เวลาใกล้รุ่งสางก่อนที่แสงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา หลิงเวยค่อยๆ ปรือตาขึ้นเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะไม้ถึงห้าครั้งบ่งบอกเวลาได้เป็นอย่างดี
หญิงสาวรีบเรียกสติของตนไม่ให้เสียเวลางัวเงีย นางตื่นลืมตาขึ้นมาช้าๆ แต่ทว่าพลันต้องชะงักเมื่อปะทะกับสายตามืดดำของใครบางคน
ใครคนนั้นนอนมองนางอยู่ด้วยสายตาดุดันใบหน้ามืดครึ้มใบหูแดงก่ำ เขาเปลือยแผงอกบึกบึนใหญ่โตช่วงบนลำตัว
เขาไม่หนาวหรือไร ไยไม่ห่มผ้า?
หลิงเวยมองคนตัวโตข้างกายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เฉกเช่นดังเดิมพลางเอื้อมมือน้อยๆ ลงมาจับดึงผ้าห่มบนตัวของตนแล้วตวัดห่มให้เขาอย่างใจดี เพราะว่านางแย่งเตียงนอนของเขาและผ้าห่มของเขามาห่มอยู่คนเดียว
ฟงชินหยางตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์โกรธกรุ่นแสดงออกฉายชัดให้เห็นทางสีหน้า นางเป็นของเขาแล้วถึงแม้ว่าจะผิดวิธีก็ตาม และนางกับเขาก็แต่งงานกันแล้วอย่างถูกต้อง อีกทั้งเมื่อคืนยังเป็นคืนเข้าหอ
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ากับเป็นบุรุษที่อับโชคเช่นนี้
ไยอาภัพยิ่งนัก!
เขาต้องนอนปวดเกร็งทั้งคืนด้วยเพราะว่ามีตัวนุ่มนิ่มมานอนข้างๆ ทั้งยังพ่นลมหายใจเป่าหูเขาตลอดคืนกระทั่งเช้า
แล้วดูนางทำ นางยังจะเอื้อมมือมาห่มผ้าให้เขาจนหน้าอกนุ่มๆ ของนางเบียดเสียดอยู่กับท่อนแขนของเขา นี่นางหมายยั่วยวนเขาในยามฟ้าสางได้อย่างไร เขาต้องพานางไปคารวะน้ำชาบิดามารดาที่น่าจะลุกขึ้นมารอเขาแล้วในเรือนใหญ่กลางจวนมิใช่หรือไร
กับอารมณ์คั่งค้างเมื่อคืนยังมิทันได้สะสาง นางก็สร้างอารมณ์รอบใหม่ในเวลาจำกัดซึ่งคงจะสะสางไม่ทัน นี่นางกำลังทำเรื่องร้ายกาจกับเขาอย่างยิ่งยวดอีกแล้ว มันใช่หรือไม่?
เจ้าของสีหน้ามืดดำและมีห้วงอารมณ์หลุมลึกทมิฬเอ่ยเสียงกดต่ำออกมา
“เจ้ากล้าดีอย่างไร?”
หลิงเวยได้ยินพลันงุนงง แค่ห่มผ้าให้ก็มิได้หรือไร
ไยเอาใจยากจริง?
หญิงสาวสบสายตากับชายหนุ่มข้างกายอยู่อึดใจก่อนตัดสินใจดึงผ้าห่มกลับมาห่อร่างของตนเอาไว้แน่นเห็นแค่เพียงดวงตาแล้วขยับกายถอยหลังออกห่างจากเขาอีกเล็กน้อยอย่างยอมจำนน นางไม่ควรทำให้เขาโกรธ
ฟงชินหยางเห็นอย่างนั้นยิ่งอารมณ์คุกรุ่นเมื่อเจ้าสาวของเขาขยับเข้ามาใกล้ทำทีขยุกขยิกเบียดเสียดแล้วถอยหลังออกห่างไปจนแผ่นหลังชิดกำแพง นางทำตัวคล้ายกับหลอกล่อเขาไปมา นางทำท่าทางคล้ายเข้าหาแล้วออกห่างคล้ายรังเกียจ นางทำคล้ายกับว่าเขาเป็นตัวตลกก็ไม่ปาน อย่างนี้ต้องสั่งสอน!
