“เช่นนั้น น้องเหมยเอ๋อร์พาพี่สาวเดินเล่นสักครู่ดีหรือไม่”
ซ่งซีเหมยได้ยินซิ่นฮวาเรียกนางอย่างสนิทสนม ซ้ำยังแทนตัวเองว่าพี่สาว เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับแล้วเป็นฝ่ายจูงมือซิ่นฮวาให้เดินไปที่ศาลากลางน้ำ แสงแดดกระทบผิวน้ำระยิบระยับ สายลมพัดผ่านแผ่วเบาขับไล่ไอร้อนออกไปได้มาก หญิงสาวต่างวัยสองคนจูงมือมานั่งที่เก้าอี้ ซ่งซีเหมยส่งยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก แก้มทั้งสองกลายเป็นก้อนกลมๆ น่าเอ็นดูยิ่งนัก
“ข้าชอบที่นี่มาก เมื่อก่อนพี่ชายพาข้ามานั่งเล่นบ่อยๆ พี่เหว่ยหนานบรรเลงเพลงขลุ่ยได้ไพเราะยิ่งนัก”
“อย่างนั้นรึ” ซิ่นฮวาทำหน้าประหลาดใจ คนผู้นั้นมีเวลาสนใจเรื่องดนตรีด้วยหรือ? แต่...ไม่เกี่ยวกับนางสักนิดจะไปใส่ใจทำไมกัน
ซ่งซีเหมยรีบพูดต่อ “เพราะบิดาไม่ค่อยสบาย พี่ชายข้าจึงต้องรับภาระหน้าที่ดูแลราษฎรแคว้นหาน ป่านนี้แล้วพี่ชายข้ายังไม่ภรรยาหรือแม้กระทั่งสตรีอุ่นเตียงก็ไม่มีนะ”
คราวนี้เป็นซิ่นฮวาที่ไม่รู้ควรทำหน้าอย่างไร คงมิใช่ว่าน้องสาวกำลังออกโรงเป็นแม่สื่อตัวน้อยเสียเอง นางย้ายสายตาไปทางปี้เอ๋อร์ที่ยืนกลั้นยิ้มอยู่ใกล้ๆ ส่วนกันอี๋แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน นางโคลงศีรษะไปมาแล้วโน้มตัวไปอุ้มแม่สื่อตัวน้อยมานั่งบนตักของตน นางคงพูดไม่ได้หรอกว่าพี่ชายคนดีของแม่สื่อตัวน้อยนั้นทำสิ่งใดไว้บ้าง เจอกันครั้งแรกนางพบเขาที่หอนางโลม ซ้ำยังถามซื้อตัวนางอย่างน่ารังเกียจ หากไม่เพราะเขาปล้นจุมพิตนาง นางคงไม่รับปากจะมาแคว้นหานเป็นแน่
“พี่ชายข้าเป็นคนดีจริงๆ นะพี่สาว” ซ่งซีเหมยยืนยันหนักแน่นด้วยน้ำเสียงและแววตา นางชอบซิ่นฮวามาก พี่สาวคนสวยและยังใจดีกับนางไม่เหมือนคนอื่นเลยสักนิด
บุรุษหนุ่มที่เดินเข้ามาด้วยหัวใจร้อนรน ด้านหลังมีทหารและแม่นมเดินตามมาติดๆ เขากวาดสายตามองไปโดยรอบแล้วสะดุดอยู่ที่ศาลากลางน้ำ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าคนที่ตามหานั่งอยู่บนตักหญิงสาว เมื่อเดินเข้าไปใกล้เสียงหัวเราะสดใสของน้องสาวผู้เปราะบางก็ทำให้หัวใจพี่ชายอย่างเขาสะท้าน นานเพียงใดแล้วที่มิได้ยินเสียงซ่งซีเหมยหัวเราะเช่นนี้
“เหมยเอ๋อร์”
“อุ้ย! พี่ชาย” เด็กหญิงวัยสิบขวบตกใจ ตนเองเพิ่งขายพี่ชายให้ท่านหญิงซิ่นฮวาฟังไปยกใหญ่ นางเห็นสีหน้าเรียบนิ่งยากคาดเดาอารมณ์ของพี่ชายแล้วก็ทำแก้มป่อง มองเลยไปด้านหลัง ทั้งทหารและแม่นมยืนรออยู่ด้วยสีหน้ากังวล คงเพราะออกตามหานางเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นก็รู้สึกผิดแต่กลัวถูกตำหนิจึงซบหน้าลงกับบ่าของซิ่นฮวา
“ซีเหมยเจ้ารบกวนแขกของพี่มากเกินไปแล้ว” มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แม้ยิ้มก็ยังยากมองเห็นเป็นรอยยิ้ม อาจเพราะพักผ่อนน้อยด้วยเร่งสะสางงานแทนบิดาที่ล้มป่วยมานาน
ซิ่นฮวาเงยหน้ามองสีหน้าอ่อนล้าของซ่งเหว่ยหนานสลับกับเด็กน้อยที่กอดนางแน่นแล้วโคลงศีรษะไปมา
“เป็นข้าต่างหากที่รบกวนน้องเหมยเอ๋อร์” นางคลี่ยิ้ม ยกมือลูบแผ่นหลังเด็กน้อยอย่างปลอบโยน “มีน้องซีเหมยชวนคุย ข้ารู้สึกเพลิดเพลินมาก”
“จริงหรือเจ้าคะ?” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น ดวงตาสุกใสจ้องมองแล้วยิ้มกว้าง เมื่อเห็นซิ่นฮวาพยักหน้ารับ นางจึงกล้าหันไปสบตากับพี่ชาย “พี่ซิ่นฮวาไม่ได้รำคาญน้องเสียหน่อย”
“เอาเถิด อย่างไรเจ้าตามแม่นมกลับไปดื่มยาได้แล้ว ออกมาโดนลมอยู่เป็นนานประเดี๋ยวจับไข้ขึ้นมาอีก”
