ถานไถจิ้งจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างลังเลว่า “แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงงานหนัก แต่จะมีกี่คนในใต้หล้านี้ที่มีดวงตาที่ชัดเจนได้? ท้ายที่สุดแล้ว กระหม่อมเกรงว่าฝ่าบาทจะต้องทนแบกรับความอับอายมากมาย”หลี่เฉินเลิกคิ้วและพูดว่า “ตลอดทุกยุคสมัย มีคนโง่ คนฉลาด คนปัญญาอ่อน และคนไร้ความรู้สึก คนทุกประเภทล้วนเป็นเหมือนปลาคาร์ปในแม่น้ำ เหมือนกรวดในคงคา พวกเขามีมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงคนสองประเภทเท่านั้นที่ไม่ได้รวมอยู่ในนั้น เจ้ารู้ไหมว่าเป็นคนประเภทใด?”ถานไถจิ้งจือครุ่นคิด จากนั้นก็ประสานมือกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดแถลงไข” “ผู้เป็นอมตะและมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ”หลี่เฉินพูดเสียงเรียบว่า “ทุกคนจะต้องตายในที่สุด ชีวิตอาจจะหนักเท่าขุนเขาหรือเบาดุจขนนก แต่ไม่มีใครในใต้หล้าที่เป็นอมตะ”“ใต้หล้านี้ ก็ไม่มีคนที่สมบูรณ์แบบ”“จะน้ำผึ้งหรือสารหนู ความคิดเห็นของแต่ละคนต่างก็แตกต่างกัน แม้จะเป็นบุคคลหรือสิ่งของเดียวกัน แต่คนมองก็ก็มีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น มีใครบ้างที่สามารถทำให้ทุกคนในใต้หล้าชื่นชอบหรือชื่นชมได้?”“ชื่อเสียงฉาวโฉ่แล้วอย่างไร ตั้งแต่สมัยโบราณ นักปราชญ์และกษัตริย์ผู้ชาญฉลาดก็ถูกบ
เมื่อได้ยินเสียงโมโหของจ้าวหรุ่ย หลี่เฉินที่กำลังจะก้าวเข้าไปทางประตู ก็ก้าวถอยหลังออกมา เขาโบกมือเรียกนางกำนัลที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นให้เข้ามา หลี่เฉินจำได้ลางๆ ว่า นางกำนัลคนนี้น่าจะชื่อเสี่ยวเหลียน และเป็นนางกำนัลข้างกายของจ้าวหรุ่ย“เกิดอะไรขึ้นข้างใน?” หลี่เฉินถามเห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเหลียนรู้สึกกังวลมาก จึงพูดติดอ่างอยู่นานกว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้“ทูลองค์รัชทายาท นางสนมได้เตรียมยาบำรุงพระวรกายไว้ล่วงหน้า เพื่อถวายองค์รัชทายาทด้วยตนเอง แต่องค์รัชทายาทเสด็จออกไปข้างนอก นางสนมก็สังเกตเห็นสตรีผู้นั้นในพระที่นั่งสีเจิ้ง จึงถามคำถามสองสามข้อ แต่สตรีผู้นั้นไม่เพียงแต่เพิกเฉยต่อนางสนมเท่านั้น แต่ยังใส่ร้ายนางสนมว่ายาบำรุงนั้นไม่ดีสำหรับองค์รัชทายาท”“ดังนั้นนางสนมจึงพิโรธมาก และไม่ว่านางสนมจะพูดอะไร สตรีผู้นั้นก็ไม่สนใจ...”หลี่เฉินได้ฟังก็พลันขมวดคิ้วเยี่ยมมาก เข้ากับบุคลิกของผู้หญิงสองคนนี้เป็นอย่างดี“ข้ารู้แล้ว ออกไปเถอะ”หลี่เฉินปล่อยเสี่ยวเหลียนที่เกือบจะหายใจไม่ออกด้วยความกระวนกระวายใจ และยกขาขึ้นเข้าไปข้างในทันทีที่เห็นหลี่เฉิน จ้าวหรุ่ยที่กำลังโกรธเคืองก็แสดงสีหน้าคับ
“บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่”หลี่เฉินพูดอย่างสบายๆ “เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว ข้าให้อะไรนางไม่ได้มาก แต่นางมีความตั้งใจที่ดี จึงไม่ควรปล่อยให้นางรู้สึกผิดหวัง”หลังจากพูดอย่างนั้น หลี่เฉินก็เหลือบมองกงฮุยอวี่ และพูดต่อว่า “ในทางกลับกัน เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?”กงฮุยอวี่พูดเสียงเรียบว่า “แค่ไม่อยากให้เจ้าดื่มน้ำแกงที่ไม่มีผลในการบำรุงใดๆ และอายุเช่นเจ้า ไม่จำเป็นต้องบำรุงให้มาก มิฉะนั้นจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ง่าย”หลี่เฉินยิ้มเล็กน้อย และไม่ต่อบทสนทนานี้“ ในมือเจ้า ส่งมาให้ข้า”กงฮุยอวี่ผู้ซึ่งสุขุมเยือกเย็น ไร้ซึ่งอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ราวกับมิใช่ปุถุชนธรรมดา กลับขมวดคิ้วกับประโยคนี้“ข้าสัญญากับคนอื่นว่าจะมอบหนังสือชุดนี้ให้เขา และตอนนี้ก็กำลังถูกกดดันอย่างหนัก ทำได้เพียงมอบให้เขาก่อนเท่านั้น”เมื่อปฏิกิริยาของกงฮุยอวี่ หลี่เฉินจึงอธิบายกงฮุยอวี่ได้ยินดังนั้น จึงจำใจวางหนังสือลง แต่สายตาของนางยังคงยึดติดกับหนังสือเล่มนั้นด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจหลี่เฉินเรียกองครักษ์เสื้อแพรเข้ามาคนหนึ่ง และสั่งให้เขาส่งบทคัดย่อแห่งความภักดีไปให้ถานไถจิ้งจือในขณะที่องครักษ์เสื้
หลังจากการพูดคุยสัพเพเหระผ่านพ้นไป หลี่เฉินก็เข้าสู่หัวข้อแรกของการประชุมราชการเช้าของวันนี้“ทุกคนคงทราบข่าวดีจากแนวหน้าเมื่อวานนี้แล้ว ซูผิงเป่ยนำทัพเข้าปราบกองทัพตงอิ๋ง ไม่เพียงแต่จะสังหารผู้คนนับหมื่น แต่ยังจับกุมนักโทษได้นับไม่ถ้วน และยังจับกุมจอมทัพของตงอิ๋ง เคียวจิโระ คุซานางิทั้งเป็นด้วย เท่านี้เราก็สรุปได้ว่า สงครามในเสียนเฉานั้น พวกเราต้าฉินเป็นฝ่ายชนะ ไม่เพียงชนะเท่านั้น แต่ยังเป็นชัยชนะที่สวยงามอีกด้วย!”กล่าวถึงตรงนี้ หลี่เฉินก็กวาดตามองเหล่าขุนนางในพระที่นั่งไท่เหอซึ่งส่วนใหญ่ยืนกรานต่อต้านการส่งกองทัพออกไปคนเหล่านั้นต่างสบตากันและกัน และมิกล้าสบตากับหลี่เฉินหลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าบางคนไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ และรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะได้รับชัยชนะ แต่โดยผิวเผินแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ต่อต้าฉิน ในทางตรงข้าม ต้าฉินของพวกเรากลับได้รับความสูญเสียไปไม่น้อย”“สำหรับคนเช่นนี้ ข้าคงพูดได้คำเดียวว่าถอดหมวกกับเครื่องแบบราชการออกโดยเร็วที่สุด แล้วกลับบ้านไปทำนาซะ ข้าจะให้ที่ดินอุดมสมบูรณ์แก่พวกเจ้าหลายหมู่ เพื่อให้พวกเจ้าได้ทำนาอย่างสบายๆ”
เวลานี้ แม้แต่หวังเถิงฮ่วนที่เหลือหูแค่ข้างเดียง ก็ยังได้ยินความขุ่นเคืองในคำพูดอันสงบนิ่งของหลี่เฉินเสียงเจี๊ยวจ๊าวในพระที่นั่งไท่เหอในตอนแรกก็พลันเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาอีก มีเพียงหวังเถิงฮ่วนเท่านั้นที่เงยหน้ามองหลี่เฉินแล้วกล่าวเสียงดังว่า “หรือฝ่าบาทคิดว่ากระหม่อมพูดผิด?”“พูด? เจ้าพูดอะไร?”ทันใดนั้นเสียงของหลี่เฉินก็สูงขึ้น เขาตวาดอย่างโมโหว่า “ที่ข้าได้ยินเมื่อครู่ก็แค่ตาแก่ผายลมเท่านั้น!”ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา ทุกคนในพระที่นั่งไท่เหอต่างก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจพระที่นั่งไท่เหอเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิและขุนนางหารือเกี่ยวกับราชกิจ ตั้งแต่สมัยโบราณ มันไม่เคยเป็นสถานที่ที่กลมกลืนกันอยู่แล้ว การโต้เถียงและทะเลาะวิวาทจึงเป็นเรื่องที่ปกติแม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังโกรธจัดจนสะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไป หรือขุนนางที่ถูกตำหนิแล้วขู่จะเอาหัวโขกเสาก็มี เรียกได้ว่าละครที่คนยอมตายเพื่อแสดงถึงปณิธานนั้นเกิดขึ้นนับไม่ถ้วนแต่ตลอดทุกยุคทุกสมัยนั้น ไม่มีใครพูดภาษาหยาบคายเช่นนี้ในพระที่นั่งไท่เหอท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนต่างก็เป็นคนที่มีวัฒนธรรม และยังเป็นคนชนชั้นสูงของประเ
“เป็นเรื่องจริงที่ตงอิ๋งเป็นประเทศเล็กๆ และเต็มไปด้วยพวกป่าเถื่อน!”“แต่ด้วยเหตุนี้เอง ชาวตงอิ๋งจึงเป็นพวกมืดมน จิตใจคับแคบ และมีความคิดที่บิดเบือน!”“หวังเถิงฮ่วน เจ้าเข้ารับราชการเป็นขุนนางมาหลายสิบปี ทุกๆ ปี มีชาวประมงและผู้คนบนชายฝั่งของต้าฉินเรา ถูกรุกรานโดนชาวตงอิ๋ง พวกเขาเผา สังหาร และปล้นสะดมชาวต้าฉินของเรา โศกนาฏกรรมและเอกสารคดีต่างๆ กองพะเนินเทินทึก หวังเถิงฮ่วน เจ้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจ กลับไม่มีคิดจะเหลียวมองดูสักหน่อยเลยหรือ!?”“ชาวตงอิ๋งเหล่านี้จับประชาชนต้าฉินของพวกเรา ตัดหัวผู้ชาย ส่วนผู้หญิงเว้นแต่จะอายุน้อยกว่า 7-8 ปี หรืออายุมากกว่า 60-70 ปี ล้วนถูกข่มขืนโดยสัตว์ร้ายเหล่านี้”“การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ถูกพบเห็นบ่อยที่สุด ส่วนแย่กว่านั้น ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะพูดเรื่องพวกนั้นออกมาได้!”หลี่เฉินชี้นิ้วไปทางหวังเถิงฮ่วนซึ่งนอนหน้าซีดอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด แล้วก่นด่าเสียงดังว่า “นี่คือคนที่เจ้าอยากจะอวดความมีน้ำใจของต้าฉินเรางั้นหรือ?” “นักปราชญ์กล่าวว่า: จงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพ และตอบแทนผู้อื่นด้วยความมีน้ำใจ” “แต่คำกล่าวเหล่านั
คนสมัยโบราณให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเกียรติและความซื่อสัตย์เหตุใดขุนนางพลเรือนจำนวนมากถึงรู้จักใช้ความตายมาล่วงเกินองค์จักรพรรดิ ทั้งที่รู้ว่า หากทำเช่นนั้นก็มีโอกาสจะได้ตายจริงๆ แต่ก็ยังชอบยกความตายขึ้นมาอ้าง?เป็นเพราะว่าสำหรับขุนนางพลเรือนเหล่านี้ การที่สามารถฝากชื่อในฐานะขุนนางผู้จงรักภักดีไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ได้ มันมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของพวกเขาและคำพูดที่หลี่เฉินกล่าวออกไปนั้น ไม่ได้ต้องการให้องครักษ์เสื้อแพรสาดโคลนใส่หวังเถิงฮ่วนจริงๆ ในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกหลักของสำนักราชเลขา และการที่จ้าวเสวียนจียอมจ่ายราคาสูงขนาดนั้น เพื่อนำหวังเถิงฮ่วนกลับเข้าสู่สำนักราชเลขา ซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าหวังเถิงฮ่วนจะไม่ถูกสั่นคลอนได้ง่ายๆ แต่ที่หลี่เฉินพูดประโยคนี้ ก็เพื่อแสดงว่ารังเกียจหวังเถิงฮ่วนและต้องการบอกให้ทุกคนรับรู้ว่าเขาเกลียดหวังเถิงฮ่วนเป็นอย่างมาก ใครก็ตามที่เข้าใกล้หวังเถิงฮ่วนจะต้องมีปัญหากับตำหนักบูรพาเมื่อเห็นใบหน้าที่น่าเกลียดของหวังเถิงฮ่วน และสีหน้าแปลกๆ ของขุนนางคนอื่นๆ จะเห็นได้ว่าหลี่เฉินบรรลุเป้าหมายแล้วไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว หลี่เฉินยื
เมื่อมองไปที่กลุ่มขุนนางบุ๋นบู๊ในพระที่นั่งไท่เหอ ดวงตาของหลี่เฉินก็เป็นประกายขึ้นมา ราวกับชาวนาที่ทำงานหนักมาทั้งปีกำลังจะเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ปลูกไว้ เขากล่าวในลักษณะโน้มน้าวใจว่า “การลงทะเบียนจะได้รับการจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยบูรพา และข้าก็จะตรวจสอบทุกวัน แน่นอนว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น”“ปกติข้าก็ยุ่งกับงานราชกิจทั้งวัน แทบไม่ได้พบเจอขุนนางคนไหนเลย จึงมีบางส่วนตัดพ้อว่าไม่มีโอกาสได้แสดงพรสวรรค์ของตัวเองให้ข้าชม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสร้างความประทับใจให้กับข้า ทุกคนอย่างได้พลาดเป็นอันขาด”คำพูดเหล่านี้เกือบจะเหมือนเป็นการเอาเงินจากกระเป๋าของคนอื่น ทำให้พระที่นั่งไท่เหอตกอยู่ในความเงียบงันอย่างน่าขนลุกทุกคนล้วนเป็นนักวิชาการ และพวกเขาทั้งหมดต่างก็อ่านหนังสือของนักปราชญ์ ในวันปกติก็แสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษ แม้แต่ขุนนางทุจริตก็ยังให้ความสำคัญกับวิธีการและทักษะในการพูดเวลาขอสินบน แต่สิ่งที่องค์รัชทายาทพูดออกมานั้น มันช่างหยาบคายและโจ่งแจ้ง ทุกคนรู้สึกรับไม่ได้ ก็ยังคงเป็นสวีฉังชิงคนเดิมเขาเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบงัน และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงว่า “ฝ่าบ
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี