อู่จ้านเข้ามาปกป้องบังอยู่ด้านหน้าฉินอวิ๋นฟาน ใบหน้าขึงขัง ทหารชุดเกราะสีเงินก็ทำท่าป้องกันด้วย ผู้ลี้ภัยมีจำนวนมากนัก ควบคุมไม่ได้ หากรัชทายาทเกิดเรื่อง เกรงว่าเขาคงยากจะรอด“ทำอะไรน่ะ ๆ! ถอยไปให้หมด!”ฉินอวิ๋นฟานผลักอู่จ้านออกและอธิบาย “พวกเจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าบอกแล้วว่าวันนี้จะจัดการเรื่องปัญหาปากท้องของพวกเจ้าก็ต้องจัดการสิ ข้าใช้ตัวเองเป็นประกัน พวกเจ้าไม่ต้องกลัว”“เช่น เช่นนั้นความหมายของท่านคือ?”เซียวหยางผ่อนความระแวดระวังเล็กน้อยและเอ่ย“ความหมายของข้าคือ ถ้าพวกเจ้ามีพลังรวมจิตใจคนได้ จะรวมพลทุกคนได้หรือไม่ ไปจับเจ้าตัวมังกรงูที่ว่าให้ข้า ข้าจะจัดการปัญหาความอดอยากของพวกเจ้าทุกคน”ฉินอวิ๋นฟานอธิบาย“นี่...”ครั้นได้ยินรัชทายาทบอกว่าจะจับมังกรงู สีหน้าทุกคนก็กลายเป็นปั้นยากขึ้นมาทันที ทันใดนั้นมีคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น “รัชทายาท ในเมืองหลวงไม่มีมังกรงูนี่ ถึงพวกเราจะจับก็ต้องไปถึงเขตผู้ลี้ภัยนอกเมืองสี่สิบลี้ ที่นั่นมีเนินเขาเยอะ ถึงตอนนั้นก็ให้พวกเราไปหาให้ท่านที่นั่น ใช่หรือไม่?”ลูกไม้ที่พวกขุนนางชอบใช้กันมากที่สุดก็คือวิชาถ่วงเวลา หลอกล่อทุกคนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจก
“หลิวเป้ย โปรดลุกขึ้นเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานรีบไปประคองหลิวเป้ยลุกขึ้น การแสดงออกของเขาในการประลองกำลัง ทำให้ฉินอวิ๋นฟานได้เปิดโลกทัศน์ ทั้งการพูดการจาและนิสัยใจคอของหลิวเป้ยในโลกคู่ขนานยังคล้ายกับหลิวเป้ยในประวัติศาสตร์อย่างน่าทึ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เดิมหลิวเป้ยก็มีภาพลักษณ์สุภาพชน ทั้งยังใจกว้างกับคน มีปณิธานยาวไกล มีปฏิภาณไหวพริบมากกลยุทธ์ คนเช่นนี้ ขอเพียงมอบโอกาสให้ เขาจะต้องพุ่งทะยานสู่ฟ้า คนเช่นนี้คู่ควรแก่การมอบหมายภารกิจยิ่งใหญ่ “การแสดงออกของรัชทายาทในลานฝึกยุทธ์ ข้าน้อยหลิวเป้ยเลื่อมใสยิ่งนัก เชื่อหมดใจว่ารัชทายาทจริงใจทำเพื่อประชาชนจริง ๆ”หลิวเป้ยกล่าวอย่างเคารพนบนอบถึงที่สุด “ข้าน้อยอยู่เมืองจัวพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ท่านต้องการอะไรโปรดกล่าวมาได้เลย พวกเราพี่น้องต้องสนับสนุนเต็มที่แน่นอน เรื่องผู้ลี้ภัยโปรดมอบให้เป็นหน้าที่ของข้าน้อย รับรองว่าข้าน้อยต้องเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้แน่ ให้ความร่วมมือแก้ไขเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติอย่างเต็มกำลัง”“พี่หลิว ถ้าพวกเราเชื่อรัชทายาทแล้วไป พวกเขาอาจจะคิดบัญชีย้อนหลังก็ได้ ถึงตอนนี้พี่น้องพวกเราเหล่านี้กระจัดกระจายไป น่ากลัวว่าผู้ลี้ภัย
“พวกเราพี่น้องจะไม่ทำให้รัชทายาทผิดหวังเด็ดขาด พวกเราจะไปทำตามที่ท่านต้องการเดี๋ยวนี้!”หลิวเป้ยไม่รู้ว่าทำไมฉินอวิ๋นฟานถึงจะทำอย่างนี้ และไม่รู้ว่าทำอย่างนี้มีผลรูปธรรมอะไรกับเรื่องภัยพิบัติ ฉินอวิ๋นฟานไม่ได้อธิบาย เขาก็ไม่ได้ถามมาก ยังคงเลือกที่จะเชื่ออย่างไม่ลังเลเห็นพวกหลิวเป้ยแบ่งกลุ่ม ฉินอวิ๋นฟานเรียกเฉินม่อมาแจงงานทันที “ให้รถม้าทั้งหมดในเมืองมารวมตัวกัน เตรียมกรงกับถุงที่จะใช้บรรจุปลาไหลกับหนีชิวให้มากหน่อย” “ขอรับ รัชทายาท!”เฉินม่อสั่งลูกน้องเดี๋ยวนั้น รีบปฏิบัติการโดยไว“พี่น้องทั้งหลาย ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว ข้ารู้ว่าทุกคนหิวมาก แต่ข้าได้แต่มอบขนมอบให้ทุกคนคนละหนึ่งชิ้นคลายหิว แน่นอน ใช่ว่าเสียดายไม่อยากให้ทุกคนอิ่มท้อง แต่เพื่อให้ทุกคนมีท้องว่างกินมื้อใหญ่ตอนกลางคืนต่างหาก”ฉินอวิ๋นฟานเปล่งเสียงดัง“ดี!”ครั้นได้ยินว่ากลางคืนจะมีมื้อใหญ่ ทุกคนต่างร้องไชโยกระโดดโลดเต้นกันขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น แม้จะเป็นขนมอบหนึ่งชิ้น หากเป็นอาหารอันโอชะสำหรับพวกเขายามนี้สีหน้ามู่หรงจิ่นเปลี่ยนเป็นปั้นยากแล้ว นางกระซิบ “รัชทายาท ท่านแน่ใจหรือว่าจะพาผู้ลี้ภัยเยอะแยะอย่างนี้ไปกินที
“เอ๊ะ ก็ตายแค่ไม่กี่คนเองมิใช่หรือ อย่างมากก็ชดเชยให้พวกเขาหน่อยก็พอ คนชั้นต่ำเท่านั้น ต้องจับผู่เอ๋อร์ขังคุกเลยหรือ?”ถูกน้องสามถามติด ๆ กัน เหอปี้อวี้ชักจะละอายขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ในใจนาง บุตรชายจึงเป็นอันดับหนึ่ง คนตายเท่าไรก็ไม่สำคัญเท่าเขา เขาได้รับความลำบากเพียงน้อยนิดนางก็ปวดใจแล้ว“เหอะ ไม่กี่คน?”เหอเหวินเย่าพูดอย่างอึดอัดใจอย่างยิ่ง “พี่รอง เพราะเป็นเรื่องพิเศษข้าจึงเจาะจงไปตรวจสอบ ท่านรู้หรือไม่ว่ามีคนต้องหิวตายเพราะน้ำท่วมเท่าไร? สามแสนคน สามเสนคนเต็ม ๆ นะ”ในตอนที่ประชาชนผู้ประสบเคราะห์ก่อจลาจล เหอเหวินเย่าตงิดถึงความผิดปกติ จึงส่งคนไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วน ไม่ตรวจสอบยังไม่รู้ พอตรวจสอบแล้วต้องตกใจ เหตุเพราะทุจริตโกงกิน ไม่ได้แจกจ่ายเสบียงช่วยเหลือ ทำให้ผู้ลี้ภัยหิวตายเป็นวงกว้างทันทีที่ได้ยินตัวเลขสามแสน หัวใจเขาสะท้านรุนแรง มิน่าชาวบ้านถึงได้ก่อจลาจล มิน่าฉินอวิ๋นฟานถึงต้องเอาชีวิตฉินอวิ๋นผู่ให้ได้ ไม่ว่าใครรู้ตัวเลขนี้แล้วก็คงรับไม่ได้เหมือนกันหากอดีตฮ่องเต้ยังอยู่ น่ากลัวว่าถึงพี่รองควักป้ายอภัยโทษออกมา ฉินอวิ๋นผู่ก็ต้องตายอยู่ดี!“อะไรนะ? หิวตายเย