เด็กน้อยจำใจลงจากตักของหญิงสาวแล้วเดินไปจับมือแม่นม นางหันมาโบกมือน้อยๆ ไปมาให้ซิ่นฮวาแล้วหันหลังเดินจากไปพร้อมแม่นมและทหารองครักษ์ที่ออกตามหาน้องสาวผู้เป็นดวงใจของซ่งเหว่ยหนาน
ซ่งเหว่ยหนานถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “เป็นข้าที่ตามใจซีเหมยจนเสียนิสัย นางจึงเอาแต่ใจนัก อย่างไรต้องขออภัยท่านหญิงด้วย”
“ไม่หรอก เป็นข้าอิจฉาเจ้าที่มีน้องสาวน่ารักเช่นนี้” นางลุกขึ้นยืนและหมายเดินกลับที่พักของตนเอง แต่เพราะนั่งนานและถูกซ่งซีเหมยนั่งตักอยู่เป็นนาน เมื่อลุกขึ้นจึงซวนเซ ซ่งเหว่ยหนานสืบเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วประคองร่างบอบบางไว้ได้ทันเวลา
เมื่อสองเท้ายืนได้มั่นคง สองมือเรียวรีบดันอีกฝ่ายออกห่าง นางเบือนหน้าหลบสายตาคมวาวที่จ้องมองอยู่ ปี้เอ๋อร์เห็นท่าทางเขินอายของซิ่นฮวาแล้วอมยิ้ม ค่อยๆ สืบเท้าเข้าไปใกล้แล้วยื่นมือไปช่วยประคองเป็นการแสดงท่าทีให้ซ่งเหว่ย-หนานขยับเท้าออกมาที่เดิม มีเพียงกันอี๋ที่อยู่ใกล้แต่ไม่อาจทำอะไรได้ ด้วยฐานะที่เป็นเพียงองครักษ์จึงได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกลงท้องไว้จนหมดสิ้น
“ท่านหญิงอยากไปตรวจบริเวณปะรำพิธีก่อนหรือไม่” เขาเอ่ยถามเหมือนชวนคุยเสียมากกว่า “งานบวงสรวงวันพรุ่งนี้แล้ว”
“ประเดี๋ยวช่วงบ่ายข้าจะไปดูเอง” นางเอ่ยตอบแล้วเดินออกมา “แต่ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก ตอนอยู่ที่ตุนหวงเน้นความเรียบง่าย”
“เช่นนั้นข้าก็เบาใจ” เขาเหลือบมองเสี้ยวหน้าที่แดงระเรื่อของหญิงสาว คิดถึงริมฝีปากนุ่มนิ่มและหวานฉ่ำของนาง เมื่อไหร่เขาจะได้สัมผัสรสหวานจาก
ริมฝีปากนี้อีกครั้ง“เย็นนี้ข้าขอเป็นตัวแทนบิดาเลี้ยงต้อนรับท่านหญิงอย่างเป็นทางการ”
“อันที่จริงไม่ต้องก็ได้” นางกล่าวไปตามที่ตนคิด และนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่ตนพูดออกไปอาจทำให้คนฟังเข้าใจผิดว่าเป็นการดูถูกดูแคลนจึงรีบหันไปอธิบาย “ข้าหมายถึงไม่ต้องจัดงานอะไรก็ได้ ความจริงข้าเป็นคนอยู่ง่าย เรื่องงานเลี้ยงไม่ค่อยสนใจเท่าไร”
“ใช่เจ้าค่ะ เมื่อครั้งอยู่ตุนหวง ท่านหญิงก็ไม่ค่อยได้ออกไปสังสรรค์กับผู้อื่น” ปี้เอ๋อร์เอ่ยขึ้น ใครเลยจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว หญิงสาวผู้นี้ซุกซนเพียงใด
“ตั้งแต่ท่านหญิงมาถึงข้ายังมิได้ต้อนรับท่านหญิงสักเท่าไร เอาเป็นว่าแค่อาหารเย็นเล็กน้อย หวังว่าท่านหญิงจะไม่รังเกียจ”
“กล่าวหนักเกินไปแล้ว” นางยิ้มรับแล้วย้ายสายตากลับมาตรงทางเดิน “เช่นนั้นพบกันตอนเย็น”
ซ่งเหว่ยหนานได้ยินนางตัดบทสนทนาเช่นนั้นก็ได้แต่พยักหน้ารับ ครู่หนึ่งหางตาเขาเห็นการเคลื่อนไหวตรงซุ้มประตู เขาจำเงาร่างของซิ่วอิ่ง หญิงรับใช้ที่รับเข้ามาใหม่เพื่อดูแลน้องสาวเมื่อหนึ่งปีก่อนได้ เขาหยุดเดินและจ้องมองหญิงรับใช้ที่ยืนลับๆ ล่อๆ อยู่
“เมื่อครู่ซ่งซีเหมยหายตัวไป ทุกคนออกตามหาแต่ไฉนเจ้ากลับไปมาอยู่ที่นี่”
“ขออภัยเจ้าค่ะ” หญิงสาวแสร้งทำสีหน้าตกใจ หยิบผ้าเช็ดน้ำทำทีเช็ดน้ำตาป้อยๆ “ข้ามัวแต่เคี่ยวยาให้คุณหนูซ่งซีเหมย จึงละเลยดูแลคุณหนู ทำให้คลายสายตามิรู้ว่าออกตามหาคุณหนูกันเจ้าค่ะ”
“อย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก”
“เจ้าค่ะ” ซิ่วอิ่งรับคำแต่แอบส่งสายตาไปยังองครักษ์หนุ่มที่เดินตามหลังซิ่นฮวา ทว่าอีกฝ่ายเห็นกลับหลบตาวูบ เมื่อเงาร่างคนทั้งหมดผ่านไปแล้ว ซิ่วอิ่งจึงเบ้ปากเหยียดยิ้ม
“ข้าอุตส่าห์ชายตามอง ทำเป็นไม่สนใจ ประเดี๋ยวเถิด ถึงเวลาจะมาคุกเข่าอ้อนวอนข้า!”
