“เซียงเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำให้สด็จพ่อโกรธมาก อย่าได้ทำเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจถูกลงทัณฑ์”
องค์ชายรองเสวียนหลินตามมายังตำหนักองค์หญิงหนิงเซียงหลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว
“ให้เสด็จพ่อลงทัณฑ์ข้าเสียยังดีกว่าให้ข้าแต่งงาน”
เห็นน้ำตาที่รินไหลไม่ขาดสาย ทว่าสีหน้ากลับมุ่งมั่นแข็งขืนของน้องสาวแล้วสีหน้าองค์ชายรองกลับยิ่งเคร่งเครียด เจ้าตัวยังนั่งคุกเข่าอยู่ในตำหนักตนไม่ขยับแม้หลิงเอ๋อร์กับนางกำนัลคนอื่นจะช่วยกันเลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล
“เซียงเอ๋อร์”
องค์ชายรองอ่อนใจในความดื้อดึงของน้องสาว แปลกใจนักที่น้องน้อยผู้เรียบร้อยและหัวอ่อนเสมอมาของตนกลับกล้าขัดรับสั่งพระบิดา
‘ช่างดื้อรั้นเอาแต่ใจนัก หากขอสิ่งใดข้าก็อนุญาต กลับคำ พลิกราชโองการ คำพูดของข้าจะยังศักดิ์สิทธิ์เชื่อถือได้อีกหรือ เจ้าพูดกับน้องเจ้าให้นางเข้าใจ ข้าตัดสินใจเช่นนี้ก็เพื่อนาง’
พระบิดารับสั่งย้ำอย่างขุ่นเคือง
องค์ชายรองย่อกายลงตรงหน้าอีกฝ่าย วางมือสองข้างบนบ่าบอบบาง
“เสด็จพ่อทำเพื่อเจ้า ชาวเมืองมากมายต่างก็เห็นฮ่าวหมิงอุ้มเจ้า แตะต้องเนื้อตัวและช่วยชีวิตเจ้าไว้ เขามีความดีความชอบ ส่วนเจ้าเป็นถึงองค์หญิง ไม่ควรมีผู้ใดแตะต้องชิดใกล้ เพื่อรักษาเกียรติของเจ้า เสด็จพ่อจึงประทานเจ้าให้ฮ่าวหมิง รับเขาเป็นราชบุตรเขยนับว่าเหมาะสมแล้ว”
สิ่งที่พี่ชายเอ่ยทำให้องค์หญิงหนิงเซียงคิดไปถึงใครอีกคนที่ช่วยตนไว้เช่นกัน
“หากผู้ใดช่วยชีวิต ย่อมควรแต่งกับผู้นั้นอย่างนั้นหรือ”
นางเอ่ยเสียงพร่าเครือ
“พี่รองลืมไปแล้วหรือว่าผู้ที่ช่วยชีวิตข้าไม่ได้มีเพียงสหายของท่าน เช่นนั้นข้าก็ควรแต่งกับเขาด้วยสินะ”
“เซียงเอ๋อร์!”
องค์ชายรองดุน้องสาวเสียงเข้ม
“เจ้าพูดจาประชดประชันเช่นนี้เป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน แม้เจ้าจะซุกซนบ้างแต่ไม่เคยดื้อรั้นไม่เชื่อฟังพี่หรือเสด็จพ่อ เหตุใดอยู่ๆ เจ้าถึงขัดขืนในเมื่อเรื่องแต่งงานก็เป็นเรื่องที่บิดามารดาต้องจัดการให้ เสด็จพ่อเองก็ทรงดำริอยู่เช่นกันว่าอายุเจ้าควรมีเหย้ามีเรือนได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ตัดสินพระทัยเกี่ยวกับผู้ที่เหมาะสม และเวลานี้ก็พบผู้ที่จะฝากให้ดูแลเจ้าได้แล้ว”
องค์หญิงหนิงเซียงเม้มริมฝีปากแน่น นางรู้ถึงชะตากรรมของตนเช่นที่องค์หญิงทุกคนในวังต่างรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์เลือก แต่หากต้องแต่งงานโดยแทบไม่รู้จักอีกฝ่ายเลยหรือต้องไปอยู่ต่างแคว้น นางขออยู่ในวังไปจนแก่ชราเสียยังดีกว่า การได้เห็นผู้เป็นพี่สาวมีความสุขกับการแต่งงานนางก็พลอยดีใจไปด้วย อย่างน้อยเจ้าตัวก็ได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอยู่หลายปี ในขณะที่ตนนั้นต่างออกไป
ทั้งเวลานี้ หัวใจของนางก็มีเงาของผู้ใดผู้หนึ่งอยู่ในใจแล้ว
แม้ไม่อาจวาดฝันได้ครองคู่ หากนางก็ไม่ต้องการแต่งกับผู้อื่น
“เชื่อพี่เถิดเซียงเอ๋อร์ เสด็จพ่อไม่ได้เลือกคนผิดอย่างแน่นอน ฮ่าวหมิงเป็นบุรุษที่องอาจกล้าหาญ ฝีมือเก่งกาจไม่เป็นสองรองใครในแคว้นนี้ ทั้งฐานะเจ้ากรมคลังก็ไม่น้อยหน้าผู้ใดเลย แม้จะไม่ได้กินตำแหน่งขุนนางใหญ่หรือมีกำลังทหารในมือ หากทรัพย์สินตระกูลจางนั้นมากมายนัก เป็นตระกูลใหญ่ที่รับใช้ราชวงศ์มาหลายชั่วอายุ”
องค์หญิงหนิงเซียงส่ายหน้า นางไม่ได้สนใจทรัพย์สินลาภยศ
“พี่รอง ท่านรู้สึกเช่นไรกับว่าที่พระชายา”
องค์ชายรองเสวียนหลินยังไม่ได้อภิเษก เนื่องด้วยโหราจารย์ประจำราชสำนักทูลเจ้าแคว้นว่ายังไม่ถึงเวลาเหมาะสม ในขณะที่องค์ชายรองก็รู้ดีว่าอาจมีการแทรกแซง ด้วยว่าที่พระชายาเป็นธิดาเจ้ากรมกลาโหม มีผู้ที่ไม่ต้องการให้ตนมีอำนาจมากเกินควร เพราะขุนนางในราชสำนักทูลขอให้พระบิดาทรงแต่งตั้งรัชทายาท หลังจากองค์ชายใหญ่รัชทายาทองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไปหลายปีแล้ว
