“เกิดอะไรขึ้น” ปี้เอ๋อร์พึมพำอย่างตื่นตระหนกไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องเช่นนี้ เหตุใดผู้คนจึงดูบ้าคลั่งกันขึ้นมา “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ซ่งเหว่ยหนานเองก็รู้สึกได้ว่าชาวเมืองเปลี่ยนไป แต่กระนั้นซิ่นฮวาก็ยังไม่หยุดบรรเลงกู่เจิง เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปตุนหวง นางเล่นกู่เจิงไปเพียงครึ่งก้านธูปฟ้าก็หลั่งฝนลงมาแล้ว เหตุใดนานถึงเพียงนี้ยังไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่หยดเดียว “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ผู้คนตะโกนด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ถูกปาขึ้นไปบนปะรำพิธี! และตามด้วยสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือ ชาวบ้านต่างปาก้อนหิน ดิน หรือแม้แต่รองเท้าขาดๆ ใส่ซิ่นฮวาที่ยังไม่ยอมหลุดบรรเลงกู่เจิง “กันอี๋!” ปี้เอ๋อร์ร้องสั่ง เห็นท่าไม่ดีแล้วต้องรีบพาท่านหญิงลงมา นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร องครักษ์หนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไป ทว่าเขายังช้ากว่าบุรุษอีกคนที่กระโจนขึ้นไปก่อนแล้
“ข้ากลัว” น้ำเสียงหวาดหวั่นอย่างน่าสงสาร “ท่านอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่ได้หรือไม่” “ได้สิ” เขานั่งลงที่ข้างเตียงพลิกมือหญิงสาวมากุมไว้ “เป็นข้าที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้” หญิงสาวบนเตียงส่ายหน้าไปมา ส่งยิ้มอ่อนหวานให้ “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก เป็นความผิดของเทพมังกรดินที่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือต่างหาก” ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากดุจกลีบกุหลาบทำเอาปี้เอ๋อร์ถึงกับสะดุ้งเฮือก แต่เก็บซ่อนอาการตื่นตกใจของตนเองมิดชิด นางเลี้ยงซิ่นฮวามาตั้งแต่แบเบาะไม่เคยได้ยินหญิงสาวว่าร้ายเทพมังกรดินเลยสักคราเดียว ซ้ำยังแสดงท่าทีสนิทสนมกับซ่งเหว่ยหนานอีก ยังไม่ทันได้ขบคิดไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้น หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็พาซ่งซีเหมยเข้ามา “พี่สาวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เด็กน้อยร้องถามด้วยความเป็นห่วง ทว่าเมื่อนางเห็นซิ่นฮวาที่นอนอยู่บนเตียง เอียงใบหน้าจ้องมองมายังนาง เด็กหญิงกลับรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าไปใกล้ นางผงะถอยหลังไปหลบอยู่หลังแม่นมซูทันที“ซีเหมยเจ้าเป็นอะไร” ซ่งเหว่ยหนานถามอย่างแปลกใจ ปกติน้องสาวตัวน้อยทำตัวติดกับซิ่นฮวาแจแทบไม่อยากแยกกันเลยทีเดียว
