“ข้าไม่ได้เรียกท่าน” นางกลั้นเสียงสะอื้น นางไม่รู้ตัวว่าเรียกขานนามของเขาเมื่อใดกัน เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้นางหงุดหงิด ยอมเงยหน้าขึ้นจากหมอนเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนเส้นผมสีเงินยวงของเขาลงคลอเคลียใบหน้าของนาง
“เหตุใดดวงตาของเจ้ามีน้ำตาเอ่อคลอเช่นนี้” เขาถามพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำใสที่คลอดวงตาคู่งาม
หญิงสาวอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงแล้วเปลี่ยนใจ ปกตินางคิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น แต่ครั้งนี้นางกลับไม่กล้าพูด ทุกถ้อยคำที่เคยตำหนิเขาอยู่ในใจพลันหายไปหมดสิ้น ฮวงหลงได้กลิ่นสุราปะปนในลมหายใจของหญิงสาว เขาคลี่ยิ้มเอ็นดูช้อนมือประคองศีรษะให้หญิงสาวให้นอนในท่าที่สบาย เกรงว่านางจะหลับไปทั้งที่เอาหน้าซุกหมอน ไยเขาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเช่นนี้ แต่ก่อนเขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เดี๋ยวนี้เขากลับเป็นห่วงกังวลว่านางจะเป็นอะไร เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาของนางเขาก็รีบมาปรากฏตัวในทันที
บุรุษหนุ่มมองมือเรียวเล็กที่ยื่นมาใช้ปลายนิ้วพันเกี่ยวเส้นผมสีเงินของเขาไว้ นางมักทำเช่นนี้เสมอตั้งแต่นางยังเป็นเด็กน้อยจนเวลานี้นางเติบโตเป็นหญิงสาวที่ครอบครองความงดงามไว้เต็มเปี่ยม
“ซิ่นฮวา”
“เหตุใด?” นางเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาราวคนละเมอ “เหตุใดข้าจึงมองเห็นท่าน...เหตุใดข้ารู้สึกผันผูกกับท่านมาช้านาน เหตุใดสายตาของข้าจึงเฝ้ามองหาเพียงท่าน เหตุใดท่านไม่รักข้าเช่นที่ข้ารักท่าน”
ถ้อยคำของนางราวกับแส้ที่มองไม่เห็นโบยตีหัวใจของเขาจนปวดร้าวไปหมด ร่างบอบบางกระเถิบกายเข้าหาเขาอย่างไม่รู้ตัว เกยก่ายใบหน้าหนุนแผงอกของเขาต่างหมอน นางซุกหน้าลงกับอกอุ่นของเขา เสียงหัวใจที่แสนคุ้นเคย หยดน้ำจากดวงตาแทรกซึมเนื้อผ้าส่งผ่านความปวดร้าวสู่หัวใจของบุรุษหนุ่มผู้เป็นถึงเทพมังกรดิน
“เจ้าย่อมรู้มนุษย์กับเทพ มิอาจใช้ชีวิตครองคู่กันได้” เขาพึมพำกับเรือนผมของนาง ในความปวดร้าวที่เกิดขึ้นในอกกลับมีความรุ่มร้อนไม่พอใจที่ได้กลิ่นอายบุรุษอื่นบนตัวนาง
“ข้าไม่รู้พันปียาวนานเพียงใด ข้าปรารถนาเพียงหนึ่งชาติภพได้ครองคู่กับท่าน” นางเอ่ยแล้วช้อนตามองใบหน้าที่เฝ้ามองตั้งแต่จำความได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวตนของบุรุษผู้นี้ตราตรึงในความทรงจำของนาง ใบหน้าของเขาโน้มต่ำลงมาใกล้ นางได้สติรีบยกมือข้างหนึ่งปิดปากของเขาไว้ก่อน
“อย่านะ! อย่าทำให้ข้าหลับ!” นางห้ามเขา ทุกครั้งที่นางสารภาพความในใจกับเขา เขามักร่ายมนตร์ให้นางหลับเสมอ
มือนุ่มที่ปิดริมฝีปากอยู่นั้นทำให้บุรุษหนุ่มได้สติ ดวงตาของเขาจ้องมองนางและไม่เอ่ยสิ่งใดจนหญิงสาวเป็นฝ่ายหลบตาและซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขาตามเดิม มือน้อยเลื่อนลงจนค่อยๆ ร่วงลงไปข้างตัวพร้อมกับดวงตาของนางที่ปิดสนิทเข้าสู่นิทรารมย์
เมื่อครู่เขาไม่ได้มีความคิดจะร่ายมนตร์ให้นางหลับ เขาอยากสัมผัสริมฝีปากของนางด้วยริมฝีปากของเขา ปรารถนาจะดื่มด่ำรสหวานจากริมฝีปากช่างตัดพ้อนี่เสียเหลือเกิน
“ข้าไม่รู้พันปียาวนานเพียงใด ข้าปรารถนาเพียงหนึ่งชาติภพได้ครองคู่กับท่าน”
มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าหญิงสาว มือน้อยของนางยังพันเกี่ยวเส้นผมของเขาไว้
นางคงไม่รู้ เพียงหนึ่งชาติภพเดียวที่นางปรารถนา กับพันปีที่เหลือของเขาโดยไร้นางนั้นจะเจ็บปวดเพียงใด เหตุที่เขาปิดหัวใจมิให้รักใคร เพราะรู้ตัวเองดีว่าไม่อาจมีชีวิตที่เหลือโดยปราศจากคนที่ตนรักได้เลย
