ซ่งเหว่ยหนานยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว เหตุการณ์บ้านเมืองยังวุ่นวาย เรื่องในจวนก็ไม่แพ้กัน นึกถึงสิ่งที่ตนสัญญากับซิ่นฮวา ไม่ว่านางจะเรียกฝนได้หรือไม่ เขาก็จะปกป้องนาง แน่นอนว่าหัวใจของเขาพร้อมปกป้องนาง แต่ท่าทางแปลกประหลาดของนางนั้นทำให้เขาสับสนเหลือเกิน ขณะที่กำลังครุ่นคิดกับปัญหาต่างๆ นานาที่โถมถั่งเข้ามานั้น หางตาเหลือบเห็นท่าทีประหม่าของซ่งซีเหมยที่ยืนแอบอยู่ข้างประตู เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเรียกให้เข้ามา “มีเรื่องอันใดหรือ?” ซ่งเหว่ยหนานยื่นมือไปรั้งร่างเล็กมานั่งบนตักส่งยิ้มอ่อนโยน “เอ่อ...” ซ่งซีเหมยมองพี่ชายอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้ดีว่าคนอื่นมักกล่าวถึงพี่ชายของนางว่าน่ากลัวและน่าเกรงขาม แต่เมื่ออยู่กับนางแล้วเขาเป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนเสมอ “ว่ามาเถิด” “เมื่อครู่น้องเข้าไปคารวะท่านพ่อแต่ในห้องของท่านพ่อมีสตรีอยู่ข้างกาย” “สตรี?” ผู้ใดกันที่เข้าไปเยี่ยมบิดาของเขาโดยที่เขาไม่รู้เช่นนี้ เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก “นางเคยมารักษาข้าและท่านพ่อเมื่อหลายเดือนก่อน” ซ่งเหว่ยหนานนึกออกได้ในทันที “แม่นางเมิ่งหลานเสวี่
ปี้เอ๋อร์ที่ยืนมองดูอยู่ด้านหลังถึงกับสูดลมหายใจลึก ท่านหญิงน้อยของนางซุกซนเพียงใดนั้นนางผู้เลี้ยงดูมาตั้งแต่คลอดจากครรภ์พระชายาย่อมรู้ดีเป็นที่สุด ทว่ากิริยาเมื่อครู่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านหญิงน้อยกระทำเป็นแน่ แต่กระนั้นนางก็เดินตามออกมาด้วยท่าทีนอบน้อม รักษาระยะห่างปล่อยให้ผู้เป็นนายเดินคล้องแขนบุรุษ ต่อให้ท่านหญิงซิ่นฮวามีใจให้บุรุษใดย่อมไม่ทำกิริยาเช่นนี้แน่ รวมทั้งท่าทางแปลกพิกลที่นางรู้สึกได้นั้นยิ่งทำให้นางงุนงงสับสนราวกับไม่ได้ซิ่นฮวาที่นางรู้จัก ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วสองเท้าหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองทางเด็กหญิงตัวน้อยที่เคยตามติดซิ่นฮวาไม่ยอมห่าง แต่บัดนี้กลับมีท่าทีหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ นางสูดลมหายใจลึกเรียกกันอี๋ที่เดินอยู่ข้างนางให้หยุดเดิน “มีอะไรหรือท่านน้าปี้เอ๋อร์” ปี้เอ๋อร์มองซ้ายขวาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “เจ้า...เอ่อ...เวลานี้ท่านชายซิ่นหลิงอยู่ไม่ไกลแคว้นหานใช่หรือไม่” กันอี๋มองหญิงรับใช้คนสนิทของพระชายาอย่างงุนงงแต่พยักหน้ารับ “เจ้าสามารถส่งข่าวแจ้งท่านชายซิ่นหลิง?” “มีเรื่องใดกันแน่” กันอี๋