นี่ใช่สระน้ำที่อยู่ใกล้เรือนของซ่งซีเหมยหรือไม่? นางอยู่ก้นสระน้ำใกล้เรือนของซ่งซีเหมย? นี่มันเรื่องอะไรกัน! นางงงไปหมดแล้ว! นางอ้าปากส่งเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่านางได้แต่อ้าปากแต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก มือเรียวเลื่อนมาจับที่ลำคอของตนเอง นางขยับปากพยายามส่งเสียงแต่ยังไร้ผล เกิดอะไรขึ้นกับนาง หญิงสาวพยายามตั้งสติ อ่า...ก่อนหน้านี้ ...ก่อนหน้านี้นางบรรเลงกู่เจิงในพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินเพื่อขอฝน นางพร่ำเพรียกเอ่ยขานนามเทพมังกรดิน แต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่คำเดียว เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่! เสียงหัวเราะดังจากด้านหลัง ซิ่นฮวารีบหมุนตัวกลับไปมองทันที นางตื่นตระหนกด้วยไม่รู้ว่าหนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษมาปรากฏกายตั้งแต่เมื่อใดกัน แม้อยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติแต่นางเชื่อมั่นว่าไม่เคยพบสตรีที่สวมอาภรณ์สีแดงสดซึ่งกำลังหัวเราะเสียงกังวานและบุรุษผู้หนึ่งที่เดินลากเท้าเข้ามาใกล้ บนใบหน้ามีหน้ากากปิดเสี้ยวหน้า แต่กระนั้นยังมองเห็นรอยแผลเป็นเหวอะหวะ แต่สิ่งที่น่ากลัวมากกว่ารอยแผลเหล่านั้นคือดวงตาที่จ้องมองนางราวกับจะฉีกร่างของนางออก
หญิงสาวพยายามตั้งสติบอกตัวเองให้เข้มแข็ง นางลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังไม่มองภาพในกระจกเวทมนตร์นั้น ไม่ได้...นางต้องปกป้องทุกคน นางจะเอาแต่คร่ำครวญไม่ได้ แต่ก่อนอื่นนางต้องทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมดก่อน การที่นางส่งเสียงไม่ได้ และมาอยู่ก้นสระน้ำเช่นนี้ สตรีที่จำแลงรูปร่างหน้าตาได้เหมือนนางทุกกระเบียดนิ้ว แล้วยังมีเรื่องเสพปราณมังกรอีก ‘ฮวงหลง’ นางส่งเสียงเรียกเทพมังกรดินอีกครั้ง แต่ทำได้เพียงขยับปากแต่ไร้เสียง นางสูดลมหายใจลึกข่มความเจ็บปวดทั้งหมดในร่างกาย เขาปกป้องนางมาตลอดสิบเจ็ดปี ครั้งนี้นางจะไม่ยอมให้เขาต้องเป็นอันตรายเพราะนาง ‘โอ๊ย!’ ร่างบางทิ้งตัวทรุดลงไปนั่ง นางปวดหัวใจอย่างรุนแรงเจ็บปวดจนต้องยกมือขึ้นกุมอกซ้าย คล้ายมีบางสิ่งที่ถูกปิดกั้นไว้พยายามผลักดันออกจากด้านใน ตรงหัวใจของนาง หญิงสาวหลับตาข่มความปวดร้าวในอก นางรู้ว่าตนเองเฝ้ามองเทพมังกรดินตั้งแต่ครั้งแรกที่นางลืมตา ทว่ายามนี้ นางรู้สึกได้ว่านานกว่านั้น มิใช่เพียงแค่สิบเจ็ดปี แต่ยาวนานนับร้อยๆ ปี คล้ายเคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน คล้ายเลือนลาง