เงาร่างของบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงยืนอยู่เหนือยอดสน จันทราดวงกลมโตคล้อยเคลื่อนลงต่ำ ใกล้แล้วที่ดวงตะวันจะโผล่จากโค้งฟ้าเพื่อทำหน้าที่ของตนเอง
กลิ่นอายของหญิงสาวยังคงวนเวียนอยู่ในลมหายใจของเขา ทำให้เทพมังกรดินทอดถอนใจอย่างอับจนหนทาง เป็นนางที่คอยส่งเสียงเพรียกหาเขาอยู่เสมอ ไม่ว่ายามใดเขาจะรู้สึกเสมอว่าสายตาของนางมีเพียงเขา ช่วงระยะเวลาอายุของนางนั้น เขาหงุดหงิดรำคาญใจที่ตนกลายเป็น ‘พี่เลี้ยงเด็ก’ อย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เล็กแต่น้อยเขาเป็นฝ่ายตัดรำคาญการซักถามของนางด้วยการกลายร่างเป็นมังกรแล้วยอมให้นางขึ้นขี่หลัง พานางไปในที่ที่นางต้องการเห็น อยู่เป็นเพื่อนนาง แม้เขาไม่ใช่คนช่างเจรจาและไม่ค่อยขยับปากเอ่ยโต้ตอบกับนาง แต่นางไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางไม่พอใจ ยังคงแย้มยิ้มและหัวเราะให้ สายตาของนางคือความคุ้นเคยยาวนานจนเขามิอาจหยั่งรู้ได้ว่านานเพียงใด ในเสี้ยวหนึ่งของความคิดคำนึงเขารู้สึกว่าตนเองเคยพบนางมาก่อน ก่อนหน้าที่จะพบว่านหนิงเหมย-มารดาของซิ่นฮวา การมีนางอยู่จึงเป็นความคุ้นเคยที่แทรกซึมในหัวใจอย่างไม่รู้ตัว
เสียงถอนหายใจดังขึ้นแผ่วเบาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบในอก
ฮวงหลงต้องยกมือขึ้นกดหน้าอกบริเวณหัวใจตนเอง ทุกครั้งเมื่อเขาเห็นใบหน้าอ่อนหวานหลับใหลไปแล้วจะกลับในทันที แต่ครั้งนี้เขากลับอ้อยอิ่งประคองกอดนางไว้ รอจนน้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้วจึงตัดใจยอมผละจากร่างอุ่นออกมาได้นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเห็นน้ำตาของนาง
แม้หญิงสาวจะเติบโตท่ามกลางความรักจากบิดามารดาและคนรอบข้าง แต่ชีวิตนางก็ใช่ว่าจะไม่เคยพานพบความทุกข์หรือเจ็บปวด ทว่าเขาไม่เคยเห็นสิ่งใดทำให้นางเศร้าโศกจนหลั่งน้ำตา เขาคือเหตุผลที่ทำให้ดวงตางดงามของนางเปียกชื้น ครั้งแรกที่นางร้องไห้นั้นเพราะเขาไม่ตอบรับการขอแต่งงานของนาง เขาคิดเสมอว่านางยังเด็กเล็กนักมิรู้จักใคร่ครวญหัวใจตนเองให้ดี ทว่าครั้งนี้นางไม่ได้ร่ำร้องออกมาแต่น้ำตาของนางรื้นไหลออกมาอย่างเงียบๆ กลิ่นสุราปะปนในลมหายใจอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นางเปิดเผยความรู้สึกภายในใจ
นางรักเขา เขาย่อมรู้ ใช่ว่าเขาไม่เคยรักมนุษย์เสียที่ไหน แต่ความรักในครั้งนั้นเกือบทำให้เขาสูญเสียการควบคุมทำสิ่งผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไขได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาไม่อยากทำผิดพลาดอีก จะว่าไปก็เหมือนตนเองนั้นเห็นแก่ตัว แม้เพียงชาติภพเดียวที่นางร้องขอ แค่ช่วงชีวิตอายุขัยของนาง แต่ชีวิตของเขาเล่า เมื่อนางดับสูญในชาตินี้แล้ว เพียงแค่เวลาสิบเจ็ดปีที่เขารู้จักนาง เขายังปวดใจที่เห็นน้ำตาของนาง หากได้ใช้ชีวิตร่วมกับนางจนนางหมดสิ้นอายุขัย ความผูกพันนั้นจะเป็นยิ่งกว่าใยแมงมุม บางเบาแทบมองไม่เห็นแต่เหนียวแน่นจนสะบั้นมิขาด เมื่อนางจากเขาไปแล้ว เขา...จะอยู่อย่างไร
