องค์หญิงจะหาทางออกได้ไหมนะ ก็คนไม่อยากแต่งนี่เนอะ ไม่รักก็คือไม่รัก T^T
องค์หญิงหนิงเซียงนั่งรถม้าแยกกับองค์หญิงเจียวมิ่งเพื่อเวลากลับจะได้ตรงเข้าวังมาเลยเพราะดูไปแล้วน่าจะกลับเข้าเมืองค่อนข้างเย็น ไหว้พระขอพรเสร็จออกมาจากอารามก็แวะพักริมน้ำตกกินของว่าง เป็นความตั้งใจของพี่สาวที่อยากให้น้องได้ผ่อนคลายกับธรรมชาติอันสดชื่น“ทำใจให้สบายเถิดนะเซียงเอ๋อร์ อย่าได้กังวลเกินไป เสด็จพ่อทำเพื่อเจ้า องครักษ์จางเองก็เหมาะสมคู่ควร แม้เป็นองครักษ์หากก็เป็นถึงบุตรเจ้ากรมคลัง เป็นสหายสนิทของพี่รอง”องค์หญิงเจียวมิ่งสงสารน้องสาวยิ่งนัก หากก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากให้กำลังใจ“เสด็จพ่อเองก็คงปวดพระทัย หากทรงรับรู้ว่าเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับจนผ่ายผอมเช่นนี้ ดูแลตัวเองให้ดีจนถึงวันแต่งงานเถิด เจ้าสาวควรมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่งผุดผาด”ผู้เป็นน้องยิ้มบางไม่แย้งสิ่งใด นางยังทำใจไม่ได้และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำใจยอมรับการแต่งงานได้หรือไม่ได้เวลากลับองค์หญิงทั้งสองต่างก็ขึ้นรถม้าของตน องค์หญิงหนิงเซียงมีหลิงเอ๋อร์คอยดูแลอยู่ภายในรถม้าด้วย สีหน้าเจ้าตัวดูเคร่งเครียดและครุ่นคิดตลอดเวลา ทว่าองค์หญิงหนิงเซียงไม่ได้สังเกตสิ่งอื่นมากนัก ใบหน้างดงามหมองเศร้าและเหม่อลอย แม้อยู่กับพี่สาวจะทำให้ตน
นางหลงทาง...ผู้ที่ไม่เคยไปมาในเมืองหลวงด้วยตนเองเดินโผเผอย่างเหนื่อยล้า นับแต่หนีจากร้านผ้ามาองค์หญิงหนิงเซียงกลับก้าวไปอย่างไร้จุดหมาย หลิงเอ๋อร์กำชับว่าให้หาโรงเตี๊ยมเพื่อพักทว่านางกลับไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน เดินไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่พบโรงเตี๊ยมและเวลาก็ใกล้จะเย็นแล้วจำเป็นต้องมีที่พักหลับนอนองค์หญิงหนิงเซียงเป็นห่วงหลิงเอ๋อร์มากกว่าตนเอง ทว่าเพราะอีกฝ่ายยอมทำทุกอย่างเพื่อตนนางจึงมุ่งมั่นที่จะหนีดรอดให้ได้‘ข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร’ขณะที่อยู่ในรถม้านางยังตัดสินใจไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายก็คุกเข่าอ้อนวอน‘องค์หญิงของหลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ไม่อยากให้ท่านทุกข์ทรมานทั้งกายใจ เห็นท่านมีคราบน้ำตาอาบแก้มในทุกวันคืน กินอาหารน้อยนิด หลิงเอ๋อร์ก็ทุกข์ทรมานไปพร้อมท่าน ยิ่งท่านทำร้ายตัวเอง หลิงเอ๋อร์ยิ่งกลัว ได้โปรด ไม่ว่าสิ่งใด ขอเพียงท่านกลับมายิ้มได้อีกครั้ง หลิงเอ๋อร์พร้อมเผชิญเพคะ’เจ้าตัวเอ่ยเจือสะอื้น ทำเอาองค์หญิงหนิงเซียงน้ำตาไหลไปด้วย ดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตานั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวปวดร้าวในอกเพียงใดที่เห็นนางปราศจากความสุขทั้งกายและใจ‘ไปจากวังหลวง เพื่อพบชีวิตที่อิสระและมีความสุขอย่างแท้จริงเถิดเพคะ
