หลิงเวยที่กำลังหลับใหลอยู่เริ่มสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมาด้วยกำลังรู้สึกร้อนแบบแปลกๆ
ก่อนหลับไปนางจำได้ว่าอากาศช่างหนาวเย็น แต่เหตุใดยามนี้ช่างร้อนยิ่งนัก ผ้าห่มที่ควรให้ความอบอุ่นเมื่อร่างกายเหน็บหนาวกลับเกะกะหนาหนักจนนางต้องผลักออกไป
อืม...ร้อน...
หลิงเวยเริ่มเอื้อมมือขึ้นปัดป่ายไปมาเบาๆ ตามใบหน้าตามเนื้อตัว นางลูบคลำเลื่อนไล้ไปตามลำตัวของตนเองอย่างเหม่อลอยด้วยอารมณ์บางอย่างที่ไม่คุ้ยเคย
นางไม่เคยรู้สึกร้อนแบบแปลกๆ เช่นนี้มาก่อน
มันคืออันใด?
ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะสรรหาคำตอบให้กับคำถามบางเบาภายใต้จิตสำนักอันน้อยนิดของตน นางเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร้อนจนต้องพยายามปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายของตนเองให้ออกไป เพื่อที่ว่ามันจะสามารถคลายความร้อนแบบแปลกๆ นี้ให้เจือจางลงได้
นางเคลื่อนฝ่ามือน้อยๆ ลงต่ำมาที่ผ้าผูกเอวแล้วปลดมันออกในขณะที่นัยน์ตายังคงครึ่งหลับครึ่งตื่นมองไม่เห็นสิ่งใด นางเปิดสาบเสื้อของตนออกเพียงนิดเพื่อคลายความร้อน
นางมั่นใจว่าเปิดเผยอสาบเสื้อของตนเองแค่เพียงเล็กน้อยก็เท่านั้นแต่ทว่าทำไมถึงได้คล้ายกับว่ามันถูกเปิดออกกว้างมากกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งยังคล้ายกับถูกกระชากให้ออกไปกระนั้น
ไยสาบเสื้อของนางถึงเคลื่อนตัวออกกว้างจนเนินอกของนางล้นออกมาได้กัน
แต่ที่แปลกมากกว่านั้นก็คือสัมผัสบางอย่าง
สัมผัสบางอย่างที่ว่าคือความร้อนชื้นแบบแปลกๆ ความร้อนชื้นที่อยู่กับเนินอกของนาง ทั้งยังมีความร้อนกรุ่นมากมายเนิบนาบอยู่ตามลำตัวของนาง ร่างทั้งร่างของนางคล้ายกับถูกทาบทับด้วยความร้อนผ่าวบางอย่าง
“อืม...” หญิงสาวส่งเสียงผ่านลำคอระหงออกมาเบาๆ ความรู้สึกแปลกใหม่เริ่มเด่นชัด มันร้อนแต่ทว่ารู้สึกดี ก่อเกิดความรู้สึกวาบหวามเกินรำพัน
และเพียงไม่นานความร้อนชื้นตรงเนินอกพลันหายไป ความกรุ่นร้อนที่เลื่อนวนไปมาตามลำตัวของนางเริ่มหนักหน่วง เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่คล้ายกับมิได้ห่อหุ้มเนื้อตัวของนางอีกต่อไป
คำถามบางเบาเกิดขึ้นภายในจิตใต้สำนึกอันน้อยนิดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สิ่งที่ทดแทนคำตอบของนางมิใช่เพียงความร้อนที่เกิดจากตัวนางแต่กลับเป็นความร้อนจากภายนอกที่กำลังครอบคลุมนาง
ความร้อนที่ว่าโอบล้อมนางทั้งเรือนกาย ทั้งยังมีความร้อนคล้ายกับลมพ่นเป่าออกมาใส่ใบหน้านาง
และเพียงอึดใจความร้อนผ่าวคล้ายกับก้อนไฟก็นาบลงมาที่กลางลำตัว และเสียดแทงเข้าร่างกายนาง
“อ๊ะ!” หลิงเวยถึงกับหลุดอุทาน
“อ๊ะ!” หญิงสาวร้องออกมาอีกครา ลูกไฟแท่งนั้นสอดแทรกเข้าร่างมาแล้วถอยออกไป
นางรู้สึกเจ็บเสียดช่วงกลางลำตัว
เจ็บแปลบแต่...