ฮวงหลงจึงตัดสินใจเรียกให้บ่าวรับใช้เชิญเทพมังกรจวิ้นอี้ออกมาพบ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าทำตามสิ่งที่เขาต้องการ หลังจากสอบถามจากบ่าวไพร่รู้เพียงแค่ว่าเทพมังกรจวิ้นอี้อยู่ในห้องนอนและสั่งห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรายงาน เป็นเหตุให้เขาเป็นฝ่ายบุกมาถึงที่นี่ ในฐานะพี่น้องร่วมบิดา เขาเคยมาเยี่ยมเยือนจวิ้นอี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยก้าวเข้าไปในเขตส่วนตัวอย่างห้องนอน แต่เมื่อเขาขยับเท้า บรรดาบ่าวไพร่และทหารก็กรูกันไปเตรียมป้องกันห้องนอนของผู้เป็นนาย เขาจึงคาดเดาได้ว่าห้องนอนนั้นอยู่ทิศทางใด ร่างสูงก้าวเดินพรวดพราดไปจนถึงที่หมาย ทหารนับสิบรายล้อม เขายกมือขึ้นกลางอากาศเตรียมวาดท่อนแขนของตน ทว่าบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆ เปิดออก การเคลื่อนไหวของคนที่ก้าวเท้าออกมาอย่างเชื่องช้าและดูเกียจคร้านทำให้ทุกคนหันไปมอง บ่าวรับใช้ต่างหมุนตัวหลบให้ผู้เป็นนาย นายทหารลดกระบี่ลงและทำความเคารพผู้เป็นนาย เทพมังกรจวิ้นอี้ยกมือข้างหนึ่งโบกไปมาเป็นสัญญาณสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์ถอยออกไป มือหนึ่งยังยกขึ้นปิดปากที่อ้าปากหาวของตนเองก่อนจะหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำชา จวิ้นอี้สบตากับฮ
ฮวงหลงได้แต่งุนงนกับสิ่งที่ได้ยิน จะเป็นเพราะเขาได้อย่างไรกัน เป็นเขาที่เคยเตือนให้มังกรเพลิงตนนั้นมีสติ ใครเลยจะรู้ว่ามังกรเพลิงตนนั้นจะอาละวาดที่ตำหนักของเทพหนี่วา เขาในฐานะแม่ทัพผู้ปกปักแดนสวรรค์จึงต้องนำพลทหารล้อมจับมังกรเพลิง ในใจของเขายังคิดว่ามังกรเพลิงตนนี้จะกลับใจได้ ทว่ามันกลับยอมให้จิตมารกลืนกินกลายเป็นปีศาจมังกรเพลิงหลบหนีลงมาโลกมนุษย์ เขาให้เวลาตามหาอยู่หลายปีจนพบว่ามันเร้นซ่อนกายในท่อนแขนของชินอ๋องเฟยเทียน “ข้าได้ยินมาจากพี่ใหญ่หรอกนะ” จวิ้นอี้เห็นท่าทางงุนงงของอีกฝ่ายแล้วก็ส่ายหน้าไปมา “เหตุที่เทพมังกรเพลิงอาละวาดเพราะอาจหาญไปหลงรักดอกไม้ของเทพหนี่วา เทพหนี่วาเกรี้ยวโกรธมาก เพียงลมหายใจแผ่วเบาของมังกรเพลิงก็ทำให้กลีบดอกไม้เหี่ยวเฉา สั่งห้ามเทพมังกรเพลิงเข้าใกล้เด็ดขาด เจ้าเองก็เป็นผู้รับบัญชาจากเทพหนี่วาคอยคุมกันมิให้เทพมังกรเพลิงเข้าใกล้ตำหนักของเทพหนี่วา ใครเลยจะรู้ว่าเทพมังกรเพลิงตนนั้นสั่งสมความไม่พอใจไว้มากมายนัก ถูกจิตมารโน้มน้าวใจจนกลายเป็นปีศาจ ในวันที่เทพมังกรเพลิงบุกที่ตำหนักของเทพหนี่วาครั้งสุดท้าย เพลิงโทสะของมังกรเพลิงทำให้แปลงดอกไม้ถูก
