พริบตาเดียว ขุนนางใหญ่กว่าครึ่งคุกเข่าขอร้องแทนองค์ชายห้า เกิดเป็นภาพสะเทือนขวัญเห็นภาพตรงหน้า ฉินอวิ๋นฟานหน้าครึ้มจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำ อิทธิพลขององค์ชายรองน่ากลัวดังคาด คิดจะฆ่าองค์ชายองค์หนึ่ง น่ากลัวว่าจะยากปานขึ้นสวรรค์เวลานี้ไท่ซั่งหวงลำบากใจแล้ว เหล่าขุนนางบีบคั้น ทำให้เขารู้สึกไร้กำลังอย่างหนัก ด้านหนึ่งคือกฎหมายและความยุติธรรม ด้านหนึ่งคือสายใยเลือดข้นกว่าน้ำและการขอร้องของพวกขุนนางหากเขายืนอยู่ฝั่งฉินอวิ๋นฟานก็จะหมายถึงเขาไม่คำนึงถึงสายใยครอบครัว เป็นคนอำมหิตไร้หัวใจถ้าเขาเปิดปากมอบทางสะดวกให้เจ้าห้า เช่นนั้นเท่ากับยอมรับอภิสิทธิ์และความเน่าเฟะโดยปริยาย ชีวิตของประชาชนก็คือชีวิตต่ำต้อย อยู่ต่อหน้าอำนาจราชวงศ์ไร้ซึ่งความหมายเห็นเสด็จปู่เงียบอยู่นาน ฉินอวิ๋นฟานรู้ว่าเขากำลังลำบากใจ สมกับที่เป็นเสด็จปู่ ยิ่งยืนอยู่ที่สูงยิ่งมองเห็นไกล การที่เขาไม่แสดงท่าทีเพียงพอกับฉินอวิ๋นฟานแล้ว“พวกเจ้าไม่ต้องขอร้องแล้ว ขอไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้เสด็จปู่รับปากพวกเจ้า วันนี้ข้าก็ยังต้องเอาชีวิตฉินอวิ๋นผู่ เง็กเซียนฮ่องเต้มาก็ไร้ความหมาย”สิ้นเสียงฉินอวิ๋นฟาน ทั้งงานตะลึงงัน ส
ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงสตรีวัยกลางคนในชุดผาวตัวยาวสีแดงเข้ม สวมกวานหงส์ผ้าคลุมไหล่หงส์ อายุอานามประมาณสี่สิบต้น ๆ เยื้องกรายมาพร้อมผู้ติดตามนางมีบรรยากาศรอบตัวน่าเกรงขาม ทุกอากัปกิริยาแผ่พลังที่อยู่สูงส่ง เผชิญกับฉินอวิ๋นฟาน ดวงตานางแฝงเจตนาดูถูก“คารวะเหอกุ้ยเฟย!”เห็นอีกฝ่ายมา ทุกคนโค้งคำนับทันที ส่วนฉินอวิ๋นฟานกลับไม่สะทกสะท้าน รู้สึกว่าอีกฝ่ายมาไม่ดีทันที!นางผยองมองผู้คน คุกเข่ากับไท่ซั่งหวงเดี๋ยวนั้น “ปี้อวี้ถวายบังคมเสด็จพ่อ!”การปรากฏตัวของเหอปี้อวี้ทำให้ไท่ซั่งหวงประหลาดใจ หากมิได้แสดงออกมา เพียงเอ่ยเรียบ “ลุกขึ้น!”“ปากเก่งนักนะ รัชทายาทผู้อวดเบ่งทระนง ยังไม่ทันได้เป็นฮ่องเต้ก็กล้าเข่นฆ่าพี่น้องแล้ว? ช่างทำให้ข้าเปิดหูเปิดตานัก”เหอกุ้ยเฟยหรี่ดวงตาทั้งสองมองมาทางฉินอวิ๋นฟาน ก่อนจะไต่ถามเสียงกร้าว“ท่านเป็นแค่นางสนมวังหลังเท่านั้น? กล้าสอดมือยุ่งเรื่องราชสำนัก? ใครให้สิทธิแก่ท่าน?”ความน่าเกรงขามของฉินอวิ๋นฟานดังเดิม แม้เขาจะรู้ว่าผู้ที่มาก็คือเหอกุ้ยเฟยมารดาขององค์ชายรองและองค์ชายห้า แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเมินเหมือนเดิม การวางก้ามนี้ของฉินอวิ๋นฟานไม่ยี่หระ กล
กับการยั่วยุของเหอกุ้ยเฟย ฉินอวิ๋นฟานสีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นปั้นยาก จากความทรงจำในอดีตชาติ เขารู้อยู่แล้วว่าป้ายอภัยโทษคือของน่ากลัวแค่ไหนพอเห็นมารดาล้วงป้ายอภัยโทษออกมา อารมณ์ตึงเครียดขององค์ชายรองผ่อนคลายลงเล็กน้อย ต่อให้ฉินอวิ๋นฟานใจกล้าอย่างไร ก็ไม่กล้าท้าทายกับป้ายอภัยโทษ การท้าทายป้ายอภัยโทษเท่ากับก่อกบฏ ประหารได้ทันที “คิดไม่ถึงจริง ๆ ฉินอวิ๋นฟานจะบีบถึงขั้นทำให้ตระกูลเหอใช้ป้ายอภัยโทษ วัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือแท้ ๆ เกรงว่าทั้งราชสำนักคงมีแต่เขาแล้ว”ฮั่วเจิ้นหลงจ้องป้ายคำสั่งในมือเหอกุ้ยเฟยแบบไม่อยากจะเชื่อ พร้อมกันนั้นก็นับถือวิธีการของฉินอวิ๋นฟานด้วย เขากระทั่งรู้สึกขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุว่าบนตัวฉินอวิ๋นฟานมีกลิ่นอย่างของจักรพรรดิ“น้องเจ็ดนี่คือรนหาที่ตาย บีบน้องรองกับตระกูลเหอขนาดนี้ ต่อไปได้ลำบากแล้ว”องค์ชายใหญ่พูดเสียดสีอยู่ด้านข้าง“นั่นก็ไม่แน่!”ฮั่วเจิ้นหลงแววตาลุ่มลึก ความหมายลึกซึ้งหลังจากพิจารณาพักหนึ่ง สุดท้ายฉินอวิ๋นฟานเลือกที่จะยอมถอย เขาที่รอบรู้ประวัติศาสตร์ย่อมไม่ทำความผิดระดับต่ำง่าย ๆ เช่นนี้ ถ้าเขายังกล้าดึงดันต่อไป องค์ชายรองต้องกล้าเรียกองครักษ์ฝ่า
ก่อนจากไป ฉินอวิ๋นผู่ใบหน้าเหี้ยมเกรียม คืนสภาพเดิมที่เคยเป็น เขาหัวเราะเสียงดังพูดว่า “ฉินอวิ๋นฟาน ภัยพิบัติครั้งนี้ก็คือคำสาปของสวรรค์ สวรรค์ลงโทษพวกเขา เจ้าแก้ไขไม่ได้หรอก รอดูต่อไปเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้ว ใบหน้าเหี้ยมของฉินอวิ๋นผู่ทำให้เขาตระหนักว่าเรื่องไม่ธรรมดา จู่ ๆ ในใจเกิดเงามืดชั้นหนึ่ง คำสาปหรือ? นี่ความหมายว่าอย่างไร?“น้องเจ็ด เงินเจ็ดสิบล้านตำลึงเงินอีกครึ่งชั่วยามข้าให้คนมาส่งตรงเวลา”องค์ชายรองกำหมัดพูดกับฉินอวิ๋นฟาน “ขอตัว!”แม้สุดท้ายฉินอวิ๋นฮุยจะมีมารยาทกับฉินอวิ๋นฟาน แต่ทุกคนดูออก องค์ชายรองโกรธแล้ว หลายปีขนาดนี้ เขาไม่เคยแพ้ยับเยินอย่างนี้มาก่อน“เจ็ด เจ็ดสิบล้านตำลึง จะให้ก็ให้ แถมองค์ชายรองยังตัดสินใจแบบง่าย ๆ ด้วย? สมกับที่มีตระกูลเหอสุดยอดภูมิหลัง ถึงจะเป็นคหบดีอันดับหนึ่งของต้าเฉียน น่ากลัวว่าพอฝืนเอาออกมาได้แค่ร้อยล้านเท่านั้น น่ากลัวจริง ๆ!”มองเงาหลังที่จากไปขององค์ชายรอง ทุกคนเดาะลิ้นในใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ รวยสุด ๆ“การแสดงออกของรัชทายาทต้าเฉียนทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ อย่าลืมสัญญาระหว่างเรา ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เจอท่านที่แควันเหม