“อืม...” เสียงทุ้มต่ำคำรามออกมา เสียงนั้นดังอยู่ใกล้ใบหน้านางพร้อมลมหายใจร้อนกรุ่นพ่นเป่าลงมาแรงๆ
“อ๊ะ!” หลิงเวยร้องออกมาอีกครั้งและครั้งนี้ความรู้สึกแปลกใหม่พลันปรากฏ
คราแรกนางเจ็บ คราที่สองนางก็ยังเจ็บ คราต่อมานางก็ยังเจ็บแต่ทว่าครั้งต่อๆ มาสิ่งที่ร้อนผ่าวคล้ายกับแท่งไฟตรงกลางลำตัวกลับเพิ่มความรู้สึกแปลกประหลาด
ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ว่ามันมาพร้อมกับความเจ็บแปลบเสียดสีและความเจ็บหน่วงเสียดเสียว
“อา...” ครานี้เสียงของหลิงเวยพลันเปลี่ยนไปตามความรู้สึกแปลกประหลาดนั้น
ความรู้สึกรุ่มร้อน ความรู้สึกร้อนเร่าที่กำลังโลดเล่นโอบล้อมเรือนกายคล้ายกับจะเผานางให้มอดไหม้ ความรู้สึกเสียดเสียวเมื่อกลางลำตัวถูกเสียดสี จังหวะบางอย่างที่กำลังถาโถมอยู่กลางลำตัว ความรู้สึกเจ็บปวดแต่สร้างความเสียวซ่านมากมาย
นี่นางกำลังเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับนาง
หลิงเวยแหงนหงายใบหน้าร้องครางออกมาตามจังหวะแปลกประหลาดจนร่างบางโยกโยน
หญิงสาวพยายามเรียกสติสัมปชัญญะทั้งหมดที่มีเพื่อลืมตาถึงแม้ว่าริมฝีปากจะกำลังอ้าเผยอเปล่งเสียงน่าอาย
นางพยายามเหลือเกินที่จะลืมตาขึ้นมา แต่ทุกจังหวะที่กระชับตรงกลางลำตัวทำให้นางต้องหลับตาแน่นแต่อ้าปากออกเพื่อส่งเสียงครวญคราง
เมื่อลืมตามิได้ดังใจนางจึงเอื้อมฝ่ามือขึ้นมาปัดป่ายจนเจอเข้ากับสิ่งหนึ่ง คล้ายกับผิวหนังของบุคคลแต่แข็งขึงตึงแน่น
นางพยายามลืมตาขึ้นมองอย่างสุดชีวิตถึงแม้จะกำลังร้องออกมาตามจังหวะที่ถูกกดดันอยู่กลางแก่นกายจนร่างทั้งร่างโยกโยนขึ้นลงไปมา
และแล้วนางก็ลืมตาได้สำเร็จ ทันใดนั้นดวงตาที่หรี่ปรือครึ่งหลับครึ่งตื่นคล้ายเคลิบเคลิ้มเมื่อครู่พลันเบิกโพลง แสงเทียนที่ถูกจุดเมื่อไหร่มิทราบได้สาดประกายสีเหลืองนวลส่องมา
และนางก็ได้เห็น
เงาร่างบึกบึนใหญ่โตกำลังทอดตัวอยู่เหนือร่างของนาง เงาร่างล่ำสันกำลังขยับอยู่บนเรือนร่างของนาง
เงาร่างที่ว่ากำลังพ่นลมร้อนๆ ใส่ใบหน้านาง เงาร่างที่ว่ากำลังกระทำการบางอย่างกับเรือนกายของนาง
เงาร่างที่ว่ากำลังขยับเรือนกายขึ้นลงแต่กำลังกดกระชับเสียดแทงตรงกลางลำตัวของนาง เงาร่างที่ว่ากำลังมอบความรู้สึกแปลกประหลาดให้ตรงกลางลำตัว
จนนางต้องร้องครวญคราง
อา...นี่คืออันใด!?
