สามวันผ่านมาช่างรวดเร็วประหนึ่งว่าเป็นเวลาแค่หนึ่งเค่อ
ค่ำคืนอันเป็นมงคลที่ประดับประดาไปด้วยม่านมุ้งสีแดงจนเต็มพื้นที่ เจ้าสาวในชุดสีแดงมงคลกำลังนั่งรอเจ้าบ่าวอยู่ภายในห้องหอสีแดงสดอย่างเดียวดายเงียบเชียบภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกับอาภรณ์
นางกำลังนั่งอยู่ด้วยอาการตื่นกลัวอยู่ไม่น้อยกับการสมรสที่รวดเร็วรวบรัดนี้
นางถูกบ่าวไพร่คุมตัวเอาไว้มิให้คลาดสายตามาตลอดสามวันกระทั่งวันส่งตัวขึ้นเกี้ยวแล้วเดินทางรอนแรมมานั่งอย่างเดียวดายอยู่ตรงนี้
เจ้าบ่าวของนางก็ช่างน่ากลัวยิ่งนัก นางเป็นของเขาด้วยวิธีผิดๆ และเขายังต้องรับผิดชอบนางด้วยความจำใจ
มองดูสีหน้าของเขาเมื่อวันก่อนนั่นประไร เขาจะฆ่านางหรือไม่นางยังมิอาจคาดเดา
หลิงเวยนั่งกำมือแน่นอยู่ตรงโต๊ะที่คลุมด้วยผ้าสีแดงกลางห้องแห่งเรือนหอ นางนั่งอยู่ด้วยเนื้อตัวสั่นเทากระทั่งโต๊ะตรงหน้ายังรับแรงสะเทือนนั้นดังกึกๆ
นางผิดเองที่แอบหนีออกจากจวนในวันนั้นแล้วแอบเข้าไปนอนที่ห้องพักนั่นจนกระทั่งแผนการขยับขยายตระกูลของบิดาได้สำเร็จลุล่วงส่งผลให้บุรุษผู้นี้ต้องรับเคราะห์ไปกับนาง
หญิงสาวนั่งครุ่นคิดด้วยใจที่เศร้าหมองในโชคชะตาที่แสนจะอับแสงของตน นางตั้งใจหลบหนีออกจากจวนมาเพื่อที่จะหนีหน้าบิดาหวังให้บิดานำพาบุตรีคนอื่นที่เต็มใจมากกว่านางไปแทนที่ นางสังเกตเห็นพี่น้องของนางสองคนที่แสดงออกชัดเจนว่าชมชอบท่านอ๋องนั่น นางเห็นพี่น้องพวกนั้นมองนางอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ นางจึงตัดสินใจหลบหนีออกมา
แต่ทว่านางหนีเสือมาเจอหมาป่าโดยแท้ นางต้องเสียบริสุทธิ์ให้กับบุรุษที่ไม่รู้จักและไม่ได้รักเพราะความโง่เขลาของตนเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วนางจะกล่าวโทษใครได้
หลิงเวยนั่งหลับตาพยายามข่มจิตใจมิให้ดำดิ่งสู่ห้วงหลุมลึกไปมากกว่านี้ มารดาของนางสั่งเสียให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อวันข้างหน้าที่สดใสมากกว่าที่เป็น แต่นางยังมิเคยได้เห็นว่าจะมีวันใดที่จะสว่างไสวดังคำมารดา มันจะมีแต่ดำมืดลงเรื่อยๆ
มันช่าวมืดมิดน่ากลัวยิ่งนัก!
ในขณะที่เจ้าสาวกำลังนั่งข่มจิตใจอยู่ตรงโต๊ะกลางห้องเสียงฝีเท้าก้าวหนักๆ ของเจ้าบ่าวพลันดังใกล้เข้ามาที่หน้าประตูห้องหอแล้วตามด้วยเสียงเปิดประตูอย่างแรงและปิดลงเสียงดังอย่างไม่ไยดี
หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจต้องลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงนั้น อาการตื่นกลัวและสั่นเทายิ่งเพิ่มมากขึ้น นางถึงกับต้องลุกขึ้นพลางแอบเปิดผ้าคลุมหน้าเล็กน้อยแล้วรีบเดินหนีเข้าไปหลบตรงฉากกั้นด้านในห้องหออย่างเร็ว
ฟงชินหยางมองเห็นกระต่ายตื่นตูมเกิดขึ้นกับเจ้าสาวของเขาอย่างนั้น เขาถึงกับหางคิ้วกระตุก นางควรจะนั่งยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงรอเขาอยู่มิใช่หรือไร ไยกระโดดหนีไปเยี่ยงนั้น
“จะหนีไปไหน มานั่งนี่เดี๋ยวนี้” น้ำเสียงกดต่ำทรงพลังของบุรุษในอาภรณ์เจ้าบ่าวเอ่ยขึ้นไปทางเจ้าสาวที่ยืนหลบอยู่หลังฉากกั้น
หลิงเวยได้ยินพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่ก่อนจะหลับตาข่มกลั้นความกลัวที่กำลังพุ่งขึ้นมาจับขั้วหัวใจ
“มานี่!” ฟงชินหยางส่งเสียงคำรามดังมากกว่าเดิม
หลิงเวยรีบปล่อยมืออันสั่นเทาจากฉากกั้นเดินออกมาอย่างยอมจำนนด้วยลำตัวเกร็งแข็งทื่อ ภาพของมารดาที่เคยถูกบิดาสั่งบ่าวไพร่เฆี่ยนตีพลันปรากฏอยู่ในสามัญสำนึก นางไม่อยากโดนแบบนั้น
เมื่อเจ้าสาวเดินออกมาจนถึงโต๊ะกลางห้องหอภายในเวลานานเกินพอดีเจ้าบ่าวจึงส่งเสียงเหี้ยมเกรียมอีกครั้ง
“นั่ง!”