“หากเป็นเช่นนั้นจริงต้องทำอย่างไรจึงจักขับไล่ปีศาจงูดำออกไปได้” อ๋องหยงอี้พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครา ทั้งที่เมื่อครู่เขายังสามารถลุกนั่งดื่มน้ำชาสนทนากับเมิ่งหลานเสวี่ยนและคุณชายเหลียงซื่อฮั่นได้ราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน “การกำจัดกลิ่นอายปีศาจงูดำออกไปได้นั้นย่อมมีวิธี แต่หนทางนั้นต้องให้คนสองคนเสียสละตนเองอย่างยิ่ง” “แม่นางเมิ่ง หากมีสิ่งใดที่พอช่วยเหลือราษฎรให้พ้นทุกข์ภัยในครั้งนี้ได้ โปรดแจ้งมาเถิด” เขาหงุดหงิดกับอาการอ้ำอึ้งของเมิ่งหลานเสวี่ยน “เสียสละอันใดและใครคือสองคนที่แม่นางกล่าวถึง” “คนสองคนนั้นคือคุณชายซ่งและแม่นางซิ่นฮวา” เมิ่งหลานเสวี่ยนเผยรอยยิ้มบางๆ คำพูดของนางทำให้ซ่งเหว่ยหนานนิ่งงันและค่อยๆ หันไปสบตากับซิ่นฮวา “ข้าหรือ?” เมิ่งหย่าจิ้งเบิกตาโตแสร้งเป็นตกใจ “หากข้าช่วยอะไรได้ยินดีทำทั้งสิ้น” “ท่านทั้งสองต้องเชื่อมเส้นวาสนาเข้าวิวาห์ร่วมหอกัน” “วิวาห์?” ซ่งเหว่ยหนานขมวดคิ้ว เขาปรารถนาจะแต่งงานกับซิ่นฮวา แต่ก็ต้องการให้นางแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจมิใช่ต้องฝืนใจเช่นนี้ “เหตุใดต้องวิวาห์?” “ท่านทั้งสองมีดวงชะตาของผู้มีบุญ หากได้แต่งงานมีความสัมพันธ์ทา
เจ้ากลับไปพักผ่อนเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเถิด” เมิ่งหลานเสวี่ยนจำใจให้น้องสาวกลับไปสู่ร่างจำแลงแปลงเป็นซิ่นฮวาอีกครั้ง “คนผู้นั้นแต่งกับข้าด้วยใบหน้านี้” เมิ่งหย่าจิ้งชี้ใบหน้าตัวเองที่เป็นซิ่นฮวา “เขาไม่ได้แต่งกับข้าเมิ่งหย่าจิ้ง!” “เด็กโง่ เขากราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าย่อมแต่งกับเจ้าสิ” นางปลอบใจน้องสาว แม้เป็นหนึ่งในแผนการที่วางไว้ แต่ถ้าเมิ่งหย่าจิ้งได้ใช้ชีวิตเป็นภรรยาบุรุษผู้มีปราณแข็งแกร่งอย่างน้อยสักสิบหรือยี่สิบปี นางจะเพิ่มพลังให้ตนเองมากยิ่งขึ้น ส่วนจะ ‘รัก’ หรือไม่นั้น เป็นความโง่งมที่นางมั่นใจว่าน้องสาวของตนจะไม่ตกลงไปในบ่วงกรรมนั้น เมิ่งหลานเสวี่ยนปรายตามองไปยังเหลียงซื่อฮั่นแล้วเอ่ยเสียงหวาน “เจ้าไม่ไปดูแม่นางซิ่นฮวาหน่อยหรือ? ยังไม่มีผู้ใดส่งอาหารให้นางเลยนี่” “แค่อดข้าวไม่กี่มื้อไม่ตายง่ายๆ กระมัง” แน่นอนว่าคนที่เคย ‘อดยาก’ อย่างเขาย่อมรู้ดี ยิ่งเคยใช้ชีวิตสุขสบายมากเพียงใด แต่เมื่อชีวิตต้องตกอับพลิกผัน ไม่มีแม้หมั่นโถวสักชิ้นให้กัดกินมันแสนทรมานเพียงใด “แต่ข้ายังจำเป็นต้องใช้นางอยู่” เมิ่งหลานเสวี่ยนหัวเราะร่วน แล้วมองมายังตะก