นางได้แต่กะพริบตาปริบๆ นางไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่ว่า แม้นางเป็นเพียงบุปผาน้อยที่เติบโตอวดกลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์อยู่ตรงริมทางเดินเช่นนี้ แต่นางมีความรู้สึก มีจิตใจ มิต่างจากผู้อื่นเลยสักนิด แต่เพราะนางตื่นตะลึงกับความอ่อนโยนและใส่ใจของเขาทำให้นางมิได้เอ่ยตอบ จนกระทั่งร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนและเดินจากไป นางจึงรู้สึกตัวได้แต่มองเขาด้วยสายตาละห้อย เขาเป็นฝ่ายพูดกับนางก่อน... เขามองเห็นนาง... บุปผาน้อยได้แต่เก็บซ่อนความตื่นเต้นดีใจ ทว่าอาการของนางอยู่ในสายตาเทพผู้อื่นกลับได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก นางอยู่อย่างเจียมตัว มีเพียงสายตาที่เฝ้ามองติดตามร่างของเขา มังกรดินไม่ได้มาที่ตำหนักเทพหนี่วาบ่อยๆ แต่นางมักเงี่ยหูฟังทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพผู้นั้นเสมอ เรื่องที่นางแอบมองและชื่นชมเทพมังกรดินกลายเป็นเรื่องพูดคุยสนุกปาก หยอกล้อนางให้นางได้แต่ยิ้มเจื่อน ทำอย่างไรได้ นางเป็นเพียงดอกไม้ที่อยู่ตรงริมทางเดินเช่นนี้ คนที่อยากพบไม่มาหา คนที่มาหากลับเป็นคนที่ไม่อยากพบ บุปผาน้อยไม่อาจหลบซ่อนตนเองได้ นางไม่รู้ทำไมเทพมังกรเพลิงตนนั้นจึงชอบมาหานางบ่อยๆ แม้เขาระวังไม่เข้าใ
“สถานที่จอมปลอมเช่นนี้ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก” เขายื่นมือมาเบื้องหน้า เล็บยาวเรียวแหลมดูน่ากลัว “ไปกับข้า ข้าจะดูแลเจ้า ไม่ยอมให้ผู้ใดหัวเราะเยาะเจ้าได้อีก ข้าจะรักเจ้า” “ระ...รัก...รักหรือ?” บุปผาน้อยได้แต่ทวนคำอย่างงุนงง เขารักนางหรือ? เพราะรักจึงมาหานางบ่อยๆ มาพูดจาหยอกล้อนางกระนั้นหรือ? เสียงทอดถอนใจแผ่วเบาก่อนเอ่ยย้ำนักอย่างชัดเจน “ข้ารักเจ้า” “แต่...ข้า...ไม่ได้รักท่าน” นางพูดจากใจจริง แล้วตระหนักได้ว่า... “ท่านเป็นเช่นนี้เพราะข้าหรือ? ท่านกลายเป็นปีศาจเพราะข้า?” “ไม่...ไม่ใช่เพราะเจ้า” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น “สถานที่หลอกลวงเช่นนี้ ข้าจะทำลายมันให้สิ้นซาก! เปิดประตูสวรรค์ให้เหล่าปีศาจได้มาสังสรรค์กันเต็มที่!” “อย่า! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้” นางอ้อนวอน หากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางต้องรับผิดชอบ! “เหตุใดข้าจะทำไม่ได้” “แล้ว...ถ้าข้าไปกับท่าน ท่านจะปิดประตูสวรรค์ได้หรือไม่ ไม่ให้เหล่าปีศาจขึ้นมาที่นี่” ดวงจิตที่ถูกปีศาจร้ายครอบครองแล้วนั้น ย่อมไม่สนใจว่าตนเองต้องรักษาคำพูด ทำได
เจ้ากลับไปพักผ่อนเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเถิด” เมิ่งหลานเสวี่ยนจำใจให้น้องสาวกลับไปสู่ร่างจำแลงแปลงเป็นซิ่นฮวาอีกครั้ง “คนผู้นั้นแต่งกับข้าด้วยใบหน้านี้” เมิ่งหย่าจิ้งชี้ใบหน้าตัวเองที่เป็นซิ่นฮวา “เขาไม่ได้แต่งกับข้าเมิ่งหย่าจิ้ง!” “เด็กโง่ เขากราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าย่อมแต่งกับเจ้าสิ” นางปลอบใจน้องสาว แม้เป็นหนึ่งในแผนการที่วางไว้ แต่ถ้าเมิ่งหย่าจิ้งได้ใช้ชีวิตเป็นภรรยาบุรุษผู้มีปราณแข็งแกร่งอย่างน้อยสักสิบหรือยี่สิบปี นางจะเพิ่มพลังให้ตนเองมากยิ่งขึ้น ส่วนจะ ‘รัก’ หรือไม่นั้น เป็นความโง่งมที่นางมั่นใจว่าน้องสาวของตนจะไม่ตกลงไปในบ่วงกรรมนั้น เมิ่งหลานเสวี่ยนปรายตามองไปยังเหลียงซื่อฮั่นแล้วเอ่ยเสียงหวาน “เจ้าไม่ไปดูแม่นางซิ่นฮวาหน่อยหรือ? ยังไม่มีผู้ใดส่งอาหารให้นางเลยนี่” “แค่อดข้าวไม่กี่มื้อไม่ตายง่ายๆ กระมัง” แน่นอนว่าคนที่เคย ‘อดยาก’ อย่างเขาย่อมรู้ดี ยิ่งเคยใช้ชีวิตสุขสบายมากเพียงใด แต่เมื่อชีวิตต้องตกอับพลิกผัน ไม่มีแม้หมั่นโถวสักชิ้นให้กัดกินมันแสนทรมานเพียงใด “แต่ข้ายังจำเป็นต้องใช้นางอยู่” เมิ่งหลานเสวี่ยนหัวเราะร่วน แล้วมองมายังตะก
“หากเป็นเช่นนั้นจริงต้องทำอย่างไรจึงจักขับไล่ปีศาจงูดำออกไปได้” อ๋องหยงอี้พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครา ทั้งที่เมื่อครู่เขายังสามารถลุกนั่งดื่มน้ำชาสนทนากับเมิ่งหลานเสวี่ยนและคุณชายเหลียงซื่อฮั่นได้ราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน “การกำจัดกลิ่นอายปีศาจงูดำออกไปได้นั้นย่อมมีวิธี แต่หนทางนั้นต้องให้คนสองคนเสียสละตนเองอย่างยิ่ง” “แม่นางเมิ่ง หากมีสิ่งใดที่พอช่วยเหลือราษฎรให้พ้นทุกข์ภัยในครั้งนี้ได้ โปรดแจ้งมาเถิด” เขาหงุดหงิดกับอาการอ้ำอึ้งของเมิ่งหลานเสวี่ยน “เสียสละอันใดและใครคือสองคนที่แม่นางกล่าวถึง” “คนสองคนนั้นคือคุณชายซ่งและแม่นางซิ่นฮวา” เมิ่งหลานเสวี่ยนเผยรอยยิ้มบางๆ คำพูดของนางทำให้ซ่งเหว่ยหนานนิ่งงันและค่อยๆ หันไปสบตากับซิ่นฮวา “ข้าหรือ?” เมิ่งหย่าจิ้งเบิกตาโตแสร้งเป็นตกใจ “หากข้าช่วยอะไรได้ยินดีทำทั้งสิ้น” “ท่านทั้งสองต้องเชื่อมเส้นวาสนาเข้าวิวาห์ร่วมหอกัน” “วิวาห์?” ซ่งเหว่ยหนานขมวดคิ้ว เขาปรารถนาจะแต่งงานกับซิ่นฮวา แต่ก็ต้องการให้นางแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจมิใช่ต้องฝืนใจเช่นนี้ “เหตุใดต้องวิวาห์?” “ท่านทั้งสองมีดวงชะตาของผู้มีบุญ หากได้แต่งงานมีความสัมพันธ์ทา
ปี้เอ๋อร์ที่ยืนมองดูอยู่ด้านหลังถึงกับสูดลมหายใจลึก ท่านหญิงน้อยของนางซุกซนเพียงใดนั้นนางผู้เลี้ยงดูมาตั้งแต่คลอดจากครรภ์พระชายาย่อมรู้ดีเป็นที่สุด ทว่ากิริยาเมื่อครู่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านหญิงน้อยกระทำเป็นแน่ แต่กระนั้นนางก็เดินตามออกมาด้วยท่าทีนอบน้อม รักษาระยะห่างปล่อยให้ผู้เป็นนายเดินคล้องแขนบุรุษ ต่อให้ท่านหญิงซิ่นฮวามีใจให้บุรุษใดย่อมไม่ทำกิริยาเช่นนี้แน่ รวมทั้งท่าทางแปลกพิกลที่นางรู้สึกได้นั้นยิ่งทำให้นางงุนงงสับสนราวกับไม่ได้ซิ่นฮวาที่นางรู้จัก ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วสองเท้าหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองทางเด็กหญิงตัวน้อยที่เคยตามติดซิ่นฮวาไม่ยอมห่าง แต่บัดนี้กลับมีท่าทีหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ นางสูดลมหายใจลึกเรียกกันอี๋ที่เดินอยู่ข้างนางให้หยุดเดิน “มีอะไรหรือท่านน้าปี้เอ๋อร์” ปี้เอ๋อร์มองซ้ายขวาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “เจ้า...