ใจดวงน้อยสั่นไหวด้วยความไม่มั่นใจขณะนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังเคลื่อนมาหน้าประตูเมือง เหลือบมองผู้ที่นั่งอีกด้านในรถม้าซึ่งใบหน้านิ่งสนิทแล้วก็เม้มริมฝีปากก้มหน้าลงครุ่นคิด‘ท่านคิดจะไปที่ใด’หลังหลบทหารมายังที่หนึ่งนางสะบัดตัวจะเดินหนีอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้น‘ข้าไม่จำเป็นต้องบอกท่าน’‘ท่านยังไม่รู้จะไปที่ใดมากกว่า’ใบหน้าเฉยชากับคำพูดกระด้างราวเย้ยหยันนั้นกวนอารมณ์นางให้ขุ่นนัก‘ไยท่านต้องมายุ่งกับข้าอีก ในเมื่อปฏิเสธข้าแล้วก็ปล่อยให้ข้าไปตามทางของข้า ไม่ต้องข้องเกี่ยวหรือใส่ใจใดๆ อีก’‘เห็นท่านกำลังพาตัวเองก้าวเข้าสู่อันตรายจะให้ข้าละเลยได้อย่างไร’ริมฝีปากอิ่มสวยขยับยิ้มหยันกับคำเอ่ยราวใส่ใจ‘ทั้งที่ท่านทำให้ข้าอับอายขายหน้า เป็นผู้หญิงไร้ยางอายไปแล้วยังบอกว่าไม่อาจละเลยอีกหรือ หึ...น้ำใจจากท่าน ข้าไม่ต้องการ’องค์หญิงหนิงเซียงเมินหน้าหนีจะเดินจากมา ทว่ากลับต้องชะงักอย่างลังเลในคำพูดของหลิวซูหยวน‘หากท่านต้องการออกนอกเมืองไปกับข้าก็ได้ อีกอย่างท่านไม่ควรอยู่ในชุดสตรี’และแล้วนางก็จำต้องให้ชายหนุ่มช่วยเหลือแม้ไม่รู้ว่าออกนอกเมืองไปแล้วจะทำอย่างไรต่อไป แต่หากยังอยู่ในนี้นางต้องถูกเจอตัวและพากล
ความไม่ชินทำให้องค์หญิงหนิงเซียงไม่อาจข่มตาหลับลงได้กระทั่งใกล้รุ่งเช้า รู้สึกตัวอีกครั้งก็ลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วมองไปโดยรอบอย่างหวาดหวั่น ความกลัวเกาะกินหัวใจนับแต่เลือกที่จะหนีมา ยอมรับว่าการได้พบหลิวซูหยวนนั้นช่วยลดทอนความวิตกกังวลได้ไม่น้อย ทว่านางยังเคืองอีกฝ่ายจึงผลักไสเขา หากมาถึงตอนนี้ที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเต็มตัวนางกลับเป็นห่วงอีกฝ่ายนางไม่อยากทำลายผู้ใดอีกแล้ว อีกอย่างนางก็ยังห่วงหลิงเอ๋อร์กับคนอื่นๆมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงเข้มจากด้านนอกองค์หญิงหนิงเซียงจึงลุกไปเปิดประตู“ข้าเองขอรับคุณหนู”เป็นเสียงของหลิวซูหยวน ชายหนุ่มคงไม่ต้องการให้ผู้ใดผิดสังเกตจึงเอ่ยกับตนเช่นนี้“กระหม่อมสั่งอาหารมาให้ท่านแล้ว หลังกินเสร็จเราต้องรีบเดินทาง ไม่นานทหารอาจตามท่านออกมานอกเมือง โรงเตี๊ยมนี้อยู่ไม่ไกลนัก”เขาบอกทันทีที่ประตูปิดลง“ท่านควรรีบกลับเข้าเมืองไม่ใช่หรือ ท่านมีงานต้องทำ หายหน้าไปอาจมีคนสงสัย”องค์หญิงหนิงเซียงเอ่ยในสิ่งที่คิด“อีกอย่าง ข้าอยากรบกวนท่าน ช่วยหาทางไปดูหลิงเอ๋อร์กับคนอื่นๆ ในตำหนักของข้าได้หรือไม่ ข้ารู้ว่าทำให้ท่านลำบากใจ แต่ข้าห่วงพวกนาง”หลิวซูหยวนถอนห
สามวันสามคืนผ่านไปในกระท่อมกลางป่า คืนแรกนั้นองค์หญิงหนิงเซียงหวาดหวั่นกับเสียงสัตว์ในป่าจนนอนไม่หลับ ทั้งแคร่ไม้ไผ่ก็แข็งพาให้เจ็บไปทั้งแผ่นหลังและเนื้อตัวเวลานอน ทว่าในคืนต่อมาก็ค่อยๆ หลับไปได้แม้จะค่อนดึก โดยมีหลิวซูหยวนนอนด้านนอกห้องใกล้ประตูราวเฝ้าระวังภัย แต่นางก็อดเป็นห่วงชายหนุ่มไม่ได้เพราะเขาเพียงนอนกับพื้นไม้เท่านั้น ทั้งยังเสื้อคลุมตัวนอกมาให้นางห่มนอนอีกด้วย นั่นทำให้หญิงสาวรู้ว่าชายหนุ่มกลับมาเก็บพัดที่ตนปาใส่เขาในวันนั้น เพราะหล่นตอนหลิวซูหยวนถอดเสื้อออก“กลางดึกอากาศเย็นจัดนัก แล้วกระท่อมก็ชื้นเต็มไปด้วยน้ำค้าง ท่านนอนบนพื้นทุกคืนเช่นนี้หากป่วยไข้จะทำอย่างไร”องค์หญิงหนิงเซียงนั่งเท้าคางชิดริมหน้าต่าง มืออีกข้างก็ถือพัดขยับไปมา เวลานี้มันกลับมาอยู่กับนางแล้ว ขณะอีกฝ่ายกำลังต้มน้ำแกงไก่ป่าใส่เห็ดอยู่ด้านนอกในเวลาที่ฟ้ามืดแล้ว มองเห็นพระจันทร์ดวงโตผ่านแมกไม้หนา ภายในกระท่อมมีแสงจากตะเกียงเล็กพอให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน และหลิวซูหยวนก็จุดไฟไว้กองหนึ่งใกล้กับจุดที่กำลังต้มน้ำแกงเพื่อความอบอุ่นและเพิ่มความสว่าง“ข้าอยู่แดนเหนือ ออกลาดตระเวนพบเจออากาศเย็นจัดมาจนชินเสียแล้ว ท่านอ
“หากท่านยังต้องการเวลา ข้าขอเพียงไออุ่นจากกายหอมละมุน ให้นอนหลับอย่างเป็นสุขใจก็เพียงพอแล้ว”ร่างอรชรถูกอุ้มมาวางบนเตียงไม้เย็นเยียบพร้อมร่างสูงใหญ่ตามมา มือหนาลูบผมและเกลี่ยไล้ส่วนที่บดบังดวงหน้าให้อย่างแผ่วเบาแม้จะเกร็งทั้งกายหากองค์หญิงหนิงเซียงไม่รู้สึกฝืนใจแต่อย่างใด ไม่ว่าต่อจากนี้หลิวซูหยวนจะพาไปพบกับสิ่งใดนางก็เต็มใจดวงหน้างามส่ายไปมาพลางแขนเรียวยกขึ้นโอบลำคอหนาพร้อมกับยิ้มหวานให้ทั้งจากริมฝีปากและดวงตา นางพร้อมแล้วทั้งกายและใจ หัวใจของนางมีเพียงหลิวซูหยวน แม้จะไม่เคยผ่านความรู้สึกลึกซึ้งมาก่อนในชีวิต หากนางก็เข้าใจถึงความรู้สึกตกหลุมรัก‘เราจะอยากเจอคนผู้นั้น หลับตาก็มองเห็นใบหน้าคนผู้นั้น แม้ไม่ได้พบเจอเนิ่นนานก็ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่เลือนหาย’พี่สาวของนางเคยเอ่ยถึงความรู้สึกที่มีต่อมู่ฉางเหยียนให้นางฟังเพียงแรกพานพบก็จดจำมิลืมเลือนองค์หญิงหนิงเซียงไม่รู้ตัวว่าตนเองจดจำใบหน้าของผู้ที่ช่วยตนไว้ไม่เคยลืมกระทั่งหลิวซูหยวนปรากฏตัวขึ้นช่วยจับขโมยในวันนั้น นับแต่นั้นมา หลับตาลงนางก็ยังเห็นใบหน้าขาวคมคายกับดวงตาคู่คมกริบสะกดใจในทุกค่ำคืน“ข้าไม่รู้หรอกว่าต้องการเวลาหรือไม่
หากขณะหญิงสาวยังตัวสั่นบางเบาปากอุ่นก็พรมต่ำลงกระทั่งจรดกลางร่างงดงาม ดอกไม้แสนสวยถูกลิ้มรสน้ำหวานแสนพิสุทธิ์ ริมฝีปากได้รูปจูบซับบดเบียดปลายลิ้นไล้อย่างใส่ใจส่งแรงเร้าไม่ต่างจากนิ้วแกร่งอ่อนโยนหวานซ่านทรวงหากสร้างความทรมานมากล้น ยิ่งนางชุ่มฉ่ำเท่าไรชายหนุ่มยิ่งดูดดื่มดุดัน องค์หญิงหนิงเซียงกระสับกระส่ายขยับกายไปมา สะโพกสวยไม่อาจนิ่งเฉยราวมีบางอย่างฉุดรั้งจนลอยสูง มือบางเกาะจิกไหล่กว้างอย่างลืมตัว“อื้อ”อึดใจต่อมาราวพิษร้ายกาจที่รุมเร้าพร่าผลาญจนลมหายใจหยุดชะงัก ขณะร่างทั้งกระตุกเร่า“ซูหยวน”เสียงหวานครวญพร่ามือคว้าบ่ากำยำทึ้งชุดชายหนุ่มหลุดลุ่ยโดยไม่รู้ตัว เรือนกายงดงามหอบโยนราวกำลังอยู่ในช่วงเวลายากลำบาก หากกลับกระตุ้นเลือดหนุ่มฉกรรจ์ได้ดีนัก หลิวซูหยวนหลงลืมการยับยั้งใจตนไปแล้วและเวลานี้ก็ยิ่งอยากจับมือพาให้องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ดำเนินไปบนเส้นทางรักพร้อมกับตนร่างสาวสะคราญถูกรุกรานทั้งที่เนื้อตัวยังอ่อนระทวย ชายหนุ่มไม่เว้นช่วงเวลาให้นางได้ทันหายใจหายคอหรือมีเรี่ยวแรงกลับมา ขาเรียวสวยปวกเปียกเมื่อสองแขนกำยำสอดใต้ข้อพับเข่า ความเจ็บร้าวลึกยามถูกเบียดประชิด กายแกร่งเติมเต็มเชื่องช้าย
ในยามเช้าที่แสงแดดอ่อนสาดส่องดวงตาคู่งามหรี่ปรือก่อนจะเปิดขึ้น รอบกายของนางอบอุ่นด้วยมีเสื้อคลุมตัวใหญ่ของหลิวซูหยวน ทั้งพื้นไม้ด้านล่างก็ยังมีเสื้อด้านในของชายหนุ่มปูรองราวไม่ต้องการให้ความเย็นบาดผิวบาง ร่างอรชรยังเปลือยเปล่า ทว่ากลับไร้เจ้าของร่างสูงใหญ่บนเตียงไม้แล้วองค์หญิงหนิงเซียงรีบจัดแจงกับเสื้อผ้าตนเองและเก็บชุดของหลิวซูหยวนหอบแนบอก เมื่อลุกขึ้นร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปก็ทำให้ชะงักเล็กน้อย ดวงหน้าร้อนผ่าวและขึ้นสีระเรื่อเมื่อภาพยามค่ำคืนหวนเข้ามาในความคิดแต่ก็พยายามสะบัดไล่ออกไป เพราะเป็นห่วงผู้ที่ให้เสื้อคลุมสองตัวกับตนเองออกไปด้านนอกก็เห็นว่าชายหนุ่มกำลังผ่าฟืนอยู่ และมีเพียงเสื้อตัวในสีขาวบางเบาซึ่งชุ่มโชกด้วยเหงื่อก็อดหยุดยืนมองไม่ได้ ริมฝีปากอิ่มสวยระบายยิ้มด้วยความชื่นชม ภายนอกหลิวซูหยวนดูเหมือนบัณฑิตที่มีความรู้ ฉลาดเฉลียว หากเขากลับแข็งแรงคล่องแคล่วอย่างไม่น่าเชื่อ ฝีมือด้านอาวุธก็คงไม่ธรรมดาเช่นกันในเมื่อเคยเห็นชายหนุ่มจับโจรได้ด้วยพัดเพียงเล่มเดียวมาแล้ว“ท่านหิวหรือยัง”ราวหลิวซูหยวนรู้ว่านางมายืนมอง อีกฝ่ายหยุดมือแล้วหันกลับมาถาม“ข้าทำน้ำแกงปลากับเห็ดไว้ หากท่านหิ
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”ร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาหานางพร้อมกับหลี่เหอจือเยว่ยืนนิ่งเพราะรู้สึกถึงแรงบีบถี่ในท้องของตน มือบางกุมท้องและทรุดกายลง เฟยอวี่ก็รีบช่วยประคอง“ปวดท้องหรือ”นางพยักหน้าให้สามี ก่อนจะพูดเสียงสั่น“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”เฟยอวี่ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็อุ้มภรรยาของตนไปยังดินแดนมนุษย์ หลี่เหอช่วยเนรมิตกระท่อมขึ้นมา“ทำอย่างไรดี หากหลี่เอินอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี”เขาอดคิดถึงน้องสาวไม่ได้เทพสงครามวางร่างอรชรที่งอตัวแล้วร้องดังขึ้นเรื่อยๆ พายุที่หยุดไปเมื่อครู่เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง ฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น จือเยว่ยิ่งดิ้นทุรนทุราย ขณะที่เขาทำได้เพียงจับมือบางและโอบกอดอีกฝ่าย“เฟยอวี่...ช่วยด้วย กรี๊ดดดด!!”จือเยว่กรีดร้องออกมาลั่นทั่วทั้งป่า ก่อนแสงสว่างเรืองรองจะวาบขึ้นแล้วปรากฏร่างเด็กทารกใกล้ร่างบอบบางที่หมดสติเฟยอวี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก ขณะที่หลี่เหอถึงกับตกตะลึง หากก็รีบเข้ามาอุ้มร่างเล็กที่กำลังแผดเสียงร้องจ้าขึ้นเวลาเดียวกันนั้น ท้องฟ้ามืดมิดสว่างไสวในชั่วพริบตา พายุฝนฟ้าคะนองเลือนหายราวไม่เคยเกิดสภาพอากาศแปรปรวนโหดร้ายก่อนหน้านี้สองหนุ่มสบตา
สองร้อยปีต่อมา...“ให้ลูกไปเถิดนะท่านแม่”“เวลาเช่นนี้สุ่มเสี่ยงเกินกว่าที่ลูกจะไปเสี่ยงอันตราย ท่านย่ารู้ว่าแม่ให้ลูกไปต้องโกรธมากแน่”“ท่านพ่อ”จือเยว่หันไปหาบิดาให้ช่วยเหลือเมื่อมารดาส่ายหน้า ทว่าไท่จื่อจิ่นลี่กลับเหลือบสายตาไปยังภรรยา“ยังไงลูกก็จะไป”ใบหน้างดงามงอง้ำด้วยความขัดอกขัดใจ“เยว่เอ๋อร์ หากในเวลาปกติ พ่อก็คิดว่าเจ้าสมควรไป แต่เวลานี้...”ไท่จื่อสวรรค์ถอนหายยาว“พ่อไม่อนุญาต”จือเยว่มองบิดามารดาอย่างน้อยใจแล้วหันไปยังสามีซึ่งยืนเงียบทั้งยังมีสีหน้าลำบากใจ ริมฝีปากอิ่มสวยก็เม้มขุ่นเคือง“ลูกแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ ก่อนหน้านี้ก็ยังลงไปช่วยเผ่าปีศาจพร้อมกับเฟยอวี่ ครั้งนี้ไยจึงไปไม่ได้”“เวลานั้นลูกไปโดยที่ไม่บอกผู้ใดว่าตั้งครรภ์ แต่ตอนนี้คนรู้ทั่วทั้งสวรรค์ ยิ่งท่านปู่ท่านย่าของลูก ยิ่งไม่ต้องการให้ลูกทำงานราชกิจใด อีกอย่างก็น่าจะจวนเจียนคลอดแล้ว”“ลูกยังไม่รู้สึกว่าจะถึงเวลา”ผู้ที่ตั้งครรภ์ทว่าท้องไม่ได้โตขึ้นแม้แต่น้อยแย้งมารดา“แม่ก็คลอดลูกหลังตั้งครรภ์ไม่นานนัก”ด้วยบุญญาธิการของชนชั้นสูงเผ่าสวรรค์นั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ ฤกษ์งามยามดีเหมาะสมเกิดจากญ
“จะไม่ให้ข้าได้พักเลยหรือ”“ท่านอยากพักก็พัก ข้าไม่ได้ห้าม”ใบหน้างดงามยังงอง้ำ ดวงตาคู่หวานซึ้งฉายแววขุ่นเคือง ทว่าเฟยอวี่ไม่รู้สึกเกรงกลัวทั้งยังเอ่ยหน้าตาย“ถึงท่านพัก ข้าก็ทำได้ โอ๊ย!”ชายหนุ่มสะดุ้งเพราะนิ้วเล็กจิกแล้วบิดอกหนาของตน“ตรงนี้มันเจ็บนะ”หญิงสาวสะบัดหน้าหนี เขาจึงจับมือที่ประทุษร้ายตนมาจูบ แล้วพาร่างอรชรลงไปนอนสบายๆ ส่วนตนตะแคงข้างกวาดมองเรือนกายเย้ายวน มีเสื้อรั้งอยู่ส่วนแขนและด้านหลัง หากก็แทบจะเปลือยเปล่า“เพิ่งบอกว่าคิดถึงข้า ตอนนี้มางอนเสียแล้ว”“ถึงข้าจะต้องการท่านมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ท่านเอาแต่ใจกับข้า”“อืม ส่วนท่านเอาแต่ใจกับข้าได้”“เฟยอวี่”จือเยว่เสียงเข้มขึ้น ทั้งยังมองสามีตนด้วยแววตาดุ“โธ่ เมื่อครู่เป็นท่านเองที่ปลุกเร้าข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ห้ามใจ เพราะเห็นว่าท่านเพิ่งบาดเจ็บและยังเศร้าเสียใจ”“ท่านโทษข้า”เฟยอวี่ยิ้มเจื่อน รู้แล้วว่าหากไม่ยอมก็คงไม่จบ จึงเปลี่ยนไปเป็นง้อภรรยาแทน“ไม่ได้โทษท่าน ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านต้องการข้าถึงเพียงนี้ ข้าผิดที่เย้าท่านให้ได้อาย อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะจือเยว่”ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอนปริบๆ จือเยว่จึงพยักหน้า
เฟยอวี่ไม่ยอมเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียว ขยับริมฝีปากได้รูปจูบร้อนแรงกลับไป ขณะยกร่างอรชรให้ขยับขึ้นมาคร่อมตักตน อีกฝ่ายยอมทำตามโดยง่าย มือบางเลื่อนสอดเข้าไปในกลุ่มผมนวดคลึงพลางพัวพันลิ้นเล็กกับลิ้นตนเร่าร้อนจนหายใจลำบาก ทว่าปากนุ่มยังขยับมาเม้มใบหูของเขาต่อทำเอาชายหนุ่มครางครึ้ม“อืม จือเยว่ เวลาร้อยปีทำให้ท่านใจร้อนขึ้นมากนัก”“เพราะข้าคิดถึงอ้อมกอดของท่าน ช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้นเกินไป”ชายหนุ่มต้องกัดริมฝีปากตนเพราะเจ้าตัวตอบเบาชิดหูทั้งยังกัดติ่งหูเขาหยอกเย้า“ท่านยั่วเย้าเก่งเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงลืมเลือนสัมผัสจากข้าไปเสียแล้ว”“ข้าเพียงทำตามเสียงเรียกร้องแห่งปรารถนา”บอกแล้วนางก็ไล่เม้มลำคอแกร่ง มือกระชากเสื้อคลุมอีกฝ่ายออกด้วยเวทของตน ก่อนจะไต่สองมือบางไปตามบ่าหนากับแขนกำยำ ทั้งยังจิกปลายนิ้วครูดไปตามแผ่นหลังกว้างเร้าอารมณ์หนุ่มพร้อมแนบหน้าอกตนชิดอกแกร่งเปลือยเปล่า ขยับบดเบียดเชิญชวนมือหนาเลื่อนมาวางแนบเอวบางค่อยๆ ปลดชุดสวยอย่างไม่เร่งร้อนผิดกับอีกฝ่าย ตั้งใจปลดเปลื้องเรือนกายอ้อนแอ้นให้เผยอย่างช้าๆ เพียงด้านหน้า ดูเย้ายวนกระตุ้นเลือดหนุ่มฉกรรจ์ให้ทะยานอยากมากยิ่งขึ้นชายห
“หากไม่คิดบัญชีกับเจ้า ข้าก็ไม่อาจตายตาหลับ ฆ่ามัน!”นางสั่งเสียงเข้ม ฝูงจิ้งจอกก็กระโดดจู่โจม จือเยว่เหินลอยตัวสูงพร้อมหลี่เหอหลี่เอิน และฟาดพันพลังใส่จิ้งจอกที่ถูกวิชามารควบคุม แต่ละตัวตาแดงก่ำน่ากลัวจิ้งจอกกระเด็นไปไกลแต่ก็ผุดยืนขึ้นรวดเร็วราวไม่บาดเจ็บ คงกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้ว ทั้งยังกระโดดได้สูงผิดจิ้งจอกทั่วไปและมีไอดำรอบกายซูเจินเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย นางพุ่งเข้ามาพร้อมสะบัดแขนส่งพลังทำลายล้างสีดำทะมึนเข้ามาใส่ จือเยว่หันไปตั้งรับขณะหลี่เหอหลี่เอินพะวงกับฝูงจิ้งจอก แม้นางจะสกัดพลังทมิฬนั้นได้และผลักดันกลับไปจนอีกฝ่ายผงะ ทว่ากลับมีจิ้งจอกตัวหนึ่งพุ่งมาใส่ หญิงสาวถอยหนีอย่างกะทันไปจนถึงหน้าผา เป็นเวลาเดียวกับที่ซูเจินตั้งตัวได้ซัดพลังตามมา ร่างอรชรถูกกระแทกจากไอดำหงายหลังลงหน้าผาโดยมีจิ้งจอกตัวนั้นตามมาเพื่อขย้ำจือเยว่ลอยลิ่ว กำหนดจิตได้ยากเพราะบาดเจ็บ แล้วอยู่ๆ กลับมีลูกไฟพุ่งลงมายังตัวจิ้งจอกจนถูกเผาไปต่อหน้า รวมทั้งซูเจินกับจิ้งจอกตัวอื่นก็ถูกลูกไฟตามๆ กันขณะได้ยินเสียงซูเจินกรีดร้องหญิงสาวรู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่โผวูบเข้ามารองรับร่างตนและพาลอยสูงขึ้น ผู้ที่บาดเจ็บเหลือบมอง แ
เวลาล่วงเลยมาร้อยปี จากขุนพลสวรรค์จือเยว่สามารถขึ้นเป็นแม่ทัพสวรรค์ได้แล้ว นางเป็นผู้ดูแลราชกิจทั่วทั้งหกพิภพแทนไท่จื่อจิ่นลี่เต็มตัว แม้ผู้นำทัพสวรรค์ยังเป็นไท่จื่อ รวมถึงหน้าที่รับผิดชอบของเทพสงครามจือเยว่ก็เป็นผู้จัดการโดยปราศจากการแต่งตั้งเทพสงครามคนใหม่ หญิงสาวคิดว่าองค์จักรพรรดิสวรรค์ยังไม่เห็นว่าผู้ใดมีความสามารถเพียงพอ และตัวนางเองยังต้องได้รับความไว้วางใจจากขุนนางสวรรค์กับหกพิภพถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ตำแน่งใดไม่สำคัญ นางอยากทำหน้าที่ของตนกับเฟยอวี่ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับเทพสงครามยังคงอยู่“ชายแดนเผ่าจิ้งจอกติดกับดินแดนมนุษย์มีอสูรร้ายอาละวาดกินผู้คนเป็นอาหาร ท่านแม่ทัพจะไปจัดการด้วยตนเองหรือให้ข้าไปแทนขอรับ”หลี่เหอถามขณะหารือในเรื่องฎีกาที่ส่งมา บางส่วนสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องทูลฮ่องเต้สวรรค์ก่อน แม่ทัพจือเยว่จะเป็นผู้ตัดสินใจหรือไม่ก็ปรึกษาไท่จื่อ ด้วยเวลานี้องค์จักรพรรดิวางมือในหลายส่วนแล้วจือเยว่นิ่งงันไป ชายแดนเผ่าจิ้งจอกกับดินแดนมนุษย์ก็หมายถึงเขตรอยเชื่อมต่อที่เคยไปครั้งก่อน ครั้งที่ทำให้นางสูญเสียที่สุดในชีวิต นางไม่ควรไปหากไม่ต้องการเจ็บปวด ทว่าก็คิ
“ท่านย่ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือเพคะ”ฮองเฮาฮุ่ยเฟิ่งอึกอักอ้ำอึ้ง ทว่าเห็นหลานรักเป็นเช่นนี้ก็ไม่อยากปิดบังไว้อีก“ผู้ที่รู้เรื่องนี้ มีท่านปู่ของหลาน ย่า อาจารย์ปู่กับอาจารย์ของหลาน”จือเยว่มองย่าของตนอย่างไม่คาดคิด ขณะที่ฮองเฮายังบอกเล่าต่อไป“เฟยอวี่เคยช่วยชีวิตหลาน เขาปลดผนึกวิชาแปลงกายจากตัวหลานทำให้กลายร่างเป็นหญิง และด้ายแดงก็ผูกพันชะตาหลานทั้งสองไว้นับแต่นั้น ในตอนที่เขาพาหลานมาให้อาจารย์ช่วยรักษา อาจารย์ของหลานจึงบอกให้เฟยอวี่ช่วยเก็บความลับนี้ไว้ อาจารย์ปู่สำนักเทียนซานส่งสารลับแจ้งมายังท่านปู่ ท่านปู่ของหลานจึงรับสั่งให้สะกดอารมณ์ความรู้สึกในหัวใจของหลานเอาไว้ ไม่ต้องการให้หลานผูกพันใจกับผู้ใดแม้แต่เฟยอวี่ และอาจารย์ของหลานก็มอบหมายหน้าที่ให้เขาลงไปขุนเขากลางเวหา”ริมฝีปากอิ่มเผยอ ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวด เพราะศิษย์พี่ของนางเก่งกาจที่สุดในสำนัก นางจึงไม่แปลกใจ ทว่าจากนั้นไม่นานบิดาก็ส่งจางหย่งมารับตัวนางกลับสวรรค์ และไม่ได้พบเฟยอวี่อีกเพราะถูกเวทสะกดใจไว้นี่เอง นางจึงมักรู้สึกปวดหัวใจราวถูกบีบหรือทิ่มแทงทุกครั้งที่อารมณ์เฉียดใกล้ความรู้สึก ‘รัก’‘นางมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่รออยู่ ชีว
