ่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สามปีที่เธอไม่ได้เจอพ่อกับแม่และน้องชาย เสียงของพ่อที่คุ้นเคยทำให้หัวใจเธอบีบรัดแน่น "พ่อ... พ่ออยู่ไหน? แม่กับน้องภัทรล่ะ?""เรายังอยู่ที่ประเทศxxxลูก..." พ่อเธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "พ่อขอโทษนะพิมพ
ในค่ำคืนที่อากาศเย็นสบาย พิมพ์ดาวตัดสินใจพาปริญมาพบกับครอบครัวของเธอที่บ้าน ซึ่งเป็นบ้านสไตล์ยุโรปที่เธออาศัยอยู่กับพ่อแม่และน้องชาย"พ่อ แม่ นี่พี่ปริญค่ะ ที่ปรึกษาทางธุรกิจของหนู แล้วก็... เพื่อนที่คอยช่วยเหลือหนูมาตลอด" พิมพ์ดาวพูดแนะนำชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเธอปริญโค้งศีรษะให้ผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยท่าทีสุภาพ"สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า ยินดีที่ได้พบกันครับ"คุณพ่อของพิมพ์ดาวมองชายหนุ่มด้วยสายตาครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าให้เขานั่งลงตรงข้าม"ทำธุรกิจอะไรอยู่หรือครับ คุณปริญ? "ปริญยิ้มบาง ๆ อย่างใจเย็น"ผมทำงานด้านการลงทุนและการบริหารธุรกิจครับ เคยเป็นที่ปรึกษาให้หลายบริษัท และพอดีมีโอกาสได้รู้จักกับดาว ผมเห็นว่าเธอมีความสามารถ และโครงการที่เธอทำมีศักยภาพสูงมาก ก็เลยอยากช่วยผลักดันให้ไปได้ไกลครับ"คุณพ่อพยักหน้าอย่างพอใจในคำตอบ แต่ก็ยังถามต่อ"แล้วนอกจากเรื่องธุรกิจล่ะ คุณปริญมีความตั้งใจอะไรเป็นพิเศษไหมกับดาว?"คำถามนี้ทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารเงียบลงชั่วขณะ พิมพ์ดาวเผลอกลืนน้ำลายลงคอ ขณะที่ปริญนิ่งไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่า
เสียงลมพัดผ่านสวนหลังบ้านเบา ๆ ขณะที่พิมพ์ดาวยืนพิงระเบียง มองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ความรู้สึกสับสนในใจของเธอยังคงไม่จางหาย แม้ปริญจะเป็นคนที่อดทนและอ่อนโยนเพียงใด แต่เธอก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงในใจตัวเองได้ง่าย ๆเธอถอนหายใจยาว ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในบ้าน หัวใจของเธอเต็มไปด้วยคำถามที่ต้องการคำตอบ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถให้คำตอบเหล่านั้นกับเธอได้—“พ่อคะ หนูขอคุยด้วยหน่อย”พิมพ์ดาวนั่งเงียบอยู่กับพ่อของเธอในห้องรับแขก บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความอึดอัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาเบา ๆ“ลูกบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับพ่อ” คุณพ่อของพิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสงบแต่เต็มไปด้วยความสงสัยพิมพ์ดาวสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะพูดออกมา “พ่อ... พ่อยังจำเรื่องของตระกูลอัครวรเดชได้ไหมคะ?”ดวงตาของผู้เป็นพ่อฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น “จำได้สิ ทำไมลูกถึงถามเรื่องนี้?”พิมพ์ดาวกำกระดาษแผ่นหนึ่งในมือแน่น ก่อนจะค่อย ๆ วางมันลงบนโต๊ะ“นี
เสียงลมพัดเบา ๆ ผ่านม่านหน้าต่างของห้องทำงานขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนตึกสูงใจกลางกรุงเทพมหานคร ดวงตาของพิมพ์ดาวจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องนอก รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากขณะที่เธอถือเอกสารชุดหนึ่งในมือ ดวงตาคู่นั้นฉายแววเยือกเย็นและแน่วแน่"พร้อมหรือยังคะ คุณพิมพ์ดาว?"เสียงของเลขาสาวคนสนิทเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง พิมพ์ดาวเหลือบตามองก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะกระจกด้วยท่าทีมั่นใจ"เริ่มได้เลย"เลขาสาวพยักหน้า ก่อนจะเดินออกจากห้อง ปล่อยให้พิมพ์ดาวยืนสงบอยู่เพียงลำพังในห้องทำงานที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ผนังด้านหนึ่งติดกระจกใส มองเห็นวิวเมืองใหญ่ยามเช้าได้อย่างชัดเจนพิมพ์ดาวหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่ในหัวของเธอเต็มไปด้วยภาพความทรงจำในอดีต — วันที่เธอเดินจากไปพร้อมกับลูกในท้อง วันที่เธอถูกธีรภัทรผลักไสไล่ส่งอย่างไม่ใยดี เสียงของเขายังคงก้องอยู่ในความทรงจำ รอยเจ็บปวดเหล่านั้นไม่มีวันเลือนหายไปง่าย ๆแต่ตอนนี้... ถึงเวลาที่เธอจะเอาคืนแล้ว"บริษัท ที คอร์เปอเรชั่น ประกาศเข้าซื้อหุ้นของบริษัท อัครเด
ธีรภัทรยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องประชุมใหญ่ของบริษัท Elysium Holdings ด้วยท่าทีเคร่งขรึม สายตาคมกริบจับจ้องผ่านบานกระจกใสไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานที่ปลายโต๊ะประชุม — พิมพ์ดาวเธอสวมชุดสูทสีเบจเรียบหรู ผมยาวสลวยถูกรวบไว้หลวม ๆ ดวงตาคมกริบฉายแววเย็นชา ขณะฟังรายงานจากหนึ่งในผู้บริหารอย่างใจเย็น ราวกับเป็นราชินีที่กำลังวางกลยุทธ์ในสงครามสามปีที่แล้ว เธอเคยเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวาน ขี้อาย และแสดงความรักต่อเขาอย่างตรงไปตรงมา แต่ตอนนี้… ผู้หญิงตรงหน้านั้นแข็งแกร่งและยากจะเข้าถึง ราวกับมีเกราะเหล็กกางกั้นไม่ให้ใครเข้าใกล้“พิมพ์ดาว…” ธีรภัทรพึมพำเบา ๆ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเสียงเปิดประตูดังก้องในความเงียบของห้องประชุม สายตาของผู้บริหารระดับสูงหลายคนหันไปมองด้วยความตกใจ บางคนเริ่มกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ขณะที่บางคนชำเลืองมองพิมพ์ดาวเพื่อรอดูปฏิกิริยาของเธอพิมพ์ดาวยังคงนั่งนิ่ง ดวงตาคมกริบจับจ้องธีรภัทรอย่างเย็นชา ราวกับกำลังประเมินว่าเขาจะเดินเข้ามาในฐานะศัตรูหรือพันธมิตร เสียงปลายปากกาที่เธอเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเบา ๆ
พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะพูดเสียงสั่นว่า "ฉัน… ฉันพร้อมแล้ว ที่จะให้โอกาสคุณอีกครั้ง"ธีรภัทรเบิกตากว้าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้า เขายกมือขึ้นกุมมือของพิมพ์ดาวแน่น ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอด"ขอบคุณนะพิมพ์ดาว… ขอบคุณที่ยอมให้โอกาสผม…"ปริญมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาพึงพอใจ เขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน"ผมยินดีกับพวกคุณทั้งสองคนจริง ๆ" ปริญพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปหาธีรภัทรธีรภัทรลุกขึ้นยืนหันไปมองปริญ ปริญยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า"ฉันกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ แต่ขอให้รู้ไว้ ถ้านายทำให้พิมพ์ดาวเสียใจแม้แต่นิดเดียว… ฉันจะกลับมา และพาพิมพ์ดาวกับลูกหนีไปจากนายทันที"ธีรภัทรมองสบตาปริญด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าตอบ"ฉันสัญญา… ฉันจะไม่มีวันทำให้พิมพ์ดาวเสียใจอีก"ปริญยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะตบไหล่ธีรภัทรเบา ๆทันใดนั้น…"แด๊ดดี้! แม่!"เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นก่อนที่พัตเตอร์จะวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก เด็กน้อยวิ่งตรงมาหาธีรภัทรกับพิมพ์ดาว ก่อนจะกระโดดกอดพวกเข
ปริญยืนมองหลังของธีรภัทรที่เดินจากไปจนลับสายตา เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบเครื่องอัดเสียงขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คลื่นความรู้สึกบางอย่างกระเพื่อมอยู่ในอก เขารู้ดีว่าธีรภัทรรักพิมพ์ดาวมากแค่ไหน คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดเพื่อเอาใจ แต่เป็นคำพูดที่มาจากหัวใจอย่างแท้จริงปริญก้มมองเครื่องอัดเสียงในมือ ก่อนจะกำมันไว้แน่น และตัดสินใจเดินตรงไปที่รถของตัวเอง เขาสตาร์ทรถและมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของพิมพ์ดาวทันทีบรรยากาศในบ้านของพิมพ์ดาวเงียบสงบ มีเพียงเสียงของลมที่พัดผ่านหน้าต่าง ปริญนั่งอยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น โดยมีพิมพ์ดาว พ่อ แม่ และน้องชายของเธอนั่งอยู่ล้อมรอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด"ปริญ... มีอะไรเหรอ?" พิมพ์ดาวถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความสงสัยปริญสบตากับเธอ ก่อนจะยกเครื่องอัดเสียงขึ้นมา"ฉันอยากให้พวกเธอได้ยินสิ่งนี้" เขาพูดช้า ๆ ก่อนจะเปิดเครื่องอัดเสียงทันทีที่เสียงของธีรภัทรดังขึ้น ความเงียบก็ปกคลุมทั่วห้อง"ผมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น..."ดวงตาของพิมพ์ดาวเบิกกว้าง หัวใจเธอเต้นแรงเม
เสียงเครื่องบินที่กำลังลดระดับลงล้อแตะกับรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้พิมพ์ดาวที่กำลังยืนรออยู่หน้าเกทขาเข้าหัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังประตูที่กำลังเปิดออก ผู้โดยสารทยอยเดินออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของพ่อ แม่ และน้องชายที่เดินมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต พิมพ์ดาวรีบสาวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะโผเข้าสวมกอดมารดาแน่น ร่างบางสั่นไหวเล็กน้อยอย่างตื้นตัน“คุณแม่... คุณพ่อ...” พิมพ์ดาวน้ำตาคลอเบ้า“แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน” น้ำเสียงอบอุ่นของมารดาทำให้พิมพ์ดาวกอดท่านแน่นขึ้น ก่อนจะหันไปกอดบิดา และสุดท้ายคือ ภัทร น้องชายที่ยืนกอดอก มองพี่สาวด้วยสีหน้ากึ่งดีใจ กึ่งเคืองขุ่น“กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะคะ” พิมพ์ดาวยิ้มทั้งน้ำตา ขณะที่คุณหญิงจินดาและเจ้าสัวพิชิตพยักหน้า แม้รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านทั้งสองจะดูขมขื่นเล็กน้อยก็ตาม“กลับมาก็ดีแล้วล่ะ จะได้ดูแลพิมพ์ดาวกับหลานให้ดี ๆ เสียที” เจ้าสัวพิชิตกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม แววตาเย็นชานั้นทำให้พิมพ์ดาวรู้ดีว่าเขายังไม่ให้อภัยธีรภัทร
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลอดผ่านม่านสีขาวภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสงบอย่างน่าประหลาด พิมพ์ดาวนั่งเฝ้าธีรภัทรอยู่ข้างเตียง ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวของชายหนุ่มที่ยังคงหลับสนิทเธอวางมือลงเบา ๆ บนหลังมือของเขา แม้ไม่อยากยอมรับ แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงทุกครั้งที่ได้สัมผัสเขาแบบนี้"อืม..."เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นจากริมฝีปากของธีรภัทร ก่อนที่เปลือกตาของเขาจะขยับเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขากวาดมองไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของพิมพ์ดาว"พิมพ์..." เสียงของเขาแหบพร่าและอ่อนแรง แต่แฝงไว้ด้วยความดีใจอย่างชัดเจน "เธอกับลูก... ปลอดภัยใช่มั้ย?"พิมพ์ดาวเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเหมือนก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ความเป็นห่วงเป็นใยของเขาที่มีต่อเธอและพัตเตอร์ ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาโดยไม่รู้ตัว"พวกเราปลอดภัย..." เธอตอบเสียงเบา ก่อนจะก้มลงไปใกล้เขา "คุณน่ะสิ เป็นยังไงบ้าง?"ธีรภัทรยิ้มบาง ๆ แม้ใบหน
วันต่อมา – หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์พิมพ์ดาวยืนอยู่หน้าโรงเรียนของพัตเตอร์ในช่วงเย็น ขณะที่ธีรภัทรยืนอยู่ข้าง ๆ เขาใส่สูทสีเข้ม ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่พัตเตอร์กำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่ที่สนามเด็กเล่น"ขอบคุณนะคะ ที่มารับพัตเตอร์ด้วยกันทุกวัน" พิมพ์ดาวพูดเบา ๆธีรภัทรหันไปมองเธอ รอยยิ้มบางปรากฏบนริมฝีปาก "ไม่เป็นไรครับ ผมอยากมาอยู่กับพวกคุณ"พิมพ์ดาวหลุบตาลง เธอรู้สึกว่าธีรภัทรกำลังพยายามอย่างหนักที่จะทำให้เธอเปิดใจ แต่เธอยังไม่กล้าที่จะเชื่อใจเขาเต็มร้อยทันใดนั้น…"พิมพ์ดาว!!"เสียงแหลมสูงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังขึ้น ทำให้พิมพ์ดาวและธีรภัทรหันไปมองทันทีร่างของกานต์รวีในชุดเดรสสีดำแนบเนื้อพุ่งตรงเข้ามาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ในมือของเธอมีมีดคมกริบเล่มหนึ่ง"กานต์รวี!" ธีรภัทรร้องเสียงดัง ขณะที่กานต์รวีพุ่งเข้าหาพิมพ์ดาวด้วยความเร็ว"แกต้องตาย!!"พิมพ์ดาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขาทั้งสองข้างของเธอเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น เธอได้แต่มองปลายมีดที่กำลังพุ่งเข้าหาอย่างตกตะ
แสงแดดยามเช้าสาดกระทบผ่านม่านสีขาวในห้องนอนของคอนโดฯ หรูใจกลางเมือง พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ขณะที่เสียงนกร้องแว่วดังมาจากนอกหน้าต่าง ร่างบางขยับกายเบา ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเบา ๆ ตามมาด้วยเสียงของพัตเตอร์ที่ตะโกนเรียกเธอ"มามี๊~ ตื่นได้แล้วครับ!"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง มือเรียวเสยผมยาวสลวยของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไป"มามี๊ตื่นแล้วครับลูก เดี๋ยวมามี๊จะออกไปเดี๋ยวนี้"พิมพ์ดาวค่อย ๆ ลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูห้องนอนก็พบกับพัตเตอร์ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าห้อง ในชุดนักเรียนที่ถูกแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มือเล็ก ๆ ถือกล่องนมไว้ในมือ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามากอดขาเธอแน่น"พัตเตอร์ตื่นเช้าจังเลยค่ะ" พิมพ์ดาวลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของเขา"พัตเตอร์ไม่ได้ตื่นเองนะครับ" เด็กชายเงยหน้ามองเธอ ดวงตากลมโตใสซื่อเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา"แด๊ดดี้โทรปลุกพัตเตอร์เองต่างหาก!"พิมพ์ดาวชะงัก หัวใจเต้นกระตุกเมื่อได้ยินคำว่า 'แด๊ดดี้'"คุณธีรภัทรจะมาเหรอคะ?" เธอถามด้วยความสงสัยพัตเตอร์พยักหน้าแรง
หลังจากเหตุการณ์เปิดโปงอนุชิตในคืนนั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี แต่ในใจของพิมพ์ดาวกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์ ร่องรอยบาดแผลในอดีตยังคงทิ้งรอยแผลลึกไว้ในใจของเธอ…พิมพ์ดาวนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างของคอนโดหรูในกรุงเทพฯ สายลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านเข้ามาเบา ๆ เสียงเรียกเข้าสายดังขึ้น พิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกดรับสาย"พ่อคะ..." น้ำเสียงของพิมพ์ดาวแผ่วเบาแต่มั่นคง"ดาวลูก…" เสียงของเจ้าสัวพิชิตปลายสายเต็มไปด้วยความกังวล"ทุกอย่างจบลงแล้วค่ะพ่อ อนุชิตได้รับผลกรรมของเขาแล้ว พ่อพ้นมลทินแล้วนะคะ"เจ้าสัวพิชิตนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เสียงถอนหายใจของพ่อทำให้พิมพ์ดาวรู้สึกถึงน้ำหนักที่ผ่อนคลายลงในใจ"ดีแล้ว… พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก พ่อจะกลับไปปรึกษาแม่กับน้องชาย แล้วพวกเราจะกลับไปอยู่ที่ประเทศไทยด้วยกัน"พิมพ์ดาวยิ้มบาง ๆ แม้จะมีน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาเธอทอแสงแห่งความหวัง แต่มันก็ยังไม่อาจลบเลือนบาดแผลในใจได้ง่าย ๆในขณะที่พิมพ์ดาวกำลังเตรียมตัวเพื่อพาครอบครัวกลับมาที่
เสียงในห้องจัดเลี้ยงเงียบสนิทไปชั่วขณะหลังจากคำประกาศของธีรภัทรดังก้องไปทั่วทั้งงาน น้ำเสียงของเขามั่นคง หนักแน่น และเต็มไปด้วยความจริงใจ“ฉันรักพิมพ์ดาว และจะไม่มีวันยอมรับใครเป็นภรรยา นอกจากเธอเท่านั้น”ทุกสายตาหันมาที่พิมพ์ดาว ซึ่งยืนนิ่งเหมือนถูกแช่แข็งอยู่กับที่ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ขณะที่ริมฝีปากเม้มแน่น ราวกับยังประมวลผลไม่ทันกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินกานต์รวีหน้าถอดสี น้ำตารื้นขึ้นในดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่ ขาทั้งสองข้างแทบจะไร้เรี่ยวแรง เธอยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง พลางส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ไม่นะ... ธีร์ต้องล้อฉันเล่นใช่ไหม?” น้ำเสียงของกานต์รวีสั่นไหว ร่างของเธอสั่นสะท้าน ขณะเดินตรงไปหาธีรภัทรด้วยสีหน้าตื่นตระหนก“ทำไมธีร์ถึงพูดแบบนี้? ธีร์รักฉันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”ธีรภัทรหันมามองกานต์รวี ดวงตาคมกริบของเขาเย็นชาและว่างเปล่า ราวกับปราศจากความรู้สึกใด ๆ“ฉันไม่เคยรักเธอ” เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงเย็นเยียบจนทำให้หัวใจของกานต์รวีแทบแตกสลาย“ไม่จริง!” กาน
เสียงเพลงคลาสสิกบรรเลงคลอเบา ๆ ภายในงานเลี้ยงหรูหราที่จัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ของโรงแรมระดับห้าดาว แขกผู้มีเกียรติในชุดราตรีและสูทเรียบหรูต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรานั้น ธีรภัทรยืนสง่างามในชุดสูทสีดำสนิท เขาถือแก้วไวน์แดงในมือ สายตาของเขามองตรงไปยังพิมพ์ดาวที่กำลังยืนอยู่มุมห้อง ข้าง ๆ เธอมีปริญคอยประกบอยู่ไม่ห่าง ทำให้สีหน้าของธีรภัทรดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้นกานต์รวียืนเคียงข้างธีรภัทร เธอสวมชุดราตรีสีแดงสดที่เน้นทรวดทรงอย่างลงตัว ใบหน้าสวยหวานประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทว่าในแววตามีประกายแห่งความมุ่งมั่นซ่อนอยู่"ธีร์คะ..." กานต์รวีเอ่ยเสียงหวานพร้อมเอื้อมมือไปแตะต้นแขนของธีรภัทรเบา ๆ"วันนี้คุณหล่อมากเลยนะคะ"ธีรภัทรปรายตามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะดึงแขนออกจากมือของกานต์รวีอย่างแผ่วเบา"ขอบคุณ" น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ทว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่พิมพ์ดาวไม่วางตากานต์รวีเม้มปากแน่น หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่สบายใจ เธอรู้ว่าธีรภัทรยอมให้เธออยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่เคยแสดงความสนใจในตัวเธอจริง ๆ เลย มันเหมือนกับว่าเขากำลังรออะไรบางอย่าง หรื