แคว้นอันมีการแข่งขันเตะลูกหนังเป็นการละเล่นประจำปี แต่ละกรมจะจัดกลุ่มคนเพื่อแข่งขันเจ็ดคน กรมใดมีชัยได้อันดับหนึ่งจะได้รับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้เป็นทองคำยี่สิบก้อน และได้นั่งด้านหน้าสุดในงานพระราชสมภพของฮ่องเต้กับฮองเฮาในปีนั้น นับว่าเป็นเกียรติอย่างมากทุกกรมจึงจริงจังกับการแข่งนี้
แม้สำนักราชเลขาธิการจะไม่ได้แข็งแกร่งเช่นกรมทหารรักษาพระราชวังหรือทหารองครักษ์ หากส่วนใหญ่ก็เคยผ่านการละเล่นนี้มาแล้วในตอนศึกษาอยู่ในสำนักศึกษา หลิวซูหยวนกับมู่ฉางเหยียนจึงเข้าร่วมเป็นตัวแทน
องค์หญิงหนิงเซียงเคยมาชมการแข่งขันพร้อมองค์หญิงเจียวมิ่งที่สามารถมาชมเพื่อให้กำลังใจพระสวามีแล้วในสองปีที่ผ่านมา หากไม่ได้สนใจการแข่งจริงจังนัก ทว่าในปีนี้กลับต่างออกไปเมื่อได้เห็นหนึ่งในผู้ร่วมเล่นลูกหนังจากสำนักราชเลขาธิการ
“ใต้เท้าหลิวฝีมือไม่เบาทีเดียว ทั้งยังเล่นได้เข้าขากับท่านพี่มากอีกด้วย”
ผู้เป็นพี่สาวหันมากระซิบกับนาง องค์หญิงหนิงเซียงเพียงยิ้มรับ ไม่ได้แสดงทีท่าตื่นเต้นเท่าใดนัก หากความจริงนางแทบไม่อาจละสายตาจากร่างสูงใหญ่ที่เล่นลูกหนังอย่างคล่องแคล่ว ทั้งแย่งทั้งส่ง หรือกระทั่งกระโดดม้วนตัวเตะลูกหนังเข้าไปในช่องวงกลมด้วยท่วงท่าเก่งกาจน่าชื่นชม เรียกเสียงปรบมือจากบรรดาหญิงสาวญาติสนิทเหล่าขุนนางหลายนางที่ตามติดมาดูการแข่งขันในวันนี้
จนเมื่อฝ่ายสำนักราชเลขาธิการชนะ บรรดาหญิงสาวต่างก็ลุกขึ้นปรบมืออย่างออกหน้าออกตา บางคนถึงกับเอ่ยให้ได้ยิน
“ใชคดีนักที่ได้มาเห็นกับตา ว่ากันว่าหลิวซูหยวนบัณฑิตอันดับหนึ่งในปีนี้ ทีท่าองอาจและเฉลียวฉลาดนัก”
“เป็นถึงบุตรชายท่านแม่ทัพใหญ่ชายแดน ฝีมือด้านการต่อสู้ก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน ข้าเคยได้ยินมาจากพี่ชายว่าฝีมือเพลงดาบเพลงทวนก็ร้ายกาจทีเดียว”
“เก่งทั้งบุ๊บุ๋นเช่นนี้ สกุลใดก็คงต้องการไปเป็นเขย ทั้งยังมีทัพใหญ่สกุลหลิวทางแดนเหนือเป็นกองหนุนด้วย”
“อะแฮ่ม”
เสียงแว่วพูดคุยเงียบลงเมื่อมีเสียงกระแอมของใครคนหนึ่ง ราวกับต้องการเตือนให้รู้ว่ามีองค์หญิงนั่งอยู่ในบริเวณนี้ด้วย เพราะเรื่องอำนาจกองทัพนั้นสำคัญ แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยให้ตกอยู่กับขุนนางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าตระกูลหลิวอาจได้เกี่ยวดองเป็นพระญาติสนิท
“เหนื่อยมากหรือไม่ท่านพี่”
เวลานั้นมู่ฉางเหยียนกลับมาหาองค์หญิงเจียวมิ่ง โดยมีคู่อื่นลงแข่งต่อ ส่วนฝ่ายที่มีชัยก็รอลงสนามในรอบต่อไป แต่ละคนจึงแยกย้ายไปพักก่อน
“ไม่เลยองค์หญิง ออกจะสนุกมากเสียด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มตอบภรรยาผู้สูงศักดิ์ก่อนจะนั่งลงเคียงข้าง โดยมีร่างสูงใหญ่ของหลิวซูหยวนตามมาด้วย
“ถวายพระพรองค์หญิง”
“เชิญใต้เท้าหลิวตามสบาย พักดื่มน้ำชาให้สดชื่นก่อนเถิด”
องค์หญิงเจียวมิ่งผายมือเชื้อเชิญ แล้วหันมารินน้ำชาให้สวามี ขณะที่องค์หญิงหนิงเซียงรีบซ่อนพัดในมือตนเข้าไปในแขนเสื้อ เกรงจะตีสีหน้าไม่ถูกหากหลิวซูหยวนเห็นว่าตนพกพัดที่เขาให้ติดตัว และกำลังคิดว่าจะรินน้ำชาให้ชายหนุ่มดีหรือไม่ แต่ก็คงไม่เหมาะ ทว่าคนสนิทของพี่สาวก็ขยับเข้ามาจัดการอย่างรู้หน้าที่
“ใต้เท้าหลิวเชี่ยวชาญการเตะลูกหนังยิ่งนัก ในนี้เอ่ยชื่นชมกันไม่หยุด”
ผู้เป็นสวามีขมวดคิ้วมุ่นเมื่อภรรยาเอ่ยชมผู้อื่นต่อหน้าตน
“องค์หญิงชื่นชมผิดคนหรือไม่”
องค์หญิงเจียวมิ่งยิ้มหวานให้สวามีก่อนเอ่ย
“ฝีเท้าการเตะลูกหนังของท่านพี่ข้าเคยเห็นมาแล้ว แต่เพิ่งได้ดูใต้เท้าหลิว และได้เห็นหญิงสาวแต่ละนางปรบมือกันไม่หยุดเมื่อลูกหนังอยู่ที่เท้าของใต้เท้าหลิว ข้าจึงพูดไปตามนั้น”
“อ้อ หมายถึงหญิงอื่น ไม่ใช่องค์หญิงก็แล้วไป”
มู่ฉางเหยียนพยักหน้าอย่างยอมจบเรื่อง
ระหว่างสองสามีภรรยาเย้ากันอย่างไม่จริงจังนักนั้น องค์หญิงหนิงเซียงกลับไม่กล้ามองไปทางหลิวซูหยวน อยู่ๆ ก็เกร็งขึ้นมาเมื่อต้องเผชิญหน้าในระยะใกล้ ก่อนหน้านี้นางไม่ทันคิดว่าชายหนุ่มจะตามพี่เขยมา