ร่างบอบบางมุ่งหน้าเข้าป่าลึกภายในสำนักเทียนซาน มีผู้อื่นที่ว่องไวคล่องแคล่วกว่าตนหลายคน ทำให้ต้องเร่งฝีเท้ากระโดดลอยเหาะไปเกาะตามต้นไม้ใหญ่ ธงชัยสำหรับผู้ชนะในการประลองความเร็วนี้มีเพียงห้าคนเท่านั้น และนางก็อยากคว้ามันมาให้ได้จือเยว่ในเวลานี้อายุเพียงพันสองร้อยปี ยังเยาว์วัยและรูปร่างผอมบางสะโอดสะองกว่าบุรุษวัยเดียวกัน ฝีมือก็อ่อนด้อยกว่าศิษย์รุ่นเดียวกัน เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรี หากคว้าชัยเป็นหนึ่งในห้าได้นางจะไม่ถูกมองว่าอ่อนแอเหมือนคนขี้โรคอีกทว่าเมื่อมองเห็นธงชัยที่อยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง นางก็รีบกระโจนไปให้ถึงโดยเร็ว หากก็มีศิษย์อีกคนเห็นด้วยเช่นกัน ต่างก็เร่งฝีเท้าและปีนป่ายเกาะต้นไม้นั้น แต่ที่ไม่มีใครทันสังเกตคือมีอสรพิษขดอยู่ด้านบนเหนือธงขึ้นไปราวเฝ้าระวัง ทั้งสองต่างขัดแข้งขัดขาช่วงชิงโอกาสที่จะไปให้ถึงธงนั้นก่อนอีกฝ่ายและจือเยว่ก็พลาดถูกเตะจนร่วงหล่นลงมายังดีที่คว้ากิ่งไม้ไว้ได้ นางเร่งปีนกลับขึ้นไปใหม่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ศิษย์อีกคนเห็นว่ามีงูอยู่ เขาใช้เวทโจมตีเพื่อให้งูตกลงไป ทว่าโชคไม่ดีที่หล่นมาถูกจือเยว่ด้านล้าง และนางก็ถูกอสรพิษนั้นกัดเข้าที่แขน
“ระวังตัวด้วย”เทพสงครามสั่งเสียงดัง มั่นใจว่าชิงหลุนคงไม่ละมือโดยง่าย และก็เป็นอย่างที่คิด ชิงหลุนยกสองมือชูขึ้น ชั่วอึดใจท้องฟ้าด้านบนก็ดำทะมึนก่อนเหวี่ยงกรงเล็บจิ้งจอกทมิฬมาพร้อมพลังสายฟ้าฟาด ราวตั้งใจใช้พลังโจมตีทั้งหมดที่ตนมีเพื่อทำลายศัตรูเฟยอวี่พยายามเคลื่อนกายไปด้านหน้า หากรอรับเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้ หลี่เหอเองก็ถอยไปบังร่างอรชรของนายตนไว้อย่างรู้ใจเทพสงครามว่าจะหาโอกาสเปลี่ยนรับเป็นรุกจากหลังเฟยอวี่ใช้พลังบังคับทวนให้หมุนสกัดกรงเล็บโดยไม่หยุดแล้ว เขาก็ร่ายเวทเพลิงวิหค ปล่อยพลังซัดเข้าหาชิงหลุน อีกฝ่ายตีลังกาหลบได้อย่างเฉียดฉิว นั่นทำให้กรงเล็บจิ้งจอกทมิฬหยุดลงชั่วขณะ เทพสงครามรีบคว้าทวนแล้วโผเข้าฟาดฟันอีกฝ่ายก็ปัดป้องด้วยพลังได้ทุกครั้งสายตาของชิงหลุนเหลือบไปยังจือเยว่ชั่วแวบ ก่อนจะหลบทวนของเทพสงครามหายวับไปใกล้ร่างอรชร ส่งกรงเล็บใส่หลี่เอินเพื่อให้พ้นทางก่อน“โอ๊ะ”“หลี่เอิน”ทั้งจือเยว่กับหลี่เหอต่างตะโกนขึ้นพร้อมกัน หลี่เหอรีบมาขวางแต่เพราะความกังวลห่วงน้องสาวที่กระเด็นไปไกลทำให้เกือบจะหลบพลังของชิงหลุนไม่ทัน ไม่ได้มองว่านายตนพุ่งกายไปหาหลี่เอิน นั่