“ดี!” สายตาที่จ้องมองราวกับจะฉีกนางออกมาเป็นชิ้นๆ “ดี! ข้าจะทำให้เจ้าจดจำข้าไปทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ จะให้บิดาที่เจ้ารักนักหนารู้ว่าความเจ็บปวดที่ข้าได้รับเป็นอย่างไร!” นางอยากกรีดร้องแต่ไร้เสียง มือใหญ่กระชากเสื้อของนางอย่างแรงจนขาดหลุดติดมือของเขา ซิ่น ฮวารีบรวบสาบเสื้อปกปิดเนินอกมิให้อีกฝ่ายได้เห็นผิวกายของนาง นางคิดจะพลิกตัวกระโดดลงจากเตียงแต่เหลียงซื่อฮั่นคว้าเอวบางได้ทัน เขาเหวี่ยงนางลงบนเตียงและคร่อมร่างเล็กอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ ข้อมือทั้งสองถูกตรึงด้วยมือแข็งแกร่ง ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นจ้องมองอย่างต้องการเห็นนางย่อยยับไม่เหลือเศษซากชิ้นดี ‘ฮวงหลง!’ นางร้องเรียกบุรุษที่นางรักสุดหัวใจ ทว่านางได้แต่อ้าปากแต่ไร้เสียง ฝืนทำตัวเองให้เข้มแข็งอย่างแสดงความหวาดกลัวออกไป ไม่! นางเคยทำให้เขาต้องลำบากเพราะนางมาแล้ว นางจะ...จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีก นางพยายามดิ้นรนขัดขืนใบหน้าน่ารังเกียจนั้นโน้มลงมาใกล้ นางหลับตาไม่กล้ามองดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น คล้ายแววตาของเทพมังกรเพลิงก่อนจะกลายเป็นปีศาจมังกรเพลิงที่อาละวาดสรวงส
งานแต่งงานที่แสนรีบเร่ง เมิ่งหลานเสวี่ยนมาทำหน้าที่ญาติผู้ใหญ่ให้ ซิ่นฮวา เขาไม่รู้ว่าทั้งสองพูดคุยอะไรกัน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องหอที่ถูกย้อมด้วยสีแดงมงคล เมิ่งหลานเสวี่ยนส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย “เมื่อพิธีวิวาห์ของท่านทั้งสองผ่านพ้นไป อายปีศาจจะค่อยๆ สลาย อย่าได้กังวลเรื่องอื่นใด” “ท่าน...แน่ใจรึ” “หากท่านคลางแคลงใจในสิ่งที่ข้าเอ่ยออกไปย่อมไม่ทำตามได้ แต่ราษฎรที่อดอยากหิวโหยของท่านหากรู้ว่ามีหนทางช่วยพวกเขาแต่ท่านลังเลไม่กล้าทำ พวกเขาจะเสียใจมากเพียงใด” แม้เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแต่ถ้อยคำคล้ายข่มขู่ ซ่งเหว่ยหนานหางตากระตุก แม้ไม่พอใจแต่ก็ไม่อาจปริปากเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ เขาได้แต่หยุดยืนที่หน้าประตูอย่างลังเล หญิงสาวที่อยู่หลังบานประตูนั้นคือคนที่เขาต้องการและปรารถนาให้นางเคียงข้าง เขายังจดจำครั้งแรกที่ได้พบซิ่นฮวาที่หอนางโลมนั้นได้ดี ครั้งนั้นแม้เขาต้องเดินทางมาตุนหวงตามคำสั่งของบิดาเพื่อเชิญท่านหญิงซิ่นฮวามาแคว้นหาน แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้น เขาได้รับคำไหว้วานของเมิ่งหลาน-เสวี่ยนให้มาพบกับเหลียงซื่อฮั่นที่ขณะนั้นอยู่ตุนหว