ภายในห้องพักห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยมอี้ฉางแห่งนี้กำลังมีหญิงสาวนางหนึ่งในอาภรณ์สีฟ้าครามนั่งอยู่ตรงโต๊ะกลมมุมห้องด้วยลักษณะท่าทางคล้ายใจร้อนคล้ายใจเย็นสลับไปมา โดยมีสตรีอีกนางหนึ่งในอาภรณ์สีม่วงเข้มนั่งจิบชาอยู่ตรงตั่งนั่งข้ามกัน“ใจเย็นเถิด อวี้ถิง จะอย่างไรเสียคืนนี้ก็เป็นคืนของเจ้า”เถ้าแก้เนี๊ยของโรงเตี๊ยมนามว่าเหมยลี่นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์พลางเอื้อนเอ่ยคำส่งตรงไปยังสตรีในอาภรณ์สีฟ้านามว่าอวี้ถิง“หึ! ข้าย่อมใจเย็น” อวี้ถิงเอ่ยขึ้น “ข้าจะรอจนกว่าเครื่องหอมทั้งภายในห้องและในอ่างอาบน้ำออกฤทธิ์อย่างเข้มข้น”“ดียิ่ง” เหมยลี่ยกยิ้มมุมปากเอ่ยตอบ “โดยเฉพาะถุงเครื่องหอมใต้หมอนนะอันนั้นยิ่งเข้มข้นยิ่งนัก หากเจ้าใจร้อนด่วนได้เข้าไปในห้องนั้นก่อนที่ท่านแม่ทัพจะล้มตัวลงนอนให้ถุงหอมใต้หมอนได้ทำงาน ดีไม่ดี ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดยังไม่ทันได้ออกฤทธิ์ ท่านแม่ทัพฟงเห็นใบหน้าเจ้าเข้าคงถีบเจ้ากระเด็นออกมาจากห้อง”อวี้ถิงได้ยินพลันถลึงตาจิกกัดเหมยลี่หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเข้มยิ่งยกยิ้มชอบใจแล้วเอ่ยต่อ“แต่หากเจ้ารอจนยาสำแดงฤทธิ์เดชเต็มที่แล้วเข้าไปปรากฏกายต่อหน้าท่านแม่ทัพฟง ขี้คร้านท่านแม่ทัพจะจับกระชาก
ภายนอกห้องพักด้านในสุดของโรงเตี๊ยมอี้ฉางเหมยลี่กำลังทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมโดยการพาพยานมายังห้องพักห้องนี้ตามที่ได้นัดหมายกับอวี้ถิงเอาไว้นางช่างโชคดีเหลือเกินที่บังเอิญเจอเข้ากับกลุ่มคนของท่านใต้เท้าหลิง พวกเขาทำท่าทางคล้ายกับตามหาคนอยู่ มิรู้ได้ว่ากำลังตามหาใคร แต่เรื่องนั้นช่างมันเถิด นางเพียงอยากได้พยานให้อวี้ถิงเท่านั้น กลุ่มคนพวกนี้มีจำนวนพอเหมาะที่จะกดดันบุรุษให้รับผิดชอบได้แล้วเหมยลี่คิดอย่างปลื้มปริ่มพลางเดินนวยนาดนำทางกลุ่มผู้คน“พวกเราต้องขอขอบคุณแม่นางที่ให้ความร่วมมือ” เสียงหนึ่งบุรุษท่าทางขึงขังเอ่ยขึ้นมาทางเหมยลี่ เขาเป็นหัวหน้าทหารยามประจำจวนของเสนาบดีกรมคลังได้รับมอบหมายจากใต้เท้าหลิงอี้ถังให้ออกมาตามหาคุณหนูหลิงเวย“มิเป็นไรเลยเจ้าค่ะ” เหมยลี่กล่าวพลางโบกไม้โบกมืออมยิ้มพริ้มเพรา“หากไม่เจอคนที่ตามหาก็อย่าว่ากันเท่านั้นก็พอเจ้าค่ะ”“มิกล้า มิกล้า” ชายผู้นั้นส่งยิ้มเล็กน้อยตอบกลับ“เชิญเจ้าค่ะ ตามข้าน้อยมาเถิด” เหมยลี่ชี้ชวนอย่างชดช้อยมาตามทางเดินของโรงเตี๊ยมอี้ฉางพาเอาเหล่าบุรุษประมาณห้าคนให้เดินตามนางมาอย่างสามัคคีเวลาเพียงครู่เหมยลี่จึงมาถึงห้องพักเป้าหมาย นาง
เสียงเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นและเสียงล้อของรถม้าที่กำลังขับเคลื่อนเหยียบดินเหยียบหินเป็นจังหวะโยกคลอนทำเอาหลิงเวยเริ่มมีสติขึ้นมาอีกคราพร้อมอาการปวดหัวและเจ็บหน่วงรุนแรงช่วงกลางลำตัว นางเป็นลมหมดสติไปหลายรอบหลังจากที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนให้ห้องพักนั้นแล้วเห็นตนเองอยู่ในสภาพไม่คาดฝัน“อา...เจ็บ” หลิงเวยถึงกับหลุดอุทานออกมาพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลเป็นทางยาวสายใหม่ทับถมคราบน้ำตาหลายสายก่อนหน้านี้ นางร้องไห้มาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมา“ฟื้นแล้วหรือ” จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำทรงพลังพลันดังอยู่ข้างๆ กายกันพาเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มได้สติเด่นชัดหลิงเวยยิ่งกะพริบตาปริบๆ เมื่อรับรู้ได้แล้วว่านางกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้าคันหนึ่งและข้างกายกันก็เป็นบุรุษลึกลับร่างหนาที่นางเจอบนเตียงนอนนั่น“ท่าน ท่าน ไยถึง...ฮึก...” หญิงสาวเอ่ยคำได้แค่นั้นพลันรู้สึกว่ามีก้อนปริศนาลูกใหญ่ขวางตันอยู่กลางลำคอนางมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งมาด้วยกันภายในรถม้าอย่างไม่เข้าใจอันใด เขากำลังนั่งกอดอกอยู่ข้างๆ นางและมองมาทางนางด้วยอาการโกรธกรุ่น สันกรามคร้ามแกร่งของเขาขบเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน สายตาเรียวคมข
ภายในห้องหับอันคับแคบที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนของหลิงเวยมาตลอดหลายปีหลังจากที่มารดาตายจากบัดนี้กำลังมีบ่าวรับใช้เดินเข้าเดินออกกันอย่างคึกคักผิดกับเมื่อก่อนยิ่งนักเมื่อยามก่อนนั้นเรือนของนางมีบ่าวรับใช้เข้ามาก็จริงแต่ในเมื่อนางมิใช่บุตรีคนโปรดและไม่มีมารดาเป็นที่พึ่งพิง บ่าวรับใช้พวกนี้ก็เข้ามาแค่ให้รู้ว่าเข้ามาแล้ว และทำความสะอาดอะไรก็แค่ทำแบบขอไปทีทั้งยังมิได้มาทุกวันแต่ทว่ายามนี้หลังจากที่นางตัดสินใจหนีออกไปเมื่อวานและถูกนำตัวกลับมา นางก็มีบ่าวไพร่อยู่เต็มเรือน บ้างทำความสะอาด บ้างจัดเตรียมเครื่องหอม บางคนจัดเตรียมอาภรณ์ และหลายคนกำลังดูแลหลิงเวยอย่างประคบประหงมผิดจากกาลก่อนชัดเจนแต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยอยู่ในสายตาของใครอยู่ไปแบบไร้ตัวตนกระทั่งออกนอกเรือนยังไม่มีใครรู้ว่านางหายไปแต่ทว่าในยามนี้แม้แต่ลุกขึ้นยืนยังมีคนมองแม้กระทั่งยามนอนยังคงมีบ่าวไพร่ตามติดมานอนคุมนางที่เตียง แล้วอย่างนี้นางจะหาโอกาสหนีอีกได้เยี่ยงไรกัน ชีวิตของหนึ่งในภรรยาจากหลายๆ นางจากบุรุษหนึ่งเดียวเฉกเช่นมารดา นางคงหนีไม่พ้นใช่หรือไม่ บุตรที่นางให้กำเนิดจะต้องเกิดมามีโชคชะตาเดียวกันหรืออย่างไรหลิงเวยได้แต่นั
