จางเต้าหลินพูดด้วยใบหน้าราบเรียบ “ในเมื่อพวกท่านพี่น้องต่างมีเป้าหมายเดียวกัน ข้าจะพูดได้หรือไม่ว่าที่ท่านทำก็เพื่อจะเอาชนะ จงใจผลักไสข่มรัชทายาท?!”ถูกจางเต้าหลินไต่ถามกะทันหัน สีหน้าองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองดำเป็นตับหมูฉับพลัน คำพูดนี้โต้กลับมาจนพวกเขาสองพี่น้องอ้าปากไม่ออกถ้าคำพูดนี้ออกมาจากปากของฉินอวิ๋นฟาน พวกเขายังพอแก้ต่างได้ แต่ออกมาจากปากของจางเต้าหลินกลับไม่เหมือนกันตอนนี้สายตาที่ฉินอวิ๋นฟานมองจางเต้าหลินเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ถึงเขาจะมีวิธีการแก้สถานการณ์ แต่สิ่งที่ต้องจ่ายกลับมีมูลค่าสูงมาก ถ้าพลาดพลั้งไปเพียงนิดเดียว จะต้องถูกใส่ความต่าง ๆ นานาและการปรากฏตัวของจางเต้าหลินสลายแผนร้ายนี้ไปโดยตรง“เอ่อ จางไท่เว่ย... ท่านกล่าวหนักไปแล้ว!”องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังเห็นดังนั้นจึงรีบอธิบาย “พวกเราแค่สันนิษฐานไปตามเนื้อผ้า มิได้ผลักไสเพื่อการชิงบัลลังก์เลย ความตั้งใจเดิมของเราล้วนเพื่อต้าเฉียน เพราะต้าเยียนมีกำลังแข็งแกร่งนัก น้องเจ็ดเอาชนะได้ง่าย ๆ อย่างนี้ พวกเราจำต้องระวัง”“สันนิษฐาน? ไม่จำเป็น!”จางเต้าหลินส่ายหน้าพูด “สำหรับเรื่องที่เอาชนะต้าเยียนได้ยิ่งง่าย! พวกท่านแค
แต่ไหนมาฉินอวิ๋นฮุยก็เป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนฉลาดล้ำลึกคนหนึ่ง การลดตัวร่วมมือกับองค์ชายใหญ่ก็ทำเพื่อผลประโยชน์เช่นกัน พร้อมกันนั้นก็เพื่อข่มฉินอวิ๋นฟานด้วย แต่เขายิ่งเข้าใจน้ำหนักและความหมายในคำพูดของจางเต้าหลินระยะนี้เขาพ่ายแพ้เนือง ๆ กับเรื่องนี้ เขารอบคอบขึ้นมาเยอะ สังเกตสถานการณ์ตลอดเวลา เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เขากลับลำอย่างเด็ดขาด อย่างไรเสีย จางเต้าหลินจะไม่ลงมือง่าย ๆ เมื่อลงมือก็คือต้องมีเบื้องหลัง!“น้องรอง นี่ นี่เจ้า...”ฉินอวิ๋นฮุยกลับลำกะทันหัน ทำเอาองค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังอึ้งไปเลย ทุกอย่างที่วางแผนไว้ดิบดีเมื่อก่อนหน้านี้กลับไปที่จุดเริ่มต้น เขาไม่รู้ว่าจะเล่นเกมหลังจากนี้อย่างไรแล้ว“พี่ใหญ่ ขอโทษด้วย”ฉินอวิ๋นฮุยทำหน้ารู้สึกผิด “ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยว่าน้องเจ็ดจะมีความคิดไม่บริสุทธิ์จริง แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาของเราเท่านั้น ในเมื่อทุกอย่างคือการพิจารณาเพื่ออนาคตของต้าเฉียน ข้าคิดว่าเราสมควรให้โอกาสน้องเจ็ดสักครั้ง สังเกตการณ์ระยะหนึ่ง”“อย่างไรน้องเจ็ดก็ไม่ทำงานตามครรลองเสมอ ถ้าเป็นอย่างที่จางไท่เว่ยกล่าวจริง ไม่แน่ว่าน้องเจ็ดอาจได้อู่โจวกลับคืนมา? นี
