สถานที่ที่หลี่เฉินพาถานไถจิ้งจือมาดูก็ไม่ใช่ที่ไหน มันคือราชบัณฑิตยสถานในอนาคตเมื่อตามหลี่เฉินลงมาจากรถม้า และมองไปยังสถานที่ก่อสร้างที่พลุกพล่านตรงหน้า สีหน้าของถานไถจิ้งจือก็ดูประหลาดใจขึ้นมา“ที่นี่คือราชบัณฑิตยสถานในอนาคต”หลี่เฉินมองสถานที่ก่อสร้างตรงหน้าด้วยความพอใจแล้วพูดว่า “พื้นที่นี้มีขนาด 130 หมู่ ทั้งสถาบันแบ่งออกเป็นพื้นที่เรียน พื้นที่นั่งเล่น และพื้นที่พักผ่อน ไม่เพียงแต่จะมีอาคารไว้อ่านหนังสือและเรียนเท่านั้น แต่ยังมีห้องทำงานให้เหล่าอาจารย์อีกด้วย นอกจากนี้นักเรียนทุกคน อาจารย์ทุกท่าน ต่างมีที่พักแยกต่างหาก” “พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจมีหินจำลอง สวนดอกไม้ และมีการขุดสระเป็นแม่น้ำเล็กๆ”“ข้ายังสงวนแผงขายของไว้มากมาย ในอนาคต สถานที่แห่งนี้สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยและทำงานได้หลายหมื่นคน เนื่องจากมีผู้คนเป็นจำนวนมาก ย่อมมีการค้าข้ายเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นจึงต้องมีร้านอาหารและโรงน้ำชาสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ”“เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จตามพิมพ์เขียวที่ข้าออกแบบแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็สามารถขยายไปสู่เขตเมืองหลวงได้”เมื่อหันไปมองถานไถจิ้งจือ หลี่เฉินก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “และ
“แท้จริงแล้วในใต้หล้านี้ ผู้ที่อยากเห็นประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขมากที่สุด ก็คือราชวงศ์”หลี่เฉินประคองถานไถจิ้งจือขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างลึกล้ำว่า “หากผู้คนไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ ประเทศก็จะไม่มั่นคง เมื่อประเทศไม่มั่นคงจนถึงจุดหนึ่ง ก็จะเกิดความไม่สงบขึ้นมา หากก้าวไปเกินกว่าจุดนั้น ก็จะเกิดการล่มสลายขึ้น เมื่อประเทศล่มลาย เหล่าท่านอ๋องและขุนนางในราชสำนัก ก็ยังคงมีโอกาสที่จะอยู่รอดและยังคงเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งในราชวงศ์ใหม่ได้ แต่สำหรับราชวงศ์นั้น กลับถูกกำหนดให้ต้องตาย”“ดังนั้นเรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับรากฐานของประเทศ และเป็นเรื่องสำหรับคนรุ่นหลัง ข้ามิกล้าประมาทหรือเลินเล่อได้”ถานไถจิ้งจือเห็นด้วยอย่างยิ่ง เขามองไปยังพื้นที่ก่อสร้างขนาดใหญ่แล้วถามว่า “ฝ่าบาท สถาบันขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ ตามคำอธิบายของฝ่าบาทแล้ว เกรงว่าอาจจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก?”“ถูกต้อง”หลี่เฉินไม่ได้ปิดบังอะไร เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ตามงบประมาณของกรมโยธาธิการ และการตรวจสอบจากกรมครัวเรือน หากราชบัณฑิตแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันตามข้อกำหนดของข้า จะมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อยแปดล้านตำลึง”เมื่อได