เมื่อคิดได้แล้วก็พลิกกายขึ้นคร่อมนางเสียเลย
หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจด้วยคาดไม่ถึงเมื่อเจ้าบ่าวของตนพลิกกายขึ้นมาทาบทับนางและคร่อมนางเอาไว้อย่างนี้ ทั้งยังก้มหน้าลงมามองนางเสียต่ำ จนลมหายใจร้อนๆ ของเขาเป่ารดใบหน้าของนาง ดวงตาคมเข้ม จมูกคมสัน ขยับอยู่ใกล้ๆ กัน พาเอาใจสั่นไหวลมหายใจคล้ายติดขัด
หญิงสาวถึงกับต้องเอื้อมฝ่ามือขึ้นจับตรึงสันกรามของคนเหนือร่างเอาไว้ด้วยเกรงว่าใบหน้าหล่อคมของเขามันจะร่วงลงมาใส่ใบหน้าของนาง
เมื่อถูกฝ่ามือนุ่มนิ่มจับตรึงที่สันกรามพาเอาชายตัวโตเหนือร่างสตรีคล้ายกับถูกไฟจี้กระนั้น เช่นนั้นแล้วเขาจะรีบสะสางให้ทันเวลายกน้ำชาก็แล้วกัน
ฟงชินหยางคิดอย่างนั้นพลางก้มหน้าลงต่ำอีกนิดเข้าประชิดนางอีกหน่อย หมายจัดการกับเจ้าสาวของตนอย่างที่ควรเป็น เสือไม่ควรปล่อยให้เนื้อลอยนวล
หลิงเวยถึงกับตาโตเมื่อใบหน้าคมคายกำลังร่วงลงมาใส่ใบหน้าของนางจริงๆ นางถึงกับต้องออกแรงตรึงมือตรงสันกรามของเขาเอาไว้อย่างสุดกำลัง
ฟงชินหยางรับรู้ได้ถึงฝ่ามือน้อยๆ ที่เป็นปราการอยู่ตรงสันกรามของเขาอย่างนั้น เขาจึงเอื้อมมือหนาใหญ่ของเขาจับรวบข้อมือทั้งสองข้างของสตรีใต้ร่างออกแล้วขึงเอาไว้เหนือศีรษะนาง
ดูทีเถิดว่าใครจะชนะ ฮึ!
ชายหนุ่มก้มหน้าลงหมายกระทำการจัดการเจ้าสาวของตนอย่างต่อเนื่อง เขาโน้มริมฝีปากของเขาเข้าหาริมฝีปากของนางหมายจะกดจูบนางให้สาแก่ใจตามสิทธิ์ทั้งหมดที่มี
หลิงเวยรีบเบี่ยงใบหน้าหนีทันทีเมื่อริมฝีปากแดงๆ ของชายผู้เป็นสามีเคลื่อนที่ลงมาแบบนั้น นางไม่อาจทำใจ ถึงแม้ว่าจะเคยมีสัมพันธ์กันแล้ว ถึงแม้ว่าจะแต่งงานกันแล้ว
แต่ทว่า...นางกลัวเหลือเกิน
ครานั้นนางเจ็บอยู่เป็นนาน เขาร่วมรักกับนางที่โรงเตี๊ยมในวันนั้นทำนางเจ็บร้าวจนก้าวเดินลำบาก
เขาตัวใหญ่มาก...
“ไม่นะ ท่าน! ข้ายังไม่พร้อม” เสียงแว่วหวานร้องออกมา
“จะไม่พร้อมได้อย่างไร อย่ามาเสแสร้ง” ฟงชินหยางไม่มีการฟังทั้งยังกล่าววาจาร้ายกาจ เขาก้มหน้าลงกดจูบนางที่แก้มนวลสีแดงเปล่งปลั่งอย่างนึกเข่นเขี้ยว นางเบี่ยงริมฝีปากหลบเขาแต่เป็นการเอียงใบหน้านวลเนียนล่อตาล่อใจ นางทำเขานอนทรมานทั้งคืนเชียว เขาจะไม่ปล่อยนาง
“ข้ามิได้เสแสร้ง ข้าไม่พร้อมจริงๆ ปล่อยข้านะ” หลิงเวย นึกกลัวยิ่งนัก เขาทำนางเจ็บช่วงกลางลำตัวอย่าบอกใคร
หญิงสาวพยายามดิ้นรนภายใต้ร่างใหญ่หนาของคนตัวโตอย่างยากลำบาก นางดิ้นขลุกขลักอยู่อย่างนั้น ใบหน้าก็เบี่ยงไปเบี่ยงมาหลบจมูกหลบริมฝีปากร้อนผ่าวพัลวัน เรียวขาก็พยายามดีดตีหมายให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม
ชายหนุ่มเหนือร่างบ้าพลังอย่างฟงชินหยางยิ่งนึกชอบใจกับอาการพยศของภรรยา นี่นับได้ว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่
ตื่นขึ้นมามีศึกแบบนี้บนเตียงนอน ทำเขายิ่งคึก
“ไม่เอา ปล่อยนะ” หลิงเวยที่ถูกจับตรึงข้อมือเอาไว้เหนือศีรษะทั้งยังถูกกดทับทั้งร่างทั้งตัวไม่เว้นแม้กระทั่งเรียวขาทำได้เพียงร้องห้ามและเบี่ยงใบหน้าซ้ายขวาไปมา นางกำลังรู้สึกร้อนผ่าวไปหมดแล้วในยามนี้ จมูกและริมฝีปากของเขาร้อนดั่งไฟ ฝ่ามือก็ร้อน ลำตัวก็ร้อน ทำนางร้อนตามไปหมดแล้ว“เจ้าเป็นเมียของข้าแล้ว ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” บุรุษผู้มีนิสัยดิบเถื่อนอย่างฟงชินหยางมีหรือจะยอมเขาไม่จำเป็นต้องถนอมบุปผาเคลือบพิษ นั่นคือเหตุผลของการเอาแต่ใจกับภรรยาของตนเขายังคงก้มหน้าก้มตาลงกดจูบนางใต้ร่างไปตามข้างแก้ม ไปตามลำคอและติ่งหู ยิ่งนางเบี่ยงใบหน้าหลบเขาไปมาทำให้เขายิ่งฮึกเหิมตามสัญชาตญาณ“ข้าเป็นเมียท่านแล้วก็จริง แต่ยามนี้เช้าแล้ว”หลิงเวยพยายามหาเหตุผลห้ามปรามสามีผู้เอาแต่ใจด้วยใบหน้าแดงก่ำ ลำคอและใบหูก็เช่นเดียวกัน มันกำลังเห่อแดงร้อนแรงยิ่งกว่าผลอิงเถาและร้อนผ่าวไปหมดทั้งเรือนร่างที่ยามนี้ถูกชายเหนือร่างขึงตรึงตลอดทั้งลำตัวโดยเฉพาะท่อนขาเรียวเล็กของนางก็ถูกท่อนขาหนาหนักของเขากดทับจนจมที่นอน“เมื่อคืนมีโอกาสแล้วไยท่านไม่กระทำเสียเมื่อคืนเล่า” นางพยายามอ้างอย่างนั้น ในยามนี้ฟ้าสว่างจนเห็นใบหน้าเรือนร
“พี่ใหญ่!”เสียงหวานใสของดรุณีน้อยนางหนึ่งตะโกนอยู่หน้าห้องของเจ้าบ่าวเจ้าสาว“ท่านพ่อกับท่านแม่รอนานแล้วนะเจ้าคะ” สิ้นเสียงเอ่ยคำก็หัวเราะชอบใจที่ได้กลั่นแกล้งพี่ชายของตนฟงลี่หลินน้องสาวคนเล็กของบ้านมักมีนิสัยทโมนผิดสตรีด้วยกันเพราะว่าเติบโตมากับพี่ชายสองคนจึงชอบทำตัวบ้าบิ่นเกินพอดีจนฟงจินหมิงพี่ชายคนรองต้องเข้ามาห้ามปรามเสียงดัง“หยุดเดี๋ยวนี้นะน้องเล็ก!”“อะไรกันเล่าพี่รอง”“เจ้าไม่ควรรบกวนเวลาของพี่ใหญ่กับอาซ้อนะ”“หึ! เมื่อคืนเขาก็จัดการกันทั้งคืนแล้วกระมัง ไม่เป็นไรหรอก” ฟงลี่หลินเถียงฟงจินหมิงด้วยคำพูดเกินงามพลางเคาะประตูอีกคราแต่ทว่าฝ่ามือเรียวเล็กยังไม่ทันแตะต้องบานประตู เสียงผลัวะเปิดออกของประตูพลันดัง ตามด้วยบุรุษร่างสูงใหญ่เปลือยลำตัวช่วงบนเผยแผงอกบึกบึนกล้ามเนื้อหนั่นแน่นงดงามผสมผสานริ้วรอยแผลเป็นจากศึกสงครามของฟงชินหยางปรากฏกายพร้อมสายตาคมเข้มมืดดำอย่างต้องการฆ่าฟันน้องทั้งสองให้ตายตกฟงลี่หลินกับฟงจินหมิงถึงกับชะงักเล็กน้อยเสมองลำตัวใหญ่โตงามๆ ช่วงบนของพี่ชายด้วยสายตาทอประกายล้อเลียนก่อนจะรีบพากันหมุนตัววิ่งหนีพร้อมส่งเสียงหัวเราะชอบใจไปตามทางฟงชินหยางหรี่ตามองน้องชา
ฟงชินหยางยืนมองภรรยาหมาดๆ ของตนด้วยอาการคันยุบยิบตามเนื้อตัวอีกแล้วเขามองเห็นนางแต่งตัวทำผมอยู่ตรงมุมตู้เสื้อผ้าอย่างยากลำบากทำเขาถึงกับอดใจเอาไว้ไม่ไหวจำต้องเดินเข้าไปหานางอย่างหงุดหงิด“มานี่!” ฟงชินหยางคำรามเสียงดังหลิงเวยตกใจจนเนื้อกระตุกอีกคราก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่ที่มายืนอยู่ตรงด้านหลังของนาง“ท่านจะทำสิ่งใด” หญิงสาวถามขึ้นอย่างหวาดหวั่นตัวเกร็งแข็งทื่อไม่กล้าขยับเมื่อชายหนุ่มด้านหลังจับผมของนางขยุ้มขึ้นไปแล้วดึงเส้นผมของนางไปมาจนนางเจ็บตึงตรงหนังศีรษะไปหมดแต่ไม่กล้าร้องออกมาฟงชินหยางเคยทำผมให้น้องสาวคนเล็กมาบ้างแล้วเมื่อครั้งที่นางออดอ้อนเขาให้ทำพร้อมปักปิ่นในยามนั้นฟงลี่หลินเอาแต่ร้องไห้กล่าวหาว่าเขากลั่นแกล้งนางแล้วก็วิ่งไปฟ้องท่านแม่ให้แก้ทรงผมให้เขาแน่ใจว่าเขาทำมันได้ดีแต่ที่ไม่เข้าใจไยต้องร้องไห้แล้วใส่ร้ายเขาจนถูกท่านแม่ตี!“เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยคำเสียงเข้มพลางปล่อยมือหนาหนักจากทรงผมของภรรยาแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไปหลิงเวยได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของคนตัวโตพร้อมเอื้อมมือขึ้นจับทรงผมของตนที่บัดนี้ถูกรวบเอาไว้เป็นอย่างดีพร้อมปักปิ่นให้อีกด้วยอืม...แต่ทำไมนา
จวนอันใหญ่โตของตระกูลฟงมีเรือนมากมายทั้งยังมีอาณาบริเวณกว้างขวางระหว่างทางเดินของแต่ละเรือนประกอบไปด้วยสวนสวยรายรอบมีหินอ่อนทอดยาวคดเคี้ยวระหว่างเรือนและสวนที่มีสระบัวออกดอกชูช่องดงามตระการตาพาเอาจิตใจเบิกบาน...ฟงชินหยางเดินนำหน้าหลิงเวยมาตามทางเดินของเรือนต่างๆ ภายในจวนจนกระทั่งถึงเรือนใหญ่กลางจวนจึงหยุดเท้าก้าวเดินเพื่อรอคนตัวเล็กที่เดินนวยนาดนุ่มนวลเหลือเกินในยามปกติเขาเจอแต่พวกเดินฉับๆ ก้าวเท้าหนักๆ ของเหล่าลูกน้องในอาณัติไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี แต่กับภรรยาของเขานางนี้ทำให้เขาไม่ชินเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงต้องเดินให้ช้าลงแล้วหยุดเดินเพื่อยืนรอนางอยู่หลายก้าว เขาทำอย่างนั้นอยู่หลายคราจากเรือนหอของตนจนกระทั่งถึงหน้าเรือนกลางก่อนจะหันมามองนางด้วยสีหน้ามืดครึ้มสายตามืดดำไม่เปลี่ยนแปลงเขากำลังปรับอารมณ์ของตนเองเพื่อมิให้บิดามารดาจับผิดเขาได้ในเรื่องการแต่งงานที่ผิดพลาดนี้ เขายอมรับว่าไม่เคยต้องเสแสร้างแกล้งทำเรื่องใดมาก่อนนี่จึงนับว่าเป็นเรื่องแรกทั้งยังยากเย็นหนักหนาความผิดพลาดไหนเลยจักน่าอับอายเยี่ยงนี้!หลิงเวยที่กำลังเพลินเหลือเกินกับสภาพแวดล้อมของจวนแห่งนี้จำต้องหันหน้ามาม
ฟงชินหยางที่บัดนี้ได้พาภรรยามายืนอยู่ตรงหน้าทุกคนในครอบครัวแล้วจึงยืนนิ่งๆ สู้สายตาทุกผู้คนด้วยมาดเรียบเฉยสายตาคมกริบซ่อนแววหวาดหวั่นผิดกับหลิงเวยที่เริ่มสั่นสะพรึงขึ้นมาหญิงสาวหันหน้ามากระซิบกระซาบกับคนตัวโตข้างกายด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเบาหวิว “ข้ายังไม่รู้นามของทุกคนเลย”“ซือหลาง ซินหรู จินหมิง ลี่หลิน ตามลำดับอาวุโส”“...”ฟงชินหยางกระซิบตอบรัวเร็วประหนึ่งว่าเอ่ยสั่งการทหารด้วยรหัสลับในสนามรบยามข้าศึกเข้าประชิดกระนั้นหลิงเวยได้ฟังคำจึงรีบคิดตามประหนึ่งว่าเป็นลูกน้องทหารของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ นางจึงพยักหน้าน้อยๆ เข้าใจ“ข้าชื่อหลิงเวย” หญิงสาวคิดได้ว่ายังไม่รู้จักนามของสามีเพราะในพิธีแต่งงานเมื่อวานนางหูอื้อตาลายไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งนั้น นางจึงกระซิบแนะนำชื่อของตนอย่างรู้งาน“ข้าชินหยาง” ชายหนุ่มรู้งานยิ่งกว่ากระซิบกระซาบแนะนำตัวกลับไป“จะยืนกระซิบพร่ำคำรักกันอีกนานหรือไม่” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินพลันดังมาจากกลางห้องโถงไกลออกไป “อะไรจะหวานกันปานนั้นเจ้าคะ” จบคำก็หัวเราะคิกคักชอบใจทำเอาบิดามารดาถึงกับต้องกระแอมไออยู่ในลำคอฟงชินหยางจึงเริ่มปฏิบัติการหลอกข้าศึกให้ตายใจโดยการเอื้อมฝ่าม
หลิงเวยเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากฟงชินหยางเพียงแต่นางกำลังรู้สึกผิดอย่างมหันต์และเริ่มตระหนักขึ้นมาหากว่าวันหนึ่งข้างหน้าบุรุษข้างกายของนางในยามนี้เกิดรักปักใจกับใครจนไม่อาจถอนใจแล้วเขาจักต้องทำอย่างไรนี่มิใช่ว่านางเป็นต้นเหตุให้บุรุษเช่นเขาหมดหนทางแห่งตนในภายภาคหน้าเลยหรือและบางทีเขาอาจจะมีสตรีในดวงใจอยู่แล้วก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นมิใช่ว่านางมาเป็นมารหัวใจของเขาหรอกหรือไรหญิงสาวยิ่งคิดยิ่งหม่นแสงในชีวิตดวงตาเริ่มรื้นน้ำใสจนต้องรีบยกชายผ้าขึ้นมาปาดออกไปในทันที“เจ้าเป็นอะไรไปเวยเอ๋อร์ ปลื้มมากหรือไร” ฟงชินหยางถามหลิงเวยในฉับพลันด้วยรอยยิ้มตรงมุมปากพร้อมสายตาคาดคั้นซ่อนแววประชดประชันในที หลิงเวยรีบปรับอารมณ์ของตนแล้วตอบคำเสียงเบา “เจ้าค่ะ ข้ากำลังรู้สึกปลื้มใจยิ่งนัก ต้องขออภัยท่านทั้งสอง” นางตอบคำแก้ต่างพลางยกยิ้มงดงามส่งให้บิดาและมารดาของสามี“เรียกท่านพ่อท่านแม่” ฟงชินหยางก้มหน้าเข้าหาพลางเอ่ยกระซิบดุดันเสียงเบาใส่หูของหลิงเวยหญิงสาวรีบปรับคำพูดในทันทีก่อนจะถูกใครบางคนกินหูของนางเข้าไปทั้งใบ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าหลิงเวยของฝากตัวเจ้าค่ะ ข้าขอสัญญาว่าจะทำตัวดีๆ ว่านอนสอนง่าย เป็นส