ตรงประตูทิศใต้ของวังหลวงมีคนอยู่แน่นขนัด ครั้งมองไป ผู้ลี้ภัยที่รวมตัวกันมีมากถึงหลายพันคน“ใต้เท้า พวกเราไม่ได้กินข้าวสามวันแล้ว พวกท่านก็สงเคราะห์หน่อยเถอะ ให้ฝ่าบาทเปิดยุ้งฉางช่วยพวกเราผู้ลี้ภัยที่น่าสงสารพวกนี้หน่อยเถอะ!”“ใต้เท้า น้ำท่วมสองเดือน ไม่เห็นเงินบรรเทาภัยพิบัติของราชสำนักมาสักที คนในหมู่บ้านเราหิวตายไปกว่าครึ่งแล้ว ขอร้องละ ช่วงรายงานกับเบื้องบนหน่อยเถอะ ให้ทางรอดกับพวกเราด้วย”“การบรรเทาภัยพิบัติ ขุนนางทุจริตกินเงิน ยักยอกอาหารยังชีพ ไม่ให้ทางรอดกับพวกเราเลย พวกท่านเป็นขุนนางจะเห็นคนตายไม่ช่วยไม่ได้นะ!”......ยามนี้ประตูวังปิดสนิท นอกประตูมีทหารหลายร้อยนายถือโล่และดาบใหญ่อยู่ อยู่ในภาวะพร้อมรบตลอดเวลา บนกำลังแพงมีมือธนูหลายร้อยคนอยู่ในท่าพร้อมยิงสถานการณ์ล่อแหลมอย่างยิ่ง ผู้ประสบภัยกำลังจะเคลื่อนไหว ต่อหน้าความเป็นความตาย มีแต่ต้องสู้ตายเท่านั้น“ที่นี่คือวังหลวง คือสถานที่ซึ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของราชวงศ์ต้าเฉียน มิใช่ที่ที่พวกเจ้าจะกำแหงได้ ข้าขอเตือนให้พวกเจ้ารีบไปเสีย อย่าได้ก่อเรื่องอีก ไม่อย่างนั้นต้องรับผิดชอบกับผลลัพธ์เอง!”บนกำแพง หัวหน้าทหารนายหนึ่งใ
เซียวหยางถามอย่างเหลือเชื่อ“จริง ทุกคนโปรดเชื่อข้า”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยอย่างจริงจัง “ทุกคนโปรดเล่าเรื่องภัยพิบัติให้ข้าฟังหน่อย ข้าจะได้เข้าใจสถานการณ์ คิดกลยุทธ์รับมืออย่างเหมาะสม พยายามช่วยเหลือให้ได้มากขึ้นอย่างสุดความสามารถ”“รัชทายาทท่านไม่ทราบ สองเดือนแล้ว ขุนนางสามวันแจกข้าวต้มให้หนหนึ่ง คนละหนึ่งถ้วย แถมข้าวต้มเหลวจนเห็นก้น พวกเราหิวมากทนไม่ไหวจริง ๆ”“นั่นสิรัชทายาท ทั้งตำบลเราแร้นแค้นไปหมด ทุกที่ที่ผ่านศพกระดูกเกลื่อนไปหมด คนที่หิวตายมีมากถึงสามส่วน”“นี่ยังไม่ใช่ที่ร้ายแรงที่สุด บางคนเพื่อความอยู่รอด ถึงกับขายลูกกิน ทั้งหมดก็เพื่ออยู่ให้ถึงวันที่ราชสำนักมาช่วย น่าเสียดาย รอจนชั่วฟ้าดินสลาย กลับไม่เห็นเสบียงทางการมาถึง”.......ได้ฟังผู้ลี้ภัยบอกเล่าความทุกข์ กอปรกับเห็นร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก ใบหน้าเหลืองตอบของพวกเขา ฉินอวิ๋นฟานยากจะจินตนาการว่านั่นเป็นภาพอเนจอนาถเพียงใดเทียบกับปีหนึ่งเก้าสี่สอง ในยุคปัจจุบัน มันมีแต่มากกว่า น่าหวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง“ทุกคนลำบากแล้วนะ! ราชสำนักผิดต่อทุกคน!”ฉินอวิ๋นฟานค้อมตัวลงต่ำกับทุกคน กลั้นน้ำตาไม่ไหวอีก ภาพความหิวโหยทุกหย่อม