เจ้าสาวสะดุ้งอีกเฮือกใหญ่จนอาภรณ์สีแดงหวามไหวอย่างน่าขัน นางค่อยๆ หย่อนกายลงนั่งด้วยดวงตาที่เริ่มเต็มรื้นไปด้วยม่านน้ำใสที่ไหลบ่าเป็นทางยาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดง
อย่าร้องไห้ หลิงเวย อย่าร้องไห้ เข้มแข็งไว้
หญิงสาวปรามตนเองในใจพร้อมกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลเพิ่มออกมา
แต่ทว่า...ช่างยากเย็น
ทันใดนั้นผ้าคลุมหน้าพลันถูกเปิดออกคล้ายกับกระชากดึงออกไปด้วยฝ่ามือใหญ่หนาของเจ้าบ่าวตรงหน้า
หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจเนื้อตัวสั่นเทาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าบ่าวของตนอย่างต้องการต่อกรเพื่อมิให้เขาข่มนางจนจมดินมากไปกว่านี้
แต่ทว่า...นางคงคิดผิดไป
หญิงสาวรีบหลุบตาลงทันใดเมื่อมองเห็นใบหน้าคมเข้มสายตากราดเกรี้ยวเกินมนุษย์อย่างนั้นของคนตรงหน้า
เขาน่ากลัวเกินไป...
ฟงชินหยางก้มหน้ามองเจ้าสาวของตนด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่มีมาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนจนกระทั่งเข้าพิธีช่วงเช้าและยิ่งโกรธหนักในยามนี้เมื่อมองเห็นใบหน้าของเจ้าสาวเป็นอย่างนั้นนางวางยาปลุกกำหนัดเขา ได้เสียกับเขาจนต้องแต่งงานกันด้วยแผนการอันแยบยลของนาง แต่เหตุไฉนนางถึงทำท่าทางอย่างนั้นกัน ไยไม่ยินดี ไยต้องร้องไห้ชายหนุ่มยิ่งมองยิ่งนึกสงสัยระคนเข่นเขี้ยวจนต้องถามเสียงเข้ม “ร้องไห้ทำไม?”หลิงเวยสะดุ้งอีกหนึ่งทีก่อนตอบเสียงเบา“ข้า...ข้ามิได้ร้องไห้” “ไม่ได้ร้องไห้ แล้วที่ทำอยู่คืออันใด อย่าบอกว่าเสียใจ”ฟงชินหยางยังคงดุดันในน้ำเสียงพร้อมสายตาคมกล้าสาดใส่อย่างกราดเกรี้ยวทั้งยังเย้ยหยันในทีนางควรจะดีใจที่ทำกับเขาได้สำเร็จ นางควรจะดีใจที่ทำให้พยัคฆ์อย่างเขาต้องเสียท่าพลาดพลั้งอย่างน่าอับอายหญิงสาวไม่ตอบคำ นางไม่จำเป็นต้องต่อความยาวสาวความยืดให้เขามีอารมณ์คุกรุ่นไปมากกว่านี้ นางจึงยกฝ่ามือขึ้นแล้วใช้ชายผ้าซับน้ำตาให้หมดไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู้สายตาของเขา นางกำลังพยายามทำใจดีสู้เสือที่สุดในชีวิตชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวเดียวกันถึงกับหางตากระตุกอีกหนึ่งคราเมื่อมองเจ้าสาวของตนใบหน้าของนางยามนี้ต
ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงออกมาคำโตอีกคราก่อนเริ่มต้นเอ่ยคำตามเงื่อนไขที่เขาคิดเอาไว้ตลอดสามวันที่ผ่านมา“เจ้า” เส้นเสียงทุ่มต่ำเพียงหนึ่งคำทำเอาคนรอฟังสะดุ้งตกใจ ฟงชินหยางมิได้สนใจ เพราะยามที่เขาคุมลูกน้องทหารพวกนั้นก็สะดุ้งไม่ต่าง เขาจึงเอ่ยต่อพลางรินเหล้าลงจอกเพื่อหมายดื่มลงคอหวังดับอารมณ์คุกรุ่น“...แต่งงานกับข้าแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นคนของข้าต่อไปนี้เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลหลิงของเจ้าอีก”หลิงเวยได้ฟังประโยคนั้นพลันหูผึ่ง แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่นางต้องการที่สุดในชีวิตฟงชินหยางยังคงดื่มสุราตรงหน้าพลางเอ่ยต่อคำข่มขู่หมายเชือดเฉือนโดยไม่สนใจคนฟังอย่างนาง “ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ภายในหรือภายนอก จวนตระกูลของเจ้ากับจวนของข้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน เจ้าต้องไม่ติดต่อการใดๆ กับตระกูลของเจ้าอีก และอย่าคิดว่าตระกูลของข้าจะอยู่ข้างตระกูลของเจ้ายามเมื่อต้องการความเห็นชอบใดๆ ในราชสำนัก จำเอาไว้ว่าข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ข้าเป็นทหารมีหน้าที่แค่เป็นรั้วของชาติ อย่านำความนอกจวนมาใส่ในจวนของข้าเป็นอันขาด และที่สำคัญ...”ชายหนุ่มเว้นคำเอาไว้เพื่อปรับอารมณ์อีกเล็กน้อยโดยดื