ในคราวนั้นเขาจำใจปล่อยนางเพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่และยังมีเหลียงซื่อฮั่นที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะทำสิ่งใด เขาปล่อยนางให้หลุดมือไป แต่หมายมั่นไว้ว่าก่อนกลับแคว้นหานต้องค้นหานางให้พบ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาได้พบนางอีกครั้งในฐานะของท่านหญิงซิ่นฮวา เขาชอบนางและต้องการนางมาอยู่เคียงข้าง แต่เวลานี้เพียงผลักบานประตูเข้าไป เขาสามารถคว้านางมาไว้ในวงแขนให้ตำแหน่งภรรยาเอกกับนาง ทว่า... เหตุใดเขากลับรู้สึกลังเลยิ่งนัก บุรุษผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้องที่ถูกตกแต่งด้วยสีแดงมงคล ดวงตาจับจ้องไปยังสตรีที่นั่งอยู่บนเตียง ผ้าคลุมหน้าสีแดงงดงามนั้นทำให้หัวใจของเขาถูกบีบรัดจนเจ็บปวดไปหมด เหตุใดเรื่องเหล่านี้จึงเกิดขึ้นวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาไม่ต่างจากมังกรร้ายที่คลุ้มคลั่งบุกเข้าห้องหอของเจ้าสาว นางคือผู้ที่ดวงใจของเขาปรารถนาที่สุด เขาเฝ้ามองนางตั้งแต่นางยังเป็นเด็กเล็ก แต่เดิมนั้นเพียงเพราะความสงสารโชคชะตาของนางจากนั้นกลายเป็นความเอ็นดู ความผูกพันสานเกี่ยวใจทีละเล็กละน้อย แม้รู้ว่าไม่อาจครอบครองได้แต่ก็ไม่อาจต
“มีข้าอยู่ ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้” วงแขนที่โอบกอดรัดร่างนางเข้ามาอย่างปกป้องทำให้เมิ่งหย่าจิ้งตะลึงงันไป นางแหงนหน้ามองใบหน้าเด็ดเดี่ยวของซ่งเหว่ยหนาน เขาสวมชุดสีแดงมงคลเดียวกับนาง กราบไหว้ฟ้าดิน เสมือนเป็นสามีภรรยากันแล้ว แม้นางอยู่ใกล้ในอ้อมกอดของเขา ไฉนรู้สึกไกลห่าง คนที่เขาปกป้องไม่ใช่นาง พลันเกิดความรู้สึกน้อยใจ เสียใจ กระแทกหัวใจของปีศาจงูดำอย่างนาง นางไม่ควรรู้สึกเช่นนี้มิใช่หรือ? เขาก็แค่มนุษย์หน้าโง่คนหนึ่งที่สุดท้ายแล้วต้องถูกนางดูดกลืนปราณชีวิตจนหมดสิ้น เหตุใดนางต้องรู้สึกปวดใจและริษยาเจ้าของใบหน้าที่ตนจำแลงแปลงกายสวมรอยเป็นนาง “ซิ่นฮวา เจ้า...บาดเจ็บรึ? เจ็บที่ใด?” ซ่งเหว่ยหนานก้มมองหญิงสาวมาพอดีจึงผสานกับดวงตาที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว เห็นสีหน้าเจ็บปวดของนางทำให้เขาเข้าใจไปว่านางบาดเจ็บเพราะบุรุษแปลกหน้าที่บุกเข้าห้องหอของเขา “เจ้า!” ฮวงหลงสะอิดสะเอียนท่าทางของปีศาจที่ใช้ใบหน้าและรูปร่างของซิ่นฮวาอิงแอบแนบชิดชายอื่น บังเกิดไฟโทสะที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งรอบข้างให้กลายเป็นเถ้าธุลี ‘ฮวงหลง!’ มือที่ยกขึ้นสูง
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ซิ่นฮวายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง พยายามบอกเขาว่านางไม่มีเสียง คนที่เข้าใจคนแรกกลับเป็นซาโม่ “เจ้าพูดไม่ได้?” ซิ่นฮวาส่ายหน้าแล้วหัวเราะน้อยๆ เอ่ยปากช้าๆ ‘ข้า-ไม่-มี-เสียง-เจ้า-ต้อง-อ่าน-ปาก-ข้า’ ซาโม่พยักหน้าหงึกหงักแล้วหันมาทางซิ่นหลิงหมายใจจะอธิบายแต่อีกฝ่ายชิงยกมือห้ามไว้ก่อน เพราะเข้าใจในสิ่งที่ซิ่นฮวาสื่อสารออกมา สองพี่น้องสบตากัน ซิ่นหลิงรู้สึกจุกในอกไม่คิดว่าจะได้เห็นนางในสภาพเช่นนี้ สาวใช้คนสนิทของมารดารีบเดินเร็วๆ เข้ามาโดยไม่สนใจมารยาทใดทั้งสิ้น ยามนี้ใจของปี้เอ๋อร์กังวลเพียงเรื่องของท่านหญิงซิ่นฮวาเท่านั้น เมื่อนางมาถึงก็แทบแทรกทุกคนเข้าไปจับมือเรียวเล็กของหญิงสาว ปี้เอ๋อร์อ้าปากเหมือนจะเอ่ยถามแล้วเปลี่ยนใจ นางยืนตัวขึ้นแล้วหมุนตัวหันไปโบกมือโบกไม้ไล่ทุกคนในห้องให้ออกไปให้หมด “พวกท่านเป็นบุรุษออกไปก่อน ท่านหญิงต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า” แม้เป็นบุรุษตัวโตแต่ซิ่นหลิง กันอี๋ และซาโม่ แต่ยังคงเป็นเด็กในสายตาของปี้เอ๋อร์ นางเลี้ยงดูเด็กๆ เหล่านี้รวมทั้งคุณชายน้อยซิ่น
ซิ่นหลิงระบายลมหายใจบางเบา ยามนี้ได้แต่ช่วยเหลือแคว้นหานให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ซิ่นฮวาจะกลับมา เดิมทีเขามีภารกิจที่ได้รับมอบหมายเช่นกัน และคิดว่า ‘คีตาบำบัด’ ของซิ่นฮวาอาจพอช่วยรักษา ‘คนผู้หนึ่ง’ ได้ แต่เมื่อรู้ว่านางเองบาดเจ็บสาหัสในเวลานี้คงมิอาจรักษาใครได้ เขาจึงได้แต่พยายามสงบใจและใคร่ครวญหาวิธีการแก้ไขปัญหาของตนต่อไป ยังไม่ทันที่ซ่งเหว่ยหนานจะเอ่ยอะไรออกไป ซาโม่หันหน้าไปทางหนึ่งทำจมูกสูดดมกลิ่นในอากาศ ใบหน้าไร้อารมณ์นั้นปรากฏรอยยิ้มกว้าง ท่าทางตื่นเต้นดีใจนั้นทำให้ซิ่นหลิงและกันอี๋หันมองด้วยความสนใจ ลักษณะเด่นของซาโม่ที่ ‘จมูกดี’ วิหคตัวหนึ่งโบกบินในอากาศและเมื่อเห็นว่าบุรุษทั้งสี่เบื้องหน้าเป็นคนรู้จักที่เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องใดอีก วิหคตนนั้นกระพือปีกอยู่สองสามครั้งก่อนร่อนลงมากลายร่างเป็นมนุษย์ในร่างเด็กชายอายุราวสิบสี่ปี “ส่านเตี้ยน?” ซิ่นหลิงทักทันที เด็กหนุ่มประสานมือคารวะทุกท่าน เขาส่งยิ้มเล็กน้อยแล้วเบี่ยงตัวหลบเหมือนรอคอยใครผู้หนึ่ง คล้ายมีกลุ่มเมฆลอยต่ำลงมาใกล้จนกระทั่งกลุ่มเมฆนั้นสลายไป บุรุษเจ้าของเส้น
ซ่งเหว่ยหนานยืนมองร่างงูสีดำที่นอนขดสงบนิ่งในกรงเหล็กที่แข็งแรง งูน้อยยังคงสงบนิ่งหลับใหลคล้ายจำศีล ตั้งแต่วันที่สตรีแปลกหน้าที่เรียกตนเองว่าเมิ่งหย่าจิ้งคืนร่างกลับเป็นงูดำตนนี้ งูตัวนั้นขดตัวสงบนิ่งเช่นนี้มาตลอด แม้ผู้อื่นกล่าวเตือนให้เขาระวังแต่เขายังคงประคองงูตัวนี้ใส่ตะกร้าและให้คนจัดหากรงที่แข็งแรงมาใส่งูดำตัวนี้ไว้ ‘นางจะอยู่ในร่างงูดำจำศีลเช่นนี้ ไม่อาจทำร้ายผู้ใดได้อีก’ ชายหนุ่มยังจำน้ำเสียงของเทพมังกรผู้กลายร่างเป็นมนุษย์เอ่ยขึ้น ซิ่วอิ่งคืนร่างเดิมเป็นงูเขียวตัวน้อยถูกส่งตัวไปรอรับโทษทัณฑ์ขัดเกลาจิตใจที่อารามนักพรตหญิงแห่งหนึ่ง เดิมทีเมิ่งหย่าจิ้งเองต้องโทษทัณฑ์เช่นเดียวกัน แต่ซ่งเหว่ย-หนานกลับร้องขอที่จะดูแลนางเอง ‘ในเมื่อนางไร้พิษภัยใด ก็กักขังนางไว้ที่นี่เถิด เผื่อว่านางจะสำนึกผิดและบำเพ็ญเพียรอีกครา’ จวิ้นอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ ยื่นมือไปจับมือของซ่งเหว่ยหนานให้หงายขึ้นแล้วเขียนอักขระที่กลางฝ่ามือร่ายมนตร์ให้ ‘ข้าร่ายมนตร์ไว้หากจำเป็นเจ้าสามารถจัดการนางได้ทันที’ จวิ้นอี้ถอนหายใจบางเบา ‘แต่การละเว
นางแหงนหน้ามองเห็นเพียงปลายคางของเขา ความรู้สึกวิงเวียนตาลายเข้ามาแทนที่ รู้สึกเจ็บร้าวทั่วแผ่นอก ร่างกายร้อนวาบราวกับถูกเพลิงเผาไหม้อยู่ภายใน นางได้แต่เอียงหน้าซบแผ่นอกของเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวใต้ใบหูของนาง “เจ้าต้องไม่เป็นอะไร” น้ำเสียงลอดไรฟันนั้นทำให้คนฟังปวดใจไม่น้อย “เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้า!” ฮวงหลงสะท้อนใจจนหัวใจปวดร้าว หากไม่มีนางอยู่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจะมีความหมายอะไรกัน! เพียงพยายามเคี่ยวยาสารพัดที่มีสรรพคุณถอนพิษโลหิตปีศาจงูดำ เหลือเพียงแค่บุกแดนสวรรค์ชิงโอสถทิพย์เท่านั้น ส่านเตี้ยนที่มุ่งหน้ามาหมายพบผู้เป็นนาย แต่เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมอกใบหน้าซีดขาวราวไร้โลหิต มุมปากมีคราบเลือดสีดำเปื้อนเปรอะทำให้ผู้พบเห็นถึงกับผงะไป “ท่านหญิง..” ส่านเตี้ยนเองก็ค่อยดูแลซิ่นฮวาแทนผู้เป็นนายยามที่ท่านเทพมังกรดินลงมือเคี่ยวยาด้วยตนเอง แม้เขาเคยระอานิสัยเอาแต่ใจที่ทำให้นายของเขาต้องพลอยลำบากใจอยู่บ่อยครั้ง ซ้ำยังใช้งานเทพมังกรดินราวคนรับใช้ แต่เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดของนางเพราะรับพิษแทนนายของตน เขาเองชื่นชม ห่วงใย และสำนึกในบุญคุณขอ
“เวลาพูดกับข้าเจ้าต้องสบตาข้า” ฮวงหลงเอ่ยเหมือนดุเด็กเล็กๆ หารู้ไม่ว่าลมหายใจของตนที่รินรดนั้นทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ “ข้าต้องอ่านปากเจ้าจึงจะเข้าใจความหมายที่เจ้าพูด” คล้ายถูกดวงตาคมเข้มคู่นั้นสะกดจิตใจ นางได้แต่พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายในชั่วเวลาต่อมาถ้วยยาที่เทพมังกรหนุ่มถือมาก็ถูกยื่นมาจ่อตรงริมฝีปากของหญิงสาว นางเม้มปากแน่นไม่มีท่าทียินยอมให้ยารสขมนั้นไหลผ่านคอ ผู้เคี่ยวยาเลิกคิ้ว ใบหน้าน้อยๆ มีแววต่อต้านจริงจังกลับทำให้มุมปากของเขายกยิ้ม “ได้” น้ำเสียงเหมือนเกียจคร้านเอ่ยพร้อมเงยตัวขึ้น “ข้าป้อนยาให้เจ้าเองก็ได้” ‘ไม่! ไม่ต้อง!’ มือเล็กรีบยื่นไปคว้าถ้วยยามาถือไว้ด้วยตนเอง ให้เขาป้อนยาให้นางนะหรือ? ทรมานยิ่งนัก มิใช่เพียงต้องกล้ำกลืนยารสขมแต่เพราะเรียวลิ้นของเขาที่ปลุกปั่นจิตใจของนางให้ยิ่งงุนงง นางจ้องมองยาเข้มข้นในถ้วยหยก แม้มีกรุ่นอายลอยบางเบาแต่เมื่อประคองถ้วยยาไว้ในมือกลับไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด นางหลับตาแล้วกลั้นใจยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วยื่นถ้วยยาที่ว่างเปล่าส่งคืน ทว่ามือใหญ่ไม่ได้ยื่นไปถ้วยยาจากมือนาง แต่กลั