“ข้าน้อยเห็นด้วย! ถ้าปล่อยรัชทายาทไปเช่นนี้ นั่นมิใช่เป็นการประกาศต่อชาวโลกหรือว่ารัชทายาทต้าเฉียนเราก็คืออันธพาลบ้ากาม เสเพลอย่างยิ่ง ข่มเหงชายย่ำยีหญิงสาวกลางถนน? การกระทำเช่นนี้ต่ำทรามยิ่งนัก ต้องลงโทษให้หนัก!”......เมื่อทุกคนตระหนักถึงผลลัพธ์ร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของฉินอวิ๋นฟาน ก็พูดสาดเสียเทเสียต่อเขาทันที เพราะต้าเยียนแข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ พวกเขาเจอมากับตัวแล้วเมื่อหนึ่งปีก่อนถ้าราชวงศ์ต้าเยียนจะยกทัพมาบุกเพราะมีเหตุมาจากการกระทำของฉินอวิ๋นฟาน เช่นนั้นจะต้องลำบากแล้ว!กับวาจาของเหล่าขุนนาง ฉินอวิ๋นคังใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ท่ามกลางการกดดันอย่างหนักของทุกคน เขาก็อยากดูสิว่าฉินอวิ๋นฟานจะแก้ต่างให้ตัวเองยังไงปึก!!!ก็ขณะที่เหล่าขุนนางกำลังเอาเรื่องเป็นเสียงเดียว จู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็เดือดพลุ ขว้างกระบี่อาญาสิทธิ์ในมือปักลงกลางท้องพระโรงอย่างแรง การกระทำแบบกะทันหันของเขาทำให้พวกขุนนางตกใจผงะ รีบถอยหลังเนือง ๆ“โธ่เว้ย! ให้ตายเถอะ! ไอ้พวกสวะ!”ฉินอวิ๋นฟานตวาดกร้าวออกไปเสียงหนึ่ง เวลานี้เขาโมโหปรอทแตกแล้ว ไฟโทสะท่วมท้น ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ แผ่กลิ่นอายสังหารน
“การที่พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวงของต้าเฉียน!”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่สุด “ทั้งวันแม่งรู้แต่พิธีกงพิธีการ วัฒนธรรมโต๊ะเหล้า วัฒนธรรมส่งของขวัญ ลูบเคราประจบประแจง รวมตัวจับกลุ่ม ขุนนางปกป้องกันเอง แต่พอทำงานจริงกลับพยายามผลักให้พ้นตัว เบ่งบารมีหาผลประโยชน์ ไม่รู้จักรักษาหน้าตาจริง ๆ!”“เรื่องดี เรื่องแน่ของจริงพวกเจ้ากลับไม่แตะ ข้าแทบอยากสับพวกเจ้าไอ้สารเลวลูกเต่าฝูงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!”ถูกฉินอวิ๋นฟานด่าต่อหน้าทุกคน ทั้งยังลดค่าพวกเขาไม่มีชิ้นดี เหยียบย่ำติดดิน ราวกับโรคร้ายฝังเข้ากระดูก บรรดาขุนนางโมโหโกรธาจนหน้าแดงหูแดง อายจนยากจะอยู่เป็นคน ดีชั่วพวกเขาก็คือบุคคลมีอำนาจอยู่ยอดพีระมิดของต้าเฉียนการกระทำของฉินอวิ๋นฟานคือการเหยียดคุณลักษณะของพวกเขาอย่างร้ายแรงที่สุดแบบมิต้องสงสัยหยางเคอในฐานะที่เป็นรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวาและเป็นคนที่องค์ชายใหญ่ให้ท้าย เขาสมควรแสดงความสามารถในเวลานี้จึงจะถูก มิเช่นนั้นกลับไปต้องถูกองค์ชายใหญ่ตำหนิแน่เขาพูดติดอ่าง ใบหน้าหวาดกลัว “ทะ ทะ ท่านกำลังใส่ความเหล่าขุนนางอย่างร้ายแรงนะ พวกเราขยันขันแข็งทำงานมาตลอด เหตุใด
ฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามองทุกคนด้วยความเย็นชา“นี่...”พอทุกคนเห็นดังนั้นก็กลัวจนหัวหด สายตาที่มองฉินอวิ๋นฟานมีแต่ความประหวั่นพรั่นพรึง แม้แต่ลมก็ไม่กล้าผาย พวกเขารู้ความเด็ดขาดของฉินอวิ๋นฟานดียามนี้ไท่ซั่งหวงทรงประทับอยู่ด้วย ถึงพวกเขาจะมีองค์ชายใหญ่เป็นที่พึ่ง เกรงว่ายังต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยหลังจากทุกคนถูกฉินอวิ๋นฟานหยามเหยียดลบหลู่ถ้วนหน้าแล้ว ก็ถูกเขาข่มขวัญอีก องค์ชายใหญ่แค้นใจนักเขาพูดด้วยสายตาที่มีไฟโกรธ “น้องเจ็ด ขุนนางใหญ่พวกนี้ล้วนเป็นขุนนางสร้างผลงานของต้าเฉียนเรา เป็นเสาคานของบ้างเมืองที่เสด็จพ่อทรงเลือกด้วยองค์เอง ถูกเจ้าว่าจนไม่มีชิ้นดีเยี่ยงนี้ ทำจนหัวใจผู้คนระส่ำระสาย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?!”“ทำอะไร?”ฉินอวิ๋นฟานหรี่ดวงตาแล้วพูด “ต้าเฉียนจะล่มสลายอยู่รอมร่อ ท่านถามว่าข้าจะทำอะไร? ข้าล่วงเกินต้าเยียนก็ทำเอาท่านขี้หดตดหายขวัญหนีดีฝ่อ ท่านถามข้าว่าจะทำอะไร? หรือว่าท่านไม่รู้สึกถึงภัยเลยรึ?!”“ไอ้พวกขุนนางฉ้อฉนพวกนี้ ท่านบอกข้าว่าทั้งหมดนี้เพื่อต้าเฉียน? ต่อให้ไม่มีเรื่องที่ข้าล่วงเกินต้าเยียน พวกท่านก็ไม่กลัวต้าเยียนแล้ว? พี่ใหญ่! ท่านควักหัวใจเอามาถามดู ข้าลบห
“รัชทายาท เรื่องพวกนี้คือนโยบายบ้านเมืองที่ต้าเฉียนเรากำหนดไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้อยู่ ๆ ท่านก็เอามาพูดให้เป็นเรื่อง ความหมายว่ายังไงกันแน่? หรือว่าท่านคิดว่าระบบที่อดีตฮ่องเต้ทรงวางไว้ไม่ดีหรือ?!”ตอนนี้เอง จู่ ๆ ฮั่วเจิ้นหลงก็ก้าวออกมา เขาทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน ฉินอวิ๋นคังมิใช่คู่ปรับเลยสักนิด แทบจะเป็นมวยคนละชั้น ถูกโจมตีแบบลดมิติขืนสู้กันแบบนี้ต่อไป น่ากลัวว่าฉินอวิ๋นคังต้องถูกฉินอวิ๋นฟานขยี้เละไม่เหลือซากแน่!การแสดงท่าทีอย่างกะทันหันของฮั่วเจิ้นหลงทำให้ฉินอวิ๋นฟานประหลาดใจนิด ๆ ไม่นานก็สงบสติลง ชัดเจน ฮั่วเจิ้นหลงวางหลุมพรางเอาไว้ให้เขา โบ้ยจุดบกพร่องของต้าเฉียนในเวลานี้ว่าเป็นนโยบายบ้านเมืองที่อดีตฮ่องเต้กำหนดเช่นนั้นข้อสงสัยที่เขาพูดมาทั้งหมด ก็คือการปฏิเสธอำนาจของอดีตฮ่องเต้ เรื่องนี้ไม่ธรรมดา พูดให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือการท้าทายอำนาจสูงสุดแห่งราชวงศ์ เมินความน่าเกรงขามของอดีตฮ่องเต้เขาหรือจะพลาดเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้? เพียงแต่เขาจำต้องยอมรับลูกไม้และความฉลาดของฮั่วเจิ้นหลง“แม่ทัพผู้เฒ่าฮั่วอย่าโยนบาปให้ข้าเลย บาปนี้ข้ารับไว้ไม่ไหวหรอก!”ฉินอวิ๋