ค่ำคืนอันเป็นมงคลภายในห้องสีแดงสดฟงชินหยางนอนหันหลังให้เจ้าสาวของเขาบนเตียงนอนด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านยากเก็บอาการในขณะที่หลิงเวยกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองไม่ต่างกันแต่ต้องเก็บข่มไว้อย่างนั้นจนกลายเป็นเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งสรรพางค์กายเพียงครู่ต่อมาหญิงสาวในอาภรณ์เจ้าสาวจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ เกรงคนบนเตียงจะได้ยินก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมาก้มหน้าหยิบชุดสีแดงบนพื้นห้องที่ถูกเจ้าบ่าวถอดแล้วโยนทิ้งเอาไว้อย่างไม่ไยดีเมื่อครู่มาถือเอาไว้ก่อนจะพับให้อย่างเรียบร้อยแล้วนำไปวางเอาไว้ที่โต๊ะข้างตู้เสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบตามมาด้วยถอดชุดเจ้าสาวของตนออกแล้วพับเอาไว้เสียด้วยกัน นางพยายามปลดเครื่องประดับต่างๆ บนศีรษะด้วยตนเองอยู่ครู่ใหญ่แล้ววางเอาไว้ด้วยกันตรงนั้นทั้งหมดงานแต่งของนางไม่มีอันใดตรงตามธรรมเนียมสักอย่างหลิงเวยถอนหายใจออกมาอีกคราพลางพยายามมองหาโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อที่จะได้จัดการกับผมของตนเอง แต่ทว่านางมองหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ห้องนี้ไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งสำหรับสตรีเมียงมองอยู่เป็นนานนางจึงพอจะเข้าใจ ภายในห้องบุรุษอย่างนี้จะมีโต๊ะเครื่องแป้งได้อย่างไร คันฉ่องก็คงไม่มีเช่
ฟงชินหยางใช้เวลาอาบน้ำนานเหลือเกินในวันนี้ในแบบที่ไม่เคยเป็น เขาทำได้แค่หลับตาลงพร้อมเอียงใบหูอย่างต้องการฟังเสียงของคนนอกห้องอาบน้ำ เมื่อเขาได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมออย่างนั้นเขาจึงได้เวลาขึ้นจากถังอาบน้ำเขาอาบน้ำอยู่เป็นนานจนกล้ามเนื้อเย็นเยียบไปหมดหากนานกว่านี้เกรงว่าคงแข็งตายได้เลยกระมังชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกทีอย่างรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย ทำไมเขาต้องมาตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้กัน ห้องของเขาเดิมทีมันใหญ่มากแต่กลับคับแคบถนัดตาเมื่อมีสตรีตัวเล็กๆ นางนี้เข้ามา เขารู้สึกอึดอัดยิ่งนักแต่หากเขากับนางแยกเรือนกันนอนแล้วจะอธิบายกับทุกคนในจวนว่าอย่างไร เรื่องของเขากับนางที่ผิดพลาดมหันต์และสาเหตุเชิงลึกอันน่าอับอายเยี่ยงนี้ เขาจะให้ใครล่วงรู้มิได้ไม่ได้เด็ดขาด!บุรุษรูปร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยอารมณ์ที่พยายามทำให้สงบลงแต่เหมือนว่ามันช่างยากเย็น ชายชาติทหารผู้องอาจอย่างเขาไยต้องมาแพ้ทางให้กับสตรีตัวเล็กๆ เยี่ยงนี้กัน หากเขาไม่เพลี่ยงพล้ำรังแกนาง เรื่องก็คงไม่เป็นอย่างนี้ หากเป็นบุรุษด้วยกันเขารับรองได้ว่าไม่มีทางได้กล้ำกลายเขาอย่างแน่นอน ฮึ! ยิ่งคิดก็ยิ่งเคืองฟงชินหยางพาเรื
เวลาใกล้รุ่งสางก่อนที่แสงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา หลิงเวยค่อยๆ ปรือตาขึ้นเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะไม้ถึงห้าครั้งบ่งบอกเวลาได้เป็นอย่างดีหญิงสาวรีบเรียกสติของตนไม่ให้เสียเวลางัวเงีย นางตื่นลืมตาขึ้นมาช้าๆ แต่ทว่าพลันต้องชะงักเมื่อปะทะกับสายตามืดดำของใครบางคนใครคนนั้นนอนมองนางอยู่ด้วยสายตาดุดันใบหน้ามืดครึ้มใบหูแดงก่ำ เขาเปลือยแผงอกบึกบึนใหญ่โตช่วงบนลำตัวเขาไม่หนาวหรือไร ไยไม่ห่มผ้า?หลิงเวยมองคนตัวโตข้างกายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เฉกเช่นดังเดิมพลางเอื้อมมือน้อยๆ ลงมาจับดึงผ้าห่มบนตัวของตนแล้วตวัดห่มให้เขาอย่างใจดี เพราะว่านางแย่งเตียงนอนของเขาและผ้าห่มของเขามาห่มอยู่คนเดียวฟงชินหยางตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์โกรธกรุ่นแสดงออกฉายชัดให้เห็นทางสีหน้า นางเป็นของเขาแล้วถึงแม้ว่าจะผิดวิธีก็ตาม และนางกับเขาก็แต่งงานกันแล้วอย่างถูกต้อง อีกทั้งเมื่อคืนยังเป็นคืนเข้าหอทำไมเขาถึงรู้สึกว่ากับเป็นบุรุษที่อับโชคเช่นนี้ไยอาภัพยิ่งนัก!เขาต้องนอนปวดเกร็งทั้งคืนด้วยเพราะว่ามีตัวนุ่มนิ่มมานอนข้างๆ ทั้งยังพ่นลมหายใจเป่าหูเขาตลอดคืนกระทั่งเช้าแล้วดูนางทำ นางยังจะเอื้อมมือมาห่มผ้าให้เขาจนหน้าอกนุ่มๆ ของนางเบียดเ
“ไม่เอา ปล่อยนะ” หลิงเวยที่ถูกจับตรึงข้อมือเอาไว้เหนือศีรษะทั้งยังถูกกดทับทั้งร่างทั้งตัวไม่เว้นแม้กระทั่งเรียวขาทำได้เพียงร้องห้ามและเบี่ยงใบหน้าซ้ายขวาไปมา นางกำลังรู้สึกร้อนผ่าวไปหมดแล้วในยามนี้ จมูกและริมฝีปากของเขาร้อนดั่งไฟ ฝ่ามือก็ร้อน ลำตัวก็ร้อน ทำนางร้อนตามไปหมดแล้ว“เจ้าเป็นเมียของข้าแล้ว ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” บุรุษผู้มีนิสัยดิบเถื่อนอย่างฟงชินหยางมีหรือจะยอมเขาไม่จำเป็นต้องถนอมบุปผาเคลือบพิษ นั่นคือเหตุผลของการเอาแต่ใจกับภรรยาของตนเขายังคงก้มหน้าก้มตาลงกดจูบนางใต้ร่างไปตามข้างแก้ม ไปตามลำคอและติ่งหู ยิ่งนางเบี่ยงใบหน้าหลบเขาไปมาทำให้เขายิ่งฮึกเหิมตามสัญชาตญาณ“ข้าเป็นเมียท่านแล้วก็จริง แต่ยามนี้เช้าแล้ว”หลิงเวยพยายามหาเหตุผลห้ามปรามสามีผู้เอาแต่ใจด้วยใบหน้าแดงก่ำ ลำคอและใบหูก็เช่นเดียวกัน มันกำลังเห่อแดงร้อนแรงยิ่งกว่าผลอิงเถาและร้อนผ่าวไปหมดทั้งเรือนร่างที่ยามนี้ถูกชายเหนือร่างขึงตรึงตลอดทั้งลำตัวโดยเฉพาะท่อนขาเรียวเล็กของนางก็ถูกท่อนขาหนาหนักของเขากดทับจนจมที่นอน“เมื่อคืนมีโอกาสแล้วไยท่านไม่กระทำเสียเมื่อคืนเล่า” นางพยายามอ้างอย่างนั้น ในยามนี้ฟ้าสว่างจนเห็นใบหน้าเรือนร
“พี่ใหญ่!”เสียงหวานใสของดรุณีน้อยนางหนึ่งตะโกนอยู่หน้าห้องของเจ้าบ่าวเจ้าสาว“ท่านพ่อกับท่านแม่รอนานแล้วนะเจ้าคะ” สิ้นเสียงเอ่ยคำก็หัวเราะชอบใจที่ได้กลั่นแกล้งพี่ชายของตนฟงลี่หลินน้องสาวคนเล็กของบ้านมักมีนิสัยทโมนผิดสตรีด้วยกันเพราะว่าเติบโตมากับพี่ชายสองคนจึงชอบทำตัวบ้าบิ่นเกินพอดีจนฟงจินหมิงพี่ชายคนรองต้องเข้ามาห้ามปรามเสียงดัง“หยุดเดี๋ยวนี้นะน้องเล็ก!”“อะไรกันเล่าพี่รอง”“เจ้าไม่ควรรบกวนเวลาของพี่ใหญ่กับอาซ้อนะ”“หึ! เมื่อคืนเขาก็จัดการกันทั้งคืนแล้วกระมัง ไม่เป็นไรหรอก” ฟงลี่หลินเถียงฟงจินหมิงด้วยคำพูดเกินงามพลางเคาะประตูอีกคราแต่ทว่าฝ่ามือเรียวเล็กยังไม่ทันแตะต้องบานประตู เสียงผลัวะเปิดออกของประตูพลันดัง ตามด้วยบุรุษร่างสูงใหญ่เปลือยลำตัวช่วงบนเผยแผงอกบึกบึนกล้ามเนื้อหนั่นแน่นงดงามผสมผสานริ้วรอยแผลเป็นจากศึกสงครามของฟงชินหยางปรากฏกายพร้อมสายตาคมเข้มมืดดำอย่างต้องการฆ่าฟันน้องทั้งสองให้ตายตกฟงลี่หลินกับฟงจินหมิงถึงกับชะงักเล็กน้อยเสมองลำตัวใหญ่โตงามๆ ช่วงบนของพี่ชายด้วยสายตาทอประกายล้อเลียนก่อนจะรีบพากันหมุนตัววิ่งหนีพร้อมส่งเสียงหัวเราะชอบใจไปตามทางฟงชินหยางหรี่ตามองน้องชา