เอ่อ...เวลานี้ท่านชายซิ่นหลิงอยู่ไม่ไกลแคว้นหานใช่หรือไม่” กันอี๋มองหญิงรับใช้คนสนิทของพระชายาอย่างงุนงงแต่พยักหน้ารับ “เจ้าสามารถส่งข่าวแจ้งท่านชายซิ่นหลิง?” “มีเรื่องใดกันแน่” กันอี๋
ซ่งเหว่ยหนานยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว เหตุการณ์บ้านเมืองยังวุ่นวาย เรื่องในจวนก็ไม่แพ้กัน นึกถึงสิ่งที่ตนสัญญากับซิ่นฮวา ไม่ว่านางจะเรียกฝนได้หรือไม่ เขาก็จะปกป้องนาง แน่นอนว่าหัวใจของเขาพร้อมปกป้องนาง แต่ท่าทางแปลกประหลาดของนางนั้นทำให้เขาสับสนเหลือเกิน ขณะที่กำลังครุ่นคิดกับปัญหาต่างๆ นานาที่โถมถั่งเข้ามานั้น หางตาเหลือบเห็นท่าทีประหม่าของซ่งซีเหมยที่ยืนแอบอยู่ข้างประตู เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเรียกให้เข้ามา “มีเรื่องอันใดหรือ?” ซ่งเหว่ยหนานยื่นมือไปรั้งร่างเล็กมานั่งบนตักส่งยิ้มอ่อนโยน “เอ่อ...” ซ่งซีเหมยมองพี่ชายอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้ดีว่าคนอื่นมักกล่าวถึงพี่ชายของนางว่าน่ากลัวและน่าเกรงขาม แต่เมื่ออยู่กับนางแล้วเขาเป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนเสมอ “ว่ามาเถิด” “เมื่อครู่น้องเข้าไปคารวะท่านพ่อแต่ในห้องของท่านพ่อมีสตรีอยู่ข้างกาย” “สตรี?” ผู้ใดกันที่เข้าไปเยี่ยมบิดาของเขาโดยที่เขาไม่รู้เช่นนี้ เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก “นางเคยมารักษาข้าและท่านพ่อเมื่อหลายเดือนก่อน” ซ่งเหว่ยหนานนึกออกได้ในทันที “แม่นางเมิ่งหลานเสวี่
“สถานที่จอมปลอมเช่นนี้ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก” เขายื่นมือมาเบื้องหน้า เล็บยาวเรียวแหลมดูน่ากลัว “ไปกับข้า ข้าจะดูแลเจ้า ไม่ยอมให้ผู้ใดหัวเราะเยาะเจ้าได้อีก ข้าจะรักเจ้า” “ระ...รัก...รักหรือ?” บุปผาน้อยได้แต่ทวนคำอย่างงุนงง เขารักนางหรือ? เพราะรักจึงมาหานางบ่อยๆ มาพูดจาหยอกล้อนางกระนั้นหรือ? เสียงทอดถอนใจแผ่วเบาก่อนเอ่ยย้ำนักอย่างชัดเจน “ข้ารักเจ้า” “แต่...ข้า...ไม่ได้รักท่าน” นางพูดจากใจจริง แล้วตระหนักได้ว่า... “ท่านเป็นเช่นนี้เพราะข้าหรือ? ท่านกลายเป็นปีศาจเพราะข้า?” “ไม่...ไม่ใช่เพราะเจ้า” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น “สถานที่หลอกลวงเช่นนี้ ข้าจะทำลายมันให้สิ้นซาก! เปิดประตูสวรรค์ให้เหล่าปีศาจได้มาสังสรรค์กันเต็มที่!” “อย่า! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้” นางอ้อนวอน หากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางต้องรับผิดชอบ! “เหตุใดข้าจะทำไม่ได้” “แล้ว...ถ้าข้าไปกับท่าน ท่านจะปิดประตูสวรรค์ได้หรือไม่ ไม่ให้เหล่าปีศาจขึ้นมาที่นี่” ดวงจิตที่ถูกปีศาจร้ายครอบครองแล้วนั้น ย่อมไม่สนใจว่าตนเองต้องรักษาคำพูด ทำได
นางได้แต่กะพริบตาปริบๆ นางไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่ว่า แม้นางเป็นเพียงบุปผาน้อยที่เติบโตอวดกลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์อยู่ตรงริมทางเดินเช่นนี้ แต่นางมีความรู้สึก มีจิตใจ มิต่างจากผู้อื่นเลยสักนิด แต่เพราะนางตื่นตะลึงกับความอ่อนโยนและใส่ใจของเขาทำให้นางมิได้เอ่ยตอบ จนกระทั่งร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนและเดินจากไป นางจึงรู้สึกตัวได้แต่มองเขาด้วยสายตาละห้อย เขาเป็นฝ่ายพูดกับนางก่อน... เขามองเห็นนาง... บุปผาน้อยได้แต่เก็บซ่อนความตื่นเต้นดีใจ ทว่าอาการของนางอยู่ในสายตาเทพผู้อื่นกลับได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก นางอยู่อย่างเจียมตัว มีเพียงสายตาที่เฝ้ามองติดตามร่างของเขา มังกรดินไม่ได้มาที่ตำหนักเทพหนี่วาบ่อยๆ แต่นางมักเงี่ยหูฟังทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพผู้นั้นเสมอ เรื่องที่นางแอบมองและชื่นชมเทพมังกรดินกลายเป็นเรื่องพูดคุยสนุกปาก หยอกล้อนางให้นางได้แต่ยิ้มเจื่อน ทำอย่างไรได้ นางเป็นเพียงดอกไม้ที่อยู่ตรงริมทางเดินเช่นนี้ คนที่อยากพบไม่มาหา คนที่มาหากลับเป็นคนที่ไม่อยากพบ บุปผาน้อยไม่อาจหลบซ่อนตนเองได้ นางไม่รู้ทำไมเทพมังกรเพลิงตนนั้นจึงชอบมาหานางบ่อยๆ แม้เขาระวังไม่เข้าใ
ฮวงหลงได้แต่งุนงนกับสิ่งที่ได้ยิน จะเป็นเพราะเขาได้อย่างไรกัน เป็นเขาที่เคยเตือนให้มังกรเพลิงตนนั้นมีสติ ใครเลยจะรู้ว่ามังกรเพลิงตนนั้นจะอาละวาดที่ตำหนักของเทพหนี่วา เขาในฐานะแม่ทัพผู้ปกปักแดนสวรรค์จึงต้องนำพลทหารล้อมจับมังกรเพลิง ในใจของเขายังคิดว่ามังกรเพลิงตนนี้จะกลับใจได้ ทว่ามันกลับยอมให้จิตมารกลืนกินกลายเป็นปีศาจมังกรเพลิงหลบหนีลงมาโลกมนุษย์ เขาให้เวลาตามหาอยู่หลายปีจนพบว่ามันเร้นซ่อนกายในท่อนแขนของชินอ๋องเฟยเทียน “ข้าได้ยินมาจากพี่ใหญ่หรอกนะ” จวิ้นอี้เห็นท่าทางงุนงงของอีกฝ่ายแล้วก็ส่ายหน้าไปมา “เหตุที่เทพมังกรเพลิงอาละวาดเพราะอาจหาญไปหลงรักดอกไม้ของเทพหนี่วา เทพหนี่วาเกรี้ยวโกรธมาก เพียงลมหายใจแผ่วเบาของมังกรเพลิงก็ทำให้กลีบดอกไม้เหี่ยวเฉา สั่งห้ามเทพมังกรเพลิงเข้าใกล้เด็ดขาด เจ้าเองก็เป็นผู้รับบัญชาจากเทพหนี่วาคอยคุมกันมิให้เทพมังกรเพลิงเข้าใกล้ตำหนักของเทพหนี่วา ใครเลยจะรู้ว่าเทพมังกรเพลิงตนนั้นสั่งสมความไม่พอใจไว้มากมายนัก ถูกจิตมารโน้มน้าวใจจนกลายเป็นปีศาจ ในวันที่เทพมังกรเพลิงบุกที่ตำหนักของเทพหนี่วาครั้งสุดท้าย เพลิงโทสะของมังกรเพลิงทำให้แปลงดอกไม้ถูก
ฮวงหลงจึงตัดสินใจเรียกให้บ่าวรับใช้เชิญเทพมังกรจวิ้นอี้ออกมาพบ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าทำตามสิ่งที่เขาต้องการ หลังจากสอบถามจากบ่าวไพร่รู้เพียงแค่ว่าเทพมังกรจวิ้นอี้อยู่ในห้องนอนและสั่งห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรายงาน เป็นเหตุให้เขาเป็นฝ่ายบุกมาถึงที่นี่ ในฐานะพี่น้องร่วมบิดา เขาเคยมาเยี่ยมเยือนจวิ้นอี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยก้าวเข้าไปในเขตส่วนตัวอย่างห้องนอน แต่เมื่อเขาขยับเท้า บรรดาบ่าวไพร่และทหารก็กรูกันไปเตรียมป้องกันห้องนอนของผู้เป็นนาย เขาจึงคาดเดาได้ว่าห้องนอนนั้นอยู่ทิศทางใด ร่างสูงก้าวเดินพรวดพราดไปจนถึงที่หมาย ทหารนับสิบรายล้อม เขายกมือขึ้นกลางอากาศเตรียมวาดท่อนแขนของตน ทว่าบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆ เปิดออก การเคลื่อนไหวของคนที่ก้าวเท้าออกมาอย่างเชื่องช้าและดูเกียจคร้านทำให้ทุกคนหันไปมอง บ่าวรับใช้ต่างหมุนตัวหลบให้ผู้เป็นนาย นายทหารลดกระบี่ลงและทำความเคารพผู้เป็นนาย เทพมังกรจวิ้นอี้ยกมือข้างหนึ่งโบกไปมาเป็นสัญญาณสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์ถอยออกไป มือหนึ่งยังยกขึ้นปิดปากที่อ้าปากหาวของตนเองก่อนจะหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำชา จวิ้นอี้สบตากับฮ
หญิงสาวพยายามตั้งสติบอกตัวเองให้เข้มแข็ง นางลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังไม่มองภาพในกระจกเวทมนตร์นั้น ไม่ได้...นางต้องปกป้องทุกคน นางจะเอาแต่คร่ำครวญไม่ได้ แต่ก่อนอื่นนางต้องทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมดก่อน การที่นางส่งเสียงไม่ได้ และมาอยู่ก้นสระน้ำเช่นนี้ สตรีที่จำแลงรูปร่างหน้าตาได้เหมือนนางทุกกระเบียดนิ้ว แล้วยังมีเรื่องเสพปราณมังกรอีก ‘ฮวงหลง’ นางส่งเสียงเรียกเทพมังกรดินอีกครั้ง แต่ทำได้เพียงขยับปากแต่ไร้เสียง นางสูดลมหายใจลึกข่มความเจ็บปวดทั้งหมดในร่างกาย เขาปกป้องนางมาตลอดสิบเจ็ดปี ครั้งนี้นางจะไม่ยอมให้เขาต้องเป็นอันตรายเพราะนาง ‘โอ๊ย!’ ร่างบางทิ้งตัวทรุดลงไปนั่ง นางปวดหัวใจอย่างรุนแรงเจ็บปวดจนต้องยกมือขึ้นกุมอกซ้าย คล้ายมีบางสิ่งที่ถูกปิดกั้นไว้พยายามผลักดันออกจากด้านใน ตรงหัวใจของนาง หญิงสาวหลับตาข่มความปวดร้าวในอก นางรู้ว่าตนเองเฝ้ามองเทพมังกรดินตั้งแต่ครั้งแรกที่นางลืมตา ทว่ายามนี้ นางรู้สึกได้ว่านานกว่านั้น มิใช่เพียงแค่สิบเจ็ดปี แต่ยาวนานนับร้อยๆ ปี คล้ายเคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน คล้ายเลือนลาง