มนุษย์เห็นแก่ตัวเช่นไร เขาก็...ไม่ต่างกัน ทว่า... เพียงแค่เขาได้กลิ่นบุรุษอื่นบนกายนาง เขายังแทบคุมโทสะมิได้ หัวใจเจ็บร้าวเจียดคลุ้มคลั่ง หากไม่เห็นน้ำตาของนาง บางทีเขาอาจทำให้แผ่นดินขยับเคลื่อนไหวแล้วก็เป็นได้ หรือบางที...เป็นเขาเองที่ไม่อาจยอมรับความรู้สึกในใจของตนก็เป็นได้ “นายท่าน” ฮวงหลงตื่นจากภวังค์ ย้ายสายตาจากหน้าต่างห้องนอนของหญิงสาวมายังวิหคสวรรค์ที่กระพือปีกอยู่ใกล้ๆ “ใกล้รุ่งสางแล้ว ท่านควรกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดขอรับ” ส่านเตี้ยนเอ่ยด้วยความเป็นกังวล การเรียกลมเรียกฝนนั้นแม้ใช้พลังไม่มาก หากแต่ระยะนี้นายท่านของเขาร่างกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที และเมืองที่แล้งมายาวนานสามปี ต้องใช้ฝนมากเพียงใดจึงจะเรียกความชุ่มชื้นกลับมาอีกครา “เจ้ากลับไปก่อนเถิด” “แล้วนายท่านจะไปที่ใดขอรับ” “ข้าจะไปเยี่ยมจวิ้นอี๋เสียหน่อย” “เวลานี้หรือขอรับ” “ฮืม” ตอบพลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สายลมพัดผ่านดุจหยอกล้อเส้นผมสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์ เขาประหลาดใจนัก เขาตามหาตัวมังก
“ท่านหมอไม่มีวิธีอื่นใดช่วยคุณชายของข้าได้แล้วหรือ?” “คุณชายเยี่ยนไม่ไหวแล้วจริงๆ” คนเป็นหมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าว่าท่านพ่อบ้านรีบเขียนจดหมายแจ้งนายใหญ่เถิด บางทีหากเร่งเดินทางอาจกลับมาทันดูใจคุณชายเยี่ยน” “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะรีบเขียนจดหมายส่งข่าวถึงนายท่านใหญ่” ส่านเตี้ยนมองดูทั้งสองที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วเดินจากไป เขาจึงก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ แม้รู้ดีว่าเยี่ยนหรงเหยาจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน แต่ทว่า...เขาอดใจหายไม่ได้ วิหคสวรรค์ในร่างของเด็กชายวัยสิบสี่เดินย้อนกลับเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้บรรดาคนรับใช้จัดโต๊ะให้เขาทั้งสองได้กินอาหารเช้าแล้ว เยี่ยนหรงเหยาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้พยุงเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อย รูปร่างผอมบางในชุดสีขาวนั้นกลับทำให้เขาดูสุภาพเหมือนบัณฑิตหนุ่ม “มีอะไรรึ” “ไม่มีอะไร” ส่านเตี้ยนฝืนยิ้มให้ นึกถึงถ้อยคำของมหาเทพมังกรสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีชะตากรรมของตนเอง ลิขิตสวรรค์เปลี่ยนแปลงมิได
“เกิดอะไรขึ้น” ปี้เอ๋อร์พึมพำอย่างตื่นตระหนกไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องเช่นนี้ เหตุใดผู้คนจึงดูบ้าคลั่งกันขึ้นมา “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ซ่งเหว่ยหนานเองก็รู้สึกได้ว่าชาวเมืองเปลี่ยนไป แต่กระนั้นซิ่นฮวาก็ยังไม่หยุดบรรเลงกู่เจิง เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปตุนหวง นางเล่นกู่เจิงไปเพียงครึ่งก้านธูปฟ้าก็หลั่งฝนลงมาแล้ว เหตุใดนานถึงเพียงนี้ยังไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่หยดเดียว “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ผู้คนตะโกนด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ถูกปาขึ้นไปบนปะรำพิธี! และตามด้วยสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือ ชาวบ้านต่างปาก้อนหิน ดิน หรือแม้แต่รองเท้าขาดๆ ใส่ซิ่นฮวาที่ยังไม่ยอมหลุดบรรเลงกู่เจิง “กันอี๋!” ปี้เอ๋อร์ร้องสั่ง เห็นท่าไม่ดีแล้วต้องรีบพาท่านหญิงลงมา นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร องครักษ์หนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไป ทว่าเขายังช้ากว่าบุรุษอีกคนที่กระโจนขึ้นไปก่อนแล้