ฟงชินหยางยืนมองภรรยาหมาดๆ ของตนด้วยอาการคันยุบยิบตามเนื้อตัวอีกแล้วเขามองเห็นนางแต่งตัวทำผมอยู่ตรงมุมตู้เสื้อผ้าอย่างยากลำบากทำเขาถึงกับอดใจเอาไว้ไม่ไหวจำต้องเดินเข้าไปหานางอย่างหงุดหงิด“มานี่!” ฟงชินหยางคำรามเสียงดังหลิงเวยตกใจจนเนื้อกระตุกอีกคราก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่ที่มายืนอยู่ตรงด้านหลังของนาง“ท่านจะทำสิ่งใด” หญิงสาวถามขึ้นอย่างหวาดหวั่นตัวเกร็งแข็งทื่อไม่กล้าขยับเมื่อชายหนุ่มด้านหลังจับผมของนางขยุ้มขึ้นไปแล้วดึงเส้นผมของนางไปมาจนนางเจ็บตึงตรงหนังศีรษะไปหมดแต่ไม่กล้าร้องออกมาฟงชินหยางเคยทำผมให้น้องสาวคนเล็กมาบ้างแล้วเมื่อครั้งที่นางออดอ้อนเขาให้ทำพร้อมปักปิ่นในยามนั้นฟงลี่หลินเอาแต่ร้องไห้กล่าวหาว่าเขากลั่นแกล้งนางแล้วก็วิ่งไปฟ้องท่านแม่ให้แก้ทรงผมให้เขาแน่ใจว่าเขาทำมันได้ดีแต่ที่ไม่เข้าใจไยต้องร้องไห้แล้วใส่ร้ายเขาจนถูกท่านแม่ตี!“เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยคำเสียงเข้มพลางปล่อยมือหนาหนักจากทรงผมของภรรยาแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไปหลิงเวยได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของคนตัวโตพร้อมเอื้อมมือขึ้นจับทรงผมของตนที่บัดนี้ถูกรวบเอาไว้เป็นอย่างดีพร้อมปักปิ่นให้อีกด้วยอืม...แต่ทำไมนา
เพลายามรุ่งสางใกล้สว่างมาเยือน...เสียงกระเส่าแหบพร่ายังคงครวญครางแว่วหวานอยู่ใต้ร่างใหญ่หนาของฟงชินหยางเป็นรอบที่เท่าไหร่มิอาจนับ จนกระทั่งนางใต้ร่างหลับลึกไปแล้วชายหนุ่มจึงก้มหน้าลงจรดจมูกคมสันกับไรผมชื้นเหงื่อของนางและแตะไล้เรียวปากเบาๆ สลับหนักๆ ไปตามหน้าผากกลมมนที่มีหยดน้ำพร่างพราวอยู่เต็มวงหน้าของนางก่อนพลิกกายใหญ่หนาลงนอนเคียงข้างนางพลางตวัดวงแขนล่ำสันโอบกอดกระชับนางเอาไว้อย่างแนบแน่น ถึงแม้ว่าหลิงเวยจะหลับใหลไปแล้วแบบไม่รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อยามค่ำคืนจนกระทั่งยามนี้แต่ฟงชินหยางก็ยังคงเป็นสามีที่ดีทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเพื่อชดเชยช่วงเวลาห้าปีที่ห่างหายไป เขาจะทำนางให้สะใจให้หายคิดถึงกันไปเลย แต่ทว่ายิ่งทำก็ยิ่งคึกทำจนหยุดทำไม่ได้ สภาพของภรรยาจึงเป็นอย่างที่เห็น นางคล้ายกับร่างกายขาดน้ำสลบไสลไปเลยทีเดียวเขาควรให้น้ำนางอีก น้ำของเขาช่างมีเหลือเฟือชายหนุ่มก้มหน้ามองหญิงสาวในอ้อมแขนที่กำลังหลับตาพริ้มเหงื่อกาฬไหลเยิ้มริมฝีปากบวมเป่งตามลำตัวขาวนวลมีริ้วรอยฝากรักสีแดงเป็นจ้ำเล็กจ้ำน้อยอย่างถ้วนทั่ว ในขณะที่แผงอกและแผ่นหลังของฝ่ายชายหนุ่มเองก็มีรอยขีดข่วนจากเล็บงามๆ ข
"องค์ชายทรงรู้ว่าหมายถึงสิ่งใด"ฟงลี่หลินเดินตามมาพลางกระซิบกระซาบฝ่าความมืดมิดด้วยเพราะเกรงว่าใครจะได้ยิน “เอามา...”นางกำลังปลอมตัวอยู่นะ มันสำคัญยิ่ง! ฉีเล่อนึกขันเสียจริงกับสตรีข้างกายที่กำลังส่งสายตาเรียวคมสวยเฉียบฟาดใส่เขาอยู่ตลอดเวลา "ข้าไม่รู้ว่าคือสิ่งใด" "องค์ชาย..." ฟงลี่หลินลากเสียงยาวเย็นเยียบอารมณ์เดือดปุดๆ "เอาแผลเป็นของข้าคืนมา" นางกล่าวพลางก้มมองที่ฝ่ามือใหญ่หนาของบุรุษหน้าตายตรงหน้า"..."ฉีเล่อหมดคำพูดกับสตรีแปลกประหลาด นางถูกจับได้ว่าปลอมตัวมาแต่นางยังคงมึนได้ใจ ไยไม่รีบแก้ตัวแล้วหลบหนีไป น่าชังจริง!"หากอยากได้คืน เจ้าแค่บอกกล่าวแก่ข้า" ฉีเล่อเริ่มหว่านล้อมสตรีตรงหน้าที่กำลังก้มหน้ามองฝ่ามือของเขาจนเขาต้องเอาฝ่ามือหลบเอาไว้ที่ด้านหลังทั้งยังกำแผลเป็นของนางเอาไว้แน่นไม่ยอมคืนให้นางง่ายๆ "ข้าไม่มีอะไรจะบอกแก่ท่าน" ฟงลี่หลินขมวดคิ้วขัดใจ นางเตรียมมาแค่เพียงอันเดียว ยังปลอมตัวไม่ทันพ้นคืนเลยมันทำยากด้วยนะ ไยเขาถึงถือวิสาสะลอกมันออกจากใบหน้าของนาง น่าชังนัก!องค์ชายแห่งแคว้นเป่ยฉีเริ่มหรี่ตามองสตรีของแคว้นเฉินที่แปลกคนเหลือเกินในยามนี้แล้วเอ่ยเสียงต่ำใส่หน้านาง "เ
รอบแรกหลังจากที่ห่างหายกันไปเนิ่นนานปีทั้งยังมีตัวยาปลุกเร้ารุนแรงเยี่ยงนี้ การเล้าโลมเคล้าคลึงจึงไม่จำเป็น หากมัวซุกไซร้เห็นทีว่าภรรยาคงโกรธา เขาจึงไม่เสียเวลามารยารีบปรนเปรอนางในทันทีหลิงเวยถึงกับร้องครางออกมาบ่งบอกถึงความสุขสมเมื่อฟงชินหยางจับท่อนของขานางแยกออกแล้วยกสะโพกของนางให้เข้าที่เพื่อสะโพกของเขากระชับเข้าหา ท่อนกายแกร่งร้อนผ่าวสอดใส่เข้ามาในเนื้อนูนนุ่มชื้นที่กำลังเรียกร้องอย่างไม่มีชักช้า เขาไม่อยากให้นางทรมานมากไปกว่านี้ เพราะว่าเขาเองคล้ายกับจะทรมานยิ่งกว่าหากไม่ทำตามใจนาง "ชินหยาง..." เสียงหวานครางกระเส่าเรียกชื่อบุรุษเหนือร่างทำเอาฟงชินหยางต้องรีบก้มหน้าลงมากดจูบนางในทันทีเขานาบริมฝีปากลากไล้อย่างเร่าร้อนขณะที่กลางลำตัวยังคงควบนางมิให้ขาดช่วงไม่ให้หลุดร่วงออกจากกลางกายนางชายหนุ่มรับรู้ได้ว่านางต้องการเขามากมายปานใดสังเกตได้จากวงแขนเรียวเล็กที่โอบรัด ฝ่ามือนุ่มนิ่มที่ปัดป่าย เรียวนิ้วที่จับตรึงกดจิกไปทั่วเนื้อแน่นของเขาพรุ่งนี้เขาคงต้องให้นางทำแผลเลยทีเดียวนางเสียวกระทั่งเขายังเสียวตาม เรียวขางามๆ ของนางอีกเป็นไร ตวัดรัดรึงรอบเอวของเขาเลยเชียว หากเขาเอวเคล็
ยามค่ำคืนของราตรีกาลอันยาวนาน…ถึงแม้จะมีเสียงของเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นอย่างเร็วจนเกิดเสียงดังอื้ออึงอยู่ในใบหูพร้อมกับสายลมรุนแรงโหมเข้าปะทะใบหน้าเสียดสีรุนแรงกับสองข้างแก้มนวลแต่ทว่าหลิงเวยกลับไม่รับรู้ถึงมัน นางกำลังรู้สึกใจสั่นแบบแปลกๆ ตั้งแต่นางดื่มเหล้าจอกแรกจนกระทั่งจอกที่สาม ก่อนหน้านี้นางยังคงมีสติครบถ้วนดูแลฟงชินหยางได้เป็นอย่างดีแต่ทว่าเพียงไม่นานนางก็เริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา นางเริ่มครองสติของตนเองเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป นางกำลังรู้สึกล่องลอย สมองของนางคล้ายกับขาวโพลนนางกำลังรู้สึกแบบว่าอยากได้สัมผัสบางอย่าง นางกำลังมีอาการบางอย่าง มันเหมือนกับเมื่อครั้งแรกที่เจอกับฟงชินหยาง ที่โรงเตี๊ยมอี้ฉาง ที่เตียงนอนในห้องพักของเขาในที่ที่มีเพียงสองเรา อา...ความรู้สึกนี้....ฟงชินหยางก้มหน้ามองหลิงเวยมาตลอดทางที่บังคับม้าควบตะบึงมา ก่อนหน้านี้ที่จวนของชินอ๋องหลิงเวยยังคงมีสติปกติดีอยู่มาก แต่แล้วเขาเริ่มรับรู้ได้ว่าร่างบางในอ้อมแขนมีอาการที่เปลี่ยนไป นางกำลังมีอารมณ์บางอย่างหลังจากดื่มเหล้าของเขาเข้าไป นางเริ่มเหม่อมอง เนื้อตัวสั่นเทา ดวงตาหยาดเยิ้ม ฝ่ามือน้อยๆ ยามนี้ปัดป่ายเนื้อตัวของเขา
ฟงลี่หลินที่เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงเริ่มช่วยตนเองโดยการควานหาน้ำจากบนโต๊ะตรงหน้าไม่ว่าจะเป็นชาเป็นเหล้าเป็นอะไรก็ได้ในยามนี้ นางใกล้ตายเต็มที องค์ชายผู้นี้นั่งบื้ออยู่ได้!เมื่อฝ่ามือเรียวสวยคว้ากาเหล้าเอาไว้ได้แล้วจึงไม่มีการรีรอนางรีบยกขึ้นมาหมายดื่มมันทั้งกาแต่ทว่าฝ่ามือใหญ่หนากลับตีเข้ามาดังเพียะ“...!?”กาเหล้าทั้งกาถึงกับตกกระเด็นไปบนพื้นน้ำเหล้ากระฉอกหกออกหมดไม่มีเหลือ ฟงลี่หลินยิ่งถลึงตาเบิกกว้าง นางใกล้ตายแล้วนะ ไยองค์ชายตรงหน้าถึงทำอย่างนี้ นางช่วยเขาเอาไว้เมื่อครู่นี้มิใช่หรือไร เจ้าองค์ชายบ้า! เจ้าคนชั่วช้าไม่สำนึกบุญคุณ!หญิงสาวด่าเจ้าของตักแกร่งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเรียวสวยตวัดความคมเฉี่ยวฟาดใส่ไม่มียั้งโดยไม่มีสรรพเสียงอันใดทั้งสิ้น เพราะขนมติดคออยู่แต่ทว่าชายหนุ่มผู้ถูกด่ากลับเข้าใจมันได้ไม่ยาก หากแต่ในเหล้านั้นอาจจะมียาพิษมิใช่หรือไร สาวงามก่อนหน้าพยายามทำสิ่งใดนางเองก็เห็น ไยไม่คิดให้ดี! ทั้งสองเถียงกันไปมาอย่างรู้ใจรู้ความนัยทางสายตาได้อย่างไม่น่าเชื่ออึดใจฉีเล่อจึงจับกระชับร่างบางบนตักให้นั่งตัวตรงก่อนจะเอื้อมฝ่ามือของเขาขึ้นมาแล้วตบแผ่นหลังให้นางเบาๆ เป็นจั
ข่าวจากทางบ้านบอกว่านางเป็นสะใภ้ที่ดีดูแลบิดามารดาแทนเขา ดูแลน้องๆ แทนเขา เป็นทั้งมารดาและบิดาให้ลูกๆ ทั้งสองเป็นอย่างดี ทำเขาเบาใจอยู่ไม่น้อยแต่ที่ทำให้เขาหนักใจไม่เบาก็คือยามค่ำคืนที่นางเอาแต่นอนร้องไห้แล้วหลับไปทั้งน้ำตากับกองจดหมายของเขาที่นางกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยการศึกที่กินเวลายาวนานเช่นนี้เขาย่อมชาชินเพราะว่ามันเป็นเยี่ยงนี้มาตลอดกับหน้าที่ทหารชาญศึกเช่นเขา แต่ทว่ากับนางคงเป็นเรื่องยากอยู่ไม่น้อยฟงชินหยางนั่งมองหลิงเวยอย่างเหม่อลอยและลืมตัว ความนุ่มนวลเนิบช้าของนางกำลังครอบงำเขาเหมือนที่เคยเป็นมา ในยามนี้นางจักทำอะไรเขายอมทั้งนั้น เขาพร้อมตามใจนาง หากนางจะปลอมตัวทำเป็นไม่รู้จักกัน เขาย่อมคล้อยตามนางไม่อาจขัดใจ หากแต่คืนนี้นางต้องยอมเป็นสาวงามอุ่นเตียง ให้เขาได้นอนกอดซุกซบกับอกนุ่มๆ ของนางให้หายคิดถึง ชายหนุ่มคิดไปคิดมายังคงวกวนอยู่กับการหมายมาดที่จะกลืนกินภรรยาที่ห่างหายกันไปนานถึงห้าปี ไม่ว่านางจะปลอมตัวเป็นใคร เขาย่อมต้องจับนางมานอนใต้ร่างกระทั่งให้นางนอนบนร่างของเขาให้ฟ้าเหลือง ฟงชินหยางนั่งมองหลิงเวยด้วยความคิดที่มิได้อยู่สุข อึดใจฝ่ามือกรุ่นร้อนจึงเริ่มซุกซน เขา
ค่ำคืนของงานเลี้ยงต้อนรับเดินทางมาถึงเวลายามดึกมากแล้ว เฉินจิ้นเหอจึงเอ่ยปากกับฟงชินหยางให้อยู่ต้อนรับขับสู้องค์ชายฉีเล่อตามลำดับที่ได้จัดสรรเอาไว้ก่อนหน้าแล้วเป็นอย่างดีโดยขุนนางฝ่ายพิธีการมากฝีมือของที่นี่ที่มักจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับบุคคลสำคัญต่างแคว้นมาแต่ไหนแต่ไร เฉินจิ้นเหอกล่าวคำปราศรัยกับฉีเล่ออีกหลายประโยคก่อนจะชักชวนพระชายาของตนให้ลุกขึ้นแล้วพาเรือนกายสูงค่าเดินหายตัวไปในเวลาต่อมาฟงชินหยางรวมทั้งฉีเล่อจึงลุกขึ้นยืนทำความเคารพผู้สูงศักดิ์ทั้งสองตามด้วยข้าราชบริพานทั้งหลายยืนขึ้นแล้วค้อมกายน้อมส่งเจ้าแห่งหัวเมืองจนคล้อยหลังไป ถึงแม้ว่าเจ้าของวังอันยิ่งใหญ่จะเดินหายไปแล้วแต่งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปได้ตามปกติโดยที่ใครใคร่อยู่ต่อพึงได้อยู่ ใครที่ใคร่จะกลับบ้านพึงกลับบ้านไป มิใช่เรื่องแปลกใหม่อันใดจินเยว่ชิงยังคงหรี่ตามองไปทางฟงชินหยางกับสตรีอัปลักษณ์ด้านข้างของเขา นางเห็นฟงชินหยางนั่งนิ่งๆ คล้ายกับไม่สนใจนำพาใดๆ กับสตรีนางนั้น ในขณะที่สตรีนางนั้นกำลังนั่งก้มหน้างุดๆ คล้ายอับอายไม่กล้าทำอันใดมากไปกว่าการรินเหล้าแล้วส่งให้เขา แต่เขากลับมิได้สนใจจอกเหล้านั่นเลยแม้แต่น้อยทั้
ภายในงานเลี้ยงต้อนรับอันยาวนานแห่งค่ำคืนของรัตติกาลเพลานี้ฟงลี่หลินยังคงนั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงไปทางใด นางกำลังนั่งมองอาหารหน้าตาน่าทานบนโต๊ะตรงหน้าอย่างนึกชมชอบมันขึ้นมา ระยะเวลาห้าปีมานี้นางมักจะอยู่กับพี่สะใภ้ตลอดเวลา พี่สะใภ้มักจะชอบเข้าครัวทำขนมทำอาหารด้วยตนเองอยู่เสมอเพื่อดูแลคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อท่านแม่พี่รองตัวนางเองและหลานชายทั้งสองทั้งนี้ยังมีสาวใช้นามเสี่ยวชุ่ยที่มักจะชมชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจไม่ว่าอะไรเข้าปากของเสี่ยวชุ่ยความสุขโดยรอบพลันบังเกิดแผ่ขยายวงกว้างมาถึงนาง หลานชายทั้งสองของนางก็ไม่ต่าง ทำให้นางนึกชมชอบการกินไปด้วย นางติดนิสัยของเสี่ยวชุ่ยมาไม่น้อย อืม...วันนี้นางยังมิได้กินข้าวเย็นเลย เริ่มหิวเสียแล้ว...เสียงหวานใสพลันเอ่ยเมื่อเริ่มทนไม่ไหวกับจานขนมที่หน้าตาน่าทานเหลือเกินบนโต๊ะตรงหน้า "องค์ชายเพคะ"เสียงนั้นของฟงลี่หลินทำเอาบุรุษหนุ่มรูปงามนามฉีเล่อต้องปรายสายตาคมเข้มดำขลับลงมอง "ท่านรับหรือไม่?" หญิงสาวกล่าวพลางชี้นิ้วไปที่ขนมหน้าตาน่าทานจานหนึ่งพร้อมปรายสายตาเรียวสวยโฉบเฉี่ยวขัดกับรอยแผลเป็นบนใบหน้าจ้องมองขนมสลับกับองค์ชายข้างกายฉีเล่อเลิกคิ
หลิงเวยพลันถลึงตามองค้างอ้าปากเล็กน้อยฟงชินหยางเห็นกระต่ายน้อยฝีมืออ่อนด้อยยิ่งนึกถูกใจ เขาย่อมตามใจนางหากนางอยากเล่นสนุก เขาจะทำเป็นไม่รู้จักนางก็ได้แต่จะจับนางขย้ำให้หนำใจไปเลย“เจ้าบรรเลงพิณได้ยอดเยี่ยมมากข้าชมชอบยิ่งนัก” ชายหนุ่มก้มหน้ากระซิบกระซาบกับหญิงสาวข้างกายหมายเกี้ยวนางอย่างนึกสนุกขึ้นมาบ้าง “ท่านคงชมชอบสตรีทุกนางที่เล่นพิณได้” หลิงเวยอดไม่ได้ที่จะประชดประชัน เจอกันแค่วันนี้แต่เอ่ยคำเยี่ยงนั้นหรือ?ลับหลังนางเขาเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? หลิงเวยมองค้อนคนตัวโตขวับๆ จนแก้มแดงพองออก ดวงตาที่โตอยู่แล้วยิ่งกลมโตเข้าไปอีก ปานแดงกับไฝเม็ดใหญ่มิใช่อุปสรรคกับความน่ารักของนางเลยสักนิดฟงชินหยางก้มหน้ามองคนตัวเล็กอย่างนึกเข่นเขี้ยวเหลือเกินจนต้องขยับกายหนาแน่นเข้าใกล้นางอีกนิดจะได้ใกล้ชิดและแกล้งกันได้ถนัดถนี่มากยิ่งขึ้น "ไม่เลย...ข้าไม่เคยชอบใคร" เสียงกระซิบทุ้มต่ำชิดใบหู“ท่านไม่ควรทำตัวเยี่ยงนี้” หลิงเวยดุออกมาแต่หาได้เบี่ยงหูออกห่าง นางกำลังทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครได้ทำ“ข้าทำตัวอย่างไร” ฟงชินหยางตีหน้ามึนถามออกไป"ท่านไม่ควรตีสนิทกับสตรีอย่างนี้ เรายังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ" หญิงสาวเ