ถานไถจิ้งจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างลังเลว่า “แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงงานหนัก แต่จะมีกี่คนในใต้หล้านี้ที่มีดวงตาที่ชัดเจนได้? ท้ายที่สุดแล้ว กระหม่อมเกรงว่าฝ่าบาทจะต้องทนแบกรับความอับอายมากมาย”หลี่เฉินเลิกคิ้วและพูดว่า “ตลอดทุกยุคสมัย มีคนโง่ คนฉลาด คนปัญญาอ่อน และคนไร้ความรู้สึก คนทุกประเภทล้วนเป็นเหมือนปลาคาร์ปในแม่น้ำ เหมือนกรวดในคงคา พวกเขามีมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงคนสองประเภทเท่านั้นที่ไม่ได้รวมอยู่ในนั้น เจ้ารู้ไหมว่าเป็นคนประเภทใด?”ถานไถจิ้งจือครุ่นคิด จากนั้นก็ประสานมือกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดแถลงไข” “ผู้เป็นอมตะและมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ”หลี่เฉินพูดเสียงเรียบว่า “ทุกคนจะต้องตายในที่สุด ชีวิตอาจจะหนักเท่าขุนเขาหรือเบาดุจขนนก แต่ไม่มีใครในใต้หล้าที่เป็นอมตะ”“ใต้หล้านี้ ก็ไม่มีคนที่สมบูรณ์แบบ”“จะน้ำผึ้งหรือสารหนู ความคิดเห็นของแต่ละคนต่างก็แตกต่างกัน แม้จะเป็นบุคคลหรือสิ่งของเดียวกัน แต่คนมองก็ก็มีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น มีใครบ้างที่สามารถทำให้ทุกคนในใต้หล้าชื่นชอบหรือชื่นชมได้?”“ชื่อเสียงฉาวโฉ่แล้วอย่างไร ตั้งแต่สมัยโบราณ นักปราชญ์และกษัตริย์ผู้ชาญฉลาดก็ถูกบ
เมื่อได้ยินเสียงโมโหของจ้าวหรุ่ย หลี่เฉินที่กำลังจะก้าวเข้าไปทางประตู ก็ก้าวถอยหลังออกมา เขาโบกมือเรียกนางกำนัลที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นให้เข้ามา หลี่เฉินจำได้ลางๆ ว่า นางกำนัลคนนี้น่าจะชื่อเสี่ยวเหลียน และเป็นนางกำนัลข้างกายของจ้าวหรุ่ย“เกิดอะไรขึ้นข้างใน?” หลี่เฉินถามเห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเหลียนรู้สึกกังวลมาก จึงพูดติดอ่างอยู่นานกว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้“ทูลองค์รัชทายาท นางสนมได้เตรียมยาบำรุงพระวรกายไว้ล่วงหน้า เพื่อถวายองค์รัชทายาทด้วยตนเอง แต่องค์รัชทายาทเสด็จออกไปข้างนอก นางสนมก็สังเกตเห็นสตรีผู้นั้นในพระที่นั่งสีเจิ้ง จึงถามคำถามสองสามข้อ แต่สตรีผู้นั้นไม่เพียงแต่เพิกเฉยต่อนางสนมเท่านั้น แต่ยังใส่ร้ายนางสนมว่ายาบำรุงนั้นไม่ดีสำหรับองค์รัชทายาท”“ดังนั้นนางสนมจึงพิโรธมาก และไม่ว่านางสนมจะพูดอะไร สตรีผู้นั้นก็ไม่สนใจ...”หลี่เฉินได้ฟังก็พลันขมวดคิ้วเยี่ยมมาก เข้ากับบุคลิกของผู้หญิงสองคนนี้เป็นอย่างดี“ข้ารู้แล้ว ออกไปเถอะ”หลี่เฉินปล่อยเสี่ยวเหลียนที่เกือบจะหายใจไม่ออกด้วยความกระวนกระวายใจ และยกขาขึ้นเข้าไปข้างในทันทีที่เห็นหลี่เฉิน จ้าวหรุ่ยที่กำลังโกรธเคืองก็แสดงสีหน้าคับ
“บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่”หลี่เฉินพูดอย่างสบายๆ “เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว ข้าให้อะไรนางไม่ได้มาก แต่นางมีความตั้งใจที่ดี จึงไม่ควรปล่อยให้นางรู้สึกผิดหวัง”หลังจากพูดอย่างนั้น หลี่เฉินก็เหลือบมองกงฮุยอวี่ และพูดต่อว่า “ในทางกลับกัน เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?”กงฮุยอวี่พูดเสียงเรียบว่า “แค่ไม่อยากให้เจ้าดื่มน้ำแกงที่ไม่มีผลในการบำรุงใดๆ และอายุเช่นเจ้า ไม่จำเป็นต้องบำรุงให้มาก มิฉะนั้นจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ง่าย”หลี่เฉินยิ้มเล็กน้อย และไม่ต่อบทสนทนานี้“ ในมือเจ้า ส่งมาให้ข้า”กงฮุยอวี่ผู้ซึ่งสุขุมเยือกเย็น ไร้ซึ่งอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ราวกับมิใช่ปุถุชนธรรมดา กลับขมวดคิ้วกับประโยคนี้“ข้าสัญญากับคนอื่นว่าจะมอบหนังสือชุดนี้ให้เขา และตอนนี้ก็กำลังถูกกดดันอย่างหนัก ทำได้เพียงมอบให้เขาก่อนเท่านั้น”เมื่อปฏิกิริยาของกงฮุยอวี่ หลี่เฉินจึงอธิบายกงฮุยอวี่ได้ยินดังนั้น จึงจำใจวางหนังสือลง แต่สายตาของนางยังคงยึดติดกับหนังสือเล่มนั้นด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจหลี่เฉินเรียกองครักษ์เสื้อแพรเข้ามาคนหนึ่ง และสั่งให้เขาส่งบทคัดย่อแห่งความภักดีไปให้ถานไถจิ้งจือในขณะที่องครักษ์เสื้
หลังจากการพูดคุยสัพเพเหระผ่านพ้นไป หลี่เฉินก็เข้าสู่หัวข้อแรกของการประชุมราชการเช้าของวันนี้“ทุกคนคงทราบข่าวดีจากแนวหน้าเมื่อวานนี้แล้ว ซูผิงเป่ยนำทัพเข้าปราบกองทัพตงอิ๋ง ไม่เพียงแต่จะสังหารผู้คนนับหมื่น แต่ยังจับกุมนักโทษได้นับไม่ถ้วน และยังจับกุมจอมทัพของตงอิ๋ง เคียวจิโระ คุซานางิทั้งเป็นด้วย เท่านี้เราก็สรุปได้ว่า สงครามในเสียนเฉานั้น พวกเราต้าฉินเป็นฝ่ายชนะ ไม่เพียงชนะเท่านั้น แต่ยังเป็นชัยชนะที่สวยงามอีกด้วย!”กล่าวถึงตรงนี้ หลี่เฉินก็กวาดตามองเหล่าขุนนางในพระที่นั่งไท่เหอซึ่งส่วนใหญ่ยืนกรานต่อต้านการส่งกองทัพออกไปคนเหล่านั้นต่างสบตากันและกัน และมิกล้าสบตากับหลี่เฉินหลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าบางคนไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ และรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะได้รับชัยชนะ แต่โดยผิวเผินแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ต่อต้าฉิน ในทางตรงข้าม ต้าฉินของพวกเรากลับได้รับความสูญเสียไปไม่น้อย”“สำหรับคนเช่นนี้ ข้าคงพูดได้คำเดียวว่าถอดหมวกกับเครื่องแบบราชการออกโดยเร็วที่สุด แล้วกลับบ้านไปทำนาซะ ข้าจะให้ที่ดินอุดมสมบูรณ์แก่พวกเจ้าหลายหมู่ เพื่อให้พวกเจ้าได้ทำนาอย่างสบายๆ”
เวลานี้ แม้แต่หวังเถิงฮ่วนที่เหลือหูแค่ข้างเดียง ก็ยังได้ยินความขุ่นเคืองในคำพูดอันสงบนิ่งของหลี่เฉินเสียงเจี๊ยวจ๊าวในพระที่นั่งไท่เหอในตอนแรกก็พลันเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาอีก มีเพียงหวังเถิงฮ่วนเท่านั้นที่เงยหน้ามองหลี่เฉินแล้วกล่าวเสียงดังว่า “หรือฝ่าบาทคิดว่ากระหม่อมพูดผิด?”“พูด? เจ้าพูดอะไร?”ทันใดนั้นเสียงของหลี่เฉินก็สูงขึ้น เขาตวาดอย่างโมโหว่า “ที่ข้าได้ยินเมื่อครู่ก็แค่ตาแก่ผายลมเท่านั้น!”ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา ทุกคนในพระที่นั่งไท่เหอต่างก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจพระที่นั่งไท่เหอเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิและขุนนางหารือเกี่ยวกับราชกิจ ตั้งแต่สมัยโบราณ มันไม่เคยเป็นสถานที่ที่กลมกลืนกันอยู่แล้ว การโต้เถียงและทะเลาะวิวาทจึงเป็นเรื่องที่ปกติแม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังโกรธจัดจนสะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไป หรือขุนนางที่ถูกตำหนิแล้วขู่จะเอาหัวโขกเสาก็มี เรียกได้ว่าละครที่คนยอมตายเพื่อแสดงถึงปณิธานนั้นเกิดขึ้นนับไม่ถ้วนแต่ตลอดทุกยุคทุกสมัยนั้น ไม่มีใครพูดภาษาหยาบคายเช่นนี้ในพระที่นั่งไท่เหอท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนต่างก็เป็นคนที่มีวัฒนธรรม และยังเป็นคนชนชั้นสูงของประเ
“เป็นเรื่องจริงที่ตงอิ๋งเป็นประเทศเล็กๆ และเต็มไปด้วยพวกป่าเถื่อน!”“แต่ด้วยเหตุนี้เอง ชาวตงอิ๋งจึงเป็นพวกมืดมน จิตใจคับแคบ และมีความคิดที่บิดเบือน!”“หวังเถิงฮ่วน เจ้าเข้ารับราชการเป็นขุนนางมาหลายสิบปี ทุกๆ ปี มีชาวประมงและผู้คนบนชายฝั่งของต้าฉินเรา ถูกรุกรานโดนชาวตงอิ๋ง พวกเขาเผา สังหาร และปล้นสะดมชาวต้าฉินของเรา โศกนาฏกรรมและเอกสารคดีต่างๆ กองพะเนินเทินทึก หวังเถิงฮ่วน เจ้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจ กลับไม่มีคิดจะเหลียวมองดูสักหน่อยเลยหรือ!?”“ชาวตงอิ๋งเหล่านี้จับประชาชนต้าฉินของพวกเรา ตัดหัวผู้ชาย ส่วนผู้หญิงเว้นแต่จะอายุน้อยกว่า 7-8 ปี หรืออายุมากกว่า 60-70 ปี ล้วนถูกข่มขืนโดยสัตว์ร้ายเหล่านี้”“การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ถูกพบเห็นบ่อยที่สุด ส่วนแย่กว่านั้น ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะพูดเรื่องพวกนั้นออกมาได้!”หลี่เฉินชี้นิ้วไปทางหวังเถิงฮ่วนซึ่งนอนหน้าซีดอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด แล้วก่นด่าเสียงดังว่า “นี่คือคนที่เจ้าอยากจะอวดความมีน้ำใจของต้าฉินเรางั้นหรือ?” “นักปราชญ์กล่าวว่า: จงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพ และตอบแทนผู้อื่นด้วยความมีน้ำใจ” “แต่คำกล่าวเหล่านั
ความเงียบภายในพระที่นั่ง ไม่ใช่เพราะไม่มีสิ่งใดจะพูดแต่เป็นเพราะทุกคนกำลังรอให้หลี่เฉินปริปากในความเงียบงันนี้ เป็นเหมือนการสะสมพลังเพื่อความขัดแย้งที่ใหญ่ยิ่งกว่าในภายหลังความขัดแย้งนี้ แม้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล แต่ก็มาพร้อมกับความไม่คาดคิดทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วและกะทันหันเกินไปพูดตามตรง มันเกินความคาดหมายของหลี่เฉินไปบ้างเขารู้ว่าจ้าวเสวียนจีต้องลงมือทำบางอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเลือกจะสกัดจับจดหมายของเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ส่งไปยังแคว้นเหลียว หลี่เฉินรู้ทันทีว่า คนเฒ่าผู้นี้เริ่มหมดความอดทนแล้วแต่เพราะความสัมพันธ์อันเข้าใจกันระหว่างเขากับจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินประมาทความสามารถของจ้าวเสวียนจีไปบ้างแต่ตอนนี้ ท่อนไม้ขนาดใหญ่นี้ได้ฟาดหัวของหลี่เฉินจนสติกลับมาถ้าเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้เดินทางข้ามเวลาที่มีความรู้จากประวัติศาสตร์หลายพันปี จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ จ้าวเสวียนจีที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ คงกลืนกินเขาจนไม่เหลือแม้เศษซากแล้วในยุคสมัยศักดินา คนที่สามารถเดินเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจได้ ย่อมไม่มีใครธรรมดาแน่นอนเหตุการณ์ขุนนางกดดันเจ้าเหนือหัวนั้น ถือเป็นเ
จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เสนาบดีซั่งกวนก็แค่ทำหน้าที่ของตน หากองค์ชายทรงมีความโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ขุนนางในวังทั้งหมด จะมีใครกล้ารายงานสิ่งใดได้?""ยิ่งไปกว่านั้น ซั่งกวนเจาในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการ ย่อมมีอำนาจในการตรวจสอบการทหาร หากเขาพบสิ่งที่ผิดปกติ ก็ย่อมควรทำการสอบสวน แม้ว่าในท้ายที่สุดจะเป็นการเข้าใจผิด ก็สามารถอธิบายได้ และยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าแม่ทัพซูผิงเป่ยเป็นผู้ที่เปิดเผยและไร้ซึ่งความคดโกง องค์ชายจะทรงทำถึงเช่นนี้เพื่ออะไร?"การเผชิญหน้าครั้งนี้ เปลี่ยนจากการที่ซูผิงเป่ยและซั่งกวนเจาเถียงกันไปเป็นการเผชิญหน้าระหว่างหลี่เฉินและจ้าวเสวียนจีแทนทุกคนในพระที่นั่งต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตึงเครียดและดุเดือดโดยปกติแล้ว องค์รัชทายาทและผู้อาวุโสจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็จะพูดจาครึ่งๆ กลางๆ และถอยกันไปคนละก้าว เพื่อรักษาความสงบในวังแต่วันนี้ ดูเหมือนทุกอย่างจะแตกต่างออกไปทั้งสองฝ่ายที่ดูเหมือนจะโต้แย้งกันเรื่องชีวิตของซั่งกวนเจา กลับกลายเป็นการปะทะกันครั้งแรกระหว่างสองกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าฉินเมื่อทุกคนตระหนักถึงเรื่องนี้ พวกเขาจึงย
หากปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป องค์รัชทายาทย่อมมีเหตุผลที่จะเอาผิดตนตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้า เพียงแค่ข้อหาดูหมิ่นวีรบุรุษ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาต้องรับโทษหนักแล้วและองค์รัชทายาทที่จับจุดอ่อนไว้ได้ ย่อมไม่มีทางปล่อยตนไปแน่นอนด้วยความหวาดกลัว ซั่งกวนเจาจึงตัดสินใจสู้กลับ เขาตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ความจริงก็คือความจริง ท่านยอมรับเองว่าทำผิดพลาด เช่นนั้นท่านก็ควรรับผิดชอบ”ซูผิงเป่ยหัวเราะเยาะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเสนาบดีซั่งกวนหมายถึงความจริงใด แต่ในสายตาของข้า ความจริงก็คือ...มีคนในแคว้นของเราสมคบกับแคว้นอื่นและขายข่าวกรองของกองทัพเราให้แก่ตงอิ๋ง!”“เรื่องนี้ ข้ามีหลักฐานเป็นคำสารภาพที่เขียนด้วยลายมือของคุโซะจิกิโยทาโร่ ผู้ที่ข้าจับตัวมาได้ก่อนหน้านี้ เขายอมรับว่า มีคนส่งข่าวกรองของกองทัพเราให้เขา จนเขาสามารถจัดการรับมือได้”ดวงตาของซูผิงเป่ยเปล่งประกายดุจสายฟ้าฟาด กวาดมองไปรอบพระที่นั่ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “และคนผู้นั้น อาจจะอยู่ในพระที่นั่งนี้ด้วย!”คำพูดที่ไม่คาดคิดนี้เปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้ทุกคนแตกตื่นในพระที่นั่งไท่เหอ ขุนนางส่วนใหญ่
ร่างกายช่วงบนที่เต็มไปด้วยบาดแผลเป็นไขว้กันไปมา สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็นอย่าว่าแต่บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นเลย แม้แต่ขุนนางฝ่ายบู๊เองก็ยังอดชื่นชมซูผิงเป่ยไม่ได้บาดแผลเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศซูผิงเป่ยมองไปยังซั่งกวนเจา พลางกล่าวว่า “ตั้งแต่ข้านำกองทัพออกจากเมืองหลวง จนถึงวันที่กลับมา การเข้าสู่เสียนเฉาเพื่อทำสงครามกับตงอิ๋ง ใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งร้อยหกวัน”“ในหนึ่งร้อยหกวันนี้ กองทัพของข้าเข้าปะทะกับกองทัพตงอิ๋งที่มีขนาดเกินพันคน ทั้งใหญ่และเล็ก รวมทั้งหมดสามร้อยยี่สิบห้าครั้ง เฉลี่ยแล้วมากกว่าสามครั้งต่อวัน และศึกระดับกองทัพที่มีกำลังพลมากกว่าหมื่นคนเกิดขึ้นสามสิบสี่ครั้ง ในจำนวนนี้ ข้าลงไปร่วมศึกเองยี่สิบแปดครั้ง”“จากยี่สิบแปดศึก ข้าได้รับบาดเจ็บหกครั้ง ข้าราชบริพารประจำตัวที่ข้านำออกไปด้วยมีทั้งหมดสี่สิบคน กลับมาครบสี่สิบคน แต่ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทุกคน เพราะเมื่อคนเก่าตายในสนามรบ คนใหม่ก็ต้องถูกส่งมาแทน บางคนถึงกับถูกเปลี่ยนหลายรอบ”“ข้าไม่กล้าพูดว่าตนเองกล้าหาญไร้เทียมทาน แต่ข้าทำทุกอย่างสุดกำลังแล้ว”“สำหรับศึกที่ทุ่งราบฟู่หู่ซานที่ท่านพูดถึงนั้น ข้าไ
คำถามนี้ทำให้สีหน้าของซูผิงเป่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ซูเจิ้นถิง ผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้ว ดวงตาสะท้อนความเคร่งเครียดออกมาหากจะพูดกันตามตรง การบัญชาการศึกตลอดทั้งแผนการของซูผิงเป่ยนั้นถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ที่เพิ่งได้รับมอบหมายให้คุมศึกขนาดกลางครั้งแรกก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วแต่ในสนามรบ ไม่มีใครไร้ข้อผิดพลาด และซูผิงเป่ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่ที่การรบในทุ่งราบภูเขาฝูหู่ ก่อนศึกใหญ่กับตงอิ๋งเพื่อยุติสงครามให้รวดเร็ว ซูผิงเป่ยเลือกเปิดศึกตัดสินโดยพลการซึ่งส่งผลให้กลยุทธ์ของเราถูกฝ่ายตงอิ๋งจับไต๋ได้ และใช้แผนลวงตอบโต้กลับจนกองทัพกลางที่ซูผิงเป่ยบัญชาการถูกล้อมตี ทำให้กองทัพปีกซ้ายและขวาต้องละทิ้งเป้าหมายเดิมเพื่อหันกลับมาช่วยการถอยทัพเพื่อช่วยเหลือกองทัพกลางเช่นนี้ ทำให้แผนการเดิมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากการเป็นฝ่ายครอบงำตงอิ๋งกลับกลายเป็นการต้องช่วยชีวิตกองทัพกลางแทนแม้ว่าสุดท้ายสถานการณ์จะพลิกกลับมาได้ แต่กองทัพของเราก็สูญเสียอย่างหนัก ซูผิงเป่ยเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสผลลัพธ์สุดท้ายอาจถือว่าเป็นชัยชนะ แต่หากนำ
หลี่เฉินกล่าวคำประกาศเพียงหนึ่งประโยค แต่กลับดุจดั่งบัญชาสวรรค์ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีผู้หนึ่งที่มีเสียงดังที่สุดขานประกาศออกมาอย่างกึกก้องการขานประกาศนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมเบื้องหน้า แต่มีผู้วิ่งเหยาะๆ ไปเรียกซูผิงเป่ย ผู้ที่รออยู่ด้านนอกพระที่นั่งให้เข้ามาตำแหน่งของซูผิงเป่ยยังไม่สูงพอที่จะเข้าร่วมการประชุมเช้ายามปกติ แต่วันนี้มีแผนที่จะพระราชทานรางวัลแก่เขา การที่เขามารออยู่ด้านนอกจึงเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม ซูผิงเป่ยไม่คาดคิดเลยว่า ก่อนจะได้พูดถึงเรื่องรางวัลสำหรับเขา กลับมีเสียงจากภายในกล่าวถึงการลงโทษเขาแทนเสียงจากในพระที่นั่งดังมาก และเขาที่รออยู่ด้านนอกได้ยินชัดเจนทุกคำซูผิงเป่ยก้าวเข้าพระที่นั่งด้วยท่วงท่าองอาจราวมังกรและพยัคฆ์ แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของแม่ทัพที่โดดเด่น เขาคุกเข่าลงตรงกลางพระที่นั่ง ประสานหมัดกล่าวว่า "กระหม่อม ซูผิงเป่ย ขอคารวะองค์รัชทายาท ขอองค์รัชทายาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"หลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "มีบางประเด็นที่เสนาบดีกรมยุทธนาการต้องการเผชิญหน้ากับเจ้าโดยตรง จงตอบคำถามของเขาให้ละเอียด""พ่ะย่ะค
แม้แต่ขุนนางหน้าใหม่ในราชสำนักยังรู้ว่าควรรักษาคำพูดไว้บ้าง กล่าวอย่างพอดีเจ็ดในสิบส่วน ทิ้งสามส่วนไว้เผื่อโอกาสต่อไปแต่หลิวถงปี้ผู้เป็นแม่ทัพกลับมีอารมณ์ร้อนแรงดั่งเพลิง ไม่เพียงแต่ด่าซั่งกวนเจาอย่างรุนแรง ยังพูดจาตรงไปตรงมาจนเผยให้เห็นจุดอ่อนของซั่งกวนเจาอย่างชัดเจนคราวนี้ ซั่งกวนเจาทนไม่ไหวเช่นกันใบหน้าของเขาแดงก่ำราวตับหมูและตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ “หลิวถงปี้! เจ้าพูดจาใส่ร้ายเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าคำพูดที่เลินเล่ออาจนำภัยมาสู่ตัว!”“ภัย?”หลิวถงปี้หัวเราะเยาะ “ข้าเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุสิบหก ตอนอายุสิบเก้าก็ฆ่าทหารฮั่นได้สี่สิบคนด้วยมือเปล่า ในสนามรบล้วนเต็มไปด้วยลมฝนเลือดเนื้อ ข้าผ่านการต่อสู้นับไม่ถ้วนและได้รับตำแหน่งมาด้วยความสามารถของตัวเอง ข้ารู้แค่ว่าคำพูดของคนต้องมีความซื่อสัตย์ จะให้ข้ากลัวภัยจากคำพูด? น่าขำสิ้นดี!”“แต่เจ้าซั่งกวนเจา กลับกล่าวหาซูผิงเป่ยอย่างไร้เหตุผลราวกับว่าเขาเป็นคนทรยศชาติ เจ้าไม่กลัวหรือว่าทหารทั้งหลายที่เห็นต่างจะไปเคาะประตูบ้านเจ้าในยามค่ำคืน และฆ่าทั้งครอบครัวของเจ้าเสีย?”ถ้าก่อนหน้านี้ยังเป็นการด่าทั่วไป ตอนนี้หลิวถงปี้พูดจาข่มขู่ก
คำกล่าวของซั่งกวนเจาทำให้บรรยากาศที่เงียบสงบอยู่แล้วในพระที่นั่งไท่เหอกลับกลายเป็นความเงียบที่แทบไม่มีแม้แต่เสียงหายใจสิ่งเดียวที่สามารถได้ยิน คือเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเหล่าขุนนางไม่มีใครคาดคิดว่า ซั่งกวนเจา ซึ่งขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการด้วยการสนับสนุนของจ้าวเสวียนจี และมักทำตัวเงียบๆ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง จะเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบไม่ไว้หน้าซูผิงเป่ยคือใคร?เขาคือหลานชายของเทพเจ้าแห่งสงคราม และเป็นบุตรชายของซูเจิ้นถิงที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในชัยชนะครั้งใหญ่ของสงครามนี้ในขณะที่ตำหนักบูรพากำลังวางแผนจะมอบรางวัลให้ซูผิงเป่ยเพื่อยกย่องและผลักดันเขาให้กลายเป็นตัวแทนของตำหนักบูรพาในแวดวงทหารแต่ซั่งกวนเจากลับเปิดฉากโจมตีใส่ซูผิงเป่ยแบบตรงๆนี่เป็นความบ้า…หรือความมั่นใจอย่างถึงที่สุดกันแน่?สายตาส่วนใหญ่ในที่ประชุมหันไปมองจ้าวเสวียนจีแต่จ้าวเสวียนจีกลับนิ่งเฉย ราวกับกำลังฟังเรื่องที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาซั่งกวนเจากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “สิ่งที่กระหม่อมกล่าวหาแม่ทัพซูผิงเป่ยนั้น มีทั้งพยานบุคคล
ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