ผู้ที่ขุนนางต่างก็เห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทคือองค์ชายรอง กับองค์ชายสามซึ่งเป็นพระโอรสโดยแท้ของฮองเฮาเช่นเดียวกับองค์ชายใหญ่ แน่นอนว่าหากองค์ชายรองได้เป็นรัชทายาทขั้วอำนาจอาจเปลี่ยนแปลง
“ท่านพึงพอใจในตัวนาง หรือพอใจเพียงเพราะเสด็จพ่อรับสั่งให้ท่านอภิเษกกับนาง”
“เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถิด”
องค์ชายรองจับไหล่บางประคองให้น้องสาวลุกขึ้น เจ้าตัวแทบลุกไม่ไหวและยืนไม่อยู่จนต้องโอบพยุงไปนั่งยังเก้าอี้ตัวยาว
“หลิงเอ๋อร์ไปเอายาทาแก้ฟกช้ำมาหน่อย แล้วให้คนไปขอเบิกยาบำรุงร่างกายมาต้มให้องค์หญิงด้วย”
“เพคะ”
หลิงเอ๋อร์รับคำองค์ชายรองแล้วออกไป
เมื่อสองพี่น้องอยู่ตามลำพัง องค์ชายรองก็ซับน้ำตาบนแก้มนวลสองข้างของน้องสาวพลางปลอบเสียงทุ้ม
“ฟังนะเซียงเอ๋อร์ เราต่างก็มีหน้าที่ ยิ่งเกิดมาสูงส่งหน้าที่ยิ่งมากขึ้น แม้ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก หากก็รู้ว่านางเป็นสตรีที่ดี ได้รับการอบรมมาอย่างดี คู่ควรเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาของพี่ซึ่งมีภาระหน้าที่ใหญ่ต้องรับผิดชอบ”
“ท่านเอ่ยราวนางเป็นขุนนางที่ดีคนนึง ไม่ได้รู้สึกใด”
เสียงหวานอุบอิบทำให้พี่ชายยิ้มบาง
“อาจเป็นเช่นนั้น หรืออาจมากกว่า เรื่องระหว่างนางกับพี่มีการเมืองเกี่ยวพันยากจะแยกออก ในขณะที่นางเป็นคู่หมายพี่ ก็มีผู้อื่นหมายปองนางเช่นกัน และหากผลประโยชน์มากพอ บิดาของนางอาจหาทางทำทุกอย่างให้บุตรสาวแต่งกับคนผู้นั้น”
น้ำเสียงของพี่ชายราบเรียบหากก็แฝงด้วยความเคร่งเครียด
“หากเป็นไปได้ พี่ไม่อยากให้เจ้าต้องมีส่วนพัวพันกับการเมืองหรือมีก็น้อยที่สุด พี่เชื่อว่าเสด็จพ่อเองก็ทรงดำริเช่นเดียวกัน ฮ่าวหมิงเป็นบุตรชายเจ้ากรมคลัง อย่างไรก็ลอยตัวหากเกิดสิ่งใดขึ้น”
องค์หญิงหนิงเซียงใจหายเมื่อได้ฟังสิ่งพี่ชายเอ่ย
“พี่รองพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าเป็นห่วงท่านนัก”
ผู้เป็นน้องกลับมาน้ำตาซึมอีกครั้ง ต่างรู้แก่ใจดีว่ากำลังเกิดคลื่นใต้น้ำในการแย่งชิงอำนาจ แม้ภายนอกจะดูกลมเกลียวร่วมแรงร่วมใจทำงานราชกิจหากแท้จริงแล้วเหล่าขุนนางต่างก็เลือกข้าง
“พี่ดูแลตัวเองได้ เป็นห่วงก็เพียงเจ้ากับเจียวมิ่ง แต่เวลานี้เจียวมิ่งมีผู้ดูแลที่ไว้ใจได้แล้ว พี่อยากฝากฝังเจ้าไว้กับคนที่พี่เชื่อใจที่สุดเช่นกัน”
ไม่ต้องเอ่ยนามก็เข้าใจได้ว่าองค์ชายรองหมายถึงสหายคนสนิท องค์หญิงหนิงเซียงไม่ได้เอ่ยแย้งแม้ในใจยังไม่ยอมจำนน ปัญหาหนักอกของตนนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่พี่ชายกำลังเผชิญ หากสิ่งที่เพียรพยายามมาสำเร็จก็จะอยู่เหนือผู้คนทั้งปวง หากพลาดพลั้งก็อาจถึงขั้นสิ้นชีวิต
ร่างอรชรขยับเข้าซบอกกว้างเมื่อพี่ชายโอบกอดตนไปแนบอก มีทางใดช่วยปกป้องพี่ชายได้นางเองก็อยากทำ ทว่าตนเป็นเพียงสตรีไม่อาจก้าวก่ายงานราชกิจ ต้องเชื่อฟังพระบิดาและอยู่ในกฎของฝ่ายในซึ่งมีฮองเฮาควบคุมดูแล
องค์หญิงก็เป็นเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบประดับพระราชวังที่สามารถยกไปตั้งที่ใดก็ได้เมื่อฮ่องเต้พระราชทานเป็นรางวัล หรือของกำนัลส่งไปต่างแคว้น
ร่างอรชรที่ซูบผอมลงกว่าเดิมไปมากแอบหลบกลับเข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่เมื่อมีขันทีเดินผ่าน มือบางกุมกันแน่นอย่างไม่มั่นใจ โดยมีหลิงเอ๋อร์ยืนใกล้คอยประคองนายตน
“องค์หญิง รอนานอาจไม่ดี ช่วงนี้ท่านแทบไม่กินอะไรเลย ร่างกายอ่อนแอนัก ออกมาด้านนอกเจอทั้งแดดทั้งลมเช่นนี้อาจไม่สบายได้นะเพคะ”
“เจ้าบอกว่าเขาจะเดินผ่านทางนี้หลังไปส่งฎีกาให้ท่านราชเลขาเพื่อถวายเสด็จพ่อไม่ใช่หรือ”
องค์หญิงหนิงเซียงถามพร้อมสีหน้ากังวลใจ
“เพคะ หลิงเอ๋อร์สืบมาอย่างดีแล้วเพคะ”
“แล้วเหตุใดถึงยังไม่เห็น”
นางมารอพักใหญ่แล้ว เวลานี้พระบิดาคงกำลังว่าราชการกับบรรดาขุนนาง ฎีกาก็น่าจะส่งขึ้นไปนานแล้ว เหตุใดผู้ที่ตนรอยังไม่เดินผ่านมาทางนี้
“มาแล้วเพคะองค์หญิง”
หลิงเอ๋อร์กระซิบเมื่อเห็นผู้ที่องค์หญิงรอ
ร่างสูงใหญ่ของหลิวซูหยวนเดินมาพร้อมกับคนในสำนักราชเลขาธิการอีกหนึ่งคน องค์หญิงหนิงเซียงยังหลบอยู่หลังต้นไม้ลอบมองชายหนุ่มก่อนจะพยักหน้าให้หลิงเอ๋อร์ เจ้าตัวก็ก้าวออกไปอย่างรู้หน้าที่
=====
องค์หญิงหนิงเซียงจะทำอะไร ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ ^-^
“ใต้เท้าหลิว”ชายหนุ่มกับมองผู้เข้ามาหาด้วยสีเข้มขรึม ขณะสหายที่มาด้วยกันแปลกใจ หากเมื่อนางกำนัลเอ่ยต่อเขาก็ขอตัว“เอ่อ ข้ามีเรื่องขอพูดกับใต้เท้าตามลำพังได้หรือไม่เจ้าคะ”“ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน”อีกฝ่ายจากไปโดยง่าย เพราะหลิวซูหยวนเป็นที่สนใจของสตรีทั้งในวังและบรรดาบุตรสาวขุนนางหรือแม้แต่ท่านหญิง หลายคนเพียงแอบเมียงทว่านางกำนัลผู้นี้ช่างกล้าหาญนักในความคิดของเขาจึงไม่อยากขัด“มีเรื่องใดหรือ”“เชิญใต้เท้าตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ”หลิงเอ๋อร์ผายมือไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ริมกำแพงอุทยานแล้วเดินนำ หลิวซูหยวนลังเลหากก็ก้าวตามด้วยความตงิดใจ กระทั่งพ้นต้นไม้มาก็เห็นร่างอรชรที่ทำเอาคิ้วเข้มขมวด ส่วนนางกำนัลสาวกลับไปดูต้นทาง“ถวายพระพรองค์หญิง”“ใต้เท้าหลิว”องค์หญิงหนิงเซียงมองผู้ที่อยู่ในหัวใจตนด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง กระนั้นก็ไม่มั่นใจนักว่าสิ่งที่นางต้องการพูดกับอีกฝ่าย ชายหนุ่มจะคิดเห็นอย่างไร“ข้า...เอ่อ...”สบตาคมเข้มนิ่งเฉยแล้วนางกลับพูดไม่ออก“องค์หญิงมีสิ่งใดรับสั่งกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ หากมีผู้ใดผ่านมาเห็นเข้าคงไม่เหมาะนัก”อีกฝ่ายถามเสียงเรียบ บั่นทอนกำลังใจของผู้ที่เตรียมตัวเตรียมใจมาแล
“องค์หญิง กินอีกคำสองคำก็ยังดีนะเพคะ”หลิงเอ๋อร์พยายามคะยั้นคะยอเมื่อองค์หญิงหนิงเซียงกินอาหารไปเพียงเล็กน้อย ร่างอรชรผ่ายผอมบอบบางยิ่งกว่าเดิมจนดวงหน้างดงามซีดตอบ นางกำนัลคนสนิทที่เอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดในทุกวันเห็นแล้วก็ปวดใจนัก“เอาออกไปเถิด ข้าไม่อยากกินแล้ว”“โธ่ องค์หญิง”องค์หญิงหนิงเซียงไม่สนใจเสียงโอดของนางกำนัลคนสนิท ร่างบอบบางลุกจากโต๊ะทานอาหารกลับเข้าไปในห้องนอน หลิงเอ๋อร์จึงได้แต่พยักหน้าเรียกให้นางกำนัลอีกสองคนเข้ามาเก็บอาหารออกไปแล้วก้าวตามนายตนร่างอรชรทรุดลงนั่งตรงโต๊ะเขียนหนังสือ หลิงเอ๋อร์ก็รีบเข้ามาช่วยฝนหมึก จัดกระดาษกับพู่กันให้“ข้าอยากได้ชากุหลาบ เจ้าไปสั่งที่ห้องเครื่องให้หน่อยนะหลิงเอ๋อร์”“เพคะ”หลิงเอ๋อร์ออกไปแล้วองค์หญิงหนิงเซียงก็เริ่มเขียนอักษรลงบนกระดาษช้าๆ มือที่จับพู่กันมั่นคง แม้กายจะสั่นด้วยแรงสะอื้นเบาๆ ทว่าเมื่อน้ำตาเริ่มรื้นใกล้หยาดรินปลายนิ้วเรียวก็กรีดทิ้ง ไม่ยอมให้หยดลงบนกระดาษ ไม่นานนักหนังสือสองฉบับก็ถูกพับใส่ซอง ก่อนนางจะเขียนนามผู้ที่ต้องการส่งถึง แล้วก็เป็นเวลาเดียวกับที่หลิงเอ๋อร์เดินนำนางกำนัลอีกคนยกกากับถ้วยน้ำชาเข้ามาพร้อมขนมและรินให้นายตน
องค์หญิงหนิงเซียงนั่งรถม้าแยกกับองค์หญิงเจียวมิ่งเพื่อเวลากลับจะได้ตรงเข้าวังมาเลยเพราะดูไปแล้วน่าจะกลับเข้าเมืองค่อนข้างเย็น ไหว้พระขอพรเสร็จออกมาจากอารามก็แวะพักริมน้ำตกกินของว่าง เป็นความตั้งใจของพี่สาวที่อยากให้น้องได้ผ่อนคลายกับธรรมชาติอันสดชื่น“ทำใจให้สบายเถิดนะเซียงเอ๋อร์ อย่าได้กังวลเกินไป เสด็จพ่อทำเพื่อเจ้า องครักษ์จางเองก็เหมาะสมคู่ควร แม้เป็นองครักษ์หากก็เป็นถึงบุตรเจ้ากรมคลัง เป็นสหายสนิทของพี่รอง”องค์หญิงเจียวมิ่งสงสารน้องสาวยิ่งนัก หากก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากให้กำลังใจ“เสด็จพ่อเองก็คงปวดพระทัย หากทรงรับรู้ว่าเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับจนผ่ายผอมเช่นนี้ ดูแลตัวเองให้ดีจนถึงวันแต่งงานเถิด เจ้าสาวควรมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่งผุดผาด”ผู้เป็นน้องยิ้มบางไม่แย้งสิ่งใด นางยังทำใจไม่ได้และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำใจยอมรับการแต่งงานได้หรือไม่ได้เวลากลับองค์หญิงทั้งสองต่างก็ขึ้นรถม้าของตน องค์หญิงหนิงเซียงมีหลิงเอ๋อร์คอยดูแลอยู่ภายในรถม้าด้วย สีหน้าเจ้าตัวดูเคร่งเครียดและครุ่นคิดตลอดเวลา ทว่าองค์หญิงหนิงเซียงไม่ได้สังเกตสิ่งอื่นมากนัก ใบหน้างดงามหมองเศร้าและเหม่อลอย แม้อยู่กับพี่สาวจะทำให้ตน
นางหลงทาง...ผู้ที่ไม่เคยไปมาในเมืองหลวงด้วยตนเองเดินโผเผอย่างเหนื่อยล้า นับแต่หนีจากร้านผ้ามาองค์หญิงหนิงเซียงกลับก้าวไปอย่างไร้จุดหมาย หลิงเอ๋อร์กำชับว่าให้หาโรงเตี๊ยมเพื่อพักทว่านางกลับไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน เดินไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่พบโรงเตี๊ยมและเวลาก็ใกล้จะเย็นแล้วจำเป็นต้องมีที่พักหลับนอนองค์หญิงหนิงเซียงเป็นห่วงหลิงเอ๋อร์มากกว่าตนเอง ทว่าเพราะอีกฝ่ายยอมทำทุกอย่างเพื่อตนนางจึงมุ่งมั่นที่จะหนีดรอดให้ได้‘ข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร’ขณะที่อยู่ในรถม้านางยังตัดสินใจไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายก็คุกเข่าอ้อนวอน‘องค์หญิงของหลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ไม่อยากให้ท่านทุกข์ทรมานทั้งกายใจ เห็นท่านมีคราบน้ำตาอาบแก้มในทุกวันคืน กินอาหารน้อยนิด หลิงเอ๋อร์ก็ทุกข์ทรมานไปพร้อมท่าน ยิ่งท่านทำร้ายตัวเอง หลิงเอ๋อร์ยิ่งกลัว ได้โปรด ไม่ว่าสิ่งใด ขอเพียงท่านกลับมายิ้มได้อีกครั้ง หลิงเอ๋อร์พร้อมเผชิญเพคะ’เจ้าตัวเอ่ยเจือสะอื้น ทำเอาองค์หญิงหนิงเซียงน้ำตาไหลไปด้วย ดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตานั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวปวดร้าวในอกเพียงใดที่เห็นนางปราศจากความสุขทั้งกายและใจ‘ไปจากวังหลวง เพื่อพบชีวิตที่อิสระและมีความสุขอย่างแท้จริงเถิดเพคะ
ใจดวงน้อยสั่นไหวด้วยความไม่มั่นใจขณะนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังเคลื่อนมาหน้าประตูเมือง เหลือบมองผู้ที่นั่งอีกด้านในรถม้าซึ่งใบหน้านิ่งสนิทแล้วก็เม้มริมฝีปากก้มหน้าลงครุ่นคิด‘ท่านคิดจะไปที่ใด’หลังหลบทหารมายังที่หนึ่งนางสะบัดตัวจะเดินหนีอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้น‘ข้าไม่จำเป็นต้องบอกท่าน’‘ท่านยังไม่รู้จะไปที่ใดมากกว่า’ใบหน้าเฉยชากับคำพูดกระด้างราวเย้ยหยันนั้นกวนอารมณ์นางให้ขุ่นนัก‘ไยท่านต้องมายุ่งกับข้าอีก ในเมื่อปฏิเสธข้าแล้วก็ปล่อยให้ข้าไปตามทางของข้า ไม่ต้องข้องเกี่ยวหรือใส่ใจใดๆ อีก’‘เห็นท่านกำลังพาตัวเองก้าวเข้าสู่อันตรายจะให้ข้าละเลยได้อย่างไร’ริมฝีปากอิ่มสวยขยับยิ้มหยันกับคำเอ่ยราวใส่ใจ‘ทั้งที่ท่านทำให้ข้าอับอายขายหน้า เป็นผู้หญิงไร้ยางอายไปแล้วยังบอกว่าไม่อาจละเลยอีกหรือ หึ...น้ำใจจากท่าน ข้าไม่ต้องการ’องค์หญิงหนิงเซียงเมินหน้าหนีจะเดินจากมา ทว่ากลับต้องชะงักอย่างลังเลในคำพูดของหลิวซูหยวน‘หากท่านต้องการออกนอกเมืองไปกับข้าก็ได้ อีกอย่างท่านไม่ควรอยู่ในชุดสตรี’และแล้วนางก็จำต้องให้ชายหนุ่มช่วยเหลือแม้ไม่รู้ว่าออกนอกเมืองไปแล้วจะทำอย่างไรต่อไป แต่หากยังอยู่ในนี้นางต้องถูกเจอตัวและพากล
ความไม่ชินทำให้องค์หญิงหนิงเซียงไม่อาจข่มตาหลับลงได้กระทั่งใกล้รุ่งเช้า รู้สึกตัวอีกครั้งก็ลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วมองไปโดยรอบอย่างหวาดหวั่น ความกลัวเกาะกินหัวใจนับแต่เลือกที่จะหนีมา ยอมรับว่าการได้พบหลิวซูหยวนนั้นช่วยลดทอนความวิตกกังวลได้ไม่น้อย ทว่านางยังเคืองอีกฝ่ายจึงผลักไสเขา หากมาถึงตอนนี้ที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเต็มตัวนางกลับเป็นห่วงอีกฝ่ายนางไม่อยากทำลายผู้ใดอีกแล้ว อีกอย่างนางก็ยังห่วงหลิงเอ๋อร์กับคนอื่นๆมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงเข้มจากด้านนอกองค์หญิงหนิงเซียงจึงลุกไปเปิดประตู“ข้าเองขอรับคุณหนู”เป็นเสียงของหลิวซูหยวน ชายหนุ่มคงไม่ต้องการให้ผู้ใดผิดสังเกตจึงเอ่ยกับตนเช่นนี้“กระหม่อมสั่งอาหารมาให้ท่านแล้ว หลังกินเสร็จเราต้องรีบเดินทาง ไม่นานทหารอาจตามท่านออกมานอกเมือง โรงเตี๊ยมนี้อยู่ไม่ไกลนัก”เขาบอกทันทีที่ประตูปิดลง“ท่านควรรีบกลับเข้าเมืองไม่ใช่หรือ ท่านมีงานต้องทำ หายหน้าไปอาจมีคนสงสัย”องค์หญิงหนิงเซียงเอ่ยในสิ่งที่คิด“อีกอย่าง ข้าอยากรบกวนท่าน ช่วยหาทางไปดูหลิงเอ๋อร์กับคนอื่นๆ ในตำหนักของข้าได้หรือไม่ ข้ารู้ว่าทำให้ท่านลำบากใจ แต่ข้าห่วงพวกนาง”หลิวซูหยวนถอนห
สามวันสามคืนผ่านไปในกระท่อมกลางป่า คืนแรกนั้นองค์หญิงหนิงเซียงหวาดหวั่นกับเสียงสัตว์ในป่าจนนอนไม่หลับ ทั้งแคร่ไม้ไผ่ก็แข็งพาให้เจ็บไปทั้งแผ่นหลังและเนื้อตัวเวลานอน ทว่าในคืนต่อมาก็ค่อยๆ หลับไปได้แม้จะค่อนดึก โดยมีหลิวซูหยวนนอนด้านนอกห้องใกล้ประตูราวเฝ้าระวังภัย แต่นางก็อดเป็นห่วงชายหนุ่มไม่ได้เพราะเขาเพียงนอนกับพื้นไม้เท่านั้น ทั้งยังเสื้อคลุมตัวนอกมาให้นางห่มนอนอีกด้วย นั่นทำให้หญิงสาวรู้ว่าชายหนุ่มกลับมาเก็บพัดที่ตนปาใส่เขาในวันนั้น เพราะหล่นตอนหลิวซูหยวนถอดเสื้อออก“กลางดึกอากาศเย็นจัดนัก แล้วกระท่อมก็ชื้นเต็มไปด้วยน้ำค้าง ท่านนอนบนพื้นทุกคืนเช่นนี้หากป่วยไข้จะทำอย่างไร”องค์หญิงหนิงเซียงนั่งเท้าคางชิดริมหน้าต่าง มืออีกข้างก็ถือพัดขยับไปมา เวลานี้มันกลับมาอยู่กับนางแล้ว ขณะอีกฝ่ายกำลังต้มน้ำแกงไก่ป่าใส่เห็ดอยู่ด้านนอกในเวลาที่ฟ้ามืดแล้ว มองเห็นพระจันทร์ดวงโตผ่านแมกไม้หนา ภายในกระท่อมมีแสงจากตะเกียงเล็กพอให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน และหลิวซูหยวนก็จุดไฟไว้กองหนึ่งใกล้กับจุดที่กำลังต้มน้ำแกงเพื่อความอบอุ่นและเพิ่มความสว่าง“ข้าอยู่แดนเหนือ ออกลาดตระเวนพบเจออากาศเย็นจัดมาจนชินเสียแล้ว ท่านอ
“หากท่านยังต้องการเวลา ข้าขอเพียงไออุ่นจากกายหอมละมุน ให้นอนหลับอย่างเป็นสุขใจก็เพียงพอแล้ว”ร่างอรชรถูกอุ้มมาวางบนเตียงไม้เย็นเยียบพร้อมร่างสูงใหญ่ตามมา มือหนาลูบผมและเกลี่ยไล้ส่วนที่บดบังดวงหน้าให้อย่างแผ่วเบาแม้จะเกร็งทั้งกายหากองค์หญิงหนิงเซียงไม่รู้สึกฝืนใจแต่อย่างใด ไม่ว่าต่อจากนี้หลิวซูหยวนจะพาไปพบกับสิ่งใดนางก็เต็มใจดวงหน้างามส่ายไปมาพลางแขนเรียวยกขึ้นโอบลำคอหนาพร้อมกับยิ้มหวานให้ทั้งจากริมฝีปากและดวงตา นางพร้อมแล้วทั้งกายและใจ หัวใจของนางมีเพียงหลิวซูหยวน แม้จะไม่เคยผ่านความรู้สึกลึกซึ้งมาก่อนในชีวิต หากนางก็เข้าใจถึงความรู้สึกตกหลุมรัก‘เราจะอยากเจอคนผู้นั้น หลับตาก็มองเห็นใบหน้าคนผู้นั้น แม้ไม่ได้พบเจอเนิ่นนานก็ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่เลือนหาย’พี่สาวของนางเคยเอ่ยถึงความรู้สึกที่มีต่อมู่ฉางเหยียนให้นางฟังเพียงแรกพานพบก็จดจำมิลืมเลือนองค์หญิงหนิงเซียงไม่รู้ตัวว่าตนเองจดจำใบหน้าของผู้ที่ช่วยตนไว้ไม่เคยลืมกระทั่งหลิวซูหยวนปรากฏตัวขึ้นช่วยจับขโมยในวันนั้น นับแต่นั้นมา หลับตาลงนางก็ยังเห็นใบหน้าขาวคมคายกับดวงตาคู่คมกริบสะกดใจในทุกค่ำคืน“ข้าไม่รู้หรอกว่าต้องการเวลาหรือไม่
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”ร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาหานางพร้อมกับหลี่เหอจือเยว่ยืนนิ่งเพราะรู้สึกถึงแรงบีบถี่ในท้องของตน มือบางกุมท้องและทรุดกายลง เฟยอวี่ก็รีบช่วยประคอง“ปวดท้องหรือ”นางพยักหน้าให้สามี ก่อนจะพูดเสียงสั่น“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”เฟยอวี่ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็อุ้มภรรยาของตนไปยังดินแดนมนุษย์ หลี่เหอช่วยเนรมิตกระท่อมขึ้นมา“ทำอย่างไรดี หากหลี่เอินอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี”เขาอดคิดถึงน้องสาวไม่ได้เทพสงครามวางร่างอรชรที่งอตัวแล้วร้องดังขึ้นเรื่อยๆ พายุที่หยุดไปเมื่อครู่เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง ฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น จือเยว่ยิ่งดิ้นทุรนทุราย ขณะที่เขาทำได้เพียงจับมือบางและโอบกอดอีกฝ่าย“เฟยอวี่...ช่วยด้วย กรี๊ดดดด!!”จือเยว่กรีดร้องออกมาลั่นทั่วทั้งป่า ก่อนแสงสว่างเรืองรองจะวาบขึ้นแล้วปรากฏร่างเด็กทารกใกล้ร่างบอบบางที่หมดสติเฟยอวี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก ขณะที่หลี่เหอถึงกับตกตะลึง หากก็รีบเข้ามาอุ้มร่างเล็กที่กำลังแผดเสียงร้องจ้าขึ้นเวลาเดียวกันนั้น ท้องฟ้ามืดมิดสว่างไสวในชั่วพริบตา พายุฝนฟ้าคะนองเลือนหายราวไม่เคยเกิดสภาพอากาศแปรปรวนโหดร้ายก่อนหน้านี้สองหนุ่มสบตา
สองร้อยปีต่อมา...“ให้ลูกไปเถิดนะท่านแม่”“เวลาเช่นนี้สุ่มเสี่ยงเกินกว่าที่ลูกจะไปเสี่ยงอันตราย ท่านย่ารู้ว่าแม่ให้ลูกไปต้องโกรธมากแน่”“ท่านพ่อ”จือเยว่หันไปหาบิดาให้ช่วยเหลือเมื่อมารดาส่ายหน้า ทว่าไท่จื่อจิ่นลี่กลับเหลือบสายตาไปยังภรรยา“ยังไงลูกก็จะไป”ใบหน้างดงามงอง้ำด้วยความขัดอกขัดใจ“เยว่เอ๋อร์ หากในเวลาปกติ พ่อก็คิดว่าเจ้าสมควรไป แต่เวลานี้...”ไท่จื่อสวรรค์ถอนหายยาว“พ่อไม่อนุญาต”จือเยว่มองบิดามารดาอย่างน้อยใจแล้วหันไปยังสามีซึ่งยืนเงียบทั้งยังมีสีหน้าลำบากใจ ริมฝีปากอิ่มสวยก็เม้มขุ่นเคือง“ลูกแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ ก่อนหน้านี้ก็ยังลงไปช่วยเผ่าปีศาจพร้อมกับเฟยอวี่ ครั้งนี้ไยจึงไปไม่ได้”“เวลานั้นลูกไปโดยที่ไม่บอกผู้ใดว่าตั้งครรภ์ แต่ตอนนี้คนรู้ทั่วทั้งสวรรค์ ยิ่งท่านปู่ท่านย่าของลูก ยิ่งไม่ต้องการให้ลูกทำงานราชกิจใด อีกอย่างก็น่าจะจวนเจียนคลอดแล้ว”“ลูกยังไม่รู้สึกว่าจะถึงเวลา”ผู้ที่ตั้งครรภ์ทว่าท้องไม่ได้โตขึ้นแม้แต่น้อยแย้งมารดา“แม่ก็คลอดลูกหลังตั้งครรภ์ไม่นานนัก”ด้วยบุญญาธิการของชนชั้นสูงเผ่าสวรรค์นั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ ฤกษ์งามยามดีเหมาะสมเกิดจากญ
“จะไม่ให้ข้าได้พักเลยหรือ”“ท่านอยากพักก็พัก ข้าไม่ได้ห้าม”ใบหน้างดงามยังงอง้ำ ดวงตาคู่หวานซึ้งฉายแววขุ่นเคือง ทว่าเฟยอวี่ไม่รู้สึกเกรงกลัวทั้งยังเอ่ยหน้าตาย“ถึงท่านพัก ข้าก็ทำได้ โอ๊ย!”ชายหนุ่มสะดุ้งเพราะนิ้วเล็กจิกแล้วบิดอกหนาของตน“ตรงนี้มันเจ็บนะ”หญิงสาวสะบัดหน้าหนี เขาจึงจับมือที่ประทุษร้ายตนมาจูบ แล้วพาร่างอรชรลงไปนอนสบายๆ ส่วนตนตะแคงข้างกวาดมองเรือนกายเย้ายวน มีเสื้อรั้งอยู่ส่วนแขนและด้านหลัง หากก็แทบจะเปลือยเปล่า“เพิ่งบอกว่าคิดถึงข้า ตอนนี้มางอนเสียแล้ว”“ถึงข้าจะต้องการท่านมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ท่านเอาแต่ใจกับข้า”“อืม ส่วนท่านเอาแต่ใจกับข้าได้”“เฟยอวี่”จือเยว่เสียงเข้มขึ้น ทั้งยังมองสามีตนด้วยแววตาดุ“โธ่ เมื่อครู่เป็นท่านเองที่ปลุกเร้าข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ห้ามใจ เพราะเห็นว่าท่านเพิ่งบาดเจ็บและยังเศร้าเสียใจ”“ท่านโทษข้า”เฟยอวี่ยิ้มเจื่อน รู้แล้วว่าหากไม่ยอมก็คงไม่จบ จึงเปลี่ยนไปเป็นง้อภรรยาแทน“ไม่ได้โทษท่าน ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านต้องการข้าถึงเพียงนี้ ข้าผิดที่เย้าท่านให้ได้อาย อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะจือเยว่”ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอนปริบๆ จือเยว่จึงพยักหน้า
เฟยอวี่ไม่ยอมเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียว ขยับริมฝีปากได้รูปจูบร้อนแรงกลับไป ขณะยกร่างอรชรให้ขยับขึ้นมาคร่อมตักตน อีกฝ่ายยอมทำตามโดยง่าย มือบางเลื่อนสอดเข้าไปในกลุ่มผมนวดคลึงพลางพัวพันลิ้นเล็กกับลิ้นตนเร่าร้อนจนหายใจลำบาก ทว่าปากนุ่มยังขยับมาเม้มใบหูของเขาต่อทำเอาชายหนุ่มครางครึ้ม“อืม จือเยว่ เวลาร้อยปีทำให้ท่านใจร้อนขึ้นมากนัก”“เพราะข้าคิดถึงอ้อมกอดของท่าน ช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้นเกินไป”ชายหนุ่มต้องกัดริมฝีปากตนเพราะเจ้าตัวตอบเบาชิดหูทั้งยังกัดติ่งหูเขาหยอกเย้า“ท่านยั่วเย้าเก่งเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงลืมเลือนสัมผัสจากข้าไปเสียแล้ว”“ข้าเพียงทำตามเสียงเรียกร้องแห่งปรารถนา”บอกแล้วนางก็ไล่เม้มลำคอแกร่ง มือกระชากเสื้อคลุมอีกฝ่ายออกด้วยเวทของตน ก่อนจะไต่สองมือบางไปตามบ่าหนากับแขนกำยำ ทั้งยังจิกปลายนิ้วครูดไปตามแผ่นหลังกว้างเร้าอารมณ์หนุ่มพร้อมแนบหน้าอกตนชิดอกแกร่งเปลือยเปล่า ขยับบดเบียดเชิญชวนมือหนาเลื่อนมาวางแนบเอวบางค่อยๆ ปลดชุดสวยอย่างไม่เร่งร้อนผิดกับอีกฝ่าย ตั้งใจปลดเปลื้องเรือนกายอ้อนแอ้นให้เผยอย่างช้าๆ เพียงด้านหน้า ดูเย้ายวนกระตุ้นเลือดหนุ่มฉกรรจ์ให้ทะยานอยากมากยิ่งขึ้นชายห
“หากไม่คิดบัญชีกับเจ้า ข้าก็ไม่อาจตายตาหลับ ฆ่ามัน!”นางสั่งเสียงเข้ม ฝูงจิ้งจอกก็กระโดดจู่โจม จือเยว่เหินลอยตัวสูงพร้อมหลี่เหอหลี่เอิน และฟาดพันพลังใส่จิ้งจอกที่ถูกวิชามารควบคุม แต่ละตัวตาแดงก่ำน่ากลัวจิ้งจอกกระเด็นไปไกลแต่ก็ผุดยืนขึ้นรวดเร็วราวไม่บาดเจ็บ คงกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้ว ทั้งยังกระโดดได้สูงผิดจิ้งจอกทั่วไปและมีไอดำรอบกายซูเจินเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย นางพุ่งเข้ามาพร้อมสะบัดแขนส่งพลังทำลายล้างสีดำทะมึนเข้ามาใส่ จือเยว่หันไปตั้งรับขณะหลี่เหอหลี่เอินพะวงกับฝูงจิ้งจอก แม้นางจะสกัดพลังทมิฬนั้นได้และผลักดันกลับไปจนอีกฝ่ายผงะ ทว่ากลับมีจิ้งจอกตัวหนึ่งพุ่งมาใส่ หญิงสาวถอยหนีอย่างกะทันไปจนถึงหน้าผา เป็นเวลาเดียวกับที่ซูเจินตั้งตัวได้ซัดพลังตามมา ร่างอรชรถูกกระแทกจากไอดำหงายหลังลงหน้าผาโดยมีจิ้งจอกตัวนั้นตามมาเพื่อขย้ำจือเยว่ลอยลิ่ว กำหนดจิตได้ยากเพราะบาดเจ็บ แล้วอยู่ๆ กลับมีลูกไฟพุ่งลงมายังตัวจิ้งจอกจนถูกเผาไปต่อหน้า รวมทั้งซูเจินกับจิ้งจอกตัวอื่นก็ถูกลูกไฟตามๆ กันขณะได้ยินเสียงซูเจินกรีดร้องหญิงสาวรู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่โผวูบเข้ามารองรับร่างตนและพาลอยสูงขึ้น ผู้ที่บาดเจ็บเหลือบมอง แ
เวลาล่วงเลยมาร้อยปี จากขุนพลสวรรค์จือเยว่สามารถขึ้นเป็นแม่ทัพสวรรค์ได้แล้ว นางเป็นผู้ดูแลราชกิจทั่วทั้งหกพิภพแทนไท่จื่อจิ่นลี่เต็มตัว แม้ผู้นำทัพสวรรค์ยังเป็นไท่จื่อ รวมถึงหน้าที่รับผิดชอบของเทพสงครามจือเยว่ก็เป็นผู้จัดการโดยปราศจากการแต่งตั้งเทพสงครามคนใหม่ หญิงสาวคิดว่าองค์จักรพรรดิสวรรค์ยังไม่เห็นว่าผู้ใดมีความสามารถเพียงพอ และตัวนางเองยังต้องได้รับความไว้วางใจจากขุนนางสวรรค์กับหกพิภพถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ตำแน่งใดไม่สำคัญ นางอยากทำหน้าที่ของตนกับเฟยอวี่ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับเทพสงครามยังคงอยู่“ชายแดนเผ่าจิ้งจอกติดกับดินแดนมนุษย์มีอสูรร้ายอาละวาดกินผู้คนเป็นอาหาร ท่านแม่ทัพจะไปจัดการด้วยตนเองหรือให้ข้าไปแทนขอรับ”หลี่เหอถามขณะหารือในเรื่องฎีกาที่ส่งมา บางส่วนสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องทูลฮ่องเต้สวรรค์ก่อน แม่ทัพจือเยว่จะเป็นผู้ตัดสินใจหรือไม่ก็ปรึกษาไท่จื่อ ด้วยเวลานี้องค์จักรพรรดิวางมือในหลายส่วนแล้วจือเยว่นิ่งงันไป ชายแดนเผ่าจิ้งจอกกับดินแดนมนุษย์ก็หมายถึงเขตรอยเชื่อมต่อที่เคยไปครั้งก่อน ครั้งที่ทำให้นางสูญเสียที่สุดในชีวิต นางไม่ควรไปหากไม่ต้องการเจ็บปวด ทว่าก็คิ
“ท่านย่ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือเพคะ”ฮองเฮาฮุ่ยเฟิ่งอึกอักอ้ำอึ้ง ทว่าเห็นหลานรักเป็นเช่นนี้ก็ไม่อยากปิดบังไว้อีก“ผู้ที่รู้เรื่องนี้ มีท่านปู่ของหลาน ย่า อาจารย์ปู่กับอาจารย์ของหลาน”จือเยว่มองย่าของตนอย่างไม่คาดคิด ขณะที่ฮองเฮายังบอกเล่าต่อไป“เฟยอวี่เคยช่วยชีวิตหลาน เขาปลดผนึกวิชาแปลงกายจากตัวหลานทำให้กลายร่างเป็นหญิง และด้ายแดงก็ผูกพันชะตาหลานทั้งสองไว้นับแต่นั้น ในตอนที่เขาพาหลานมาให้อาจารย์ช่วยรักษา อาจารย์ของหลานจึงบอกให้เฟยอวี่ช่วยเก็บความลับนี้ไว้ อาจารย์ปู่สำนักเทียนซานส่งสารลับแจ้งมายังท่านปู่ ท่านปู่ของหลานจึงรับสั่งให้สะกดอารมณ์ความรู้สึกในหัวใจของหลานเอาไว้ ไม่ต้องการให้หลานผูกพันใจกับผู้ใดแม้แต่เฟยอวี่ และอาจารย์ของหลานก็มอบหมายหน้าที่ให้เขาลงไปขุนเขากลางเวหา”ริมฝีปากอิ่มเผยอ ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวด เพราะศิษย์พี่ของนางเก่งกาจที่สุดในสำนัก นางจึงไม่แปลกใจ ทว่าจากนั้นไม่นานบิดาก็ส่งจางหย่งมารับตัวนางกลับสวรรค์ และไม่ได้พบเฟยอวี่อีกเพราะถูกเวทสะกดใจไว้นี่เอง นางจึงมักรู้สึกปวดหัวใจราวถูกบีบหรือทิ่มแทงทุกครั้งที่อารมณ์เฉียดใกล้ความรู้สึก ‘รัก’‘นางมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่รออยู่ ชีว
ร่างบอบบางมุ่งหน้าเข้าป่าลึกภายในสำนักเทียนซาน มีผู้อื่นที่ว่องไวคล่องแคล่วกว่าตนหลายคน ทำให้ต้องเร่งฝีเท้ากระโดดลอยเหาะไปเกาะตามต้นไม้ใหญ่ ธงชัยสำหรับผู้ชนะในการประลองความเร็วนี้มีเพียงห้าคนเท่านั้น และนางก็อยากคว้ามันมาให้ได้จือเยว่ในเวลานี้อายุเพียงพันสองร้อยปี ยังเยาว์วัยและรูปร่างผอมบางสะโอดสะองกว่าบุรุษวัยเดียวกัน ฝีมือก็อ่อนด้อยกว่าศิษย์รุ่นเดียวกัน เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรี หากคว้าชัยเป็นหนึ่งในห้าได้นางจะไม่ถูกมองว่าอ่อนแอเหมือนคนขี้โรคอีกทว่าเมื่อมองเห็นธงชัยที่อยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง นางก็รีบกระโจนไปให้ถึงโดยเร็ว หากก็มีศิษย์อีกคนเห็นด้วยเช่นกัน ต่างก็เร่งฝีเท้าและปีนป่ายเกาะต้นไม้นั้น แต่ที่ไม่มีใครทันสังเกตคือมีอสรพิษขดอยู่ด้านบนเหนือธงขึ้นไปราวเฝ้าระวัง ทั้งสองต่างขัดแข้งขัดขาช่วงชิงโอกาสที่จะไปให้ถึงธงนั้นก่อนอีกฝ่ายและจือเยว่ก็พลาดถูกเตะจนร่วงหล่นลงมายังดีที่คว้ากิ่งไม้ไว้ได้ นางเร่งปีนกลับขึ้นไปใหม่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ศิษย์อีกคนเห็นว่ามีงูอยู่ เขาใช้เวทโจมตีเพื่อให้งูตกลงไป ทว่าโชคไม่ดีที่หล่นมาถูกจือเยว่ด้านล้าง และนางก็ถูกอสรพิษนั้นกัดเข้าที่แขน
“ระวังตัวด้วย”เทพสงครามสั่งเสียงดัง มั่นใจว่าชิงหลุนคงไม่ละมือโดยง่าย และก็เป็นอย่างที่คิด ชิงหลุนยกสองมือชูขึ้น ชั่วอึดใจท้องฟ้าด้านบนก็ดำทะมึนก่อนเหวี่ยงกรงเล็บจิ้งจอกทมิฬมาพร้อมพลังสายฟ้าฟาด ราวตั้งใจใช้พลังโจมตีทั้งหมดที่ตนมีเพื่อทำลายศัตรูเฟยอวี่พยายามเคลื่อนกายไปด้านหน้า หากรอรับเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้ หลี่เหอเองก็ถอยไปบังร่างอรชรของนายตนไว้อย่างรู้ใจเทพสงครามว่าจะหาโอกาสเปลี่ยนรับเป็นรุกจากหลังเฟยอวี่ใช้พลังบังคับทวนให้หมุนสกัดกรงเล็บโดยไม่หยุดแล้ว เขาก็ร่ายเวทเพลิงวิหค ปล่อยพลังซัดเข้าหาชิงหลุน อีกฝ่ายตีลังกาหลบได้อย่างเฉียดฉิว นั่นทำให้กรงเล็บจิ้งจอกทมิฬหยุดลงชั่วขณะ เทพสงครามรีบคว้าทวนแล้วโผเข้าฟาดฟันอีกฝ่ายก็ปัดป้องด้วยพลังได้ทุกครั้งสายตาของชิงหลุนเหลือบไปยังจือเยว่ชั่วแวบ ก่อนจะหลบทวนของเทพสงครามหายวับไปใกล้ร่างอรชร ส่งกรงเล็บใส่หลี่เอินเพื่อให้พ้นทางก่อน“โอ๊ะ”“หลี่เอิน”ทั้งจือเยว่กับหลี่เหอต่างตะโกนขึ้นพร้อมกัน หลี่เหอรีบมาขวางแต่เพราะความกังวลห่วงน้องสาวที่กระเด็นไปไกลทำให้เกือบจะหลบพลังของชิงหลุนไม่ทัน ไม่ได้มองว่านายตนพุ่งกายไปหาหลี่เอิน นั่