ฮวงหลงจึงตัดสินใจเรียกให้บ่าวรับใช้เชิญเทพมังกรจวิ้นอี้ออกมาพบ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าทำตามสิ่งที่เขาต้องการ หลังจากสอบถามจากบ่าวไพร่รู้เพียงแค่ว่าเทพมังกรจวิ้นอี้อยู่ในห้องนอนและสั่งห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรายงาน เป็นเหตุให้เขาเป็นฝ่ายบุกมาถึงที่นี่ ในฐานะพี่น้องร่วมบิดา เขาเคยมาเยี่ยมเยือนจวิ้นอี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยก้าวเข้าไปในเขตส่วนตัวอย่างห้องนอน แต่เมื่อเขาขยับเท้า บรรดาบ่าวไพร่และทหารก็กรูกันไปเตรียมป้องกันห้องนอนของผู้เป็นนาย เขาจึงคาดเดาได้ว่าห้องนอนนั้นอยู่ทิศทางใด ร่างสูงก้าวเดินพรวดพราดไปจนถึงที่หมาย ทหารนับสิบรายล้อม เขายกมือขึ้นกลางอากาศเตรียมวาดท่อนแขนของตน ทว่าบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆ เปิดออก การเคลื่อนไหวของคนที่ก้าวเท้าออกมาอย่างเชื่องช้าและดูเกียจคร้านทำให้ทุกคนหันไปมอง บ่าวรับใช้ต่างหมุนตัวหลบให้ผู้เป็นนาย นายทหารลดกระบี่ลงและทำความเคารพผู้เป็นนาย เทพมังกรจวิ้นอี้ยกมือข้างหนึ่งโบกไปมาเป็นสัญญาณสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์ถอยออกไป มือหนึ่งยังยกขึ้นปิดปากที่อ้าปากหาวของตนเองก่อนจะหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำชา จวิ้นอี้สบตากับฮ
ฮวงหลงได้แต่งุนงนกับสิ่งที่ได้ยิน จะเป็นเพราะเขาได้อย่างไรกัน เป็นเขาที่เคยเตือนให้มังกรเพลิงตนนั้นมีสติ ใครเลยจะรู้ว่ามังกรเพลิงตนนั้นจะอาละวาดที่ตำหนักของเทพหนี่วา เขาในฐานะแม่ทัพผู้ปกปักแดนสวรรค์จึงต้องนำพลทหารล้อมจับมังกรเพลิง ในใจของเขายังคิดว่ามังกรเพลิงตนนี้จะกลับใจได้ ทว่ามันกลับยอมให้จิตมารกลืนกินกลายเป็นปีศาจมังกรเพลิงหลบหนีลงมาโลกมนุษย์ เขาให้เวลาตามหาอยู่หลายปีจนพบว่ามันเร้นซ่อนกายในท่อนแขนของชินอ๋องเฟยเทียน “ข้าได้ยินมาจากพี่ใหญ่หรอกนะ” จวิ้นอี้เห็นท่าทางงุนงงของอีกฝ่ายแล้วก็ส่ายหน้าไปมา “เหตุที่เทพมังกรเพลิงอาละวาดเพราะอาจหาญไปหลงรักดอกไม้ของเทพหนี่วา เทพหนี่วาเกรี้ยวโกรธมาก เพียงลมหายใจแผ่วเบาของมังกรเพลิงก็ทำให้กลีบดอกไม้เหี่ยวเฉา สั่งห้ามเทพมังกรเพลิงเข้าใกล้เด็ดขาด เจ้าเองก็เป็นผู้รับบัญชาจากเทพหนี่วาคอยคุมกันมิให้เทพมังกรเพลิงเข้าใกล้ตำหนักของเทพหนี่วา ใครเลยจะรู้ว่าเทพมังกรเพลิงตนนั้นสั่งสมความไม่พอใจไว้มากมายนัก ถูกจิตมารโน้มน้าวใจจนกลายเป็นปีศาจ ในวันที่เทพมังกรเพลิงบุกที่ตำหนักของเทพหนี่วาครั้งสุดท้าย เพลิงโทสะของมังกรเพลิงทำให้แปลงดอกไม้ถูก