เมื่อกินอาหารอันโอชาเลิศรสจนหมดถ้วยหมดจาน ฟงชินหยางกับหลิงเวยจึงถูกฟงลี่หลินและฟงจินหมิงทั้งจับจูงทั้งดันแผ่นหลังพามานั่งเล่นที่ศาลาริมสระบัวของจวน เสียงหัวเราะขบขัน เสียงถกเถียงกันไปมาจึงดังลั่นจากในศาลาเป็นระยะๆที่จวนใหญ่โตแห่งนี้เป็นจวนประจำตระกูลฟงมิใช่จวนแม่ทัพและมิได้ตั้งอยู่ใกล้กับค่ายทหารแต่กระนั้นค่ายทหารก็ตั้งห่างออกไปจากตัวเมืองเพียงเจ็ดลี้เท่านั้นทำให้ไม่ลำบากอันใดในการเดินทางไปควบคุมยังค่ายทหาร ทั้งนี้เนื่องจากอดีตแม่ทัพใหญ่ฟงซือหลางและอดีตองค์หญิงเฉินซินหรูพระขนิษฐาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต้องการอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกมิใคร่ให้แยกบ้านแยกจวน สามคนพี่น้องจึงสนิทสนมกันยิ่งนัก หลิงเวยนั่งสังเกตพวกเขาทั้งสามคนอย่างละเอียด ฟงชินหยางเป็นพี่ใหญ่ที่มีท่าทางขึงขังเคร่งขรึมเฉกเช่นบิดาไม่มีผิดเพี้ยน เขาเป็นบุรุษที่ตัวโตสูงใหญ่เกินบุรุษทั่วไปสมกับที่เป็นชายชาติทหาร เป็นบุรุษผู้องอาจ ใบหน้าของเขาถึงแม้ว่าจะหล่อเหลาคมเข้มแต่ทว่าแววตากลับฉายแววเหี้ยมเกรียมดุร้ายตลอดเวลา เขามักจะทำท่าทางดุดันน่ากลัวอยู่เป็นนิตย์ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะสายงานของเขา ด้วยเพราะว่า
เขาไปทำอะไรให้ภรรยาไม่พอใจเมื่อไหร่มิทราบ ไยถึงต้องปั้นหน้าเยี่ยงนั้น ที่เขาถูกทุกคนลืมเลือนบนโต๊ะอาหารยังไม่พอหรือไร“เจ้าเป็นอะไรไป เวยเอ๋อร์” ฟงชินหยางเอ่ยเสียงที่ฟังออกได้ว่าพยายามให้นุ่มนวลทำเอาหลิงเวยพลันชะงักหลุดจากภวังค์“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนหวานส่งให้คล้ายขอโทษในที นางกำลังทำให้บรรยากาศดีๆ เสียไป “ข้าแค่เพียงนึกถึงพี่น้องที่บ้านว่าช่างแตกต่างจากพวกท่านมากนัก” นางเลือกที่จะบอกตามตรง “พวกท่านเป็นที่น้องที่รักกันมาก ข้านึกชมชอบจากใจจริง” “แน่นอน พวกเรามีกันแค่นี้ ครอบครัวของเราก็มีกันแค่ห้าคน” ฟงลี่หลินเอ่ยออกมาอย่างฉะฉานภาคภูมิใจ “พวกเราเป็นชนกลุ่มน้อยที่รักกันมาก...” น้องเล็กของตระกูลฟงพูดจาเปรียบเทียบทั้งยังลากเสียงยาวฟังดูน่าขันจนหลิงเวยต้องยิ้มกว้างกระทั่งหลุดหัวเราะออกมารอยยิ้มกระจ่างใสกับเสียงหัวเราะแว่วหวานของสตรีตรงหน้าทำเอาฟงชินหยางเริ่มไม่ชิน นางยิ้มอย่างนี้เป็นด้วยหรือตั้งแต่เจอกันก็เอาแต่ร้องไห้บีบน้ำตา นางกดดันเขาตลอดเวลาด้วยน้ำตาคล้ายน้ำตกนั่นทั้งยังทำเขาอึดอัดจนเขาหายใจลำบากอยู่ตลอดมา และทั้งๆ ที่เขาเสียท่าให้นางถึงเพียงนั้นไยไม่ยิ้มแ
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน
เวลาวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟงชินหยางที่ได้รางวัลหลังสิ้นศึกเป็นวันหยุดยาวนานสามเดือนจึงสิ้นสุดลงสิ่งที่ฟงชินหยางไม่อยากเห็นมากที่สุดพลันบังเกิดเมื่อเขาจำต้องเดินทางไปประจำการยังค่ายทหารชายแดนอันที่จริงค่ายทหารชายแดนของเมืองชางอี้อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองแห่งนี้เพียงเจ็ดลี้เท่านั้น แต่ทว่าหลิงเวยมิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้แต่อย่างใด นางกำลังยืนร่ำไห้จนน้ำตากลายเป็นม่านน้ำตกยามที่ฟงชินหยางขี่ม้าตัวใหญ่ควบตะบึงออกไปจากจวน“อาซ้อเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ฟงลี่หลินหรี่ตามองหลิงเวยพลางกระซิบกระซาบกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างกันตรงหน้าเรือนกลางที่มองเห็นหลิงเวยยืนอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อยู่หน้าประตูจวนนางสังเกตเห็นพี่สะใภ้จัดการพี่ใหญ่ผู้น่ากลัวได้อยู่หมัด จนเป็นเหตุให้พี่ใหญ่ของนางอยู่ไม่สุขได้สักวัน ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องนั่งเป็นรูปปั้นยักษ์ให้พี่สะใภ้วาดภาพ ในบางวันพี่ใหญ่ของนางยังต้องใส่เสื้อผ้าปักลวดลายแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็น และในบางวันยังหนักหนาถึงขั้นรำดาบเคล้าเสียงเพลงพิณ ทำเอาเหล่าบ่าวไพร่ถึงกับขวัญผวาไปตามๆ กันนี่เรียกได้ว่าพญามัจจุราชกลับใจใช่หรือไม่“ท่านแม่ ข้าว่าอาซ้อน่ากลั
เวลาผ่านไปหลายวันฟงชินหยางและหลิงเวยจึงเดินทางกลับมาถึงจวนตระกูลฟงสองสามีภรรยาจึงพากันไปทำความเคารพทักทายบิดามารดาภายในห้องโถงของเรือนกลางก่อนจะสั่งการบ่าวไพร่ให้นำสินรางวัลที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงพระราชทานส่งมอบให้มารดาได้จัดการในลำดับต่อไป“หยางเอ๋อร์เจ้าพาเวยเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อนเถิด ทางนี้แม่จัดการให้เอง” ฟงฮูหยินกล่าวคำไปทางฟงชินหยางและหลิงเวย เมื่อสังเกตเห็นสองสามีภรรยามีใบหน้าอิดโรยคล้ายกับผ่านการเคี่ยวกรำบางอย่างมา โดยเฉพาะหลิงเวยที่มีใบหน้าอ่อนล้าเหลือเกิน มิรู้ว่าพวกเขาเจอพายุระหว่างเดินทางมาหรือไร ไยทำท่าอ่อนแรงปานนั้นหลิงเวยสังเกตเห็นสายตาของแม่สามีมองมาอย่างใคร่รู้จึงทำได้แค่ยิ้มหวานๆ ส่งไปก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเขินอายเป็นที่สุดผิดกับฟงชินหยางที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อิ่มเอิมเหลือประมาณเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจอพายุประเภทใดตลอดการเดินทาง หากจะมีพายุที่รุนแรงที่สุดในใต้หล้าคงไม่พ้นพายุอารมณ์ที่เกิดจากกำหนัดของสองสามีภรรยาคู่นี้เมื่อบุตรชายพาสะใภ้เดินออกจากห้องโถงไปแล้วจึงหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้ข้างกายได้ต้มยาบำรุงตามไปให้ทั้งสองได้ดื่มกินในทันที นางจักต้องบำรุงสะใภ้เสียหน่อยเห็นได้