สามวันผ่านมาช่างรวดเร็วประหนึ่งว่าเป็นเวลาแค่หนึ่งเค่อค่ำคืนอันเป็นมงคลที่ประดับประดาไปด้วยม่านมุ้งสีแดงจนเต็มพื้นที่ เจ้าสาวในชุดสีแดงมงคลกำลังนั่งรอเจ้าบ่าวอยู่ภายในห้องหอสีแดงสดอย่างเดียวดายเงียบเชียบภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกับอาภรณ์นางกำลังนั่งอยู่ด้วยอาการตื่นกลัวอยู่ไม่น้อยกับการสมรสที่รวดเร็วรวบรัดนี้นางถูกบ่าวไพร่คุมตัวเอาไว้มิให้คลาดสายตามาตลอดสามวันกระทั่งวันส่งตัวขึ้นเกี้ยวแล้วเดินทางรอนแรมมานั่งอย่างเดียวดายอยู่ตรงนี้เจ้าบ่าวของนางก็ช่างน่ากลัวยิ่งนัก นางเป็นของเขาด้วยวิธีผิดๆ และเขายังต้องรับผิดชอบนางด้วยความจำใจมองดูสีหน้าของเขาเมื่อวันก่อนนั่นประไร เขาจะฆ่านางหรือไม่นางยังมิอาจคาดเดาหลิงเวยนั่งกำมือแน่นอยู่ตรงโต๊ะที่คลุมด้วยผ้าสีแดงกลางห้องแห่งเรือนหอ นางนั่งอยู่ด้วยเนื้อตัวสั่นเทากระทั่งโต๊ะตรงหน้ายังรับแรงสะเทือนนั้นดังกึกๆนางผิดเองที่แอบหนีออกจากจวนในวันนั้นแล้วแอบเข้าไปนอนที่ห้องพักนั่นจนกระทั่งแผนการขยับขยายตระกูลของบิดาได้สำเร็จลุล่วงส่งผลให้บุรุษผู้นี้ต้องรับเคราะห์ไปกับนางหญิงสาวนั่งครุ่นคิดด้วยใจที่เศร้าหมองในโชคชะตาที่แสนจะอับแสงของตน นางตั้งใจหลบหนีออ
ฟงชินหยางก้มหน้ามองเจ้าสาวของตนด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่มีมาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนจนกระทั่งเข้าพิธีช่วงเช้าและยิ่งโกรธหนักในยามนี้เมื่อมองเห็นใบหน้าของเจ้าสาวเป็นอย่างนั้นนางวางยาปลุกกำหนัดเขา ได้เสียกับเขาจนต้องแต่งงานกันด้วยแผนการอันแยบยลของนาง แต่เหตุไฉนนางถึงทำท่าทางอย่างนั้นกัน ไยไม่ยินดี ไยต้องร้องไห้ชายหนุ่มยิ่งมองยิ่งนึกสงสัยระคนเข่นเขี้ยวจนต้องถามเสียงเข้ม “ร้องไห้ทำไม?”หลิงเวยสะดุ้งอีกหนึ่งทีก่อนตอบเสียงเบา“ข้า...ข้ามิได้ร้องไห้” “ไม่ได้ร้องไห้ แล้วที่ทำอยู่คืออันใด อย่าบอกว่าเสียใจ”ฟงชินหยางยังคงดุดันในน้ำเสียงพร้อมสายตาคมกล้าสาดใส่อย่างกราดเกรี้ยวทั้งยังเย้ยหยันในทีนางควรจะดีใจที่ทำกับเขาได้สำเร็จ นางควรจะดีใจที่ทำให้พยัคฆ์อย่างเขาต้องเสียท่าพลาดพลั้งอย่างน่าอับอายหญิงสาวไม่ตอบคำ นางไม่จำเป็นต้องต่อความยาวสาวความยืดให้เขามีอารมณ์คุกรุ่นไปมากกว่านี้ นางจึงยกฝ่ามือขึ้นแล้วใช้ชายผ้าซับน้ำตาให้หมดไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู้สายตาของเขา นางกำลังพยายามทำใจดีสู้เสือที่สุดในชีวิตชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวเดียวกันถึงกับหางตากระตุกอีกหนึ่งคราเมื่อมองเจ้าสาวของตนใบหน้าของนางยามนี้ต
ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงออกมาคำโตอีกคราก่อนเริ่มต้นเอ่ยคำตามเงื่อนไขที่เขาคิดเอาไว้ตลอดสามวันที่ผ่านมา“เจ้า” เส้นเสียงทุ่มต่ำเพียงหนึ่งคำทำเอาคนรอฟังสะดุ้งตกใจ ฟงชินหยางมิได้สนใจ เพราะยามที่เขาคุมลูกน้องทหารพวกนั้นก็สะดุ้งไม่ต่าง เขาจึงเอ่ยต่อพลางรินเหล้าลงจอกเพื่อหมายดื่มลงคอหวังดับอารมณ์คุกรุ่น“...แต่งงานกับข้าแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นคนของข้าต่อไปนี้เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลหลิงของเจ้าอีก”หลิงเวยได้ฟังประโยคนั้นพลันหูผึ่ง แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่นางต้องการที่สุดในชีวิตฟงชินหยางยังคงดื่มสุราตรงหน้าพลางเอ่ยต่อคำข่มขู่หมายเชือดเฉือนโดยไม่สนใจคนฟังอย่างนาง “ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ภายในหรือภายนอก จวนตระกูลของเจ้ากับจวนของข้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน เจ้าต้องไม่ติดต่อการใดๆ กับตระกูลของเจ้าอีก และอย่าคิดว่าตระกูลของข้าจะอยู่ข้างตระกูลของเจ้ายามเมื่อต้องการความเห็นชอบใดๆ ในราชสำนัก จำเอาไว้ว่าข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ข้าเป็นทหารมีหน้าที่แค่เป็นรั้วของชาติ อย่านำความนอกจวนมาใส่ในจวนของข้าเป็นอันขาด และที่สำคัญ...”ชายหนุ่มเว้นคำเอาไว้เพื่อปรับอารมณ์อีกเล็กน้อยโดยดื
ค่ำคืนอันเป็นมงคลภายในห้องสีแดงสดฟงชินหยางนอนหันหลังให้เจ้าสาวของเขาบนเตียงนอนด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านยากเก็บอาการในขณะที่หลิงเวยกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองไม่ต่างกันแต่ต้องเก็บข่มไว้อย่างนั้นจนกลายเป็นเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งสรรพางค์กายเพียงครู่ต่อมาหญิงสาวในอาภรณ์เจ้าสาวจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ เกรงคนบนเตียงจะได้ยินก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมาก้มหน้าหยิบชุดสีแดงบนพื้นห้องที่ถูกเจ้าบ่าวถอดแล้วโยนทิ้งเอาไว้อย่างไม่ไยดีเมื่อครู่มาถือเอาไว้ก่อนจะพับให้อย่างเรียบร้อยแล้วนำไปวางเอาไว้ที่โต๊ะข้างตู้เสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบตามมาด้วยถอดชุดเจ้าสาวของตนออกแล้วพับเอาไว้เสียด้วยกัน นางพยายามปลดเครื่องประดับต่างๆ บนศีรษะด้วยตนเองอยู่ครู่ใหญ่แล้ววางเอาไว้ด้วยกันตรงนั้นทั้งหมดงานแต่งของนางไม่มีอันใดตรงตามธรรมเนียมสักอย่างหลิงเวยถอนหายใจออกมาอีกคราพลางพยายามมองหาโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อที่จะได้จัดการกับผมของตนเอง แต่ทว่านางมองหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ห้องนี้ไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งสำหรับสตรีเมียงมองอยู่เป็นนานนางจึงพอจะเข้าใจ ภายในห้องบุรุษอย่างนี้จะมีโต๊ะเครื่องแป้งได้อย่างไร คันฉ่องก็คงไม่มีเช่
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้