ซิ่วอิ่งพึมพำกับตนเองแล้วเดินหลับเข้ามาในเรือนของซ่งซีเหมยเป็นจังหวะที่คุณหนูตัวน้อยกับแม่นมเดินกลับมาแล้ว แม่นมซูไม่ค่อยชอบซิ่วอิ่งนัก แต่เพราะนางเป็นหญิงรับใช้ที่ “ผู้มีพระคุณ” ฝากฝังมาให้ดูแล “ซ่งซีเหมย” โดยเฉพาะ ทำให้แม่นมซูไม่กล้าแสดงสีหน้าว่าไม่ชอบนาง “แม่นมซูออกไปเถิด ข้าจะดูแลคุณหนูเองเจ้าค่ะ” “แต่ว่า...” “แม่นม...” ซ่งซีเหมยไม่ชอบอยู่กับซิ่วอิ่งตามลำพังจึงยื่นมือไปเกาะท่อนแขนของแม่นมซูแน่น “ไม่ได้เจ้าค่ะ แม่นมซูลืมคำสั่งของแม่นางเมิ่งหลานเสวี่ยนแล้วหรือเจ้าคะ” แม่นมซูทำอะไรไม่ได้ เมิ่งหลานเสวี่ยนคือผู้มีพระคุณของคุณหนู หนึ่งปีก่อนอาการของซ่งซีเหมยทรุดหนัก ไม่ว่าหมอจากเมืองหลวงหรือที่ใดก็ไม่อาจรักษานางได้ จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏกายพร้อมให้ดื่มยาวิเศษ ทำให้ซ่งซีเหมยแข็งแรงขึ้น ยามนี้เมิ่งหลานเสวี่ยนไม่ได้อยู่ที่นี่ นานๆ จะแวะเวียนมาสักครั้ง จึงให้ซิ่วอิ่งคอยดูแลซ่งซีเหมย แม้คุณหนูจะอาการดีขึ้นแต่นางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่กระนั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าคืออะไร “คุณหนูไปเถิดเจ้าค่ะ” เ
ดนตรีบรรเลงชวนรื่นรมย์ และมีเพียงซ่งเหว่ยหนานและซ่งซีเหมยสองพี่น้อง ไม่มีขุนนางผู้อื่นอยู่ เว้นแต่บรรดาหญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ซิ่นฮวาพึงพอใจที่ไม่เห็นผู้อื่น ไม่มีขุนนางใดมาร่วมงานด้วย ไม่เช่นนั้นนางคงทำตัวไม่ถูก ซ่งซีเหมยเห็นซิ่นฮวาเดินเข้ามาแล้ว ร่างเล็กรีบวิ่งเข้ามาจับมือของหญิงสาวให้เดินมานั่งที่ที่จัดไว้ “ซีเหมยอย่าเสียมารยาท” ซ่งเหว่ยหนานปรามน้องสาว แต่เด็กน้อยกลับหลบหลังหญิงสาว นางเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้ม ดวงตาคู่นั้นวับวาวดุจดาราบนฟากฟ้า ยิ่งการแต่งกายของนางขับเน้นผิวกายขาวผ่องดุจหิมะแรกแห่งเหมันต์ ทำให้เขาเผลอจ้องมองอย่างหลงใหล ซ่งซีเหมยแกล้งกระแอมไอทำให้เขาได้สติและเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งลง “งานต้อนรับเล็กๆ หวังว่าท่านหญิงจะไม่ถือสา” ซ่งเหว่ยหนานเอ่ยขึ้นแล้วหันไปพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้บรรดาคนรับใช้นำอาหารเข้ามา “เป็นเช่นนี้ดีแล้ว” นางยิ้มจากใจจริง มองดูอาหารเลิศรสที่ถูกลำเลียงมาวางตรงหน้า นางหันไปส่งยิ้มให้ซ่งซีเหมย เวลานี้เด็กน้อยร่าเริงสดใสมากไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด หรือเพราะแสงยามเย็นย้อมผิวเด็กหญิงตัวน้อยไ
“ให้ข้าไปส่งน้องซีเหมยด้วยได้หรือไม่” ซิ่นฮวารีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นซ่งเหว่ย-หนานอุ้มน้องสาวก้าวออกไปได้สองสามก้าวแล้ว ซ่งเหว่ยหนานแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้า ซิ่นฮวาหันมาปี้เอ๋อร์และกันอี๋ แม้ไม่พูดอะไรแต่เข้าใจความหมาย สองผู้ติดตามจึงเดินตามอยู่ห่างๆ “ปกติน้องสาวของข้าไม่ค่อยพูดจานัก นอกจากข้ากับแม่นมซูแล้วนางก็ไม่สนิทสนมกับใคร มีท่านหญิงเป็นคนแรกที่นางทำตัวติดท่านหญิงแจเช่นนี้” “ซีเหมยเป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นย่อมรู้สึกเอ็นดู เจ้าโชคดีมากที่มีน้องสาวน่ารักเช่นนี้” พูดไม่ทันจบประโยคดี นางเผลอสะอึกจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงน่าอับอายนั้น ซ่งเหว่ยหนานที่อยู่ใกล้ได้ยินแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “ห้ามหัวเราะข้า! อึก!” “เช่นนั้นท่านหญิงก็ห้ามสะอึกสิ” “ข้าห้ามตัวเองได้ที่ไหนล่ะ! อึก!” ซ่งเหว่ยหนานถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ ทว่าเด็กน้อยที่อุ้มอยู่เงยหน้าขยี้ตามองพี่ชาย ทั้งสามเดินผ่านสระน้ำที่ยามนี้พระจันทร์ดวงกลมโตสะท้อนเงาอยู่บนผิวน้ำราวกับสระน้ำนี้เป็นกระจกบานใหญ่ ซ่งเหว่ยหนานสงสารคนที่สะอึกไม่หยุด เขาอุ้มน้องสาวมาจนถึงห้
ซิ่นฮวารับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่ยังจ้องมองนางอยู่ไกลๆ นางไม่กล้าหันกลับไปเผชิญหน้ากับดวงตาที่จ้องมองราวกับทะลุเข้าไปถึงหัวใจของนาง นางเหมือนจะหายใจไม่ออก ร่างบอบบางซวนเซราวกับดอกไม้ที่ปลิดปลิวในอากาศ “กันอี๋” ปี้เอ๋อร์ร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก แต่องครักษ์หนุ่มรวดเร็วพอที่จะช้อนร่างของหญิงสาวอุ้มขึ้นก่อนที่นางจะร่วงลงไปกองกับพื้น “ขออภัยท่านหญิง” กันอี๋อุ้มนางแล้วก้าวเร็วๆ โดยมีปี้เอ๋อร์แทบจะวิ่งตามกลับมาที่เรือนที่พวกเขาพำนักพักอยู่ องครักษ์หนุ่มมองมือเรียวเล็กที่จับสาบเสื้อของเขาอยู่ ในใจแม้กังวลกับท่าทางอ่อนแออย่างไร้ที่มาที่ไปนี่ แต่กลับนึกถึงภาพในวัยเยาว์ เขาเป็นเพียงบุตรชายของหญิงรับใช้คนสนิทของพระชายาหนิงเหมย มารดาของท่านหญิงซิ่นฮวาที่แสนซุกซนเอาแต่ใจ สิ่งใดที่นางต้องการล้วนแล้วต้องได้ตามใจปรารถนา นั้นร่วมถึงยามที่นางอยากปีนป่ายต้นไม้ เขาก็ต้องยอมเป็นม้าให้นางเหยียบแผ่นหลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แท้จริงแล้ว นางมิใช่คนที่ชอบชี้นิ้วบงการผู้อื่นแต่หลายครั้งที่นางลองทำสิ่งที่ต้องการแล้วไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง นางจึงได้ร้องขอแกมขู่บังคับ ท่านอ๋องเ
“ข้าไม่ได้เรียกท่าน” นางกลั้นเสียงสะอื้น นางไม่รู้ตัวว่าเรียกขานนามของเขาเมื่อใดกัน เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้นางหงุดหงิด ยอมเงยหน้าขึ้นจากหมอนเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนเส้นผมสีเงินยวงของเขาลงคลอเคลียใบหน้าของนาง “เหตุใดดวงตาของเจ้ามีน้ำตาเอ่อคลอเช่นนี้” เขาถามพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำใสที่คลอดวงตาคู่งาม หญิงสาวอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงแล้วเปลี่ยนใจ ปกตินางคิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น แต่ครั้งนี้นางกลับไม่กล้าพูด ทุกถ้อยคำที่เคยตำหนิเขาอยู่ในใจพลันหายไปหมดสิ้น ฮวงหลงได้กลิ่นสุราปะปนในลมหายใจของหญิงสาว เขาคลี่ยิ้มเอ็นดูช้อนมือประคองศีรษะให้หญิงสาวให้นอนในท่าที่สบาย เกรงว่านางจะหลับไปทั้งที่เอาหน้าซุกหมอน ไยเขาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเช่นนี้ แต่ก่อนเขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เดี๋ยวนี้เขากลับเป็นห่วงกังวลว่านางจะเป็นอะไร เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาของนางเขาก็รีบมาปรากฏตัวในทันที บุรุษหนุ่มมองมือเรียวเล็กที่ยื่นมาใช้ปลายนิ้วพันเกี่ยวเส้นผมสีเงินของเขาไว้ นางมักทำเช่นนี้เสมอตั้งแต่นางยังเป็นเด็กน้อยจนเวลานี้นางเติบโตเป็นหญิงสาวที่ครอบ
มนุษย์เห็นแก่ตัวเช่นไร เขาก็...ไม่ต่างกัน ทว่า... เพียงแค่เขาได้กลิ่นบุรุษอื่นบนกายนาง เขายังแทบคุมโทสะมิได้ หัวใจเจ็บร้าวเจียดคลุ้มคลั่ง หากไม่เห็นน้ำตาของนาง บางทีเขาอาจทำให้แผ่นดินขยับเคลื่อนไหวแล้วก็เป็นได้ หรือบางที...เป็นเขาเองที่ไม่อาจยอมรับความรู้สึกในใจของตนก็เป็นได้ “นายท่าน” ฮวงหลงตื่นจากภวังค์ ย้ายสายตาจากหน้าต่างห้องนอนของหญิงสาวมายังวิหคสวรรค์ที่กระพือปีกอยู่ใกล้ๆ “ใกล้รุ่งสางแล้ว ท่านควรกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดขอรับ” ส่านเตี้ยนเอ่ยด้วยความเป็นกังวล การเรียกลมเรียกฝนนั้นแม้ใช้พลังไม่มาก หากแต่ระยะนี้นายท่านของเขาร่างกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที และเมืองที่แล้งมายาวนานสามปี ต้องใช้ฝนมากเพียงใดจึงจะเรียกความชุ่มชื้นกลับมาอีกครา “เจ้ากลับไปก่อนเถิด” “แล้วนายท่านจะไปที่ใดขอรับ” “ข้าจะไปเยี่ยมจวิ้นอี๋เสียหน่อย” “เวลานี้หรือขอรับ” “ฮืม” ตอบพลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สายลมพัดผ่านดุจหยอกล้อเส้นผมสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์ เขาประหลาดใจนัก เขาตามหาตัวมังก
“ท่านหมอไม่มีวิธีอื่นใดช่วยคุณชายของข้าได้แล้วหรือ?” “คุณชายเยี่ยนไม่ไหวแล้วจริงๆ” คนเป็นหมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าว่าท่านพ่อบ้านรีบเขียนจดหมายแจ้งนายใหญ่เถิด บางทีหากเร่งเดินทางอาจกลับมาทันดูใจคุณชายเยี่ยน” “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะรีบเขียนจดหมายส่งข่าวถึงนายท่านใหญ่” ส่านเตี้ยนมองดูทั้งสองที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วเดินจากไป เขาจึงก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ แม้รู้ดีว่าเยี่ยนหรงเหยาจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน แต่ทว่า...เขาอดใจหายไม่ได้ วิหคสวรรค์ในร่างของเด็กชายวัยสิบสี่เดินย้อนกลับเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้บรรดาคนรับใช้จัดโต๊ะให้เขาทั้งสองได้กินอาหารเช้าแล้ว เยี่ยนหรงเหยาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้พยุงเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อย รูปร่างผอมบางในชุดสีขาวนั้นกลับทำให้เขาดูสุภาพเหมือนบัณฑิตหนุ่ม “มีอะไรรึ” “ไม่มีอะไร” ส่านเตี้ยนฝืนยิ้มให้ นึกถึงถ้อยคำของมหาเทพมังกรสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีชะตากรรมของตนเอง ลิขิตสวรรค์เปลี่ยนแปลงมิได
“เกิดอะไรขึ้น” ปี้เอ๋อร์พึมพำอย่างตื่นตระหนกไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องเช่นนี้ เหตุใดผู้คนจึงดูบ้าคลั่งกันขึ้นมา “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ซ่งเหว่ยหนานเองก็รู้สึกได้ว่าชาวเมืองเปลี่ยนไป แต่กระนั้นซิ่นฮวาก็ยังไม่หยุดบรรเลงกู่เจิง เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปตุนหวง นางเล่นกู่เจิงไปเพียงครึ่งก้านธูปฟ้าก็หลั่งฝนลงมาแล้ว เหตุใดนานถึงเพียงนี้ยังไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่หยดเดียว “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ผู้คนตะโกนด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ถูกปาขึ้นไปบนปะรำพิธี! และตามด้วยสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือ ชาวบ้านต่างปาก้อนหิน ดิน หรือแม้แต่รองเท้าขาดๆ ใส่ซิ่นฮวาที่ยังไม่ยอมหลุดบรรเลงกู่เจิง “กันอี๋!” ปี้เอ๋อร์ร้องสั่ง เห็นท่าไม่ดีแล้วต้องรีบพาท่านหญิงลงมา นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร องครักษ์หนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไป ทว่าเขายังช้ากว่าบุรุษอีกคนที่กระโจนขึ้นไปก่อนแล้
“เกิดอะไรขึ้น” ปี้เอ๋อร์พึมพำอย่างตื่นตระหนกไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องเช่นนี้ เหตุใดผู้คนจึงดูบ้าคลั่งกันขึ้นมา “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ซ่งเหว่ยหนานเองก็รู้สึกได้ว่าชาวเมืองเปลี่ยนไป แต่กระนั้นซิ่นฮวาก็ยังไม่หยุดบรรเลงกู่เจิง เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปตุนหวง นางเล่นกู่เจิงไปเพียงครึ่งก้านธูปฟ้าก็หลั่งฝนลงมาแล้ว เหตุใดนานถึงเพียงนี้ยังไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่หยดเดียว “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ผู้คนตะโกนด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ถูกปาขึ้นไปบนปะรำพิธี! และตามด้วยสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือ ชาวบ้านต่างปาก้อนหิน ดิน หรือแม้แต่รองเท้าขาดๆ ใส่ซิ่นฮวาที่ยังไม่ยอมหลุดบรรเลงกู่เจิง “กันอี๋!” ปี้เอ๋อร์ร้องสั่ง เห็นท่าไม่ดีแล้วต้องรีบพาท่านหญิงลงมา นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร องครักษ์หนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไป ทว่าเขายังช้ากว่าบุรุษอีกคนที่กระโจนขึ้นไปก่อนแล้
“ท่านหมอไม่มีวิธีอื่นใดช่วยคุณชายของข้าได้แล้วหรือ?” “คุณชายเยี่ยนไม่ไหวแล้วจริงๆ” คนเป็นหมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าว่าท่านพ่อบ้านรีบเขียนจดหมายแจ้งนายใหญ่เถิด บางทีหากเร่งเดินทางอาจกลับมาทันดูใจคุณชายเยี่ยน” “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะรีบเขียนจดหมายส่งข่าวถึงนายท่านใหญ่” ส่านเตี้ยนมองดูทั้งสองที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วเดินจากไป เขาจึงก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ แม้รู้ดีว่าเยี่ยนหรงเหยาจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน แต่ทว่า...เขาอดใจหายไม่ได้ วิหคสวรรค์ในร่างของเด็กชายวัยสิบสี่เดินย้อนกลับเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้บรรดาคนรับใช้จัดโต๊ะให้เขาทั้งสองได้กินอาหารเช้าแล้ว เยี่ยนหรงเหยาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้พยุงเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อย รูปร่างผอมบางในชุดสีขาวนั้นกลับทำให้เขาดูสุภาพเหมือนบัณฑิตหนุ่ม “มีอะไรรึ” “ไม่มีอะไร” ส่านเตี้ยนฝืนยิ้มให้ นึกถึงถ้อยคำของมหาเทพมังกรสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีชะตากรรมของตนเอง ลิขิตสวรรค์เปลี่ยนแปลงมิได
มนุษย์เห็นแก่ตัวเช่นไร เขาก็...ไม่ต่างกัน ทว่า... เพียงแค่เขาได้กลิ่นบุรุษอื่นบนกายนาง เขายังแทบคุมโทสะมิได้ หัวใจเจ็บร้าวเจียดคลุ้มคลั่ง หากไม่เห็นน้ำตาของนาง บางทีเขาอาจทำให้แผ่นดินขยับเคลื่อนไหวแล้วก็เป็นได้ หรือบางที...เป็นเขาเองที่ไม่อาจยอมรับความรู้สึกในใจของตนก็เป็นได้ “นายท่าน” ฮวงหลงตื่นจากภวังค์ ย้ายสายตาจากหน้าต่างห้องนอนของหญิงสาวมายังวิหคสวรรค์ที่กระพือปีกอยู่ใกล้ๆ “ใกล้รุ่งสางแล้ว ท่านควรกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดขอรับ” ส่านเตี้ยนเอ่ยด้วยความเป็นกังวล การเรียกลมเรียกฝนนั้นแม้ใช้พลังไม่มาก หากแต่ระยะนี้นายท่านของเขาร่างกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที และเมืองที่แล้งมายาวนานสามปี ต้องใช้ฝนมากเพียงใดจึงจะเรียกความชุ่มชื้นกลับมาอีกครา “เจ้ากลับไปก่อนเถิด” “แล้วนายท่านจะไปที่ใดขอรับ” “ข้าจะไปเยี่ยมจวิ้นอี๋เสียหน่อย” “เวลานี้หรือขอรับ” “ฮืม” ตอบพลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สายลมพัดผ่านดุจหยอกล้อเส้นผมสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์ เขาประหลาดใจนัก เขาตามหาตัวมังก
“ข้าไม่ได้เรียกท่าน” นางกลั้นเสียงสะอื้น นางไม่รู้ตัวว่าเรียกขานนามของเขาเมื่อใดกัน เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้นางหงุดหงิด ยอมเงยหน้าขึ้นจากหมอนเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนเส้นผมสีเงินยวงของเขาลงคลอเคลียใบหน้าของนาง “เหตุใดดวงตาของเจ้ามีน้ำตาเอ่อคลอเช่นนี้” เขาถามพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำใสที่คลอดวงตาคู่งาม หญิงสาวอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงแล้วเปลี่ยนใจ ปกตินางคิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น แต่ครั้งนี้นางกลับไม่กล้าพูด ทุกถ้อยคำที่เคยตำหนิเขาอยู่ในใจพลันหายไปหมดสิ้น ฮวงหลงได้กลิ่นสุราปะปนในลมหายใจของหญิงสาว เขาคลี่ยิ้มเอ็นดูช้อนมือประคองศีรษะให้หญิงสาวให้นอนในท่าที่สบาย เกรงว่านางจะหลับไปทั้งที่เอาหน้าซุกหมอน ไยเขาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเช่นนี้ แต่ก่อนเขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เดี๋ยวนี้เขากลับเป็นห่วงกังวลว่านางจะเป็นอะไร เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาของนางเขาก็รีบมาปรากฏตัวในทันที บุรุษหนุ่มมองมือเรียวเล็กที่ยื่นมาใช้ปลายนิ้วพันเกี่ยวเส้นผมสีเงินของเขาไว้ นางมักทำเช่นนี้เสมอตั้งแต่นางยังเป็นเด็กน้อยจนเวลานี้นางเติบโตเป็นหญิงสาวที่ครอบ
ซิ่นฮวารับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่ยังจ้องมองนางอยู่ไกลๆ นางไม่กล้าหันกลับไปเผชิญหน้ากับดวงตาที่จ้องมองราวกับทะลุเข้าไปถึงหัวใจของนาง นางเหมือนจะหายใจไม่ออก ร่างบอบบางซวนเซราวกับดอกไม้ที่ปลิดปลิวในอากาศ “กันอี๋” ปี้เอ๋อร์ร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก แต่องครักษ์หนุ่มรวดเร็วพอที่จะช้อนร่างของหญิงสาวอุ้มขึ้นก่อนที่นางจะร่วงลงไปกองกับพื้น “ขออภัยท่านหญิง” กันอี๋อุ้มนางแล้วก้าวเร็วๆ โดยมีปี้เอ๋อร์แทบจะวิ่งตามกลับมาที่เรือนที่พวกเขาพำนักพักอยู่ องครักษ์หนุ่มมองมือเรียวเล็กที่จับสาบเสื้อของเขาอยู่ ในใจแม้กังวลกับท่าทางอ่อนแออย่างไร้ที่มาที่ไปนี่ แต่กลับนึกถึงภาพในวัยเยาว์ เขาเป็นเพียงบุตรชายของหญิงรับใช้คนสนิทของพระชายาหนิงเหมย มารดาของท่านหญิงซิ่นฮวาที่แสนซุกซนเอาแต่ใจ สิ่งใดที่นางต้องการล้วนแล้วต้องได้ตามใจปรารถนา นั้นร่วมถึงยามที่นางอยากปีนป่ายต้นไม้ เขาก็ต้องยอมเป็นม้าให้นางเหยียบแผ่นหลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แท้จริงแล้ว นางมิใช่คนที่ชอบชี้นิ้วบงการผู้อื่นแต่หลายครั้งที่นางลองทำสิ่งที่ต้องการแล้วไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง นางจึงได้ร้องขอแกมขู่บังคับ ท่านอ๋องเ
“ให้ข้าไปส่งน้องซีเหมยด้วยได้หรือไม่” ซิ่นฮวารีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นซ่งเหว่ย-หนานอุ้มน้องสาวก้าวออกไปได้สองสามก้าวแล้ว ซ่งเหว่ยหนานแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้า ซิ่นฮวาหันมาปี้เอ๋อร์และกันอี๋ แม้ไม่พูดอะไรแต่เข้าใจความหมาย สองผู้ติดตามจึงเดินตามอยู่ห่างๆ “ปกติน้องสาวของข้าไม่ค่อยพูดจานัก นอกจากข้ากับแม่นมซูแล้วนางก็ไม่สนิทสนมกับใคร มีท่านหญิงเป็นคนแรกที่นางทำตัวติดท่านหญิงแจเช่นนี้” “ซีเหมยเป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นย่อมรู้สึกเอ็นดู เจ้าโชคดีมากที่มีน้องสาวน่ารักเช่นนี้” พูดไม่ทันจบประโยคดี นางเผลอสะอึกจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงน่าอับอายนั้น ซ่งเหว่ยหนานที่อยู่ใกล้ได้ยินแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “ห้ามหัวเราะข้า! อึก!” “เช่นนั้นท่านหญิงก็ห้ามสะอึกสิ” “ข้าห้ามตัวเองได้ที่ไหนล่ะ! อึก!” ซ่งเหว่ยหนานถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ ทว่าเด็กน้อยที่อุ้มอยู่เงยหน้าขยี้ตามองพี่ชาย ทั้งสามเดินผ่านสระน้ำที่ยามนี้พระจันทร์ดวงกลมโตสะท้อนเงาอยู่บนผิวน้ำราวกับสระน้ำนี้เป็นกระจกบานใหญ่ ซ่งเหว่ยหนานสงสารคนที่สะอึกไม่หยุด เขาอุ้มน้องสาวมาจนถึงห้
ดนตรีบรรเลงชวนรื่นรมย์ และมีเพียงซ่งเหว่ยหนานและซ่งซีเหมยสองพี่น้อง ไม่มีขุนนางผู้อื่นอยู่ เว้นแต่บรรดาหญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ซิ่นฮวาพึงพอใจที่ไม่เห็นผู้อื่น ไม่มีขุนนางใดมาร่วมงานด้วย ไม่เช่นนั้นนางคงทำตัวไม่ถูก ซ่งซีเหมยเห็นซิ่นฮวาเดินเข้ามาแล้ว ร่างเล็กรีบวิ่งเข้ามาจับมือของหญิงสาวให้เดินมานั่งที่ที่จัดไว้ “ซีเหมยอย่าเสียมารยาท” ซ่งเหว่ยหนานปรามน้องสาว แต่เด็กน้อยกลับหลบหลังหญิงสาว นางเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้ม ดวงตาคู่นั้นวับวาวดุจดาราบนฟากฟ้า ยิ่งการแต่งกายของนางขับเน้นผิวกายขาวผ่องดุจหิมะแรกแห่งเหมันต์ ทำให้เขาเผลอจ้องมองอย่างหลงใหล ซ่งซีเหมยแกล้งกระแอมไอทำให้เขาได้สติและเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งลง “งานต้อนรับเล็กๆ หวังว่าท่านหญิงจะไม่ถือสา” ซ่งเหว่ยหนานเอ่ยขึ้นแล้วหันไปพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้บรรดาคนรับใช้นำอาหารเข้ามา “เป็นเช่นนี้ดีแล้ว” นางยิ้มจากใจจริง มองดูอาหารเลิศรสที่ถูกลำเลียงมาวางตรงหน้า นางหันไปส่งยิ้มให้ซ่งซีเหมย เวลานี้เด็กน้อยร่าเริงสดใสมากไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด หรือเพราะแสงยามเย็นย้อมผิวเด็กหญิงตัวน้อยไ
ซิ่วอิ่งพึมพำกับตนเองแล้วเดินหลับเข้ามาในเรือนของซ่งซีเหมยเป็นจังหวะที่คุณหนูตัวน้อยกับแม่นมเดินกลับมาแล้ว แม่นมซูไม่ค่อยชอบซิ่วอิ่งนัก แต่เพราะนางเป็นหญิงรับใช้ที่ “ผู้มีพระคุณ” ฝากฝังมาให้ดูแล “ซ่งซีเหมย” โดยเฉพาะ ทำให้แม่นมซูไม่กล้าแสดงสีหน้าว่าไม่ชอบนาง “แม่นมซูออกไปเถิด ข้าจะดูแลคุณหนูเองเจ้าค่ะ” “แต่ว่า...” “แม่นม...” ซ่งซีเหมยไม่ชอบอยู่กับซิ่วอิ่งตามลำพังจึงยื่นมือไปเกาะท่อนแขนของแม่นมซูแน่น “ไม่ได้เจ้าค่ะ แม่นมซูลืมคำสั่งของแม่นางเมิ่งหลานเสวี่ยนแล้วหรือเจ้าคะ” แม่นมซูทำอะไรไม่ได้ เมิ่งหลานเสวี่ยนคือผู้มีพระคุณของคุณหนู หนึ่งปีก่อนอาการของซ่งซีเหมยทรุดหนัก ไม่ว่าหมอจากเมืองหลวงหรือที่ใดก็ไม่อาจรักษานางได้ จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏกายพร้อมให้ดื่มยาวิเศษ ทำให้ซ่งซีเหมยแข็งแรงขึ้น ยามนี้เมิ่งหลานเสวี่ยนไม่ได้อยู่ที่นี่ นานๆ จะแวะเวียนมาสักครั้ง จึงให้ซิ่วอิ่งคอยดูแลซ่งซีเหมย แม้คุณหนูจะอาการดีขึ้นแต่นางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่กระนั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าคืออะไร “คุณหนูไปเถิดเจ้าค่ะ” เ
“เช่นนั้น น้องเหมยเอ๋อร์พาพี่สาวเดินเล่นสักครู่ดีหรือไม่” ซ่งซีเหมยได้ยินซิ่นฮวาเรียกนางอย่างสนิทสนม ซ้ำยังแทนตัวเองว่าพี่สาว เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับแล้วเป็นฝ่ายจูงมือซิ่นฮวาให้เดินไปที่ศาลากลางน้ำ แสงแดดกระทบผิวน้ำระยิบระยับ สายลมพัดผ่านแผ่วเบาขับไล่ไอร้อนออกไปได้มาก หญิงสาวต่างวัยสองคนจูงมือมานั่งที่เก้าอี้ ซ่งซีเหมยส่งยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก แก้มทั้งสองกลายเป็นก้อนกลมๆ น่าเอ็นดูยิ่งนัก “ข้าชอบที่นี่มาก เมื่อก่อนพี่ชายพาข้ามานั่งเล่นบ่อยๆ พี่เหว่ยหนานบรรเลงเพลงขลุ่ยได้ไพเราะยิ่งนัก” “อย่างนั้นรึ” ซิ่นฮวาทำหน้าประหลาดใจ คนผู้นั้นมีเวลาสนใจเรื่องดนตรีด้วยหรือ? แต่...ไม่เกี่ยวกับนางสักนิดจะไปใส่ใจทำไมกัน ซ่งซีเหมยรีบพูดต่อ “เพราะบิดาไม่ค่อยสบาย พี่ชายข้าจึงต้องรับภาระหน้าที่ดูแลราษฎรแคว้นหาน ป่านนี้แล้วพี่ชายข้ายังไม่ภรรยาหรือแม้กระทั่งสตรีอุ่นเตียงก็ไม่มีนะ” คราวนี้เป็นซิ่นฮวาที่ไม่รู้ควรทำหน้าอย่างไร คงมิใช่ว่าน้องสาวกำลังออกโรงเป็นแม่สื่อตัวน้อยเสียเอง นางย้ายสายตาไปทางปี้เอ๋อร์ที่ยืนกลั้นยิ้มอยู่ใกล้ๆ ส่วนกันอี๋แสร้งทำเป็นไ