ภายใต้ท้องฟ้าที่แสงตะวันเจิดจ้ากำลังสาดส่องเกิดเป็นแสงสีทองสวยอร่ามงามตากำลังมีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายสีขาวนวลเกล้าผมเรียบร้อยเผยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ยามเมื่อสายลมพัดโชยพาอาภรณ์ปลิดปลิวโบกสะบัดไปตามแรงลมเกิดเป็นภาพสตรีร่างระหงงดงามจับตา นางเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมไล้อยู่ตามยอดหญ้ากระทั่งไล้มาถึงลำตัวของนางนางกำลังยืนอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังไว้อาลัยกับภาพเบื้องหน้า ภาพของผืนป่าโอบล้อมสายน้ำที่อยู่ไกลลับตาเหล่าทหารยามที่เดินไปเดินมาพากันเดินสะดุดหยุดเท้าฉับพลันเมื่อมองมาแล้วเห็นสตรีงดงามนางหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสวยงามภายใต้ท้องฟ้าท่ามกลางต้นหญ้าท้าลมท้าแดดเกิดเป็นภาพงดงามเหนือชั้นได้อย่างนั้นหากจำไม่ผิด สตรีนางนี้คือภรรยาของท่านแม่ทัพนามว่าฟงชินหยาง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารอย่างนั้นจะมีภรรยาเป็นนางฟ้าได้อย่างนี้...อึดใจเหล่าทหารพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อจู่ๆ มีทั้งกระต่ายป่าและนกตัวใหญ่จำนวนหลายสิบตัวถูกโยนลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บแรงๆ ตามด้วยเส้นเสียงทุ้มใหญ่เอื้อนเอ่ยคำราม“เอาไปนับ!”“…!!!”เหล่าทหารรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัตว์ป่าและเสียงห้าวใหญ่น่ากลัว พวกเ
ยามรุ่งสางแสงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าภายในกระโจมหลังหนึ่งร่างสองร่างที่กำลังนอนปีนเกลียวพัลวันจนร่างสองร่างคล้ายกับงูสองตัวพันกันกลับผงกหัวลุกขึ้นมาก่อนจะหยัดกายแกร่งเพียงครึ่งลำตัวคงเหลือไว้เพียงครึ่งลำตัวที่ยังคงกดตรึงอีกร่างเอาไว้อย่างแนบแน่นจนจมที่นอนอึดใจเสียงแผ่วหวานเริ่มเอ่ย “พอก่อน...”“ไม่นาน...” เสียงแหบต่ำเอ่ยออกมาพร้อมลมหายใจกรุ่นร้อนพ่นใส่ใบหน้าของอีกคนที่อยู่ใต้ร่าง“เช้าแล้ว ไม่เอา” หลิงเวยยังคงปฏิเสธเนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่นอกกระโจมแล้วเกิดได้ยินเสียงต่างๆ ระหว่างนางกับเขา“อีกครู่เดียว” ฟงชินหยางยังคงเอาแต่ใจ เขาหยัดกายเพียงนิดก่อนแทรกกายแกร่งแล้วกระชับเริ่มควบขยับกลางลำตัวให้เกิดจังหวะเนิบนาบสร้างความเสียวซ่านได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งยามนี้ สตรีใต้ร่างเริ่มระทดระทวยอยู่ใต้ร่างของฟงชินหยางโดยกลางลำตัวถูกเขาครอบครองจนจมมิด นางทำได้เพียงแอ่นอกยกกายขยับสะโพกตามจังหวะรัญจวนที่เขามอบให้โดยกลั้นหายใจกลั้นเสียงครางเอาไว้อย่างสุดกำลัง “เบาๆ ประเดี๋ยวใครได้ยิน” นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวแต่ลมหายใจสั่นไหวรุนแรงตามจังหวะโย