ฉินอวิ๋นฟานถามต่อ“ดูจากสถานการณ์ที่ขุนนางท้องที่รายงานมา เมืองจัวเหมือนว่าไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนั้น ขอเพียงมีภัยพิบัติ ราชสำนักก็จะจ่ายเงินลงไป ส่วนภาษีรายหัวของประชาชน ถ้าไม่รุนแรงก็จะไม่ใช้นโยบายลดภาษี ถ้าหนักหนาสาหัส ปกติแล้วจะลดกึ่งหนึ่ง!”ไท่ซั่งหวงถามอย่างฉงนสงสัย “ฟานเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงให้ความสนใจกับเรื่องนี้นัก?”ยามนี้ บรรดาขุนนางในราชสำนักต่างทำหน้าสงสัย ฉินอวิ๋นฟานรับช่วงต่อเรื่องบรรเทาภัยพิบัติแล้ว ทำไมจู่ ๆ เขาถึงสนใจเรื่องการเก็บภาษีเช่นนี้เล่า? หรือว่าเขาจะยื่นมือเข้ากรมคลังก็ขณะที่บรรดาขุนนางกำลังงุนงงและกังวลใจอยู่ จู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็โยนระเบิดใหญ่ออกมาในชนิดที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัวเห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากกะทันหัน “ทูลเสด็จปู่ ตามที่หม่อมฉันศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนต้าเฉียน พบว่าชาวบ้านอยู่กันอย่างแร้นแค้นมากพ่ะย่ะค่ะ ภาษีรายหัวสูงเกินไป ทำให้พวกเขาลำบากยากจะเอ่ย”“ยามนี้สถานการณ์ระส่ำระสาย หากเกิดความขัดแย้งสงครามจะปะทุทันที ประชาชนต้าเฉียนอยู่อย่างลำบากนัก นี่มิใช่เรื่องดี ทันทีที่สงครามปะทุ เกรงว่าต้าเฉียนจะปราชัยพังพินาศอย่างรวดเร็ว!”“น้องเจ็ด จะพ
“เอ่อ...”จู่ ๆ ก็ถูกไท่ซั่งหวงตวาด ฉินอวิ๋นคังอึ้งกิมกี่ อยากจะพูดแต่จำต้องหุบปากเสีย ฮั่วเจิ้นหลงที่อยู่ด้านข้างก็ประหลาดใจมาก เหมือนกัน ไท่ซั่งหวงที่ปกติจะแค่ดู ฟังและพูดน้อยกลับให้ความสำคัญกับคำพูดนี้ของฉินอวิ๋นฟานเพียงนี้? นี่มันยังไงกันเนี่ย?!ยามนี้องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยขมวดคิ้วแน่น ปฏิกิริยาของเสด็จปู่ผิดปกติ ทำให้หัวใจของเขารัดแน่นอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะท่าทีของไท่ซั่งหวงตัดสินผู้จะได้เป็นฮ่องเต้คนใหม่ หรือเขาจะแอบช่วยฉินอวิ๋นฟานอยู่ลับ ๆ จริง? ไม่น่านี่!ได้รับการผงกศีรษะของไท่ซั่งหวง ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยอย่างจริงจัง “เสด็จปู่ คนของเรามาจากชั้นรากหญ้าเป็นส่วนมาก พวกเขาเข้าใจความทุกข์ยากของประชาชนที่สุด ยิ่งรู้สภาพการดำรงชีวิตของพวกเขา ที่หม่อมฉันพูดไปเมื่อครู่มิได้พูดข่มขวัญ แต่มันคือเรื่องจริง! สถานการณ์ของต้าเฉียนในยามนี้น่ากลัวว่าจะร้ายแรงกว่าที่พวกเราคิด!”ฉินอวิ๋นฟานที่มาจากยุคปัจจุบันรู้ประวัติศาสตร์ของในประเทศ นอกประเทศ โบราณ ปัจจุบัน รวมถึงสภาพการดำรงชีวิตของชาวบ้านดี กอปรกับเรื่องของเมืองจัว เขาได้ศึกษาตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านคร่าว ๆ แล้ว ไม่ตรวจสอบยังไม่รู้ พอ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