คำพูดนี้ทำเอาเหอปี้อวี้หัวใจหล่นตุบ กระทั่งขนลุกซู่ทั้งร่าง มุมปากสั่นระริกอย่างไม่รู้ตัวดีที่นางไม่อาละวาดต่อ และอวิ๋นฮุยปรามพฤติกรรมของนางได้ทันกาล มิเช่นนั้นน่ากลัวว่าผลที่ตามมาจะหนักหนานัก“จุดประสงค์ของอวิ๋นฮุยมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือรักษาชีวิตของอวิ๋นผู๋ เขาต้องรับปากทุกเงื่อนไขอย่างไม่ลังเล ถือว่าให้เหลือพื้นที่ให้ตัวเอง อย่างนั้นก็ไม่ทำให้ไท่ซั่งหวงผิดหวังเกินไป”เหอเหวินเย่ามองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแต่แรก และรู้สึกเลื่อมใสวิธีการของฉินอวิ๋นฮุย เห็นสภาพการณ์ทันท่วงที ไม่โลภ ไม่ผลีผลาม รู้จักรุกรับ นี่จึงเป็นลักษณะขององค์ชายผู้ผ่านมาตรฐานพึงมี“อวิ๋นฮุย แม่ผิดไปแล้ว แม่ไม่ควรวู่วาม เกือบผลักเจ้าเข้าหลุมลึกพันจั้งแล้ว”เหอปี้อวี้ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องได้ในที่สุด ความหุนหันพลันแล่นของนางเกือบทำร้ายบุตรชายทั้งสอง“มิเป็นไรเสด็จแม่ ศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้ซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิดมาก ความโดดเด่นที่มาอย่างสายฟ้าแลบของฉินอวิ๋นฟานคือสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงแต่แรก ต่อไปพวกเราต้องวางแผนทีละขั้นตอนจึงจะดี”องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวตระกูลฮั่ว!“บัดซบ บ้าเอ๊ย ดัน
คำพูดเดียวของฉินอ้าวไขความกระจ่างให้กับฉินอวิ๋นกว่างและถังเจิ้นไห่ทันทีนั่นสิ ถึงแคว้นเหมียวจะไม่ใช่แคว้นที่ใหญ่โตอะไรนัก แต่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อุปทานให้ตัวเองได้ไม่มีปัญหา ทั้งยังมีสาวงามมากมาย ด้วยเงื่อนไขของพวกนาง จะเข้าร่วมกับแคว้นไหน ๆ ไม่ใช่ปัญหา ทำไมต้องเข้าร่วมกับต้าเฉียนที่อยู่อันดับรั้งท้ายด้วย?หรือจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่?มิน่าท่านอ๋องจึงให้พวกเขากบดานต่อ ฉลาดล้ำเลิศดังคาด!ไท่ซั่งหวงผู้ยืนยงอยู่ในวังหลวง!“เหล่าเฉา การประลองในวันนี้ เจ้ามีความเห็นยังไง?”ไท่ซั่งหวงนอนอาบแดดอยู่หน้าประตูตำหนักบรรทม เอ่ยขึ้นลอย ๆเฉาเจิ้งฉุนหัวเราะน้อย ๆ แล้วเอ่ย “ทรงอยากถามการแสดงออกของรัชทายาทในวันนี้กระมังพ่ะย่ะค่ะ?”“ฮ่า ๆ เจ้านี่ฉลาดนักนะ ดูออกว่าข้าอยากถามอะไร!”ไท่ซั่งหวงไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับหัวเราะชอบใจ“ทรงเกษมสำราญเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าพอพระทัยกับการแสดงออกของรัชทายาทมาก การแสดงออกของเขาในวันนี้เด่นล้ำจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”เฉาเจิ้งฉุนเอ่ย “อีกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาใช้มุมมองของประมุข ห่วงใยราษฎร แต่ยังด้อยประสบการณ์เล็กน้อย ด้อยทักษะของจักรพรรดิ ถูกองค์ชายองค์อื่นเล่นงานไ