ครั้งนี้ เขาไม่ลังเลที่จะ ‘รัก’ นางอีกแล้ว ไม่ว่าจะมีเวลาสำหรับเขาและนางมากน้อยเพียงใด เขาจะถนอมเวลาที่ได้อยู่กับนาง ยอมรับทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่หวั่นเกรงสิ่งใดอีกแล้ว ผ้าห่มที่ถูกดึงมาจนปิดใบหน้าค่อยๆ ถูกเลื่อนออกจนเห็นดวงหน้าแดงระเรื่อของหญิงสาว ซิ่นฮวาเห็นเขาส่ายหน้าไปมาแล้วพึมพำเหนือใบหน้าของนาง “หน้าเจ้าแดงอีกแล้ว ไข้ขึ้นแล้วหรือ?” เขากระซิบใกล้ริมฝีปากของนาง ลมหายใจอุ่นรินรดใบหน้าของหญิงสาว นางตกตะลึงไม่ทันตั้งสติ เขาก็ประทับจูบลงที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางอีกครั้ง ครั้นนางได้จังหวะหอบหายใจ เขาก็ฉวยโอกาสแทรกลิ้นเปียกร้อนเข้าไปลิ้มรสความหวานในปากของนาง คล้ายลมหายใจร้อนของเขาไหลเวียนในกายนาง ร่างกายของนางร้อนรุ่มโดยเฉพาะช่องท้องที่เคร่งเครียดและหวามไหว ความปรารถนาแสนหวานก่อตัวขึ้นอีกระลอกทำให้ร่างกายบิดเร่าไปมาโดยไม่รู้ตัว รสจูบของเขาทวีความร้อนแรงขึ้น ดูดดื่มมากขึ้น จนนางแทบหมดเรี่ยวแรง สมองขาวโพลน เรียวลิ้นยั่วเย้าของเขาเรียกร้องให้นางตอบรับ ความไม่ประสีประสาทำให้นางเงอะงะ แต่นั่นยิ่งทำให้บุรุษหนุ่มเพลิดเพลินกับการสอนนางให้เรียนรู้การจ
ข้อเสนอของเขาทำให้นางพยักหน้ารับ ฮวงหลงเห็นบุปผาน้อยยินดีทำตามกฎก็โน้มหน้าลงยื่นปลายจมูกกดที่แก้มเนียนของหญิงสาว ‘ท่าน!’ ดวงตาเป็นประกายฉายแววตื่นตระหนก สองแขนของเขาคร่อมร่างของนางไว้ ร่างเล็กเอนหลังหนีปลายจมูกที่ยื่นมาซุกไซ้ใบหน้าของนางแต่กลายเป็นว่านางหงายหลังลงบนเตียงนอนโดยมีร่างของบุรุษหนุ่มตามลงไปทาบทับ ‘หยุดนะ! ท่านทำอะไร!’ สองมือยื่นไปยันกายของเขาไว้ แต่พอเจอสายตาจริงจังของเขาแล้ว นางกลับลืมถ้อยคำของตนไปหมดสิ้น “คราวนี้เข้าใจหรือไม่ แต่ก่อนที่เจ้าร้องขอให้ข้าพาเจ้ามาตำหนักแล้วข้าไม่สามารถพามาได้เพราะอะไร” ชายหนุ่มแสร้งทำเสียงตำหนิ “เจ้าไม่คิดหรือว่าข้าเป็นผู้คุมกฎต้องมาละเมิดกฎเสียเองเป็นเรื่องไม่สมควร” ถูกตำหนิต่อว่าเช่นนี้แล้ว นางจึงไม่กล้าขยับตัวอีกแต่มิอาจสบตาดวงตาลึกล้ำของอีกฝ่ายได้ นางจึงกลอกตาไปทางอื่นยอมให้ ‘กำจัด’ กลิ่นอายมนุษย์ของนาง เพราะนางหลบตาจึงไม่อาจเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาได้ ฮวงหลงเพียงแค่อยากหยอกล้อนางเล่น ทว่าเมื่อตนเองก้มลงกดปลายจมูกดอมดมกลิ่นอายของหญิงสาวกลับเป็นฝ่ายถอนใจมิได้ ผิวกายเนียนนุ่มและกลิ่นหอมอ