“ไม่คิดว่าองค์หญิงจะโปรด การละเล่นของบุรุษสตรีอาจดูไม่สนุกเท่าไรนัก”
หลิวซูหยวนเอ่ย หากองค์หญิงหนิงเซียงกลับเห็นต่าง ทำเอาอดแย้งไม่ได้
“หากดูไม่สนุกคนแถวนี้จะปรบมือส่งเสียงให้ท่านกันดังลั่นหรือ”
เอ่ยไปแล้วก็ต้องชะงัก เพราะเมื่อหันไปสบสายตาคมเข้มแล้วเห็นแววพราวระยับในนั้นแวบหนึ่งก่อนเลือนหาย ทว่าที่หัวเราะเบาๆ กลับเป็นพี่สาวของตนกับพี่เขย องค์หญิงหนิงเซียงจึงหันมองด้วยความไม่เข้าใจ
“มีสิ่งใดน่าขันหรือพี่หญิง”
ใบหน้างดงามส่ายไปมา แต่ผู้เป็นน้องไม่เชื่อ
“ต้องมีแน่ ไม่เช่นนั้นท่านกับพี่เขยจะหัวเราะได้อย่างไร ข้าพูดเรื่องน่าขบขันหรือ”
“เฮ้อ เจ้านี่ ไร้เดียงสานัก”
องค์หญิงเจียวมิ่งยิ้มอ่อนโยน แล้วเอื้อมมือมาหาน้องสาวรั้งให้มานั่งชิดใกล้
ในตอนนั้นมีทหารเข้ามารายงานมู่ฉางเหยียนกับหลิวซูหยวนว่าได้เวลาต้องไปเตรียมตัวแข่งแล้วทั้งสองจึงลุกออกไป
เมื่ออยู่ตามลำพังองค์หญิงเจียวมิ่งก็กระซิบกับน้องสาว
“เจ้าคิดหรือว่าบรรดาบุตรสาวหลานสาวขุนนางตั้งใจมาชมการแข่งขันเอาเป็นเอาตายของบุรุษ”
คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นพลางสบตาพี่สาวด้วยความงุนงง
“นอกจากมาให้กำลังญาติพี่น้องตนแล้ว พวกนางต่างก็มาชมบุรุษด้วย”
“พี่หญิง”
องค์หญิงหนิงเซียงพึมพำอย่างคาดไม่ถึง และเมื่อผู้เป็นพี่สาวพยักหน้าราวยืนยัน นางก็เหล่มองบรรดาหญิงสาว ทั้งท่านหญิงบุตรสาวท่านอ๋อง ฮูหยินและบุตรสาวขุนนางที่นั่งอยู่สองด้านซ้ายขวา เพราะตนกับพี่สาวนั่งตรงกลางด้วยเป็นเชื้อพระวงค์ชั้นสูง เห็นพวกนางจ้องมองในสนามด้วยรอยยิ้มและปรบมือเป็นระยะก็ยิ้มเจื่อนกับตัวเอง
เพิ่งเข้าใจการมาชมแข่งขันเตะลูกหนังประจำปีก็ตอนนี้เอง
ไม่นานสำนักราชเลขาธิการก็ลงแข่งอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้พ่ายแพ้ให้กับสำนักราชองครักษ์ไปเพียงลูกเดียว นับว่าเป็นการแข่งที่น่าตื่นตาตื่นใจในความรู้สึกขององค์หญิงหนิงเซียงมาก
“ว้า เสียดายจริง ใต้เท้าหลิวแพ้เสียแล้ว”
“แต่เจ้าดูสิ นายทหารองครักษ์ที่ตัวโตคนนั้นฝีมือเก่งกาจนัก เตะเข้าคนเดียวไปหลายลูกเชียว”
“อ้อ ข้าจำได้ เขาเป็นพระสหายคนสนิทขององค์ชายรอง”
จะว่าไปองค์หญิงหนิงเซียงก็คุ้นใบหน้าอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน ทว่าเห็นเพียงไกลๆ และนางมัวจดจ่อเอาใจช่วยหลิวซูหยวนจึงไม่ทันสนใจผู้ใดนัก เมื่อได้ยินบุตรสาวท่านอ๋องที่นั่งไม่ห่างนักเอ่ยนางก็นึกได้ว่ามักเห็นชายผู้นี้อยู่กับพี่ชายตน
“เท่าที่ข้ารู้มา เป็นถึงบุตรชายเจ้ากรมคลังจาง เล่าเรียนเขียนอ่านและฝึกปรืออาวุธมาพร้อมกับองค์ชายรองนับแต่อายุยังน้อย ใกล้ชิดสนิทสนมกว่าผู้ใดจึงได้รับตำแหน่งราชองครักษ์ประจำพระองค์”
การแข่งขันผ่านไปอีกหนึ่งคู่ก็ได้ผู้เข้าชิง ซึ่งยังคงเป็นสำนักราชองครักษ์กับกรมทหารรักษาวังเหมือนเช่นทุกปี เมื่อใกล้เวลาชิงชัยองค์ชายรองเสวียนหลินกับองค์ชายสามซุ่นอวิ๋นก็เสด็จมาชม
“องค์ชายรอง องค์ชายสามเสด็จ”
หญิงสาวในที่นั้นต่างลุกจากเก้าอี้และย่อกายลง ที่ประทับนั้นจัดไว้เป็นสัดส่วนด้านตรงข้ามแยกชายหญิง มีบรรดาท่านอ๋องและขุนนางใหญ่เจ้ากรมต่างๆ มาชมและรอรับเสด็จอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดลุกขึ้นคำนับต้อนรับองค์ชายทันที
“ถวายพระพรองค์ชายรอง องค์ชายสาม”
“ตามสบาย”
องค์ชายรองเสวียนหลินเอ่ยแล้วไปนั่งลงตรงกลาง องค์ชายสามซุ่นอวิ๋นนั่งถัดมา จากนั้นการแข่งขันก็เริ่มขึ้น ทั้งสองฝั่งเล่นได้อย่างสูสีผลัดกันยิงได้ตลอดเวลาไม่มีทิ้งห่าง กระทั่งลูกสุดท้ายพร้อมกับระฆังหมดเวลาทางด้านจางฮ่าวหมิงเป็นผู้ทำแต้มเพิ่มให้สำนักราชองครักษ์มีชัย
“เยี่ยม เยี่ยมมากฮ่าวหมิง”
องค์ชายรองปรบมือเสียงดังอย่างพอใจในฝีมือของสหายสนิท แล้วทุกคนก็ปรบมือชื่นชมชายหนุ่มรวมถึงทั้งสองทีม
“เป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมมาก พวกเจ้าทั้งสองกรมทำได้ดี เก่งกาจน่าชื่นชมจริงๆ”
ผู้ร่วมแข่งขันทั้งหมดมายืนเรียงแถวด้านหน้าที่ประทับ องค์ชายรองก็เอ่ยชมอีกครั้ง
“ใช่ ได้ดูพวกเจ้าเล่นแล้ว ข้ากับพี่รองอยากลงไปเล่นด้วยเสียจริง”
องค์ชายสามสำทับแล้วองค์ชายรองก็พยักหน้าเห็นด้วย
หลังเอ่ยถึงความประทับใจในการแข่งลูกหนังประจำปีครั้งนี้แล้ว องค์ชายรองก็มอบรางวัลให้กับสำนักราชองครักษ์ซึ่งเป็นฝ่ายชนะ ส่วนกรมทหารรักษาวังนั้นองค์ชายสามเป็นผู้มอบให้ ไม่นานนักองค์ชายทั้งสองก็เตรียมเสด็จกลับ และได้พบกับองค์หญิงเจียวมิ่งกับองค์หญิงหนิงเซียงที่มารอส่งเสด็จด้านหน้า
“ไม่ได้พบเจ้าเสียนาน สบายดีหรือไม่น้องหญิง”
องค์ชายรองเอ่ยกับองค์หญิงเจียวมิ่ง
“สบายดีเพคะ”
“เห็นเจ้าสีหน้าแจ่มใส สุขสบายดีพี่ก็วางใจ”
“เพคะ”
“เซียงเอ๋อร์กลับพร้อมพี่เลยก็แล้วกัน”
“เพคะ”
องค์หญิงหนิงเซียงรับคำเมื่อผู้เป็นพี่ชายหันมาบอกกับตนก่อนจะบอกลาผู้เป็นพี่สาว จากนั้นองค์ชายรอง องค์ชายสาม รวมถึงองค์หญิงหนิงเซียงก็ขึ้นรถม้าของตน แล้วขบวนใหญ่ก็เคลื่อนกลับวังหลวง
=====
หรือว่า หลิวซูหยวนอาจได้เป็นราชบุตรเขย?? ^^
ในรถม้าองค์หญิงหนิงเซียงมองพัดในมือตนพลางถอนหายใจ ขณะที่หลิงเอ๋อร์ก็มีพัดคอยพัดวีไล่ความร้อนอบอ้าวให้ผู้เป็นนาย ด้วยพัดจากใต้เท้าหลิวนั้นองค์หญิงจะถือไว้ด้วยตนเองเสมอ“น่าเสียดายที่ก่อนกลับไม่ได้บอกกล่าวใต้เท้ามู่กับใต้เท้าหลิวนะเพคะ”หลิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างรู้ใจว่าแท้จริงแล้วนายตนอยากพบหน้าผู้ใดก่อนเข้าวัง เพราะนับแต่พ่ายแพ้หลิวซูหยวนก็ไปนั่งดูการแข่งขันร่วมกับสหายในสำนักราชเลขาธิการ ไม่ได้มานั่งร่วมโต๊ะกับราชบุตรเขยอีก“หลิงเอ๋อร์”ใบหน้าหวานงดงามงอง้ำพลางเอ่ยปรามคนสนิทเสียงอุบอิบเพราะรู้แก่ใจว่าความรู้สึกของตนนั้นกำลังเริ่มไม่เหมาะไม่ควรขณะนั้นเสียงม้าร้องดังขึ้นทั้งรถม้ายังกระชากอย่างแรงจนร่างอรชรกระแทกเข้ากับด้านข้างรถม้า“โอ๊ะ...เกิดอะไรขึ้น”หลิงเอ๋อร์ร้องขึ้นพลางรีบประคองนายตน“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”เสียงคนที่ควบคุมม้าด้านนอกตะโกนลั่น“ระวัง! ด้านหน้าระวังด้วย!”หลายเสียงเริ่มตะโกนดัง รถม้าขององค์หญิงหนิงเซียงอยู่ท้ายขบวน หากม้าตื่นตระหนกวิ่งเร็วอาจลากจูงให้รถม้าไปชนกับทหารองครักษ์รวมถึงรถม้าด้านหน้าได้ นั่นอาจพลอยทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ทั้งกับองค์ชายรองและองค์ชายสามรถม้ายังถูกแ
“เซียงเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำให้สด็จพ่อโกรธมาก อย่าได้ทำเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจถูกลงทัณฑ์”องค์ชายรองเสวียนหลินตามมายังตำหนักองค์หญิงหนิงเซียงหลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว“ให้เสด็จพ่อลงทัณฑ์ข้าเสียยังดีกว่าให้ข้าแต่งงาน”เห็นน้ำตาที่รินไหลไม่ขาดสาย ทว่าสีหน้ากลับมุ่งมั่นแข็งขืนของน้องสาวแล้วสีหน้าองค์ชายรองกลับยิ่งเคร่งเครียด เจ้าตัวยังนั่งคุกเข่าอยู่ในตำหนักตนไม่ขยับแม้หลิงเอ๋อร์กับนางกำนัลคนอื่นจะช่วยกันเลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล“เซียงเอ๋อร์”องค์ชายรองอ่อนใจในความดื้อดึงของน้องสาว แปลกใจนักที่น้องน้อยผู้เรียบร้อยและหัวอ่อนเสมอมาของตนกลับกล้าขัดรับสั่งพระบิดา‘ช่างดื้อรั้นเอาแต่ใจนัก หากขอสิ่งใดข้าก็อนุญาต กลับคำ พลิกราชโองการ คำพูดของข้าจะยังศักดิ์สิทธิ์เชื่อถือได้อีกหรือ เจ้าพูดกับน้องเจ้าให้นางเข้าใจ ข้าตัดสินใจเช่นนี้ก็เพื่อนาง’พระบิดารับสั่งย้ำอย่างขุ่นเคืององค์ชายรองย่อกายลงตรงหน้าอีกฝ่าย วางมือสองข้างบนบ่าบอบบาง“เสด็จพ่อทำเพื่อเจ้า ชาวเมืองมากมายต่างก็เห็นฮ่าวหมิงอุ้มเจ้า แตะต้องเนื้อตัวและช่วยชีวิตเจ้าไว้ เขามีความดีความชอบ ส่วนเจ้าเป็นถึงองค์หญิง ไม่ควรมีผู้ใดแตะต้องชิ
“ใต้เท้าหลิว”ชายหนุ่มกับมองผู้เข้ามาหาด้วยสีเข้มขรึม ขณะสหายที่มาด้วยกันแปลกใจ หากเมื่อนางกำนัลเอ่ยต่อเขาก็ขอตัว“เอ่อ ข้ามีเรื่องขอพูดกับใต้เท้าตามลำพังได้หรือไม่เจ้าคะ”“ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน”อีกฝ่ายจากไปโดยง่าย เพราะหลิวซูหยวนเป็นที่สนใจของสตรีทั้งในวังและบรรดาบุตรสาวขุนนางหรือแม้แต่ท่านหญิง หลายคนเพียงแอบเมียงทว่านางกำนัลผู้นี้ช่างกล้าหาญนักในความคิดของเขาจึงไม่อยากขัด“มีเรื่องใดหรือ”“เชิญใต้เท้าตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ”หลิงเอ๋อร์ผายมือไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ริมกำแพงอุทยานแล้วเดินนำ หลิวซูหยวนลังเลหากก็ก้าวตามด้วยความตงิดใจ กระทั่งพ้นต้นไม้มาก็เห็นร่างอรชรที่ทำเอาคิ้วเข้มขมวด ส่วนนางกำนัลสาวกลับไปดูต้นทาง“ถวายพระพรองค์หญิง”“ใต้เท้าหลิว”องค์หญิงหนิงเซียงมองผู้ที่อยู่ในหัวใจตนด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง กระนั้นก็ไม่มั่นใจนักว่าสิ่งที่นางต้องการพูดกับอีกฝ่าย ชายหนุ่มจะคิดเห็นอย่างไร“ข้า...เอ่อ...”สบตาคมเข้มนิ่งเฉยแล้วนางกลับพูดไม่ออก“องค์หญิงมีสิ่งใดรับสั่งกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ หากมีผู้ใดผ่านมาเห็นเข้าคงไม่เหมาะนัก”อีกฝ่ายถามเสียงเรียบ บั่นทอนกำลังใจของผู้ที่เตรียมตัวเตรียมใจมาแล
“องค์หญิง กินอีกคำสองคำก็ยังดีนะเพคะ”หลิงเอ๋อร์พยายามคะยั้นคะยอเมื่อองค์หญิงหนิงเซียงกินอาหารไปเพียงเล็กน้อย ร่างอรชรผ่ายผอมบอบบางยิ่งกว่าเดิมจนดวงหน้างดงามซีดตอบ นางกำนัลคนสนิทที่เอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดในทุกวันเห็นแล้วก็ปวดใจนัก“เอาออกไปเถิด ข้าไม่อยากกินแล้ว”“โธ่ องค์หญิง”องค์หญิงหนิงเซียงไม่สนใจเสียงโอดของนางกำนัลคนสนิท ร่างบอบบางลุกจากโต๊ะทานอาหารกลับเข้าไปในห้องนอน หลิงเอ๋อร์จึงได้แต่พยักหน้าเรียกให้นางกำนัลอีกสองคนเข้ามาเก็บอาหารออกไปแล้วก้าวตามนายตนร่างอรชรทรุดลงนั่งตรงโต๊ะเขียนหนังสือ หลิงเอ๋อร์ก็รีบเข้ามาช่วยฝนหมึก จัดกระดาษกับพู่กันให้“ข้าอยากได้ชากุหลาบ เจ้าไปสั่งที่ห้องเครื่องให้หน่อยนะหลิงเอ๋อร์”“เพคะ”หลิงเอ๋อร์ออกไปแล้วองค์หญิงหนิงเซียงก็เริ่มเขียนอักษรลงบนกระดาษช้าๆ มือที่จับพู่กันมั่นคง แม้กายจะสั่นด้วยแรงสะอื้นเบาๆ ทว่าเมื่อน้ำตาเริ่มรื้นใกล้หยาดรินปลายนิ้วเรียวก็กรีดทิ้ง ไม่ยอมให้หยดลงบนกระดาษ ไม่นานนักหนังสือสองฉบับก็ถูกพับใส่ซอง ก่อนนางจะเขียนนามผู้ที่ต้องการส่งถึง แล้วก็เป็นเวลาเดียวกับที่หลิงเอ๋อร์เดินนำนางกำนัลอีกคนยกกากับถ้วยน้ำชาเข้ามาพร้อมขนมและรินให้นายตน
องค์หญิงหนิงเซียงนั่งรถม้าแยกกับองค์หญิงเจียวมิ่งเพื่อเวลากลับจะได้ตรงเข้าวังมาเลยเพราะดูไปแล้วน่าจะกลับเข้าเมืองค่อนข้างเย็น ไหว้พระขอพรเสร็จออกมาจากอารามก็แวะพักริมน้ำตกกินของว่าง เป็นความตั้งใจของพี่สาวที่อยากให้น้องได้ผ่อนคลายกับธรรมชาติอันสดชื่น“ทำใจให้สบายเถิดนะเซียงเอ๋อร์ อย่าได้กังวลเกินไป เสด็จพ่อทำเพื่อเจ้า องครักษ์จางเองก็เหมาะสมคู่ควร แม้เป็นองครักษ์หากก็เป็นถึงบุตรเจ้ากรมคลัง เป็นสหายสนิทของพี่รอง”องค์หญิงเจียวมิ่งสงสารน้องสาวยิ่งนัก หากก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากให้กำลังใจ“เสด็จพ่อเองก็คงปวดพระทัย หากทรงรับรู้ว่าเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับจนผ่ายผอมเช่นนี้ ดูแลตัวเองให้ดีจนถึงวันแต่งงานเถิด เจ้าสาวควรมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่งผุดผาด”ผู้เป็นน้องยิ้มบางไม่แย้งสิ่งใด นางยังทำใจไม่ได้และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำใจยอมรับการแต่งงานได้หรือไม่ได้เวลากลับองค์หญิงทั้งสองต่างก็ขึ้นรถม้าของตน องค์หญิงหนิงเซียงมีหลิงเอ๋อร์คอยดูแลอยู่ภายในรถม้าด้วย สีหน้าเจ้าตัวดูเคร่งเครียดและครุ่นคิดตลอดเวลา ทว่าองค์หญิงหนิงเซียงไม่ได้สังเกตสิ่งอื่นมากนัก ใบหน้างดงามหมองเศร้าและเหม่อลอย แม้อยู่กับพี่สาวจะทำให้ตน
นางหลงทาง...ผู้ที่ไม่เคยไปมาในเมืองหลวงด้วยตนเองเดินโผเผอย่างเหนื่อยล้า นับแต่หนีจากร้านผ้ามาองค์หญิงหนิงเซียงกลับก้าวไปอย่างไร้จุดหมาย หลิงเอ๋อร์กำชับว่าให้หาโรงเตี๊ยมเพื่อพักทว่านางกลับไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน เดินไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่พบโรงเตี๊ยมและเวลาก็ใกล้จะเย็นแล้วจำเป็นต้องมีที่พักหลับนอนองค์หญิงหนิงเซียงเป็นห่วงหลิงเอ๋อร์มากกว่าตนเอง ทว่าเพราะอีกฝ่ายยอมทำทุกอย่างเพื่อตนนางจึงมุ่งมั่นที่จะหนีดรอดให้ได้‘ข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร’ขณะที่อยู่ในรถม้านางยังตัดสินใจไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายก็คุกเข่าอ้อนวอน‘องค์หญิงของหลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ไม่อยากให้ท่านทุกข์ทรมานทั้งกายใจ เห็นท่านมีคราบน้ำตาอาบแก้มในทุกวันคืน กินอาหารน้อยนิด หลิงเอ๋อร์ก็ทุกข์ทรมานไปพร้อมท่าน ยิ่งท่านทำร้ายตัวเอง หลิงเอ๋อร์ยิ่งกลัว ได้โปรด ไม่ว่าสิ่งใด ขอเพียงท่านกลับมายิ้มได้อีกครั้ง หลิงเอ๋อร์พร้อมเผชิญเพคะ’เจ้าตัวเอ่ยเจือสะอื้น ทำเอาองค์หญิงหนิงเซียงน้ำตาไหลไปด้วย ดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตานั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวปวดร้าวในอกเพียงใดที่เห็นนางปราศจากความสุขทั้งกายและใจ‘ไปจากวังหลวง เพื่อพบชีวิตที่อิสระและมีความสุขอย่างแท้จริงเถิดเพคะ
ใจดวงน้อยสั่นไหวด้วยความไม่มั่นใจขณะนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังเคลื่อนมาหน้าประตูเมือง เหลือบมองผู้ที่นั่งอีกด้านในรถม้าซึ่งใบหน้านิ่งสนิทแล้วก็เม้มริมฝีปากก้มหน้าลงครุ่นคิด‘ท่านคิดจะไปที่ใด’หลังหลบทหารมายังที่หนึ่งนางสะบัดตัวจะเดินหนีอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้น‘ข้าไม่จำเป็นต้องบอกท่าน’‘ท่านยังไม่รู้จะไปที่ใดมากกว่า’ใบหน้าเฉยชากับคำพูดกระด้างราวเย้ยหยันนั้นกวนอารมณ์นางให้ขุ่นนัก‘ไยท่านต้องมายุ่งกับข้าอีก ในเมื่อปฏิเสธข้าแล้วก็ปล่อยให้ข้าไปตามทางของข้า ไม่ต้องข้องเกี่ยวหรือใส่ใจใดๆ อีก’‘เห็นท่านกำลังพาตัวเองก้าวเข้าสู่อันตรายจะให้ข้าละเลยได้อย่างไร’ริมฝีปากอิ่มสวยขยับยิ้มหยันกับคำเอ่ยราวใส่ใจ‘ทั้งที่ท่านทำให้ข้าอับอายขายหน้า เป็นผู้หญิงไร้ยางอายไปแล้วยังบอกว่าไม่อาจละเลยอีกหรือ หึ...น้ำใจจากท่าน ข้าไม่ต้องการ’องค์หญิงหนิงเซียงเมินหน้าหนีจะเดินจากมา ทว่ากลับต้องชะงักอย่างลังเลในคำพูดของหลิวซูหยวน‘หากท่านต้องการออกนอกเมืองไปกับข้าก็ได้ อีกอย่างท่านไม่ควรอยู่ในชุดสตรี’และแล้วนางก็จำต้องให้ชายหนุ่มช่วยเหลือแม้ไม่รู้ว่าออกนอกเมืองไปแล้วจะทำอย่างไรต่อไป แต่หากยังอยู่ในนี้นางต้องถูกเจอตัวและพากล
ความไม่ชินทำให้องค์หญิงหนิงเซียงไม่อาจข่มตาหลับลงได้กระทั่งใกล้รุ่งเช้า รู้สึกตัวอีกครั้งก็ลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วมองไปโดยรอบอย่างหวาดหวั่น ความกลัวเกาะกินหัวใจนับแต่เลือกที่จะหนีมา ยอมรับว่าการได้พบหลิวซูหยวนนั้นช่วยลดทอนความวิตกกังวลได้ไม่น้อย ทว่านางยังเคืองอีกฝ่ายจึงผลักไสเขา หากมาถึงตอนนี้ที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเต็มตัวนางกลับเป็นห่วงอีกฝ่ายนางไม่อยากทำลายผู้ใดอีกแล้ว อีกอย่างนางก็ยังห่วงหลิงเอ๋อร์กับคนอื่นๆมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงเข้มจากด้านนอกองค์หญิงหนิงเซียงจึงลุกไปเปิดประตู“ข้าเองขอรับคุณหนู”เป็นเสียงของหลิวซูหยวน ชายหนุ่มคงไม่ต้องการให้ผู้ใดผิดสังเกตจึงเอ่ยกับตนเช่นนี้“กระหม่อมสั่งอาหารมาให้ท่านแล้ว หลังกินเสร็จเราต้องรีบเดินทาง ไม่นานทหารอาจตามท่านออกมานอกเมือง โรงเตี๊ยมนี้อยู่ไม่ไกลนัก”เขาบอกทันทีที่ประตูปิดลง“ท่านควรรีบกลับเข้าเมืองไม่ใช่หรือ ท่านมีงานต้องทำ หายหน้าไปอาจมีคนสงสัย”องค์หญิงหนิงเซียงเอ่ยในสิ่งที่คิด“อีกอย่าง ข้าอยากรบกวนท่าน ช่วยหาทางไปดูหลิงเอ๋อร์กับคนอื่นๆ ในตำหนักของข้าได้หรือไม่ ข้ารู้ว่าทำให้ท่านลำบากใจ แต่ข้าห่วงพวกนาง”หลิวซูหยวนถอนห