สงคราม ‘ทรายย้อมโลหิต’ องค์รัชายาทเกือบสิ้นชีพในสงครามครั้งนั้น ทว่าเพื่อให้ทหารที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวได้กลับบ้าน จึงบังอาจเรียกปีศาจมังกรเพลิงมาเพื่อใช้ทำสัญญาแลกเปลี่ยน ‘บางสิ่ง’ เปลี่ยนให้กลายเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ แม้ชนะศึกสงครามแต่ถูกปลดจากตำแหน่งรัชทายาท หากแต่สวรรค์มิได้ทอดทิ้ง ส่งคู่ชีวิตมาให้หัวใจที่เยียบเย็นได้กลับสู่ความเป็นมนุษย์อีกครั้ง เพื่อปกป้องนางในดวงใจ ทำให้อ๋องเฟยเทียนขัดราชโองการ กว่าจะเดินทางจากตุนหวงกลับสู่เมืองหลวงกินเวลานานมากกว่าปกติ กระนั้นเมื่อได้พบพระพักตร์องค์ฮ่องเต้อีกครั้ง คราวนี้ได้สลายความไม่เข้าใจระหว่างพ่อลูกที่มีมานานนับสิบปี องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันมีใจกำจัดอ๋องเฟยเทียนเพราะเกรงกำลังทหารในมือและคิดว่าอีกฝ่ายจะตั้งตนเป็นกบฏโดยอาศัยราชโองการขององค์ฮ่องเต้ จึงยืมมือทหารฝ่ายมองโกลกำจัด ทว่าไม่อาจเอาชีวิตชินอ๋องเฟยเทียนได้ กลับกลายเป็นว่าอ๋องเฟยเทียนได้กำจัดปีศาจมังกรเพลิงในตนเองไปสิ้น และยังรู้ตัวผู้บงการแผนร้าย เพียงแต่ไม่คิดยื่นมือเข้าไปวุ่นวาย ปล่อยให้องค์ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยเอง หลังจากกลับจากเมืองหลวงพร้อมข่าวลือแพร่สะบ
หญิงสาวร่างเล็กในชุดของบุรุษเสื้อผ้าเนื้อหยาบวิ่งหน้าตาตื่นมาจากด้านหลังของตำหนักชินอ๋อง ดวงหน้าอ่อนหวานปรากฏเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นราวกับตากฝน และเพราะนางมุดรอดรอยแยกของกำแพงด้านหลัง ทำให้เส้นผมที่เกล้ามวยเยี่ยงบุรุษนั้นหลุดลุ่ยลงมาเคลียบ่า ทว่ากลับขับเน้นความงามบนใบหน้าจิ้มลิ้มดุจหญิงสาววัยสิบเจ็ดปี “คุณหนู ทางนี้เจ้าค่ะ” “น้าจื่อเหยี่ยน” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเห็นบ่าวคนสนิทของมารดามายืนรอด้วยอาการกระสับกระส่าย นางยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา จื่อเหยี่ยนส่ายหน้าไปมาพลางยื่นมือไปหยิบเศษใบไม้ออกจากศีรษะและลูบผมให้อย่างรวดเร็ว “ไยคุณหนูกลับมาช้านักเจ้าคะ” “ท่านแม่ออกมาจากห้องสวดมนต์แล้วหรือ?” “ยังเจ้าค่ะ ตอนนี้ปี้เอ๋อร์คอยดูต้นทางให้อยู่ คุณหนูรีบกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า” “อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างโล่งอก ทันใดนั้นเอง นางเสียวสันหลังวาบจนไม่กล้าหันไปมองไอเย็นที่แผ่มากระทบแผ่นหลังของนาง “ดูต้นทาง? ดีมาก ดีจริงๆ” “ทะ...ท่านแม่” หญิงสาวโอดครวญในใจไม่กล้าหันกลับไปมองเจ้าของเสีย
หญิงสาวในชุดบุรุษทำหน้างุนงงแล้วยกแขนขึ้นดมกลิ่นกายตัวเอง นางถึงกับทำหน้าแหย เพราะเกรงว่าจะกลับมาไม่ทันเวลา นางถึงกับมุดรอดรูทางหมารอดตรงกำแพงด้านหลังตำหนัก ท่าทางของนางทำให้บุรุษทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะพรืดอย่างไม่เกรงใจ หญิงสาวหันมาขึงตาใส่แต่ดูเหมือนไม่อาจหยุดเสียงหัวเราะนั้นได้ นางจึงเชิดใบหน้าขึ้นยืดแผ่นหลังตรงแล้วเดินอย่างสง่ารีบกลับเรือนของตนเองทันที บุรุษวัยสี่สิบห้าลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นภรรยาสุดที่รักยอมลดความโกรธเคืองในตัวลูกสาวคนเดียวลง แม้เวลานี้ภรรยาของเขาจะอายุสามสิบหกแล้วและเป็นมารดาของบุตรสามคน ทว่ายังคงใบหน้าอ่อนเยาว์และอ่อนโยนไม่ต่างจากวันวาน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นสามี นางกลับขึงตาใส่ พาลเอาความโมโหมาลงที่ตัวผู้เป็นบิดาแทน “เพราะท่านพี่ตามใจนางนัก นางจึงเอาแต่ใจตัวเอง ทำอะไรไม่คิดถึงผู้อื่นเลยสักนิด” “ได้ๆ เป็นข้าที่ผิดเอง” มือใหญ่หยาบกร้านลูบไหล่ภรรยาอย่างเอาอกเอาใจ ยามนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ หากใครมาเห็นเข้าคงนึกไม่ถึงว่า ชินอ๋องเฟยเทียนผู้เคยได้ชื่อว่าเป็นครึ่งปีศาจในอดีตนั้น เพียงแค่เอ่ยชื่อเขาก็ทำให้ผู้คนหวาด
ชื่อของปวงเทพมิใช่สิ่งที่สมควรกล่าวเล่นพร่ำเพรื่อ แต่ซิ่นฮวามิได้สนใจเรื่องนั้น ตั้งแต่ห้าขวบ นางก็เรียก ‘พี่ชายผมเงิน’ มาเป็นเพื่อนเล่นของนาง เรื่องนี้เกิดความคาดหมายของนางนัก ในคืนหนึ่ง เทพมังกรปรากฏตัวเบื้องหน้านางด้วยสีหน้าฉาบความไม่พอใจอยู่หลายส่วนแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวถึงขนาดจะเผาเมือง ‘เจ้าให้ลูกสาวของเจ้ารู้ชื่อของข้า’ ‘เรื่องนั้น...’ ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร เทพมังกรดินผู้แสนสง่างามองอาจเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น คล้ายเจอคู่ปรับที่ไม่อาจต่อกรได้ ‘นางเป็นเด็กแต่เจ้าเล่ห์มากกลอุบายนัก ข้าจะทำอะไรก็มิได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก’ เทพมังกรเดินพร่ำบ่นเดินวนไปวนมาเบื้องหน้านาง ยามนี้เขามองนางมิใช่ด้วยสายตาของบุรุษที่มองหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นสายตาที่มองกันอย่างมิตรสหายมากกว่า ‘ท่านมิได้ใช้เวทมนตร์พรางกายกับนางหรือ?’ ‘เคยแล้ว ปกติข้าใช้เวทพรางกายย่อมไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เด็กนั่นกลับยังเห็นข้าแถมโบกไม้โบกมือให้ข้าอีก’ เขาถูกเด็กห้าขวบปั่นหัวจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เด็กคนนี้ช่าง! ไม่เหมือนมารดาที่เรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักน
“อ้อ! อีกสามวันถึงพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินนี่เอง ท่านแม่จึงโกรธเจ้าที่หนีออกไปนอกตำหนักเช่นนี้” ซิ่นหลิงแย่งถั่วเคลือบน้ำตาลในจานของน้องชายมากิน “ข้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บูชาเทพมังกรดินทุกปี เรื่องแค่นี้ไม่มีวันทำผิดพลาด” นางเบ้ปากเล็กน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้น “กันอี๋ เจ้าแกว่งแรงอีกหน่อยซิ” กันอี๋นิ่งงันไป เขาไม่กล้าออกแรงมากนัก เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ แต่เสียงหัวเราะของซาโม่ทำให้เขาหงุดหงิด “นางไม่ตกชิงช้าง่ายดายหรอก” ซาโม่หัวเราะ เขารู้ว่ากันอี๋กังวลเรื่องใดอยู่ “แกว่งแรงอีกนิดเถิด ถ้านางร่วงลงไปข้าจะกระโดดไปรับให้เอง” “อย่าเลย หน้านางยิ่งขี้เหร่อยู่ เผลอตกชิงช้าหน้าคว่ำคะมำไป ความงามที่มีอยู่น้อยนิดนี่จะจมหายไปกับพื้นดินเสียหมด” “ซิ่นหลิง! ปากเจ้านี่มันปากสุนัขชัดๆ!” ซิ่นหลิงตวาดออกมาด้วยความโมโห หากไม่เพราะพวกเขาทั้งหมดเกิดและเติบโตพร้อมกัน คงไม่มีใครเชื่อว่าเทพธิดาน้อยๆ ผู้นี้จะมีอีกด้านที่เกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ “เฮ้! คนปากสุนัขต้องเป็นซาโม่ต่างหากไม่ใช่ข้า” ซิ่นหลิงโบ้ยไปทางซาโม่ เพราะความสนิทสนมนั่นแหละที่ทำให้พวกเขากล้า
“เกิดอะไรขึ้น” ปี้เอ๋อร์พึมพำอย่างตื่นตระหนกไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องเช่นนี้ เหตุใดผู้คนจึงดูบ้าคลั่งกันขึ้นมา “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ซ่งเหว่ยหนานเองก็รู้สึกได้ว่าชาวเมืองเปลี่ยนไป แต่กระนั้นซิ่นฮวาก็ยังไม่หยุดบรรเลงกู่เจิง เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปตุนหวง นางเล่นกู่เจิงไปเพียงครึ่งก้านธูปฟ้าก็หลั่งฝนลงมาแล้ว เหตุใดนานถึงเพียงนี้ยังไม่มีฝนตกลงมาแม้แต่หยดเดียว “ฝน! พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” “พวกเราต้องการฝน!” “นังคนหลอกลวง!” ผู้คนตะโกนด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ถูกปาขึ้นไปบนปะรำพิธี! และตามด้วยสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือ ชาวบ้านต่างปาก้อนหิน ดิน หรือแม้แต่รองเท้าขาดๆ ใส่ซิ่นฮวาที่ยังไม่ยอมหลุดบรรเลงกู่เจิง “กันอี๋!” ปี้เอ๋อร์ร้องสั่ง เห็นท่าไม่ดีแล้วต้องรีบพาท่านหญิงลงมา นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร องครักษ์หนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไป ทว่าเขายังช้ากว่าบุรุษอีกคนที่กระโจนขึ้นไปก่อนแล้
“ท่านหมอไม่มีวิธีอื่นใดช่วยคุณชายของข้าได้แล้วหรือ?” “คุณชายเยี่ยนไม่ไหวแล้วจริงๆ” คนเป็นหมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าว่าท่านพ่อบ้านรีบเขียนจดหมายแจ้งนายใหญ่เถิด บางทีหากเร่งเดินทางอาจกลับมาทันดูใจคุณชายเยี่ยน” “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะรีบเขียนจดหมายส่งข่าวถึงนายท่านใหญ่” ส่านเตี้ยนมองดูทั้งสองที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วเดินจากไป เขาจึงก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ แม้รู้ดีว่าเยี่ยนหรงเหยาจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน แต่ทว่า...เขาอดใจหายไม่ได้ วิหคสวรรค์ในร่างของเด็กชายวัยสิบสี่เดินย้อนกลับเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้บรรดาคนรับใช้จัดโต๊ะให้เขาทั้งสองได้กินอาหารเช้าแล้ว เยี่ยนหรงเหยาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้พยุงเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อย รูปร่างผอมบางในชุดสีขาวนั้นกลับทำให้เขาดูสุภาพเหมือนบัณฑิตหนุ่ม “มีอะไรรึ” “ไม่มีอะไร” ส่านเตี้ยนฝืนยิ้มให้ นึกถึงถ้อยคำของมหาเทพมังกรสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีชะตากรรมของตนเอง ลิขิตสวรรค์เปลี่ยนแปลงมิได
มนุษย์เห็นแก่ตัวเช่นไร เขาก็...ไม่ต่างกัน ทว่า... เพียงแค่เขาได้กลิ่นบุรุษอื่นบนกายนาง เขายังแทบคุมโทสะมิได้ หัวใจเจ็บร้าวเจียดคลุ้มคลั่ง หากไม่เห็นน้ำตาของนาง บางทีเขาอาจทำให้แผ่นดินขยับเคลื่อนไหวแล้วก็เป็นได้ หรือบางที...เป็นเขาเองที่ไม่อาจยอมรับความรู้สึกในใจของตนก็เป็นได้ “นายท่าน” ฮวงหลงตื่นจากภวังค์ ย้ายสายตาจากหน้าต่างห้องนอนของหญิงสาวมายังวิหคสวรรค์ที่กระพือปีกอยู่ใกล้ๆ “ใกล้รุ่งสางแล้ว ท่านควรกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดขอรับ” ส่านเตี้ยนเอ่ยด้วยความเป็นกังวล การเรียกลมเรียกฝนนั้นแม้ใช้พลังไม่มาก หากแต่ระยะนี้นายท่านของเขาร่างกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที และเมืองที่แล้งมายาวนานสามปี ต้องใช้ฝนมากเพียงใดจึงจะเรียกความชุ่มชื้นกลับมาอีกครา “เจ้ากลับไปก่อนเถิด” “แล้วนายท่านจะไปที่ใดขอรับ” “ข้าจะไปเยี่ยมจวิ้นอี๋เสียหน่อย” “เวลานี้หรือขอรับ” “ฮืม” ตอบพลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สายลมพัดผ่านดุจหยอกล้อเส้นผมสีเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์ เขาประหลาดใจนัก เขาตามหาตัวมังก
“ข้าไม่ได้เรียกท่าน” นางกลั้นเสียงสะอื้น นางไม่รู้ตัวว่าเรียกขานนามของเขาเมื่อใดกัน เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้นางหงุดหงิด ยอมเงยหน้าขึ้นจากหมอนเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนเส้นผมสีเงินยวงของเขาลงคลอเคลียใบหน้าของนาง “เหตุใดดวงตาของเจ้ามีน้ำตาเอ่อคลอเช่นนี้” เขาถามพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำใสที่คลอดวงตาคู่งาม หญิงสาวอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงแล้วเปลี่ยนใจ ปกตินางคิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น