‘ฮวงหลง’ นางอ้าปากที่ไร้เสียงเรียกชื่อเทพมังกรดิน ห้องที่นางนอนอยู่ตกแต่งงดงามราวกับนางนิทราในสวนดอกไม้ แต่นางกลับไม่มีสายตาเหลือไว้ชื่นชมสิ่งรอบข้างเพราะใจของนางพะวงถึงบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงที่นางมักใช้นิ้วเกี่ยวพันไว้อยู่เสมอ ‘ฮวงหลง’ นางเรียกเขาอีกทั้งที่รู้ว่าไม่มีเสียงใดหลุดรอดจากริมฝีปากของนาง หญิงสาวหมุนตัวมองรอบกาย นางกลัวว่าตนเองฝันไป หรือนางยังไม่ตื่น อาจยังอยู่ในกระท่อมใต้สระน้ำนั้นก็เป็นได้ จิตใจที่ว้าวุ่นทำให้นางไม่รู้ว่ามีคนก้าวเข้ามาใกล้และยืนซ้อนอยู่ด้านหลังจนกระทั่งนางหมุนตัวกลับมา ใบหน้าเกือบปะทะกับแผ่นอกกำยำ นางผงะไปด้านหลังครึ่งก้าว มือแกร่งข้างหนึ่งยื่นมาโอบแผ่นหลังของนางไว้ไม่ให้หงายหลังและดันร่างนางกลับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดใบหน้าของนาง บุรุษหนุ่มกวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เขาส่ายหน้าไปมาส่งเสียงตำหนิไม่จริงจังนัก “เหตุใดเจ้าไม่สวมรองเท้า” ฮวงหลงเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งของเขาถือถ้วยยานำเข้ามาให้นาง แม้ว่ามืออีกข้างจะโอบประคองแผ่นหลังของนางอยู่ แต่ยาในชามก็ไม่กระฉอกออกมาแม้แต
เขากำลังรักษาบาดแผลให้นาง ทว่าช่องท้องที่รู้สึกวะหวิวจนอยากจะส่งเสียงครวญครางออกมา นางไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้แต่นางก็อับอายจนต้องยกมือปิดปากตนเอง สายตาของนางมองเห็นจุดแดงเล็กๆ ที่โคนขาด้านในจึงรีบหนีบขาไว้ก่อนแต่ยังช้าเกินกว่าสายตาช่างสำรวจของเขามองเห็นก่อนแล้ว นางฝืนหนีบขาตัวเองไว้แน่นทำให้บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินยวงเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่พอใจพร้อมกล่าวตำหนินาง “อย่าดื้อ ข้าต้องรักษาบาดแผลให้เจ้า” ซิ่นฮวาส่ายหน้าไปมาไม่ว่าอย่างไรนางไม่อยากอ้าเรียวขาออกเด็ดขาด “ข้าทำเช่นนี้ให้เจ้าตั้งแต่เจ้าเป็นเด็กเล็กๆ” มือแกร่งยื้อเรียวขาของนางไว้ แล้วแยกขางามออกอย่างใจเย็น กลิ่นกายของนางหอมหวานชวนให้มึนเมายิ่งนัก เขาต้องทุ่มเทสมาธิเพื่อรักษาบาดแผลบนร่างกายของนางมิให้ทิ้งรอยตำหนิใดไว้ ร่างหญิงสาวอ่อนระทวยดุจเดียวกับขี้ผึ้งต้องความร้อน ริมฝีปากของเขากดลงบนโคนขาด้านใน จุดอ่อนนุ่มบนร่างถูกสัมผัสอย่างตั้งใจ สองขาถูกเขาแยกออกจากกันและร่างของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขาของนาง หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยหนีแต่มือแกร่งรั้งจับสะโพกนางไว้มั่น มุ่งมั่นก