“เอ่อ รัชทายาท มันคือบทลงโทษจากสวรรค์ พวกเรากล้าจับมันที่ไหนล่ะขอรับ?”เซียวหยางตอบคำถามด้วยสีหน้าอีหลักอีเหลื่อพอได้ยินคำพูดที่เชื่องมงาย ฉินอวิ๋นฟานก็ปวดหัวตุบ เรื่องนี้สำคัญกับเขามาก แต่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรอ้างอิง จะปฏิเสธความเชื่อของพวกเขาก็ไม่ได้ ฉินอวิ๋นฟานจึงเอ่ยแบบกลุ้มใจเล็กน้อย “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”“เอ่อ คือว่า...”ก็ขณะที่ฉินอวิ๋นฟานกำลังจะตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางแผนว่าจะนำคนไปจับมาพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง ชายหนุ่มตัวผอมกะหร่องอายุประมาณยี่สิบก็พูดขึ้นมากะทันหัน “ถ้าตายแล้วล่ะขอรับ ได้หรือไม่?”“ตายแล้ว? ก็ต้องได้สิ ข้าแค่อยากยืนยันว่าเจ้ามังกรงูนี่มันคือตัวอะไรกันแน่”ฉินอวิ๋นฟานพูดขึ้นมาด้วยความดีใจทันทีครั้นสิ้นเสียง เห็นเพียงชายหนุ่มผอมกะหร่องพูดแบบหวั่น ๆ “ระหว่างทางอพยพ ไม่ทันระวังถูกมังกรงูกัดเข้าที่ขา แต่เพราะตกใจก็เลยเหยียบมันตาย ข้าน้อยกลัวจะถูกคำสาปก็เลยซ่อนมันไว้ในเป้ากางเกงตลอด ตอนนี้ใกล้จะแห้งแล้ว...”ครั้นฉินอวิ๋นฟานเห็นชายหนุ่มตัวผ่ายผอมล้วงปลาไหลแห้งออกมาก็หัวเราะเสียงดังทันที “ฮ่า ๆ ๆ ๆ สวรรค์ช่วยข้าแท้ ๆ สวรรค์ช่วยข้า นี่มันใช่การลงโทษจา
อู่จ้านเข้ามาปกป้องบังอยู่ด้านหน้าฉินอวิ๋นฟาน ใบหน้าขึงขัง ทหารชุดเกราะสีเงินก็ทำท่าป้องกันด้วย ผู้ลี้ภัยมีจำนวนมากนัก ควบคุมไม่ได้ หากรัชทายาทเกิดเรื่อง เกรงว่าเขาคงยากจะรอด“ทำอะไรน่ะ ๆ! ถอยไปให้หมด!”ฉินอวิ๋นฟานผลักอู่จ้านออกและอธิบาย “พวกเจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าบอกแล้วว่าวันนี้จะจัดการเรื่องปัญหาปากท้องของพวกเจ้าก็ต้องจัดการสิ ข้าใช้ตัวเองเป็นประกัน พวกเจ้าไม่ต้องกลัว”“เช่น เช่นนั้นความหมายของท่านคือ?”เซียวหยางผ่อนความระแวดระวังเล็กน้อยและเอ่ย“ความหมายของข้าคือ ถ้าพวกเจ้ามีพลังรวมจิตใจคนได้ จะรวมพลทุกคนได้หรือไม่ ไปจับเจ้าตัวมังกรงูที่ว่าให้ข้า ข้าจะจัดการปัญหาความอดอยากของพวกเจ้าทุกคน”ฉินอวิ๋นฟานอธิบาย“นี่...”ครั้นได้ยินรัชทายาทบอกว่าจะจับมังกรงู สีหน้าทุกคนก็กลายเป็นปั้นยากขึ้นมาทันที ทันใดนั้นมีคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น “รัชทายาท ในเมืองหลวงไม่มีมังกรงูนี่ ถึงพวกเราจะจับก็ต้องไปถึงเขตผู้ลี้ภัยนอกเมืองสี่สิบลี้ ที่นั่นมีเนินเขาเยอะ ถึงตอนนั้นก็ให้พวกเราไปหาให้ท่านที่นั่น ใช่หรือไม่?”ลูกไม้ที่พวกขุนนางชอบใช้กันมากที่สุดก็คือวิชาถ่วงเวลา หลอกล่อทุกคนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจก