ร่างอรชรที่อ่อนระโหยถูกประคองให้นั่งลงบนแท่นน้ำแข็ง มาถึงขุนเขามังกรสวรรค์หญิงสาวก็ทรมานน้อยลงแล้ว ทั้งเมื่อได้อยู่บนแท่นน้ำแข็งร่างกายที่ปั่นป่วนด้วยเพลิงร้อนวูบวาบก็ผ่อนคลายขึ้น
“จือเยว่ คนเก่งของพ่อ อดทนอีกไม่นาน เจ้าจะผ่านมันไปได้”
ไท่จื่อจิ่นลี่วางมือหนาลงบนศีรษะของบุตรสาว แววตาคู่คมเข้มฉายแววอ่อนโยน
“เพคะ”
จือเยว่ตอบรับอย่างมุ่งมั่น ดวงตาคู่งามเปล่งประกายของความมั่นใจในตนเอง
“พ่อไม่อาจอยู่ที่นี่กับเจ้า หรือส่งผู้ใดมาอยู่กับเจ้าได้ แต่ไม่ต้องกังวลไป จะไม่มีใครหรือสิ่งใดเข้ามายังขุนเขามังกรนี้ได้”
“ท่านพ่อมีราชกิจมากมายและยังต้องดูแลท่านแม่ ลูกอยากบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อแบ่งเบาราชกิจของท่านพ่อเพคะ”
จิ่นลี่ลูบผมนุ่มสลวยด้วยความรักเอ็นดูทั้งห่วงใยไม่น้อย
“หากเจ้าบรรลุเทพเซียนขั้นเก้าแล้วพ่อจะมารับ”
จือเยว่ยิ้มบาง ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด แม้จะปวดร้าวในอกซ้ำเล่าซ้ำเล่า ทั้งยังร้อนราวเพลิงโหมไหม้ภายในกายยามต้องเผชิญทุกข์เข็ญ เมื่อไอเย็นจัดภายนอกปะทะและแทรกซึมเข้ามาเนื้อตัวจึงสะบัดร้อนสะบัดหนาวเหมือนพิษไข้รุมเร้าอย่างหนักจนต้องกระอักเลือด แต่ผ่านไปครู่ใหญ่นางก็จะมีแรงกำลังกลับมานั่งบำเพ็ญเพียรพลังปราณอีกครั้ง ทว่าที่ไม่อาจรรู้ได้คือ ดวงจิตของตนจะลงไปเผชิญวิบากกรรมยังดินแดนมนุษย์เมื่อใด
เมื่อบิดาจากไปแล้วหญิงสาวก็นั่งสมาธิเดินพลังปราณอีกครั้งเพื่อสยบเพลิงวิบากในกายตน
ดินแดนมนุษย์ในเวลาต่อมา
“เซียงเอ๋อร์มากับพี่เร็ว”
หญิงสาวเจ้าของดวงหน้าเรียวสวยงดงาม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นเข้ามาฉุดสาวน้อยที่ร่างเล็กบอบบางกว่าขณะเจ้าตัวกำลังนั่งฝึกเขียนอักษรภาพให้ลุกขึ้น
“ไปที่ใดหรือพี่หญิง”
“วันนี้เสด็จพ่อโปรดให้องค์ชาย รวมทั้งบุตรชายขุนนางผู้ใหญ่เข้าเฝ้าที่อุทยาน”
“แล้วทำไมหรือ”
สาวน้อยรับรู้มาก่อนแล้วเช่นกัน ทั้งยังเห็นว่าไม่เกี่ยวกับตน แล้วก็ได้เห็นว่าสีหน้าของผู้เป็นพี่สาวดูเก้อเขิน ก่อนจะเอ่ยอึกอัก
“เอ่อ คือว่า...พี่ได้ยินมาว่า บุตรชายท่านราชครู...”
องค์หญิงเจียวมิ่งเหลือบไปยังนางกำนัลทั้งสองที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังแล้วก็ถอนหายใจไม่กล้าพูดต่อ ทว่าผู้เป็นน้องกลับโพล่งขึ้นโดยไม่ทันได้คิดใคร่ครวญด้วยอายุยังน้อย
“พี่หญิงอยากเห็นบุตรชายท่านราชครูหรือ”
“หนิงเซียง”
พี่สาวเอ็ดพร้อมตีเบาๆ ทำเอาสาวน้อยเกาศีรษะ ไม่เข้าใจว่าตนพูดสิ่งใดผิดไป ในเมื่อบุตรชายราชครูคือคู่หมายของผู้เป็นพี่ตามพระประสงค์ของพระบิดา หากก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้มีรับสั่งห้ามบรรดาองค์หญิงไปยังอุทยาน
“พี่หญิงกลัวคนมาได้ยินหรือ”
องค์หญิงเจียวมิ่งมีสีหน้าขัดใจ ขณะที่ผู้เป็นน้องถามต่อ
“แล้วท่านจะไปที่นั่นได้อย่างไร”
“เอาเถิดน่า เจ้ามาเป็นเพื่อนพี่ก็พอ”
ในคราแรกหนิงเซียงแปลกใจที่พี่สาวต้องการให้ตนมาด้วย ทว่าพอต้องแต่งชุดของนางกำนัลแล้วให้นางกำนัลคนสนิททั้งสองใส่ชุดของทั้งคู่อยู่ในตำหนักแทนนางจึงเข้าใจ ระหว่างทางที่เดินก็พยายามเลี่ยงผู้คนและก้มหน้าจึงไม่เป็นที่สะดุดตานัก
ทั้งสองแอบมุดเข้ามาทางด้านข้างอุทยานที่มักใช้เล่นซ่อนหากันในวัยเยาว์ ลัดเลาะหลบซ่อนต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้เพื่อไปให้ใกล้ศาลากลางน้ำยังอุทยาน แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ทำให้หนิงเซียงหยุดแล้วเปลี่ยนเส้นทาง
“เซียงเอ๋อร์ จะไปไหน”
องค์หญิงเจียวมิ่งมองตามพร้อมเรียกผู้เป็นน้องเสียงเบา หากอีกฝ่ายกลับไม่หยุดกระทั่งนางจำต้องตามไป
ร่างบอบบางทรุดกายลงเมื่อเห็นต้นเหตุของเสียงอยู่บนพุ่มไม้หนาที่มีดอกไม้เล็กๆ แซมสวยงาม
“รังนก”
ผู้เอ่ยเป็นองค์หญิงเจียวมิ่ง
“ตายจริง มีนกตัวเล็กด้วย หล่นมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรนะ”
องค์หญิงหนิงเซียงพยักหน้าตาม
“แบบนี้แม่ของมันคงตามหาแย่เลย”
พลางพึมพำก็เงยหน้าขึ้นมองด้านบนต้นไม้ แล้วก็เห็นส่วนที่ยังพอมีเศษหญ้ากับใบไม้แห้งอยู่ที่ดูออกว่าน่าจะเป็นรังนก องค์หญิงหนิงเซียงเม้มริมฝีปากปากก่อนตัดสินใจยื่นมือไปประคองรังนกให้เบามืออย่างที่สุด เพราะนกตัวเล็กราวเพิ่งแรกเกิดจึงไม่อาจบินได้ ทำได้เพียงส่งเสียงร้องดังเมื่อรู้สึกได้ว่าที่คุ้มภัยของตนขยับเขยื้อน
“เจ้าจะทำอะไร”
องค์หญิงเจียวมิ่งถามเมื่อน้องของตนประคองรังนกก้าวไปยังโคนต้นไม้
“พี่หญิงช่วยถือให้ข้าก่อนได้หรือไม่”
“อะไรนะ”
“นะพี่หญิง ข้าขึ้นไปข้างบนแล้วท่านค่อยส่งขึ้นมา”
องค์หญิงหนิงเซียงขอร้องพลางจับมือพี่สาวมารับรังนก อีกฝ่ายรับขณะมือสั่นอย่างไม่มั่นใจ
“เจ้าจะขึ้นไปจริงหรือ มันอันตรายนะ แล้วเผื่อมีผู้ใดมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร”
“ส่วนนี้ใกล้ด้านหลังอุทยาน ผู้คนผ่านไปมาน้อย ข้าอยากช่วยให้มันได้เจอแม่”
ผู้เป็นพี่สาวหน้าเศร้าเมื่อได้ยินเช่นนี้ เพราะพระสนมเอกมารดาของทั้งสองจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย สุดท้ายจึงยอมพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องสาว
องค์หญิงหนิงเซียงค่อยๆ ปีนต้นไม้จนไปถึงส่วนที่มั่นคง และสามารถยื่นมือลงมารับรังนกจากพี่สาวที่พยายามส่งให้อย่างสุดเอื้อม จากนั้นก็ขยับตัวช้าๆ เพราะมือเหลือเกาะเพียงข้างเดียว ไต่ไปตามกิ่งไม้ใหญ่ ทว่าจุดที่รังนกเคยอยู่ก็ยังไกล นางกัดฟันไปต่ออย่างระมัดระวังและรู้สึกขาสั่นตามกิ่งไม้ที่ขยับไหว เมื่อไม่อาจเคลื่อนเท้าได้อีกก็จำต้องยื้อมือให้สูงที่สุดพลางเขย่งปลายเท้าขึ้นด้วยเพื่อวางรังนกให้ถึงจุดเดิม
ขณะเดียวกันกับที่องค์หญิงหนิงเซียงพยายามจัดวางรังนกก็มีเสียงคนคุยกันใกล้เข้ามา แต่เพราะต้องระวังจึงไม่มีเวลาหันมองกระทั่งทำได้สำเร็จและถอนหายใจโล่งอก หากกลับต้องสะดุ้งเพราะเสียงทักดังขึ้น
“เจ้าขึ้นไปบนนั้นได้อย่างไร”
“อ๊ะ!”
เพราะความตกใจทำให้ปลายเท้าที่เขย่งอยู่ลื่น ทั้งน้ำหนักตัวยังทำให้กิ่งไม้ด้านบนที่จับอยู่หัก ร่างบอบบางพลาดหล่นวูบลงมาด้านล่างกะทันหัน
=====
วิบากกรรมครั้งสุดท้ายของจือเยว่จะเป็นอย่างไร มาติดตามเอาใจช่วยกันค่า^^
องค์หญิงหนิงเซียงหลับตาพร้อมใจหล่นตามร่าง กัดฟันทำใจว่าตนเองต้องเจ็บแต่กลับมีบางอย่างรองรับ ความแปลกใจทำให้นางลืมตาขึ้นพร้อมกับตนถูกพาหมุนตัวหลบกิ่งไม้ที่หักตกไม่ห่างนักได้อย่างหวุดหวิด ดวงหน้าเรียวหวานซุกลงบนแผงอกกว้างอย่างลืมตัว เมื่อนึกได้จึงรีบผละออกแล้วขยับไปมา“นางกำนัลน้อย เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก”ชายอีกคนซึ่งมาด้วยเอ่ยพร้อมกับผู้ที่อุ้มนางอยู่ปล่อยลง องค์หญิงหนิงเซียงจำน้ำเสียงได้ว่าเขาคือผู้ทักตนทำให้ตกใจหล่นลงมา นางเหลือบมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ข้างกายเห็นว่าใบหน้าขาวคมคายก้มลงมองตนอย่างสงสัย สบดวงตาคู่คมกริบเพียงชั่วแวบก็รีบถอยห่าง สายตาสอดส่ายมองหาพี่สาวทว่ากลับไร้เงา‘พี่หญิงหลบไปแล้วสินะ’“นับแต่เกิดมา เพิ่งเคยพานพบสตรีเก่งกาจเช่นเจ้า ต้นไม้สูงไม่ใช่น้อยยังปีนป่ายขึ้นไปได้”นางเหลือบมองผู้พูดก็เห็นว่าเขายิ้มมุมปาก ไม่แน่ใจว่าเป็นคำชมหรือขำขัน“อันตรายเช่นนี้ เจ้ายังเห็นเป็นเรื่องสนุกไปได้มู่ฉางเหยียน”ผู้ที่ช่วยตนไว้เอ่ยเป็นครั้งแรก องค์หญิงหนิงเซียงเหลือบมองแล้วก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ได้กลัวแต่ไม่อยากให้คนทั้งสองเห็นหน้าตนชัดเจนนัก“เฮ้อ เจ้าเองก็จริงจังไปเสียทุกเรื่องนะหลิวซูห