ภายใต้ท้องฟ้าที่แสงตะวันเจิดจ้ากำลังสาดส่องเกิดเป็นแสงสีทองสวยอร่ามงามตากำลังมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายสีขาวนวลเกล้าผมเรียบร้อยเผยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ยามเมื่อสายลมพัดโชยพาอาภรณ์ปลิดปลิวโบกสะบัดไปตามแรงลมเกิดเป็นภาพสตรีร่างระหงงดงามจับตา นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมไล้อยู่ตามยอดหญ้ากระทั่งไล้มาถึงลำตัวของนางนางกำลังยืนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังไว้อาลัยกับภาพเบื้องหน้า ภาพของผืนป่าโอบล้อมสายน้ำที่อยู่ไกลลับตาเหล่าทหารยามที่เดินไปเดินมาพากันเดินสะดุดหยุดเท้าฉับพลันเมื่อมองมาแล้วเห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสวยงามภายใต้ท้องฟ้าท่ามกลางต้นหญ้าท้าลมท้าแดดเกิดเป็นภาพงดงามเหนือชั้นได้อย่างนั้นหากจำไม่ผิด สตรีนางนี้คือภรรยาของท่านแม่ทัพนามว่าฟงชินหยาง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารอย่างนั้นจะมีภรรยาเป็นนางฟ้าได้อย่างนี้...อึดใจเหล่าทหารพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อจู่ๆ มีทั้งกระต่ายป่าและนกตัวใหญ่จำนวนหลายสิบตัวถูกโยนลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บแรงๆ ตามด้วยเส้นเสียงทุ้มใหญ่เอื้อนเอ่ยคำราม“เอาไปนับ!”“…!!!”เหล่าทหารรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัตว์ป่าและเสียงห้าวใหญ่น่ากลัว พวกเ
ยามรุ่งสางแสงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าภายในกระโจมหลังหนึ่งร่างสองร่างที่กำลังนอนปีนเกลียวพัลวันจนร่างสองร่างคล้ายกับงูสองตัวพันกันกลับผงกหัวลุกขึ้นมาก่อนจะหยัดกายแกร่งเพียงครึ่งลำตัวคงเหลือไว้เพียงครึ่งลำตัวที่ยังคงกดตรึงอีกร่างเอาไว้อย่างแนบแน่นจนจมที่นอนอึดใจเสียงแผ่วหวานเริ่มเอ่ย “พอก่อน...”“ไม่นาน...” เสียงแหบต่ำเอ่ยออกมาพร้อมลมหายใจกรุ่นร้อนพ่นใส่ใบหน้าของอีกคนที่อยู่ใต้ร่าง“เช้าแล้ว ไม่เอา” หลิงเวยยังคงปฏิเสธเนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่นอกกระโจมแล้วเกิดได้ยินเสียงต่างๆ ระหว่างนางกับเขา“อีกครู่เดียว” ฟงชินหยางยังคงเอาแต่ใจ เขาหยัดกายเพียงนิดก่อนแทรกกายแกร่งแล้วกระชับเริ่มควบขยับกลางลำตัวให้เกิดจังหวะเนิบนาบสร้างความเสียวซ่านได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งยามนี้ สตรีใต้ร่างเริ่มระทดระทวยอยู่ใต้ร่างของฟงชินหยางโดยกลางลำตัวถูกเขาครอบครองจนจมมิด นางทำได้เพียงแอ่นอกยกกายขยับสะโพกตามจังหวะรัญจวนที่เขามอบให้โดยกลั้นหายใจกลั้นเสียงครางเอาไว้อย่างสุดกำลัง “เบาๆ ประเดี๋ยวใครได้ยิน” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวแต่ลมหายใจสั่นไหวรุนแรงตามจังหวะโย