สงคราม ‘ทรายย้อมโลหิต’ องค์รัชายาทเกือบสิ้นชีพในสงครามครั้งนั้น ทว่าเพื่อให้ทหารที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวได้กลับบ้าน จึงบังอาจเรียกปีศาจมังกรเพลิงมาเพื่อใช้ทำสัญญาแลกเปลี่ยน ‘บางสิ่ง’ เปลี่ยนให้กลายเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ แม้ชนะศึกสงครามแต่ถูกปลดจากตำแหน่งรัชทายาท หากแต่สวรรค์มิได้ทอดทิ้ง ส่งคู่ชีวิตมาให้หัวใจที่เยียบเย็นได้กลับสู่ความเป็นมนุษย์อีกครั้ง เพื่อปกป้องนางในดวงใจ ทำให้อ๋องเฟยเทียนขัดราชโองการ กว่าจะเดินทางจากตุนหวงกลับสู่เมืองหลวงกินเวลานานมากกว่าปกติ กระนั้นเมื่อได้พบพระพักตร์องค์ฮ่องเต้อีกครั้ง คราวนี้ได้สลายความไม่เข้าใจระหว่างพ่อลูกที่มีมานานนับสิบปี องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันมีใจกำจัดอ๋องเฟยเทียนเพราะเกรงกำลังทหารในมือและคิดว่าอีกฝ่ายจะตั้งตนเป็นกบฏโดยอาศัยราชโองการขององค์ฮ่องเต้ จึงยืมมือทหารฝ่ายมองโกลกำจัด ทว่าไม่อาจเอาชีวิตชินอ๋องเฟยเทียนได้ กลับกลายเป็นว่าอ๋องเฟยเทียนได้กำจัดปีศาจมังกรเพลิงในตนเองไปสิ้น และยังรู้ตัวผู้บงการแผนร้าย เพียงแต่ไม่คิดยื่นมือเข้าไปวุ่นวาย ปล่อยให้องค์ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยเอง หลังจากกลับจากเมืองหลวงพร้อมข่าวลือแพร่สะบ
หญิงสาวร่างเล็กในชุดของบุรุษเสื้อผ้าเนื้อหยาบวิ่งหน้าตาตื่นมาจากด้านหลังของตำหนักชินอ๋อง ดวงหน้าอ่อนหวานปรากฏเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นราวกับตากฝน และเพราะนางมุดรอดรอยแยกของกำแพงด้านหลัง ทำให้เส้นผมที่เกล้ามวยเยี่ยงบุรุษนั้นหลุดลุ่ยลงมาเคลียบ่า ทว่ากลับขับเน้นความงามบนใบหน้าจิ้มลิ้มดุจหญิงสาววัยสิบเจ็ดปี “คุณหนู ทางนี้เจ้าค่ะ” “น้าจื่อเหยี่ยน” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเห็นบ่าวคนสนิทของมารดามายืนรอด้วยอาการกระสับกระส่าย นางยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา จื่อเหยี่ยนส่ายหน้าไปมาพลางยื่นมือไปหยิบเศษใบไม้ออกจากศีรษะและลูบผมให้อย่างรวดเร็ว “ไยคุณหนูกลับมาช้านักเจ้าคะ” “ท่านแม่ออกมาจากห้องสวดมนต์แล้วหรือ?” “ยังเจ้าค่ะ ตอนนี้ปี้เอ๋อร์คอยดูต้นทางให้อยู่ คุณหนูรีบกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า” “อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างโล่งอก ทันใดนั้นเอง นางเสียวสันหลังวาบจนไม่กล้าหันไปมองไอเย็นที่แผ่มากระทบแผ่นหลังของนาง “ดูต้นทาง? ดีมาก ดีจริงๆ” “ทะ...ท่านแม่” หญิงสาวโอดครวญในใจไม่กล้าหันกลับไปมองเจ้าของเสีย
หญิงสาวในชุดบุรุษทำหน้างุนงงแล้วยกแขนขึ้นดมกลิ่นกายตัวเอง นางถึงกับทำหน้าแหย เพราะเกรงว่าจะกลับมาไม่ทันเวลา นางถึงกับมุดรอดรูทางหมารอดตรงกำแพงด้านหลังตำหนัก ท่าทางของนางทำให้บุรุษทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะพรืดอย่างไม่เกรงใจ หญิงสาวหันมาขึงตาใส่แต่ดูเหมือนไม่อาจหยุดเสียงหัวเราะนั้นได้ นางจึงเชิดใบหน้าขึ้นยืดแผ่นหลังตรงแล้วเดินอย่างสง่ารีบกลับเรือนของตนเองทันที บุรุษวัยสี่สิบห้าลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นภรรยาสุดที่รักยอมลดความโกรธเคืองในตัวลูกสาวคนเดียวลง แม้เวลานี้ภรรยาของเขาจะอายุสามสิบหกแล้วและเป็นมารดาของบุตรสามคน ทว่ายังคงใบหน้าอ่อนเยาว์และอ่อนโยนไม่ต่างจากวันวาน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นสามี นางกลับขึงตาใส่ พาลเอาความโมโหมาลงที่ตัวผู้เป็นบิดาแทน “เพราะท่านพี่ตามใจนางนัก นางจึงเอาแต่ใจตัวเอง ทำอะไรไม่คิดถึงผู้อื่นเลยสักนิด” “ได้ๆ เป็นข้าที่ผิดเอง” มือใหญ่หยาบกร้านลูบไหล่ภรรยาอย่างเอาอกเอาใจ ยามนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ หากใครมาเห็นเข้าคงนึกไม่ถึงว่า ชินอ๋องเฟยเทียนผู้เคยได้ชื่อว่าเป็นครึ่งปีศาจในอดีตนั้น เพียงแค่เอ่ยชื่อเขาก็ทำให้ผู้คนหวาด
ชื่อของปวงเทพมิใช่สิ่งที่สมควรกล่าวเล่นพร่ำเพรื่อ แต่ซิ่นฮวามิได้สนใจเรื่องนั้น ตั้งแต่ห้าขวบ นางก็เรียก ‘พี่ชายผมเงิน’ มาเป็นเพื่อนเล่นของนาง เรื่องนี้เกิดความคาดหมายของนางนัก ในคืนหนึ่ง เทพมังกรปรากฏตัวเบื้องหน้านางด้วยสีหน้าฉาบความไม่พอใจอยู่หลายส่วนแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวถึงขนาดจะเผาเมือง ‘เจ้าให้ลูกสาวของเจ้ารู้ชื่อของข้า’ ‘เรื่องนั้น...’ ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร เทพมังกรดินผู้แสนสง่างามองอาจเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น คล้ายเจอคู่ปรับที่ไม่อาจต่อกรได้ ‘นางเป็นเด็กแต่เจ้าเล่ห์มากกลอุบายนัก ข้าจะทำอะไรก็มิได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก’ เทพมังกรเดินพร่ำบ่นเดินวนไปวนมาเบื้องหน้านาง ยามนี้เขามองนางมิใช่ด้วยสายตาของบุรุษที่มองหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นสายตาที่มองกันอย่างมิตรสหายมากกว่า ‘ท่านมิได้ใช้เวทมนตร์พรางกายกับนางหรือ?’ ‘เคยแล้ว ปกติข้าใช้เวทพรางกายย่อมไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เด็กนั่นกลับยังเห็นข้าแถมโบกไม้โบกมือให้ข้าอีก’ เขาถูกเด็กห้าขวบปั่นหัวจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เด็กคนนี้ช่าง! ไม่เหมือนมารดาที่เรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักน
“อ้อ! อีกสามวันถึงพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินนี่เอง ท่านแม่จึงโกรธเจ้าที่หนีออกไปนอกตำหนักเช่นนี้” ซิ่นหลิงแย่งถั่วเคลือบน้ำตาลในจานของน้องชายมากิน “ข้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บูชาเทพมังกรดินทุกปี เรื่องแค่นี้ไม่มีวันทำผิดพลาด” นางเบ้ปากเล็กน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้น “กันอี๋ เจ้าแกว่งแรงอีกหน่อยซิ” กันอี๋นิ่งงันไป เขาไม่กล้าออกแรงมากนัก เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ แต่เสียงหัวเราะของซาโม่ทำให้เขาหงุดหงิด “นางไม่ตกชิงช้าง่ายดายหรอก” ซาโม่หัวเราะ เขารู้ว่ากันอี๋กังวลเรื่องใดอยู่ “แกว่งแรงอีกนิดเถิด ถ้านางร่วงลงไปข้าจะกระโดดไปรับให้เอง” “อย่าเลย หน้านางยิ่งขี้เหร่อยู่ เผลอตกชิงช้าหน้าคว่ำคะมำไป ความงามที่มีอยู่น้อยนิดนี่จะจมหายไปกับพื้นดินเสียหมด” “ซิ่นหลิง! ปากเจ้านี่มันปากสุนัขชัดๆ!” ซิ่นหลิงตวาดออกมาด้วยความโมโห หากไม่เพราะพวกเขาทั้งหมดเกิดและเติบโตพร้อมกัน คงไม่มีใครเชื่อว่าเทพธิดาน้อยๆ ผู้นี้จะมีอีกด้านที่เกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ “เฮ้! คนปากสุนัขต้องเป็นซาโม่ต่างหากไม่ใช่ข้า” ซิ่นหลิงโบ้ยไปทางซาโม่ เพราะความสนิทสนมนั่นแหละที่ทำให้พวกเขากล้า
ซิ่นหลิงไม่คิดว่า... ซิ่นฮวาจะกล้าดูหนังสือแบบนั้น ซิ่นฮวาเข้าใจสายตาของซิ่นหลิง นางทำจมูกย่นเหมือนแมวน้อย ท่าทางน่าเอ็นดูแต่หารู้ไม่ว่าใช้ไม้นี้กับซิ่นหลิงมิได้ “ถ้าข้าไม่ช่วย เจ้าก็ให้คนอื่นช่วยอยู่ดีใช่หรือไม่” ซิ่นฮวาพยักหน้ารับ นั่นทำให้ซิ่นหลิงหลับตาโอดครวญในใจ ที่เขาเห็นนางแต่งกายเป็นบุรุษถูกมารดาวิ่งไล่หมายทำโทษในวันนี้ คงเพราะความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นแน่ “เอาเถอะ ข้าจะหาทางให้ก็แล้วกัน” “เร็วๆ ด้วย ข้าอยากไปก่อนวันบวงสรวงเทพมังกรดิน” “หา!” ใช้งานผู้อื่นแล้วยังมีการมาเร่งอีก “ไยรีบร้อนถึงเพียงนี้ นี่เจ้าวางแผนร้ายอันใดอยู่หรือไม่” “ไม่ใช่แผนร้ายเสียหน่อย” นางลูบปลายจมูกตัวเอง “เอาเป็นว่าเจ้ารับปากแล้ว ต้องช่วยให้ถึงที่สุด” ซิ่นหลิงได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง ที่เขาไปร่ำเรียนมาไม่มีกลวิธีรับมือหญิงดื้อและซุกซนอย่างนางเลย แล้วนี่ชายใดหนอที่จะถูกนางรังแกกลั่นแกล้งเอา หรือว่าจะเป็น... ป่านนี้แล้ว นางยังไม่ตัดใจอีกหรือ? ร่างบอบบางเร้นกายในความมืดกลับเข้ามาในห้องนอนของตน
ฮวงหลงได้แต่งุนงนกับสิ่งที่ได้ยิน จะเป็นเพราะเขาได้อย่างไรกัน เป็นเขาที่เคยเตือนให้มังกรเพลิงตนนั้นมีสติ ใครเลยจะรู้ว่ามังกรเพลิงตนนั้นจะอาละวาดที่ตำหนักของเทพหนี่วา เขาในฐานะแม่ทัพผู้ปกปักแดนสวรรค์จึงต้องนำพลทหารล้อมจับมังกรเพลิง ในใจของเขายังคิดว่ามังกรเพลิงตนนี้จะกลับใจได้ ทว่ามันกลับยอมให้จิตมารกลืนกินกลายเป็นปีศาจมังกรเพลิงหลบหนีลงมาโลกมนุษย์ เขาให้เวลาตามหาอยู่หลายปีจนพบว่ามันเร้นซ่อนกายในท่อนแขนของชินอ๋องเฟยเทียน “ข้าได้ยินมาจากพี่ใหญ่หรอกนะ” จวิ้นอี้เห็นท่าทางงุนงงของอีกฝ่ายแล้วก็ส่ายหน้าไปมา “เหตุที่เทพมังกรเพลิงอาละวาดเพราะอาจหาญไปหลงรักดอกไม้ของเทพหนี่วา เทพหนี่วาเกรี้ยวโกรธมาก เพียงลมหายใจแผ่วเบาของมังกรเพลิงก็ทำให้กลีบดอกไม้เหี่ยวเฉา สั่งห้ามเทพมังกรเพลิงเข้าใกล้เด็ดขาด เจ้าเองก็เป็นผู้รับบัญชาจากเทพหนี่วาคอยคุมกันมิให้เทพมังกรเพลิงเข้าใกล้ตำหนักของเทพหนี่วา ใครเลยจะรู้ว่าเทพมังกรเพลิงตนนั้นสั่งสมความไม่พอใจไว้มากมายนัก ถูกจิตมารโน้มน้าวใจจนกลายเป็นปีศาจ ในวันที่เทพมังกรเพลิงบุกที่ตำหนักของเทพหนี่วาครั้งสุดท้าย เพลิงโทสะของมังกรเพลิงทำให้แปลงดอกไม้ถูก
ฮวงหลงจึงตัดสินใจเรียกให้บ่าวรับใช้เชิญเทพมังกรจวิ้นอี้ออกมาพบ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าทำตามสิ่งที่เขาต้องการ หลังจากสอบถามจากบ่าวไพร่รู้เพียงแค่ว่าเทพมังกรจวิ้นอี้อยู่ในห้องนอนและสั่งห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรายงาน เป็นเหตุให้เขาเป็นฝ่ายบุกมาถึงที่นี่ ในฐานะพี่น้องร่วมบิดา เขาเคยมาเยี่ยมเยือนจวิ้นอี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยก้าวเข้าไปในเขตส่วนตัวอย่างห้องนอน แต่เมื่อเขาขยับเท้า บรรดาบ่าวไพร่และทหารก็กรูกันไปเตรียมป้องกันห้องนอนของผู้เป็นนาย เขาจึงคาดเดาได้ว่าห้องนอนนั้นอยู่ทิศทางใด ร่างสูงก้าวเดินพรวดพราดไปจนถึงที่หมาย ทหารนับสิบรายล้อม เขายกมือขึ้นกลางอากาศเตรียมวาดท่อนแขนของตน ทว่าบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆ เปิดออก การเคลื่อนไหวของคนที่ก้าวเท้าออกมาอย่างเชื่องช้าและดูเกียจคร้านทำให้ทุกคนหันไปมอง บ่าวรับใช้ต่างหมุนตัวหลบให้ผู้เป็นนาย นายทหารลดกระบี่ลงและทำความเคารพผู้เป็นนาย เทพมังกรจวิ้นอี้ยกมือข้างหนึ่งโบกไปมาเป็นสัญญาณสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์ถอยออกไป มือหนึ่งยังยกขึ้นปิดปากที่อ้าปากหาวของตนเองก่อนจะหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำชา จวิ้นอี้สบตากับฮ
หญิงสาวพยายามตั้งสติบอกตัวเองให้เข้มแข็ง นางลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังไม่มองภาพในกระจกเวทมนตร์นั้น ไม่ได้...นางต้องปกป้องทุกคน นางจะเอาแต่คร่ำครวญไม่ได้ แต่ก่อนอื่นนางต้องทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมดก่อน การที่นางส่งเสียงไม่ได้ และมาอยู่ก้นสระน้ำเช่นนี้ สตรีที่จำแลงรูปร่างหน้าตาได้เหมือนนางทุกกระเบียดนิ้ว แล้วยังมีเรื่องเสพปราณมังกรอีก ‘ฮวงหลง’ นางส่งเสียงเรียกเทพมังกรดินอีกครั้ง แต่ทำได้เพียงขยับปากแต่ไร้เสียง นางสูดลมหายใจลึกข่มความเจ็บปวดทั้งหมดในร่างกาย เขาปกป้องนางมาตลอดสิบเจ็ดปี ครั้งนี้นางจะไม่ยอมให้เขาต้องเป็นอันตรายเพราะนาง ‘โอ๊ย!’ ร่างบางทิ้งตัวทรุดลงไปนั่ง นางปวดหัวใจอย่างรุนแรงเจ็บปวดจนต้องยกมือขึ้นกุมอกซ้าย คล้ายมีบางสิ่งที่ถูกปิดกั้นไว้พยายามผลักดันออกจากด้านใน ตรงหัวใจของนาง หญิงสาวหลับตาข่มความปวดร้าวในอก นางรู้ว่าตนเองเฝ้ามองเทพมังกรดินตั้งแต่ครั้งแรกที่นางลืมตา ทว่ายามนี้ นางรู้สึกได้ว่านานกว่านั้น มิใช่เพียงแค่สิบเจ็ดปี แต่ยาวนานนับร้อยๆ ปี คล้ายเคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน คล้ายเลือนลาง
นี่ใช่สระน้ำที่อยู่ใกล้เรือนของซ่งซีเหมยหรือไม่? นางอยู่ก้นสระน้ำใกล้เรือนของซ่งซีเหมย? นี่มันเรื่องอะไรกัน! นางงงไปหมดแล้ว! นางอ้าปากส่งเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่านางได้แต่อ้าปากแต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก มือเรียวเลื่อนมาจับที่ลำคอของตนเอง นางขยับปากพยายามส่งเสียงแต่ยังไร้ผล เกิดอะไรขึ้นกับนาง หญิงสาวพยายามตั้งสติ อ่า...ก่อนหน้านี้ ...ก่อนหน้านี้นางบรรเลงกู่เจิงในพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินเพื่อขอฝน นางพร่ำเพรียกเอ่ยขานนามเทพมังกรดิน แต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่คำเดียว เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่! เสียงหัวเราะดังจากด้านหลัง ซิ่นฮวารีบหมุนตัวกลับไปมองทันที นางตื่นตระหนกด้วยไม่รู้ว่าหนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษมาปรากฏกายตั้งแต่เมื่อใดกัน แม้อยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติแต่นางเชื่อมั่นว่าไม่เคยพบสตรีที่สวมอาภรณ์สีแดงสดซึ่งกำลังหัวเราะเสียงกังวานและบุรุษผู้หนึ่งที่เดินลากเท้าเข้ามาใกล้ บนใบหน้ามีหน้ากากปิดเสี้ยวหน้า แต่กระนั้นยังมองเห็นรอยแผลเป็นเหวอะหวะ แต่สิ่งที่น่ากลัวมากกว่ารอยแผลเหล่านั้นคือดวงตาที่จ้องมองนางราวกับจะฉีกร่างของนางออก
“ข้ากลัว” น้ำเสียงหวาดหวั่นอย่างน่าสงสาร “ท่านอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่ได้หรือไม่” “ได้สิ” เขานั่งลงที่ข้างเตียงพลิกมือหญิงสาวมากุมไว้ “เป็นข้าที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้” หญิงสาวบนเตียงส่ายหน้าไปมา ส่งยิ้มอ่อนหวานให้ “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก เป็นความผิดของเทพมังกรดินที่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือต่างหาก” ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากดุจกลีบกุหลาบทำเอาปี้เอ๋อร์ถึงกับสะดุ้งเฮือก แต่เก็บซ่อนอาการตื่นตกใจของตนเองมิดชิด นางเลี้ยงซิ่นฮวามาตั้งแต่แบเบาะไม่เคยได้ยินหญิงสาวว่าร้ายเทพมังกรดินเลยสักคราเดียว ซ้ำยังแสดงท่าทีสนิทสนมกับซ่งเหว่ยหนานอีก ยังไม่ทันได้ขบคิดไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้น หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็พาซ่งซีเหมยเข้ามา “พี่สาวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เด็กน้อยร้องถามด้วยความเป็นห่วง ทว่าเมื่อนางเห็นซิ่นฮวาที่นอนอยู่บนเตียง เอียงใบหน้าจ้องมองมายังนาง เด็กหญิงกลับรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าไปใกล้ นางผงะถอยหลังไปหลบอยู่หลังแม่นมซูทันที“ซีเหมยเจ้าเป็นอะไร” ซ่งเหว่ยหนานถามอย่างแปลกใจ ปกติน้องสาวตัวน้อยทำตัวติดกับซิ่นฮวาแจแทบไม่อยากแยกกันเลยทีเดียว
“เกิดอะไรขึ้น” ปี้เอ๋อร์พึมพำอย่างตื่นตระหนกไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องเช่นนี้ เหตุใดผู้คนจึงดูบ้าคลั่งกันขึ้นมา “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ซ่งเหว่ยหนานเองก็รู้สึกได้ว่าชาวเมืองเปลี่ยนไป แต่กระนั้นซิ่นฮวาก็ยังไม่หยุดบรรเลงกู่เจิง เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปตุนหวง นางเล่นกู่เจิงไปเพียงครึ่งก้านธูปฟ้าก็หลั่งฝนลงมาแล้ว เหตุใดนานถึงเพียงนี้ยังไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่หยดเดียว “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ผู้คนตะโกนด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ถูกปาขึ้นไปบนปะรำพิธี! และตามด้วยสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือ ชาวบ้านต่างปาก้อนหิน ดิน หรือแม้แต่รองเท้าขาดๆ ใส่ซิ่นฮวาที่ยังไม่ยอมหลุดบรรเลงกู่เจิง “กันอี๋!” ปี้เอ๋อร์ร้องสั่ง เห็นท่าไม่ดีแล้วต้องรีบพาท่านหญิงลงมา นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร องครักษ์หนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไป ทว่าเขายังช้ากว่าบุรุษอีกคนที่กระโจนขึ้นไปก่อนแล้
“ท่านหมอไม่มีวิธีอื่นใดช่วยคุณชายของข้าได้แล้วหรือ?” “คุณชายเยี่ยนไม่ไหวแล้วจริงๆ” คนเป็นหมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าว่าท่านพ่อบ้านรีบเขียนจดหมายแจ้งนายใหญ่เถิด บางทีหากเร่งเดินทางอาจกลับมาทันดูใจคุณชายเยี่ยน” “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะรีบเขียนจดหมายส่งข่าวถึงนายท่านใหญ่” ส่านเตี้ยนมองดูทั้งสองที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วเดินจากไป เขาจึงก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ แม้รู้ดีว่าเยี่ยนหรงเหยาจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน แต่ทว่า...เขาอดใจหายไม่ได้ วิหคสวรรค์ในร่างของเด็กชายวัยสิบสี่เดินย้อนกลับเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้บรรดาคนรับใช้จัดโต๊ะให้เขาทั้งสองได้กินอาหารเช้าแล้ว เยี่ยนหรงเหยาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้พยุงเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อย รูปร่างผอมบางในชุดสีขาวนั้นกลับทำให้เขาดูสุภาพเหมือนบัณฑิตหนุ่ม “มีอะไรรึ” “ไม่มีอะไร” ส่านเตี้ยนฝืนยิ้มให้ นึกถึงถ้อยคำของมหาเทพมังกรสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีชะตากรรมของตนเอง ลิขิตสวรรค์เปลี่ยนแปลงมิได