“แล้วจะยังไง?”มู่หรงโหลวพูดขึ้นแบบหน้าหัวรั้น“ตอนนี้ข้าแค่ตบเจ้าสองที ถ้าเป็นองค์ชายองค์อื่น คงซ้อมเจ้าตายไปแล้ว ยังให้โอกาสเจ้าได้โอหังรึ?”ฉินอวิ๋นฟานสั่งสอน “รีบตามพ่อตาข้ามา ข้ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับเขา บอกว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชะตาในอนาคตของตระกูลมู่หรงพวกเจ้า”การสั่งสอนหนึ่งคำรบของฉินอวิ๋นฟานทำให้มู่หรงโหลวตกใจจริง ๆ ฉินอวิ๋นฟานในสมัยก่อนโง่งม ทำให้เขาขายหน้า ตอนนี้พอดูอีกฝ่ายอีกที ยังมีท่าทางโง่งมสักกิ่งก้อยที่ไหน?ท่าทีแข็งกร้าว แววตาเผด็จการ ทำให้จิตวิญญาณส่วนลึกของเขาถึงกับครั่นคร้าม?“ท่านพี่ ท่านรีบไปตามท่านพ่อเถอะ”มู่หรงจิ่นรีบเตือน“อ้อ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”เมื่อนั้นมู่หรงโหลวจึงได้สติรีบวิ่งออกไป ไม่นานชายอายุสี่สิบต้น ๆ ใบหน้าขึงขังก็เดินออกมาจากห้อง เหลือบมองฉินอวิ๋นฟานแวบหนึ่งจึงนั่งลงตรงตำแหน่งประธาน“รัชทายาทมาเยือนภัตตาคารต้าเฉียนกะทันหันเพราะมีเรื่องหารือกับข้างั้นรึ? ไม่ทราบมีเรื่องอันใด?”มู่หรงซื่อควานบิดามู่หรงจิ่นถามด้วยสีหน้าขึงขังฉินอวิ๋นฟานไม่ได้เข้าประเด็นเลย แต่เอ่ยปากพูดตรง ๆ ว่า “คืนนี้ข้าเตรียมจะเชิญผู้ลี้ภัยสองพันคนมากินข้าวที่ภัตต
กลิ่นสุราเข้มข้นทำให้มู่หรงซื่อควานยากจะมั่นใจในทันที ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการหมักสุราคนหนึ่ง เขาเริ่มสงสัยจมูกตัวเองแล้ว“ถูกต้อง ท่านพ่อตาลองชิมดูก่อน ดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มบาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจสามวันก่อน ตอนที่ฉินอวิ๋นฟานยิงลูกธนูมาที่ป้ายร้านภัตตาคารต้าเฉียน เขาได้คิดเค้าโครงธุรกิจในอนาคตแล้วการหมักสุราคือธุรกิจเสาหลักของตระกูลมู่หรง หลังจากกลับไป ฉินอวิ๋นฟานได้ศึกษาสุราในโลกนี้ประมาณหนึ่ง โดยรวมคือไม่มีอะไรแปลกใหม่นอกจากเหล้าขาวก็ยังเป็นเหล้าขาว แถมดีกรียังต่ำมาก ดูแล้วแค่สิบกว่าดีกรีเอง คนคอแข็งสามารถดื่มสิบแปดชามแล้วขึ้นเขาไปต่อสู้กับพยัคฆ์ร้ายได้สบาย ๆตามประสบการณ์ในสมัยใหม่ ฉินอวิ๋นฟานจึงจะเริ่มจับธุรกิจหมักสุราทันที ทั้งยังหมักจากธัญพืชทั้งหมด เอาออกมาหลังจากหมักสามวัน เหล้าขาวโฮมเมดง่าย ๆ ก็สำเร็จแล้วผลการประลองครั้งนี้อยู่ในความคาดคิดของฉินอวิ๋นฟาน ด้วยความเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบัน ต่อให้ชนะก็ไม่แน่ว่าจะขึ้นครองราชย์ได้ราบรื่นดังนั้นเขาจึงวางแผนรวยระยะยาวเอาไว้ ไม่ว่าเมื่อไร ไม่มีเงินทำอะไรก็ลำบาก ถึงเขาจะเป็นรัชทายาทของต้าเฉี