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”ร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาหานางพร้อมกับหลี่เหอจือเยว่ยืนนิ่งเพราะรู้สึกถึงแรงบีบถี่ในท้องของตน มือบางกุมท้องและทรุดกายลง เฟยอวี่ก็รีบช่วยประคอง“ปวดท้องหรือ”นางพยักหน้าให้สามี ก่อนจะพูดเสียงสั่น“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”เฟยอวี่ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็อุ้มภรรยาของตนไปยังดินแดนมนุษย์ หลี่เหอช่วยเนรมิตกระท่อมขึ้นมา“ทำอย่างไรดี หากหลี่เอินอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี”เขาอดคิดถึงน้องสาวไม่ได้เทพสงครามวางร่างอรชรที่งอตัวแล้วร้องดังขึ้นเรื่อยๆ พายุที่หยุดไปเมื่อครู่เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง ฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น จือเยว่ยิ่งดิ้นทุรนทุราย ขณะที่เขาทำได้เพียงจับมือบางและโอบกอดอีกฝ่าย“เฟยอวี่...ช่วยด้วย กรี๊ดดดด!!”จือเยว่กรีดร้องออกมาลั่นทั่วทั้งป่า ก่อนแสงสว่างเรืองรองจะวาบขึ้นแล้วปรากฏร่างเด็กทารกใกล้ร่างบอบบางที่หมดสติเฟยอวี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก ขณะที่หลี่เหอถึงกับตกตะลึง หากก็รีบเข้ามาอุ้มร่างเล็กที่กำลังแผดเสียงร้องจ้าขึ้นเวลาเดียวกันนั้น ท้องฟ้ามืดมิดสว่างไสวในชั่วพริบตา พายุฝนฟ้าคะนองเลือนหายราวไม่เคยเกิดสภาพอากาศแปรปรวนโหดร้ายก่อนหน้านี้สองหนุ่มสบตา
สองร้อยปีต่อมา...“ให้ลูกไปเถิดนะท่านแม่”“เวลาเช่นนี้สุ่มเสี่ยงเกินกว่าที่ลูกจะไปเสี่ยงอันตราย ท่านย่ารู้ว่าแม่ให้ลูกไปต้องโกรธมากแน่”“ท่านพ่อ”จือเยว่หันไปหาบิดาให้ช่วยเหลือเมื่อมารดาส่ายหน้า ทว่าไท่จื่อจิ่นลี่กลับเหลือบสายตาไปยังภรรยา“ยังไงลูกก็จะไป”ใบหน้างดงามงอง้ำด้วยความขัดอกขัดใจ“เยว่เอ๋อร์ หากในเวลาปกติ พ่อก็คิดว่าเจ้าสมควรไป แต่เวลานี้...”ไท่จื่อสวรรค์ถอนหายยาว“พ่อไม่อนุญาต”จือเยว่มองบิดามารดาอย่างน้อยใจแล้วหันไปยังสามีซึ่งยืนเงียบทั้งยังมีสีหน้าลำบากใจ ริมฝีปากอิ่มสวยก็เม้มขุ่นเคือง“ลูกแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ ก่อนหน้านี้ก็ยังลงไปช่วยเผ่าปีศาจพร้อมกับเฟยอวี่ ครั้งนี้ไยจึงไปไม่ได้”“เวลานั้นลูกไปโดยที่ไม่บอกผู้ใดว่าตั้งครรภ์ แต่ตอนนี้คนรู้ทั่วทั้งสวรรค์ ยิ่งท่านปู่ท่านย่าของลูก ยิ่งไม่ต้องการให้ลูกทำงานราชกิจใด อีกอย่างก็น่าจะจวนเจียนคลอดแล้ว”“ลูกยังไม่รู้สึกว่าจะถึงเวลา”ผู้ที่ตั้งครรภ์ทว่าท้องไม่ได้โตขึ้นแม้แต่น้อยแย้งมารดา“แม่ก็คลอดลูกหลังตั้งครรภ์ไม่นานนัก”ด้วยบุญญาธิการของชนชั้นสูงเผ่าสวรรค์นั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ ฤกษ์งามยามดีเหมาะสมเกิดจากญ
“จะไม่ให้ข้าได้พักเลยหรือ”“ท่านอยากพักก็พัก ข้าไม่ได้ห้าม”ใบหน้างดงามยังงอง้ำ ดวงตาคู่หวานซึ้งฉายแววขุ่นเคือง ทว่าเฟยอวี่ไม่รู้สึกเกรงกลัวทั้งยังเอ่ยหน้าตาย“ถึงท่านพัก ข้าก็ทำได้ โอ๊ย!”ชายหนุ่มสะดุ้งเพราะนิ้วเล็กจิกแล้วบิดอกหนาของตน“ตรงนี้มันเจ็บนะ”หญิงสาวสะบัดหน้าหนี เขาจึงจับมือที่ประทุษร้ายตนมาจูบ แล้วพาร่างอรชรลงไปนอนสบายๆ ส่วนตนตะแคงข้างกวาดมองเรือนกายเย้ายวน มีเสื้อรั้งอยู่ส่วนแขนและด้านหลัง หากก็แทบจะเปลือยเปล่า“เพิ่งบอกว่าคิดถึงข้า ตอนนี้มางอนเสียแล้ว”“ถึงข้าจะต้องการท่านมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ท่านเอาแต่ใจกับข้า”“อืม ส่วนท่านเอาแต่ใจกับข้าได้”“เฟยอวี่”จือเยว่เสียงเข้มขึ้น ทั้งยังมองสามีตนด้วยแววตาดุ“โธ่ เมื่อครู่เป็นท่านเองที่ปลุกเร้าข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ห้ามใจ เพราะเห็นว่าท่านเพิ่งบาดเจ็บและยังเศร้าเสียใจ”“ท่านโทษข้า”เฟยอวี่ยิ้มเจื่อน รู้แล้วว่าหากไม่ยอมก็คงไม่จบ จึงเปลี่ยนไปเป็นง้อภรรยาแทน“ไม่ได้โทษท่าน ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านต้องการข้าถึงเพียงนี้ ข้าผิดที่เย้าท่านให้ได้อาย อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะจือเยว่”ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอนปริบๆ จือเยว่จึงพยักหน้า
เฟยอวี่ไม่ยอมเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียว ขยับริมฝีปากได้รูปจูบร้อนแรงกลับไป ขณะยกร่างอรชรให้ขยับขึ้นมาคร่อมตักตน อีกฝ่ายยอมทำตามโดยง่าย มือบางเลื่อนสอดเข้าไปในกลุ่มผมนวดคลึงพลางพัวพันลิ้นเล็กกับลิ้นตนเร่าร้อนจนหายใจลำบาก ทว่าปากนุ่มยังขยับมาเม้มใบหูของเขาต่อทำเอาชายหนุ่มครางครึ้ม“อืม จือเยว่ เวลาร้อยปีทำให้ท่านใจร้อนขึ้นมากนัก”“เพราะข้าคิดถึงอ้อมกอดของท่าน ช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้นเกินไป”ชายหนุ่มต้องกัดริมฝีปากตนเพราะเจ้าตัวตอบเบาชิดหูทั้งยังกัดติ่งหูเขาหยอกเย้า“ท่านยั่วเย้าเก่งเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงลืมเลือนสัมผัสจากข้าไปเสียแล้ว”“ข้าเพียงทำตามเสียงเรียกร้องแห่งปรารถนา”บอกแล้วนางก็ไล่เม้มลำคอแกร่ง มือกระชากเสื้อคลุมอีกฝ่ายออกด้วยเวทของตน ก่อนจะไต่สองมือบางไปตามบ่าหนากับแขนกำยำ ทั้งยังจิกปลายนิ้วครูดไปตามแผ่นหลังกว้างเร้าอารมณ์หนุ่มพร้อมแนบหน้าอกตนชิดอกแกร่งเปลือยเปล่า ขยับบดเบียดเชิญชวนมือหนาเลื่อนมาวางแนบเอวบางค่อยๆ ปลดชุดสวยอย่างไม่เร่งร้อนผิดกับอีกฝ่าย ตั้งใจปลดเปลื้องเรือนกายอ้อนแอ้นให้เผยอย่างช้าๆ เพียงด้านหน้า ดูเย้ายวนกระตุ้นเลือดหนุ่มฉกรรจ์ให้ทะยานอยากมากยิ่งขึ้นชายห
“หากไม่คิดบัญชีกับเจ้า ข้าก็ไม่อาจตายตาหลับ ฆ่ามัน!”นางสั่งเสียงเข้ม ฝูงจิ้งจอกก็กระโดดจู่โจม จือเยว่เหินลอยตัวสูงพร้อมหลี่เหอหลี่เอิน และฟาดพันพลังใส่จิ้งจอกที่ถูกวิชามารควบคุม แต่ละตัวตาแดงก่ำน่ากลัวจิ้งจอกกระเด็นไปไกลแต่ก็ผุดยืนขึ้นรวดเร็วราวไม่บาดเจ็บ คงกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้ว ทั้งยังกระโดดได้สูงผิดจิ้งจอกทั่วไปและมีไอดำรอบกายซูเจินเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย นางพุ่งเข้ามาพร้อมสะบัดแขนส่งพลังทำลายล้างสีดำทะมึนเข้ามาใส่ จือเยว่หันไปตั้งรับขณะหลี่เหอหลี่เอินพะวงกับฝูงจิ้งจอก แม้นางจะสกัดพลังทมิฬนั้นได้และผลักดันกลับไปจนอีกฝ่ายผงะ ทว่ากลับมีจิ้งจอกตัวหนึ่งพุ่งมาใส่ หญิงสาวถอยหนีอย่างกะทันไปจนถึงหน้าผา เป็นเวลาเดียวกับที่ซูเจินตั้งตัวได้ซัดพลังตามมา ร่างอรชรถูกกระแทกจากไอดำหงายหลังลงหน้าผาโดยมีจิ้งจอกตัวนั้นตามมาเพื่อขย้ำจือเยว่ลอยลิ่ว กำหนดจิตได้ยากเพราะบาดเจ็บ แล้วอยู่ๆ กลับมีลูกไฟพุ่งลงมายังตัวจิ้งจอกจนถูกเผาไปต่อหน้า รวมทั้งซูเจินกับจิ้งจอกตัวอื่นก็ถูกลูกไฟตามๆ กันขณะได้ยินเสียงซูเจินกรีดร้องหญิงสาวรู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่โผวูบเข้ามารองรับร่างตนและพาลอยสูงขึ้น ผู้ที่บาดเจ็บเหลือบมอง แ
เวลาล่วงเลยมาร้อยปี จากขุนพลสวรรค์จือเยว่สามารถขึ้นเป็นแม่ทัพสวรรค์ได้แล้ว นางเป็นผู้ดูแลราชกิจทั่วทั้งหกพิภพแทนไท่จื่อจิ่นลี่เต็มตัว แม้ผู้นำทัพสวรรค์ยังเป็นไท่จื่อ รวมถึงหน้าที่รับผิดชอบของเทพสงครามจือเยว่ก็เป็นผู้จัดการโดยปราศจากการแต่งตั้งเทพสงครามคนใหม่ หญิงสาวคิดว่าองค์จักรพรรดิสวรรค์ยังไม่เห็นว่าผู้ใดมีความสามารถเพียงพอ และตัวนางเองยังต้องได้รับความไว้วางใจจากขุนนางสวรรค์กับหกพิภพถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ตำแน่งใดไม่สำคัญ นางอยากทำหน้าที่ของตนกับเฟยอวี่ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับเทพสงครามยังคงอยู่“ชายแดนเผ่าจิ้งจอกติดกับดินแดนมนุษย์มีอสูรร้ายอาละวาดกินผู้คนเป็นอาหาร ท่านแม่ทัพจะไปจัดการด้วยตนเองหรือให้ข้าไปแทนขอรับ”หลี่เหอถามขณะหารือในเรื่องฎีกาที่ส่งมา บางส่วนสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องทูลฮ่องเต้สวรรค์ก่อน แม่ทัพจือเยว่จะเป็นผู้ตัดสินใจหรือไม่ก็ปรึกษาไท่จื่อ ด้วยเวลานี้องค์จักรพรรดิวางมือในหลายส่วนแล้วจือเยว่นิ่งงันไป ชายแดนเผ่าจิ้งจอกกับดินแดนมนุษย์ก็หมายถึงเขตรอยเชื่อมต่อที่เคยไปครั้งก่อน ครั้งที่ทำให้นางสูญเสียที่สุดในชีวิต นางไม่ควรไปหากไม่ต้องการเจ็บปวด ทว่าก็คิ
“ท่านย่ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือเพคะ”ฮองเฮาฮุ่ยเฟิ่งอึกอักอ้ำอึ้ง ทว่าเห็นหลานรักเป็นเช่นนี้ก็ไม่อยากปิดบังไว้อีก“ผู้ที่รู้เรื่องนี้ มีท่านปู่ของหลาน ย่า อาจารย์ปู่กับอาจารย์ของหลาน”จือเยว่มองย่าของตนอย่างไม่คาดคิด ขณะที่ฮองเฮายังบอกเล่าต่อไป“เฟยอวี่เคยช่วยชีวิตหลาน เขาปลดผนึกวิชาแปลงกายจากตัวหลานทำให้กลายร่างเป็นหญิง และด้ายแดงก็ผูกพันชะตาหลานทั้งสองไว้นับแต่นั้น ในตอนที่เขาพาหลานมาให้อาจารย์ช่วยรักษา อาจารย์ของหลานจึงบอกให้เฟยอวี่ช่วยเก็บความลับนี้ไว้ อาจารย์ปู่สำนักเทียนซานส่งสารลับแจ้งมายังท่านปู่ ท่านปู่ของหลานจึงรับสั่งให้สะกดอารมณ์ความรู้สึกในหัวใจของหลานเอาไว้ ไม่ต้องการให้หลานผูกพันใจกับผู้ใดแม้แต่เฟยอวี่ และอาจารย์ของหลานก็มอบหมายหน้าที่ให้เขาลงไปขุนเขากลางเวหา”ริมฝีปากอิ่มเผยอ ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวด เพราะศิษย์พี่ของนางเก่งกาจที่สุดในสำนัก นางจึงไม่แปลกใจ ทว่าจากนั้นไม่นานบิดาก็ส่งจางหย่งมารับตัวนางกลับสวรรค์ และไม่ได้พบเฟยอวี่อีกเพราะถูกเวทสะกดใจไว้นี่เอง นางจึงมักรู้สึกปวดหัวใจราวถูกบีบหรือทิ่มแทงทุกครั้งที่อารมณ์เฉียดใกล้ความรู้สึก ‘รัก’‘นางมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่รออยู่ ชีว
ร่างบอบบางมุ่งหน้าเข้าป่าลึกภายในสำนักเทียนซาน มีผู้อื่นที่ว่องไวคล่องแคล่วกว่าตนหลายคน ทำให้ต้องเร่งฝีเท้ากระโดดลอยเหาะไปเกาะตามต้นไม้ใหญ่ ธงชัยสำหรับผู้ชนะในการประลองความเร็วนี้มีเพียงห้าคนเท่านั้น และนางก็อยากคว้ามันมาให้ได้จือเยว่ในเวลานี้อายุเพียงพันสองร้อยปี ยังเยาว์วัยและรูปร่างผอมบางสะโอดสะองกว่าบุรุษวัยเดียวกัน ฝีมือก็อ่อนด้อยกว่าศิษย์รุ่นเดียวกัน เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรี หากคว้าชัยเป็นหนึ่งในห้าได้นางจะไม่ถูกมองว่าอ่อนแอเหมือนคนขี้โรคอีกทว่าเมื่อมองเห็นธงชัยที่อยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง นางก็รีบกระโจนไปให้ถึงโดยเร็ว หากก็มีศิษย์อีกคนเห็นด้วยเช่นกัน ต่างก็เร่งฝีเท้าและปีนป่ายเกาะต้นไม้นั้น แต่ที่ไม่มีใครทันสังเกตคือมีอสรพิษขดอยู่ด้านบนเหนือธงขึ้นไปราวเฝ้าระวัง ทั้งสองต่างขัดแข้งขัดขาช่วงชิงโอกาสที่จะไปให้ถึงธงนั้นก่อนอีกฝ่ายและจือเยว่ก็พลาดถูกเตะจนร่วงหล่นลงมายังดีที่คว้ากิ่งไม้ไว้ได้ นางเร่งปีนกลับขึ้นไปใหม่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ศิษย์อีกคนเห็นว่ามีงูอยู่ เขาใช้เวทโจมตีเพื่อให้งูตกลงไป ทว่าโชคไม่ดีที่หล่นมาถูกจือเยว่ด้านล้าง และนางก็ถูกอสรพิษนั้นกัดเข้าที่แขน
“ระวังตัวด้วย”เทพสงครามสั่งเสียงดัง มั่นใจว่าชิงหลุนคงไม่ละมือโดยง่าย และก็เป็นอย่างที่คิด ชิงหลุนยกสองมือชูขึ้น ชั่วอึดใจท้องฟ้าด้านบนก็ดำทะมึนก่อนเหวี่ยงกรงเล็บจิ้งจอกทมิฬมาพร้อมพลังสายฟ้าฟาด ราวตั้งใจใช้พลังโจมตีทั้งหมดที่ตนมีเพื่อทำลายศัตรูเฟยอวี่พยายามเคลื่อนกายไปด้านหน้า หากรอรับเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้ หลี่เหอเองก็ถอยไปบังร่างอรชรของนายตนไว้อย่างรู้ใจเทพสงครามว่าจะหาโอกาสเปลี่ยนรับเป็นรุกจากหลังเฟยอวี่ใช้พลังบังคับทวนให้หมุนสกัดกรงเล็บโดยไม่หยุดแล้ว เขาก็ร่ายเวทเพลิงวิหค ปล่อยพลังซัดเข้าหาชิงหลุน อีกฝ่ายตีลังกาหลบได้อย่างเฉียดฉิว นั่นทำให้กรงเล็บจิ้งจอกทมิฬหยุดลงชั่วขณะ เทพสงครามรีบคว้าทวนแล้วโผเข้าฟาดฟันอีกฝ่ายก็ปัดป้องด้วยพลังได้ทุกครั้งสายตาของชิงหลุนเหลือบไปยังจือเยว่ชั่วแวบ ก่อนจะหลบทวนของเทพสงครามหายวับไปใกล้ร่างอรชร ส่งกรงเล็บใส่หลี่เอินเพื่อให้พ้นทางก่อน“โอ๊ะ”“หลี่เอิน”ทั้งจือเยว่กับหลี่เหอต่างตะโกนขึ้นพร้อมกัน หลี่เหอรีบมาขวางแต่เพราะความกังวลห่วงน้องสาวที่กระเด็นไปไกลทำให้เกือบจะหลบพลังของชิงหลุนไม่ทัน ไม่ได้มองว่านายตนพุ่งกายไปหาหลี่เอิน นั่