“กลับเถิดเจ้าค่ะคุณหนู”หลิงเอ๋อร์นางกำนัลคนสนิททักท้วงด้วยสีหน้าลำบากใจ เพราะองค์หญิงสั่งให้หยุดรถม้าแล้วให้ทหารรอ ก่อนจะแยกออกมาชมตลาดโดยอ้างว่าจะดูแผงขายปิ่นที่อยู่ใกล้ๆ อยากเห็นฝีมือชาวบ้านนอกวังว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ทว่ากลับเดินดูร้านอื่นไกลออกมา“มาไกลเกินไปแล้วนะเจ้าคะ”“อุ๊ย ขนมนั่นน่ากินนะ ข้าอยากลอง ไปซื้อกัน”แทนที่จะฟังนาง องค์หญิงกลับสอดส่ายสายตาไปทั่วอย่างสนอกสนใจแล้วชี้ไปทางร้านขนมห่างออกไป“เช่นนั้นคุณหนูกลับไปยังรถม้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะไปซื้อให้เอง”“จะกลับไปกลับมาทำไมกัน ซื้อก่อนแล้วค่อยไปที่รถม้าก็ได้”“แต่ห่างสายตาคนของเรามากนะเจ้าคะ”“เจ้าคิดมาก ไม่มีใครรู้ว่าข้าเป็นผู้ใดสักหน่อย”ชุดที่นางใส่นั้นแม้จะดูสวยงาม หากก็ไม่ได้เป็นชุดที่บ่งบอกว่ามียศตำแหน่งใด ดูเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไปเท่านั้น“แต่...”“มาเร็ว ชักช้ายิ่งทำให้กลับช้าไปอีกนะ”องค์หญิงหนิงเซียงฉุดมือคนของตนให้ก้าวตามโดยเร็ว การได้เห็นสิ่งแปลกตาในเมืองนอกกำแพงวังทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจนัก แม้รู้ว่าต้องกลับเข้าวังให้ทันเวลาหากก็ยังอยากดูนั่นนี่อีกเล็กน้อย“ข้าซื้อนี่สองชิ้น”ปลายนิ้วเรียวชี้ขนมที่เป็นแ
“องครักษ์หวัง”องค์หญิงหนิงเซียงปรามองครักษ์ตนเสียงเบา ด้วยนางเองก็นับถือและเคารพอีกฝ่ายที่อายุมากกว่าไม่น้อย“ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาใกล้องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”หัวหน้าองครักษ์บอกน้ำเสียงนอบน้อม หากกลับมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้วยแววตาเย็นชา ขณะเดียวกันนั้นทหารก็กำลังควบคุมตัวหัวขโมยเอาไว้“ถุงเงิน”ชายผู้นั้นชูถุงเงินในมือพลางเอ่ยสั้นๆ สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ หากก็ทำให้องค์หญิงหนิงเซียงรู้สึกเกรงใจเขาที่องครักษ์แสงความแข็งกร้าวกับอีกฝ่าย“ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ...หลิงเอ๋อร์”นางขอบคุณอย่างจริงใจแล้วพยักหน้าให้หลิงเอ๋อร์ไปรับถุงเงินจากชายหนุ่ม“เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้ว กระหม่อมทูลลา”อีกฝ่ายคำนับแล้วเลี่ยงไปองค์หญิงหนิงเซียงมองตามร่างสูงใหญ่ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เหมือนยังมีคำพูดที่ติดค้างอยู่ในใจ แน่นอนนางควรเอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนามชายหนุ่ม อย่างน้อยก็ควรส่งของกำนัลตอบแทนน้ำใจ หากชื่อนั้นกลับผุดขึ้นมาในห้วงสำนึกแม้ได้ยินเพียงครั้งเดียว‘หลิวซูหยวน’และนางปล่อยให้เขาเดินจากไปโดยไม่ได้ถามสิ่งใดการสอบราชการเพิ่งผ่านพ้น บัณฑิตใหม่สามคนมาเฝ้าฮ่องเต้ โดยหนึ่งในนั้นคือหลิวซูหยวนบ
“เอ่อ คุณหนู...”หลิงเอ๋อร์เอ่ยเตือนถึงความไม่เหมาะสมราวดึงสติของผู้เป็นนายกลับมา องค์หญิงหนิงเซียงรีบดึงมือตนเองจากเสื้ออีกฝ่ายแล้วจะผละกายออก หากเขากลับนำพาให้นางเดินออกจากกลุ่มคนโดยไม่คิดปล่อยแขนจากเอวบาง ทำเอาสองสาวมองกันด้วยความงุนงง ออกอาการเลิ่กลั่กทั้งนายและบ่าวแต่เมื่อห่างจากผู้คนที่เบียดเสียดชายหนุ่มก็ปล่อยและขยับไปยืนเว้นระยะด้วยตัวเอง หลิงเอ๋อร์เองก็ประคองนายตนราวหวงแหน ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงองค์หญิงเจียวมิ่งพร้อมร่างอรชรก็ตรงเข้ามาหาน้องสาวอย่างร้อนใจ โดยผู้เป็นสวามีตามมาเช่นกัน“เซียงเอ๋อร์ พี่ตกใจแทบแย่ที่อยู่ๆ ก็ไม่เห็นเจ้า”มือบางถูกจับพร้อมสายตาที่ฉายแววห่วงกังวลก็กวาดมองร่างผู้เป็นน้องจนทั่ว“อ้าว หลิวซูหยาง”“ใต้เท้ามู่...ถวายพระพรองค์หญิง”หลิวซูหยางเอ่ยนามผู้ที่มาใหม่อย่างให้เกียรติทว่าอีกฝ่ายกลับตบบ่าเขาอย่างแรง“ใต้ทงใต้เท้าอะไรกัน บอกแล้วว่าพบกันข้างนอกเราก็ยังเป็นสหายเช่นเดิม”มู่ฉางเหยียนนั้นเข้ารับราชการในสำนักราชเลขาก่อนหลิวซูหยางแล้วได้รับพระราชทานอภิเษกหลังจากนั้น เวลานี้มีตำแหน่งเป็นถึงผู้ช่วยราชเลขาธิการส่วนพระองค์ทั้งยังเป็นถึงเป็นราชบุตรเขยด้ว
แคว้นอันมีการแข่งขันเตะลูกหนังเป็นการละเล่นประจำปี แต่ละกรมจะจัดกลุ่มคนเพื่อแข่งขันเจ็ดคน กรมใดมีชัยได้อันดับหนึ่งจะได้รับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้เป็นทองคำยี่สิบก้อน และได้นั่งด้านหน้าสุดในงานพระราชสมภพของฮ่องเต้กับฮองเฮาในปีนั้น นับว่าเป็นเกียรติอย่างมากทุกกรมจึงจริงจังกับการแข่งนี้แม้สำนักราชเลขาธิการจะไม่ได้แข็งแกร่งเช่นกรมทหารรักษาพระราชวังหรือทหารองครักษ์ หากส่วนใหญ่ก็เคยผ่านการละเล่นนี้มาแล้วในตอนศึกษาอยู่ในสำนักศึกษา หลิวซูหยวนกับมู่ฉางเหยียนจึงเข้าร่วมเป็นตัวแทนองค์หญิงหนิงเซียงเคยมาชมการแข่งขันพร้อมองค์หญิงเจียวมิ่งที่สามารถมาชมเพื่อให้กำลังใจพระสวามีแล้วในสองปีที่ผ่านมา หากไม่ได้สนใจการแข่งจริงจังนัก ทว่าในปีนี้กลับต่างออกไปเมื่อได้เห็นหนึ่งในผู้ร่วมเล่นลูกหนังจากสำนักราชเลขาธิการ“ใต้เท้าหลิวฝีมือไม่เบาทีเดียว ทั้งยังเล่นได้เข้าขากับท่านพี่มากอีกด้วย”ผู้เป็นพี่สาวหันมากระซิบกับนาง องค์หญิงหนิงเซียงเพียงยิ้มรับ ไม่ได้แสดงทีท่าตื่นเต้นเท่าใดนัก หากความจริงนางแทบไม่อาจละสายตาจากร่างสูงใหญ่ที่เล่นลูกหนังอย่างคล่องแคล่ว ทั้งแย่งทั้งส่ง หรือกระทั่งกระโดดม้วนตัวเตะลูกหนังเข้าไ
ในรถม้าองค์หญิงหนิงเซียงมองพัดในมือตนพลางถอนหายใจ ขณะที่หลิงเอ๋อร์ก็มีพัดคอยพัดวีไล่ความร้อนอบอ้าวให้ผู้เป็นนาย ด้วยพัดจากใต้เท้าหลิวนั้นองค์หญิงจะถือไว้ด้วยตนเองเสมอ“น่าเสียดายที่ก่อนกลับไม่ได้บอกกล่าวใต้เท้ามู่กับใต้เท้าหลิวนะเพคะ”หลิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างรู้ใจว่าแท้จริงแล้วนายตนอยากพบหน้าผู้ใดก่อนเข้าวัง เพราะนับแต่พ่ายแพ้หลิวซูหยวนก็ไปนั่งดูการแข่งขันร่วมกับสหายในสำนักราชเลขาธิการ ไม่ได้มานั่งร่วมโต๊ะกับราชบุตรเขยอีก“หลิงเอ๋อร์”ใบหน้าหวานงดงามงอง้ำพลางเอ่ยปรามคนสนิทเสียงอุบอิบเพราะรู้แก่ใจว่าความรู้สึกของตนนั้นกำลังเริ่มไม่เหมาะไม่ควรขณะนั้นเสียงม้าร้องดังขึ้นทั้งรถม้ายังกระชากอย่างแรงจนร่างอรชรกระแทกเข้ากับด้านข้างรถม้า“โอ๊ะ...เกิดอะไรขึ้น”หลิงเอ๋อร์ร้องขึ้นพลางรีบประคองนายตน“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”เสียงคนที่ควบคุมม้าด้านนอกตะโกนลั่น“ระวัง! ด้านหน้าระวังด้วย!”หลายเสียงเริ่มตะโกนดัง รถม้าขององค์หญิงหนิงเซียงอยู่ท้ายขบวน หากม้าตื่นตระหนกวิ่งเร็วอาจลากจูงให้รถม้าไปชนกับทหารองครักษ์รวมถึงรถม้าด้านหน้าได้ นั่นอาจพลอยทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ทั้งกับองค์ชายรองและองค์ชายสามรถม้ายังถูกแ
“เซียงเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำให้สด็จพ่อโกรธมาก อย่าได้ทำเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจถูกลงทัณฑ์”องค์ชายรองเสวียนหลินตามมายังตำหนักองค์หญิงหนิงเซียงหลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว“ให้เสด็จพ่อลงทัณฑ์ข้าเสียยังดีกว่าให้ข้าแต่งงาน”เห็นน้ำตาที่รินไหลไม่ขาดสาย ทว่าสีหน้ากลับมุ่งมั่นแข็งขืนของน้องสาวแล้วสีหน้าองค์ชายรองกลับยิ่งเคร่งเครียด เจ้าตัวยังนั่งคุกเข่าอยู่ในตำหนักตนไม่ขยับแม้หลิงเอ๋อร์กับนางกำนัลคนอื่นจะช่วยกันเลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล“เซียงเอ๋อร์”องค์ชายรองอ่อนใจในความดื้อดึงของน้องสาว แปลกใจนักที่น้องน้อยผู้เรียบร้อยและหัวอ่อนเสมอมาของตนกลับกล้าขัดรับสั่งพระบิดา‘ช่างดื้อรั้นเอาแต่ใจนัก หากขอสิ่งใดข้าก็อนุญาต กลับคำ พลิกราชโองการ คำพูดของข้าจะยังศักดิ์สิทธิ์เชื่อถือได้อีกหรือ เจ้าพูดกับน้องเจ้าให้นางเข้าใจ ข้าตัดสินใจเช่นนี้ก็เพื่อนาง’พระบิดารับสั่งย้ำอย่างขุ่นเคืององค์ชายรองย่อกายลงตรงหน้าอีกฝ่าย วางมือสองข้างบนบ่าบอบบาง“เสด็จพ่อทำเพื่อเจ้า ชาวเมืองมากมายต่างก็เห็นฮ่าวหมิงอุ้มเจ้า แตะต้องเนื้อตัวและช่วยชีวิตเจ้าไว้ เขามีความดีความชอบ ส่วนเจ้าเป็นถึงองค์หญิง ไม่ควรมีผู้ใดแตะต้องชิ
“ใต้เท้าหลิว”ชายหนุ่มกับมองผู้เข้ามาหาด้วยสีเข้มขรึม ขณะสหายที่มาด้วยกันแปลกใจ หากเมื่อนางกำนัลเอ่ยต่อเขาก็ขอตัว“เอ่อ ข้ามีเรื่องขอพูดกับใต้เท้าตามลำพังได้หรือไม่เจ้าคะ”“ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน”อีกฝ่ายจากไปโดยง่าย เพราะหลิวซูหยวนเป็นที่สนใจของสตรีทั้งในวังและบรรดาบุตรสาวขุนนางหรือแม้แต่ท่านหญิง หลายคนเพียงแอบเมียงทว่านางกำนัลผู้นี้ช่างกล้าหาญนักในความคิดของเขาจึงไม่อยากขัด“มีเรื่องใดหรือ”“เชิญใต้เท้าตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ”หลิงเอ๋อร์ผายมือไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ริมกำแพงอุทยานแล้วเดินนำ หลิวซูหยวนลังเลหากก็ก้าวตามด้วยความตงิดใจ กระทั่งพ้นต้นไม้มาก็เห็นร่างอรชรที่ทำเอาคิ้วเข้มขมวด ส่วนนางกำนัลสาวกลับไปดูต้นทาง“ถวายพระพรองค์หญิง”“ใต้เท้าหลิว”องค์หญิงหนิงเซียงมองผู้ที่อยู่ในหัวใจตนด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง กระนั้นก็ไม่มั่นใจนักว่าสิ่งที่นางต้องการพูดกับอีกฝ่าย ชายหนุ่มจะคิดเห็นอย่างไร“ข้า...เอ่อ...”สบตาคมเข้มนิ่งเฉยแล้วนางกลับพูดไม่ออก“องค์หญิงมีสิ่งใดรับสั่งกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ หากมีผู้ใดผ่านมาเห็นเข้าคงไม่เหมาะนัก”อีกฝ่ายถามเสียงเรียบ บั่นทอนกำลังใจของผู้ที่เตรียมตัวเตรียมใจมาแล
ใจดวงน้อยสั่นไหวด้วยความไม่มั่นใจขณะนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังเคลื่อนมาหน้าประตูเมือง เหลือบมองผู้ที่นั่งอีกด้านในรถม้าซึ่งใบหน้านิ่งสนิทแล้วก็เม้มริมฝีปากก้มหน้าลงครุ่นคิด‘ท่านคิดจะไปที่ใด’หลังหลบทหารมายังที่หนึ่งนางสะบัดตัวจะเดินหนีอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้น‘ข้าไม่จำเป็นต้องบอกท่าน’‘ท่านยังไม่รู้จะไปที่ใดมากกว่า’ใบหน้าเฉยชากับคำพูดกระด้างราวเย้ยหยันนั้นกวนอารมณ์นางให้ขุ่นนัก‘ไยท่านต้องมายุ่งกับข้าอีก ในเมื่อปฏิเสธข้าแล้วก็ปล่อยให้ข้าไปตามทางของข้า ไม่ต้องข้องเกี่ยวหรือใส่ใจใดๆ อีก’‘เห็นท่านกำลังพาตัวเองก้าวเข้าสู่อันตรายจะให้ข้าละเลยได้อย่างไร’ริมฝีปากอิ่มสวยขยับยิ้มหยันกับคำเอ่ยราวใส่ใจ‘ทั้งที่ท่านทำให้ข้าอับอายขายหน้า เป็นผู้หญิงไร้ยางอายไปแล้วยังบอกว่าไม่อาจละเลยอีกหรือ หึ...น้ำใจจากท่าน ข้าไม่ต้องการ’องค์หญิงหนิงเซียงเมินหน้าหนีจะเดินจากมา ทว่ากลับต้องชะงักอย่างลังเลในคำพูดของหลิวซูหยวน‘หากท่านต้องการออกนอกเมืองไปกับข้าก็ได้ อีกอย่างท่านไม่ควรอยู่ในชุดสตรี’และแล้วนางก็จำต้องให้ชายหนุ่มช่วยเหลือแม้ไม่รู้ว่าออกนอกเมืองไปแล้วจะทำอย่างไรต่อไป แต่หากยังอยู่ในนี้นางต้องถูกเจอตัวและพาก
นางหลงทาง...ผู้ที่ไม่เคยไปมาในเมืองหลวงด้วยตนเองเดินโผเผอย่างเหนื่อยล้า นับแต่หนีจากร้านผ้ามาองค์หญิงหนิงเซียงกลับก้าวไปอย่างไร้จุดหมาย หลิงเอ๋อร์กำชับว่าให้หาโรงเตี๊ยมเพื่อพักทว่านางกลับไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน เดินไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่พบโรงเตี๊ยมและเวลาก็ใกล้จะเย็นแล้วจำเป็นต้องมีที่พักหลับนอนองค์หญิงหนิงเซียงเป็นห่วงหลิงเอ๋อร์มากกว่าตนเอง ทว่าเพราะอีกฝ่ายยอมทำทุกอย่างเพื่อตนนางจึงมุ่งมั่นที่จะหนีดรอดให้ได้‘ข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร’ขณะที่อยู่ในรถม้านางยังตัดสินใจไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายก็คุกเข่าอ้อนวอน‘องค์หญิงของหลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ไม่อยากให้ท่านทุกข์ทรมานทั้งกายใจ เห็นท่านมีคราบน้ำตาอาบแก้มในทุกวันคืน กินอาหารน้อยนิด หลิงเอ๋อร์ก็ทุกข์ทรมานไปพร้อมท่าน ยิ่งท่านทำร้ายตัวเอง หลิงเอ๋อร์ยิ่งกลัว ได้โปรด ไม่ว่าสิ่งใด ขอเพียงท่านกลับมายิ้มได้อีกครั้ง หลิงเอ๋อร์พร้อมเผชิญเพคะ’เจ้าตัวเอ่ยเจือสะอื้น ทำเอาองค์หญิงหนิงเซียงน้ำตาไหลไปด้วย ดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตานั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวปวดร้าวในอกเพียงใดที่เห็นนางปราศจากความสุขทั้งกายและใจ‘ไปจากวังหลวง เพื่อพบชีวิตที่อิสระและมีความสุขอย่างแท้จริงเถิดเพค
องค์หญิงหนิงเซียงนั่งรถม้าแยกกับองค์หญิงเจียวมิ่งเพื่อเวลากลับจะได้ตรงเข้าวังมาเลยเพราะดูไปแล้วน่าจะกลับเข้าเมืองค่อนข้างเย็น ไหว้พระขอพรเสร็จออกมาจากอารามก็แวะพักริมน้ำตกกินของว่าง เป็นความตั้งใจของพี่สาวที่อยากให้น้องได้ผ่อนคลายกับธรรมชาติอันสดชื่น“ทำใจให้สบายเถิดนะเซียงเอ๋อร์ อย่าได้กังวลเกินไป เสด็จพ่อทำเพื่อเจ้า องครักษ์จางเองก็เหมาะสมคู่ควร แม้เป็นองครักษ์หากก็เป็นถึงบุตรเจ้ากรมคลัง เป็นสหายสนิทของพี่รอง”องค์หญิงเจียวมิ่งสงสารน้องสาวยิ่งนัก หากก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากให้กำลังใจ“เสด็จพ่อเองก็คงปวดพระทัย หากทรงรับรู้ว่าเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับจนผ่ายผอมเช่นนี้ ดูแลตัวเองให้ดีจนถึงวันแต่งงานเถิด เจ้าสาวควรมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่งผุดผาด”ผู้เป็นน้องยิ้มบางไม่แย้งสิ่งใด นางยังทำใจไม่ได้และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำใจยอมรับการแต่งงานได้หรือไม่ได้เวลากลับองค์หญิงทั้งสองต่างก็ขึ้นรถม้าของตน องค์หญิงหนิงเซียงมีหลิงเอ๋อร์คอยดูแลอยู่ภายในรถม้าด้วย สีหน้าเจ้าตัวดูเคร่งเครียดและครุ่นคิดตลอดเวลา ทว่าองค์หญิงหนิงเซียงไม่ได้สังเกตสิ่งอื่นมากนัก ใบหน้างดงามหมองเศร้าและเหม่อลอย แม้อยู่กับพี่สาวจะทำให้ต
“องค์หญิง กินอีกคำสองคำก็ยังดีนะเพคะ”หลิงเอ๋อร์พยายามคะยั้นคะยอเมื่อองค์หญิงหนิงเซียงกินอาหารไปเพียงเล็กน้อย ร่างอรชรผ่ายผอมบอบบางยิ่งกว่าเดิมจนดวงหน้างดงามซีดตอบ นางกำนัลคนสนิทที่เอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดในทุกวันเห็นแล้วก็ปวดใจนัก“เอาออกไปเถิด ข้าไม่อยากกินแล้ว”“โธ่ องค์หญิง”องค์หญิงหนิงเซียงไม่สนใจเสียงโอดของนางกำนัลคนสนิท ร่างบอบบางลุกจากโต๊ะทานอาหารกลับเข้าไปในห้องนอน หลิงเอ๋อร์จึงได้แต่พยักหน้าเรียกให้นางกำนัลอีกสองคนเข้ามาเก็บอาหารออกไปแล้วก้าวตามนายตนร่างอรชรทรุดลงนั่งตรงโต๊ะเขียนหนังสือ หลิงเอ๋อร์ก็รีบเข้ามาช่วยฝนหมึก จัดกระดาษกับพู่กันให้“ข้าอยากได้ชากุหลาบ เจ้าไปสั่งที่ห้องเครื่องให้หน่อยนะหลิงเอ๋อร์”“เพคะ”หลิงเอ๋อร์ออกไปแล้วองค์หญิงหนิงเซียงก็เริ่มเขียนอักษรลงบนกระดาษช้าๆ มือที่จับพู่กันมั่นคง แม้กายจะสั่นด้วยแรงสะอื้นเบาๆ ทว่าเมื่อน้ำตาเริ่มรื้นใกล้หยาดรินปลายนิ้วเรียวก็กรีดทิ้ง ไม่ยอมให้หยดลงบนกระดาษ ไม่นานนักหนังสือสองฉบับก็ถูกพับใส่ซอง ก่อนนางจะเขียนนามผู้ที่ต้องการส่งถึง แล้วก็เป็นเวลาเดียวกับที่หลิงเอ๋อร์เดินนำนางกำนัลอีกคนยกกากับถ้วยน้ำชาเข้ามาพร้อมขนมและรินให้นายต
“ใต้เท้าหลิว”ชายหนุ่มกับมองผู้เข้ามาหาด้วยสีเข้มขรึม ขณะสหายที่มาด้วยกันแปลกใจ หากเมื่อนางกำนัลเอ่ยต่อเขาก็ขอตัว“เอ่อ ข้ามีเรื่องขอพูดกับใต้เท้าตามลำพังได้หรือไม่เจ้าคะ”“ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน”อีกฝ่ายจากไปโดยง่าย เพราะหลิวซูหยวนเป็นที่สนใจของสตรีทั้งในวังและบรรดาบุตรสาวขุนนางหรือแม้แต่ท่านหญิง หลายคนเพียงแอบเมียงทว่านางกำนัลผู้นี้ช่างกล้าหาญนักในความคิดของเขาจึงไม่อยากขัด“มีเรื่องใดหรือ”“เชิญใต้เท้าตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ”หลิงเอ๋อร์ผายมือไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ริมกำแพงอุทยานแล้วเดินนำ หลิวซูหยวนลังเลหากก็ก้าวตามด้วยความตงิดใจ กระทั่งพ้นต้นไม้มาก็เห็นร่างอรชรที่ทำเอาคิ้วเข้มขมวด ส่วนนางกำนัลสาวกลับไปดูต้นทาง“ถวายพระพรองค์หญิง”“ใต้เท้าหลิว”องค์หญิงหนิงเซียงมองผู้ที่อยู่ในหัวใจตนด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง กระนั้นก็ไม่มั่นใจนักว่าสิ่งที่นางต้องการพูดกับอีกฝ่าย ชายหนุ่มจะคิดเห็นอย่างไร“ข้า...เอ่อ...”สบตาคมเข้มนิ่งเฉยแล้วนางกลับพูดไม่ออก“องค์หญิงมีสิ่งใดรับสั่งกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ หากมีผู้ใดผ่านมาเห็นเข้าคงไม่เหมาะนัก”อีกฝ่ายถามเสียงเรียบ บั่นทอนกำลังใจของผู้ที่เตรียมตัวเตรียมใจมาแล
“เซียงเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำให้สด็จพ่อโกรธมาก อย่าได้ทำเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจถูกลงทัณฑ์”องค์ชายรองเสวียนหลินตามมายังตำหนักองค์หญิงหนิงเซียงหลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว“ให้เสด็จพ่อลงทัณฑ์ข้าเสียยังดีกว่าให้ข้าแต่งงาน”เห็นน้ำตาที่รินไหลไม่ขาดสาย ทว่าสีหน้ากลับมุ่งมั่นแข็งขืนของน้องสาวแล้วสีหน้าองค์ชายรองกลับยิ่งเคร่งเครียด เจ้าตัวยังนั่งคุกเข่าอยู่ในตำหนักตนไม่ขยับแม้หลิงเอ๋อร์กับนางกำนัลคนอื่นจะช่วยกันเลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล“เซียงเอ๋อร์”องค์ชายรองอ่อนใจในความดื้อดึงของน้องสาว แปลกใจนักที่น้องน้อยผู้เรียบร้อยและหัวอ่อนเสมอมาของตนกลับกล้าขัดรับสั่งพระบิดา‘ช่างดื้อรั้นเอาแต่ใจนัก หากขอสิ่งใดข้าก็อนุญาต กลับคำ พลิกราชโองการ คำพูดของข้าจะยังศักดิ์สิทธิ์เชื่อถือได้อีกหรือ เจ้าพูดกับน้องเจ้าให้นางเข้าใจ ข้าตัดสินใจเช่นนี้ก็เพื่อนาง’พระบิดารับสั่งย้ำอย่างขุ่นเคืององค์ชายรองย่อกายลงตรงหน้าอีกฝ่าย วางมือสองข้างบนบ่าบอบบาง“เสด็จพ่อทำเพื่อเจ้า ชาวเมืองมากมายต่างก็เห็นฮ่าวหมิงอุ้มเจ้า แตะต้องเนื้อตัวและช่วยชีวิตเจ้าไว้ เขามีความดีความชอบ ส่วนเจ้าเป็นถึงองค์หญิง ไม่ควรมีผู้ใดแตะต้องชิ
ในรถม้าองค์หญิงหนิงเซียงมองพัดในมือตนพลางถอนหายใจ ขณะที่หลิงเอ๋อร์ก็มีพัดคอยพัดวีไล่ความร้อนอบอ้าวให้ผู้เป็นนาย ด้วยพัดจากใต้เท้าหลิวนั้นองค์หญิงจะถือไว้ด้วยตนเองเสมอ“น่าเสียดายที่ก่อนกลับไม่ได้บอกกล่าวใต้เท้ามู่กับใต้เท้าหลิวนะเพคะ”หลิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างรู้ใจว่าแท้จริงแล้วนายตนอยากพบหน้าผู้ใดก่อนเข้าวัง เพราะนับแต่พ่ายแพ้หลิวซูหยวนก็ไปนั่งดูการแข่งขันร่วมกับสหายในสำนักราชเลขาธิการ ไม่ได้มานั่งร่วมโต๊ะกับราชบุตรเขยอีก“หลิงเอ๋อร์”ใบหน้าหวานงดงามงอง้ำพลางเอ่ยปรามคนสนิทเสียงอุบอิบเพราะรู้แก่ใจว่าความรู้สึกของตนนั้นกำลังเริ่มไม่เหมาะไม่ควรขณะนั้นเสียงม้าร้องดังขึ้นทั้งรถม้ายังกระชากอย่างแรงจนร่างอรชรกระแทกเข้ากับด้านข้างรถม้า“โอ๊ะ...เกิดอะไรขึ้น”หลิงเอ๋อร์ร้องขึ้นพลางรีบประคองนายตน“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”เสียงคนที่ควบคุมม้าด้านนอกตะโกนลั่น“ระวัง! ด้านหน้าระวังด้วย!”หลายเสียงเริ่มตะโกนดัง รถม้าขององค์หญิงหนิงเซียงอยู่ท้ายขบวน หากม้าตื่นตระหนกวิ่งเร็วอาจลากจูงให้รถม้าไปชนกับทหารองครักษ์รวมถึงรถม้าด้านหน้าได้ นั่นอาจพลอยทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ทั้งกับองค์ชายรองและองค์ชายสามรถม้ายังถูกแ
แคว้นอันมีการแข่งขันเตะลูกหนังเป็นการละเล่นประจำปี แต่ละกรมจะจัดกลุ่มคนเพื่อแข่งขันเจ็ดคน กรมใดมีชัยได้อันดับหนึ่งจะได้รับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้เป็นทองคำยี่สิบก้อน และได้นั่งด้านหน้าสุดในงานพระราชสมภพของฮ่องเต้กับฮองเฮาในปีนั้น นับว่าเป็นเกียรติอย่างมากทุกกรมจึงจริงจังกับการแข่งนี้แม้สำนักราชเลขาธิการจะไม่ได้แข็งแกร่งเช่นกรมทหารรักษาพระราชวังหรือทหารองครักษ์ หากส่วนใหญ่ก็เคยผ่านการละเล่นนี้มาแล้วในตอนศึกษาอยู่ในสำนักศึกษา หลิวซูหยวนกับมู่ฉางเหยียนจึงเข้าร่วมเป็นตัวแทนองค์หญิงหนิงเซียงเคยมาชมการแข่งขันพร้อมองค์หญิงเจียวมิ่งที่สามารถมาชมเพื่อให้กำลังใจพระสวามีแล้วในสองปีที่ผ่านมา หากไม่ได้สนใจการแข่งจริงจังนัก ทว่าในปีนี้กลับต่างออกไปเมื่อได้เห็นหนึ่งในผู้ร่วมเล่นลูกหนังจากสำนักราชเลขาธิการ“ใต้เท้าหลิวฝีมือไม่เบาทีเดียว ทั้งยังเล่นได้เข้าขากับท่านพี่มากอีกด้วย”ผู้เป็นพี่สาวหันมากระซิบกับนาง องค์หญิงหนิงเซียงเพียงยิ้มรับ ไม่ได้แสดงทีท่าตื่นเต้นเท่าใดนัก หากความจริงนางแทบไม่อาจละสายตาจากร่างสูงใหญ่ที่เล่นลูกหนังอย่างคล่องแคล่ว ทั้งแย่งทั้งส่ง หรือกระทั่งกระโดดม้วนตัวเตะลูกหนังเข้าไ
“เอ่อ คุณหนู...”หลิงเอ๋อร์เอ่ยเตือนถึงความไม่เหมาะสมราวดึงสติของผู้เป็นนายกลับมา องค์หญิงหนิงเซียงรีบดึงมือตนเองจากเสื้ออีกฝ่ายแล้วจะผละกายออก หากเขากลับนำพาให้นางเดินออกจากกลุ่มคนโดยไม่คิดปล่อยแขนจากเอวบาง ทำเอาสองสาวมองกันด้วยความงุนงง ออกอาการเลิ่กลั่กทั้งนายและบ่าวแต่เมื่อห่างจากผู้คนที่เบียดเสียดชายหนุ่มก็ปล่อยและขยับไปยืนเว้นระยะด้วยตัวเอง หลิงเอ๋อร์เองก็ประคองนายตนราวหวงแหน ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงองค์หญิงเจียวมิ่งพร้อมร่างอรชรก็ตรงเข้ามาหาน้องสาวอย่างร้อนใจ โดยผู้เป็นสวามีตามมาเช่นกัน“เซียงเอ๋อร์ พี่ตกใจแทบแย่ที่อยู่ๆ ก็ไม่เห็นเจ้า”มือบางถูกจับพร้อมสายตาที่ฉายแววห่วงกังวลก็กวาดมองร่างผู้เป็นน้องจนทั่ว“อ้าว หลิวซูหยาง”“ใต้เท้ามู่...ถวายพระพรองค์หญิง”หลิวซูหยางเอ่ยนามผู้ที่มาใหม่อย่างให้เกียรติทว่าอีกฝ่ายกลับตบบ่าเขาอย่างแรง“ใต้ทงใต้เท้าอะไรกัน บอกแล้วว่าพบกันข้างนอกเราก็ยังเป็นสหายเช่นเดิม”มู่ฉางเหยียนนั้นเข้ารับราชการในสำนักราชเลขาก่อนหลิวซูหยางแล้วได้รับพระราชทานอภิเษกหลังจากนั้น เวลานี้มีตำแหน่งเป็นถึงผู้ช่วยราชเลขาธิการส่วนพระองค์ทั้งยังเป็นถึงเป็นราชบุตรเขยด้ว