มนุษย์เห็นแก่ตัวเช่นไร เขาก็...ไม่ต่างกัน ทว่า... เพียงแค่เขาได้กลิ่นบุรุษอื่นบนกายนาง เขายังแทบคุมโทสะมิได้ หัวใจเจ็บร้าวเจียดคลุ้มคลั่ง หากไม่เห็นน้ำตาของนาง บางทีเขาอาจทำให้แผ่นดินขยับเคลื่อนไหวแล้วก็เป็นได้ หรือบางที...เป็นเขาเองที่ไม่อาจยอมรับความรู้สึกในใจของตนก็เป็นได้ “นายท่าน” ฮวงหลงตื่นจากภวังค์ ย้ายสายตาจากหน้าต่างห้องนอนของหญิงสาวมายังวิหคสวรรค์ที่กระพือปีกอยู่ใกล้ๆ “ใกล้รุ่งสางแล้ว ท่านควรกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดขอรับ” ส่านเตี้ยนเอ่ยด้วยความเป็นกังวล การเรียกลมเรียกฝนนั้นแม้ใช้พลังไม่มาก หากแต่ระยะนี้นายท่านของเขาร่างกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที และเมืองที่แล้งมายาวนานสามปี ต้องใช้ฝนมากเพียงใดจึงจะเรียกความชุ่มชื้นกลับมาอีกครา “เจ้ากลับไปก่อนเถิด” “แล้วนายท่านจะไปที่ใดขอรับ” “ข้าจะไปเยี่ยมจวิ้นอี๋เสียหน่อย” “เวลานี้หรือขอรับ” “ฮืม” ตอบพลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สายลมพัดผ่านดุจหยอกล้อเส้นผมสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์ เขาประหลาดใจนัก เขาตามหาตัวมังก
“ข้าไม่ได้เรียกท่าน” นางกลั้นเสียงสะอื้น นางไม่รู้ตัวว่าเรียกขานนามของเขาเมื่อใดกัน เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้นางหงุดหงิด ยอมเงยหน้าขึ้นจากหมอนเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนเส้นผมสีเงินยวงของเขาลงคลอเคลียใบหน้าของนาง “เหตุใดดวงตาของเจ้ามีน้ำตาเอ่อคลอเช่นนี้” เขาถามพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำใสที่คลอดวงตาคู่งาม หญิงสาวอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงแล้วเปลี่ยนใจ ปกตินางคิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น แต่ครั้งนี้นางกลับไม่กล้าพูด ทุกถ้อยคำที่เคยตำหนิเขาอยู่ในใจพลันหายไปหมดสิ้น ฮวงหลงได้กลิ่นสุราปะปนในลมหายใจของหญิงสาว เขาคลี่ยิ้มเอ็นดูช้อนมือประคองศีรษะให้หญิงสาวให้นอนในท่าที่สบาย เกรงว่านางจะหลับไปทั้งที่เอาหน้าซุกหมอน ไยเขาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเช่นนี้ แต่ก่อนเขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เดี๋ยวนี้เขากลับเป็นห่วงกังวลว่านางจะเป็นอะไร เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาของนางเขาก็รีบมาปรากฏตัวในทันที บุรุษหนุ่มมองมือเรียวเล็กที่ยื่นมาใช้ปลายนิ้วพันเกี่ยวเส้นผมสีเงินของเขาไว้ นางมักทำเช่นนี้เสมอตั้งแต่นางยังเป็นเด็กน้อยจนเวลานี้นางเติบโตเป็นหญิงสาวที่ครอบ