แต่ครั้งนี้นางกลับไม่กล้าพูด ทุกถ้อยคำที่เคยตำหนิเขาอยู่ในใจพลันหายไปหมดสิ้น ฮวงหลงได้กลิ่นสุราปะปนในลมหายใจของหญิงสาว เขาคลี่ยิ้มเอ็นดูช้อนมือประคองศีรษะให้หญิงสาวให้นอนในท่าที่สบาย เกรงว่านางจะหลับไปทั้งที่เอาหน้าซุกหมอน ไยเขาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเช่นนี้ แต่ก่อนเขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เดี๋ยวนี้เขากลับเป็นห่วงกังวลว่านางจะเป็นอะไร เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาของนางเขาก็รีบมาปรากฏตัวในทันที บุรุษหนุ่มมองมือเรียวเล็กที่ยื่นมาใช้ปลายนิ้วพันเกี่ยวเส้นผมสีเงินของเขาไว้ นางมักทำเช่นนี้เสมอตั้งแต่นางยังเป็นเด็กน้อยจนเวลานี้นางเติบโตเป็นหญิงสาวที่ครอบ
ซิ่นฮวารับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่ยังจ้องมองนางอยู่ไกลๆ นางไม่กล้าหันกลับไปเผชิญหน้ากับดวงตาที่จ้องมองราวกับทะลุเข้าไปถึงหัวใจของนาง นางเหมือนจะหายใจไม่ออก ร่างบอบบางซวนเซราวกับดอกไม้ที่ปลิดปลิวในอากาศ “กันอี๋” ปี้เอ๋อร์ร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก แต่องครักษ์หนุ่มรวดเร็วพอที่จะช้อนร่างของหญิงสาวอุ้มขึ้นก่อนที่นางจะร่วงลงไปกองกับพื้น “ขออภัยท่านหญิง” กันอี๋อุ้มนางแล้วก้าวเร็วๆ โดยมีปี้เอ๋อร์แทบจะวิ่งตามกลับมาที่เรือนที่พวกเขาพำนักพักอยู่ องครักษ์หนุ่มมองมือเรียวเล็กที่จับสาบเสื้อของเขาอยู่ ในใจแม้กังวลกับท่าทางอ่อนแออย่างไร้ที่มาที่ไปนี่ แต่กลับนึกถึงภาพในวัยเยาว์ เขาเป็นเพียงบุตรชายของหญิงรับใช้คนสนิทของพระชายาหนิงเหมย มารดาของท่านหญิงซิ่นฮวาที่แสนซุกซนเอาแต่ใจ สิ่งใดที่นางต้องการล้วนแล้วต้องได้ตามใจปรารถนา นั้นร่วมถึงยามที่นางอยากปีนป่ายต้นไม้ เขาก็ต้องยอมเป็นม้าให้นางเหยียบแผ่นหลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แท้จริงแล้ว นางมิใช่คนที่ชอบชี้นิ้วบงการผู้อื่นแต่หลายครั้งที่นางลองทำสิ่งที่ต้องการแล้วไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง นางจึงได้ร้องขอแกมขู่บังคับ ท่านอ๋องเ
“ให้ข้าไปส่งน้องซีเหมยด้วยได้หรือไม่” ซิ่นฮวารีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นซ่งเหว่ย-หนานอุ้มน้องสาวก้าวออกไปได้สองสามก้าวแล้ว ซ่งเหว่ยหนานแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้า ซิ่นฮวาหันมาปี้เอ๋อร์และกันอี๋ แม้ไม่พูดอะไรแต่เข้าใจความหมาย สองผู้ติดตามจึงเดินตามอยู่ห่างๆ “ปกติน้องสาวของข้าไม่ค่อยพูดจานัก นอกจากข้ากับแม่นมซูแล้วนางก็ไม่สนิทสนมกับใคร มีท่านหญิงเป็นคนแรกที่นางทำตัวติดท่านหญิงแจเช่นนี้” “ซีเหมยเป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นย่อมรู้สึกเอ็นดู เจ้าโชคดีมากที่มีน้องสาวน่ารักเช่นนี้” พูดไม่ทันจบประโยคดี นางเผลอสะอึกจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงน่าอับอายนั้น ซ่งเหว่ยหนานที่อยู่ใกล้ได้ยินแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “ห้ามหัวเราะข้า! อึก!” “เช่นนั้นท่านหญิงก็ห้ามสะอึกสิ” “ข้าห้ามตัวเองได้ที่ไหนล่ะ! อึก!” ซ่งเหว่ยหนานถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ ทว่าเด็กน้อยที่อุ้มอยู่เงยหน้าขยี้ตามองพี่ชาย ทั้งสามเดินผ่านสระน้ำที่ยามนี้พระจันทร์ดวงกลมโตสะท้อนเงาอยู่บนผิวน้ำราวกับสระน้ำนี้เป็นกระจกบานใหญ่ ซ่งเหว่ยหนานสงสารคนที่สะอึกไม่หยุด เขาอุ้มน้องสาวมาจนถึงห้
ดนตรีบรรเลงชวนรื่นรมย์ และมีเพียงซ่งเหว่ยหนานและซ่งซีเหมยสองพี่น้อง ไม่มีขุนนางผู้อื่นอยู่ เว้นแต่บรรดาหญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ซิ่นฮวาพึงพอใจที่ไม่เห็นผู้อื่น ไม่มีขุนนางใดมาร่วมงานด้วย ไม่เช่นนั้นนางคงทำตัวไม่ถูก ซ่งซีเหมยเห็นซิ่นฮวาเดินเข้ามาแล้ว ร่างเล็กรีบวิ่งเข้ามาจับมือของหญิงสาวให้เดินมานั่งที่ที่จัดไว้ “ซีเหมยอย่าเสียมารยาท” ซ่งเหว่ยหนานปรามน้องสาว แต่เด็กน้อยกลับหลบหลังหญิงสาว นางเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้ม ดวงตาคู่นั้นวับวาวดุจดาราบนฟากฟ้า ยิ่งการแต่งกายของนางขับเน้นผิวกายขาวผ่องดุจหิมะแรกแห่งเหมันต์ ทำให้เขาเผลอจ้องมองอย่างหลงใหล ซ่งซีเหมยแกล้งกระแอมไอทำให้เขาได้สติและเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งลง “งานต้อนรับเล็กๆ หวังว่าท่านหญิงจะไม่ถือสา” ซ่งเหว่ยหนานเอ่ยขึ้นแล้วหันไปพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้บรรดาคนรับใช้นำอาหารเข้ามา “เป็นเช่นนี้ดีแล้ว” นางยิ้มจากใจจริง มองดูอาหารเลิศรสที่ถูกลำเลียงมาวางตรงหน้า นางหันไปส่งยิ้มให้ซ่งซีเหมย เวลานี้เด็กน้อยร่าเริงสดใสมากไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด หรือเพราะแสงยามเย็นย้อมผิวเด็กหญิงตัวน้อยไ
ซิ่วอิ่งพึมพำกับตนเองแล้วเดินหลับเข้ามาในเรือนของซ่งซีเหมยเป็นจังหวะที่คุณหนูตัวน้อยกับแม่นมเดินกลับมาแล้ว แม่นมซูไม่ค่อยชอบซิ่วอิ่งนัก แต่เพราะนางเป็นหญิงรับใช้ที่ “ผู้มีพระคุณ” ฝากฝังมาให้ดูแล “ซ่งซีเหมย” โดยเฉพาะ ทำให้แม่นมซูไม่กล้าแสดงสีหน้าว่าไม่ชอบนาง “แม่นมซูออกไปเถิด ข้าจะดูแลคุณหนูเองเจ้าค่ะ” “แต่ว่า...” “แม่นม...” ซ่งซีเหมยไม่ชอบอยู่กับซิ่วอิ่งตามลำพังจึงยื่นมือไปเกาะท่อนแขนของแม่นมซูแน่น “ไม่ได้เจ้าค่ะ แม่นมซูลืมคำสั่งของแม่นางเมิ่งหลานเสวี่ยนแล้วหรือเจ้าคะ” แม่นมซูทำอะไรไม่ได้ เมิ่งหลานเสวี่ยนคือผู้มีพระคุณของคุณหนู หนึ่งปีก่อนอาการของซ่งซีเหมยทรุดหนัก ไม่ว่าหมอจากเมืองหลวงหรือที่ใดก็ไม่อาจรักษานางได้ จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏกายพร้อมให้ดื่มยาวิเศษ ทำให้ซ่งซีเหมยแข็งแรงขึ้น ยามนี้เมิ่งหลานเสวี่ยนไม่ได้อยู่ที่นี่ นานๆ จะแวะเวียนมาสักครั้ง จึงให้ซิ่วอิ่งคอยดูแลซ่งซีเหมย แม้คุณหนูจะอาการดีขึ้นแต่นางก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่กระนั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าคืออะไร “คุณหนูไปเถิดเจ้าค่ะ” เ
“เช่นนั้น น้องเหมยเอ๋อร์พาพี่สาวเดินเล่นสักครู่ดีหรือไม่” ซ่งซีเหมยได้ยินซิ่นฮวาเรียกนางอย่างสนิทสนม ซ้ำยังแทนตัวเองว่าพี่สาว เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับแล้วเป็นฝ่ายจูงมือซิ่นฮวาให้เดินไปที่ศาลากลางน้ำ แสงแดดกระทบผิวน้ำระยิบระยับ สายลมพัดผ่านแผ่วเบาขับไล่ไอร้อนออกไปได้มาก หญิงสาวต่างวัยสองคนจูงมือมานั่งที่เก้าอี้ ซ่งซีเหมยส่งยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก แก้มทั้งสองกลายเป็นก้อนกลมๆ น่าเอ็นดูยิ่งนัก “ข้าชอบที่นี่มาก เมื่อก่อนพี่ชายพาข้ามานั่งเล่นบ่อยๆ พี่เหว่ยหนานบรรเลงเพลงขลุ่ยได้ไพเราะยิ่งนัก” “อย่างนั้นรึ” ซิ่นฮวาทำหน้าประหลาดใจ คนผู้นั้นมีเวลาสนใจเรื่องดนตรีด้วยหรือ? แต่...ไม่เกี่ยวกับนางสักนิดจะไปใส่ใจทำไมกัน ซ่งซีเหมยรีบพูดต่อ “เพราะบิดาไม่ค่อยสบาย พี่ชายข้าจึงต้องรับภาระหน้าที่ดูแลราษฎรแคว้นหาน ป่านนี้แล้วพี่ชายข้ายังไม่ภรรยาหรือแม้กระทั่งสตรีอุ่นเตียงก็ไม่มีนะ” คราวนี้เป็นซิ่นฮวาที่ไม่รู้ควรทำหน้าอย่างไร คงมิใช่ว่าน้องสาวกำลังออกโรงเป็นแม่สื่อตัวน้อยเสียเอง นางย้ายสายตาไปทางปี้เอ๋อร์ที่ยืนกลั้นยิ้มอยู่ใกล้ๆ ส่วนกันอี๋แสร้งทำเป็นไ