“เป็นเรื่องจริงที่ตงอิ๋งเป็นประเทศเล็กๆ และเต็มไปด้วยพวกป่าเถื่อน!”“แต่ด้วยเหตุนี้เอง ชาวตงอิ๋งจึงเป็นพวกมืดมน จิตใจคับแคบ และมีความคิดที่บิดเบือน!”“หวังเถิงฮ่วน เจ้าเข้ารับราชการเป็นขุนนางมาหลายสิบปี ทุกๆ ปี มีชาวประมงและผู้คนบนชายฝั่งของต้าฉินเรา ถูกรุกรานโดนชาวตงอิ๋ง พวกเขาเผา สังหาร และปล้นสะดมชาวต้าฉินของเรา โศกนาฏกรรมและเอกสารคดีต่างๆ กองพะเนินเทินทึก หวังเถิงฮ่วน เจ้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจ กลับไม่มีคิดจะเหลียวมองดูสักหน่อยเลยหรือ!?”“ชาวตงอิ๋งเหล่านี้จับประชาชนต้าฉินของพวกเรา ตัดหัวผู้ชาย ส่วนผู้หญิงเว้นแต่จะอายุน้อยกว่า 7-8 ปี หรืออายุมากกว่า 60-70 ปี ล้วนถูกข่มขืนโดยสัตว์ร้ายเหล่านี้”“การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ถูกพบเห็นบ่อยที่สุด ส่วนแย่กว่านั้น ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะพูดเรื่องพวกนั้นออกมาได้!”หลี่เฉินชี้นิ้วไปทางหวังเถิงฮ่วนซึ่งนอนหน้าซีดอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด แล้วก่นด่าเสียงดังว่า “นี่คือคนที่เจ้าอยากจะอวดความมีน้ำใจของต้าฉินเรางั้นหรือ?” “นักปราชญ์กล่าวว่า: จงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพ และตอบแทนผู้อื่นด้วยความมีน้ำใจ” “แต่คำกล่าวเหล่านั
คนสมัยโบราณให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเกียรติและความซื่อสัตย์เหตุใดขุนนางพลเรือนจำนวนมากถึงรู้จักใช้ความตายมาล่วงเกินองค์จักรพรรดิ ทั้งที่รู้ว่า หากทำเช่นนั้นก็มีโอกาสจะได้ตายจริงๆ แต่ก็ยังชอบยกความตายขึ้นมาอ้าง?เป็นเพราะว่าสำหรับขุนนางพลเรือนเหล่านี้ การที่สามารถฝากชื่อในฐานะขุนนางผู้จงรักภักดีไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ได้ มันมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของพวกเขาและคำพูดที่หลี่เฉินกล่าวออกไปนั้น ไม่ได้ต้องการให้องครักษ์เสื้อแพรสาดโคลนใส่หวังเถิงฮ่วนจริงๆ ในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกหลักของสำนักราชเลขา และการที่จ้าวเสวียนจียอมจ่ายราคาสูงขนาดนั้น เพื่อนำหวังเถิงฮ่วนกลับเข้าสู่สำนักราชเลขา ซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าหวังเถิงฮ่วนจะไม่ถูกสั่นคลอนได้ง่ายๆ แต่ที่หลี่เฉินพูดประโยคนี้ ก็เพื่อแสดงว่ารังเกียจหวังเถิงฮ่วนและต้องการบอกให้ทุกคนรับรู้ว่าเขาเกลียดหวังเถิงฮ่วนเป็นอย่างมาก ใครก็ตามที่เข้าใกล้หวังเถิงฮ่วนจะต้องมีปัญหากับตำหนักบูรพาเมื่อเห็นใบหน้าที่น่าเกลียดของหวังเถิงฮ่วน และสีหน้าแปลกๆ ของขุนนางคนอื่นๆ จะเห็นได้ว่าหลี่เฉินบรรลุเป้าหมายแล้วไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว หลี่เฉินยื
เมื่อมองไปที่กลุ่มขุนนางบุ๋นบู๊ในพระที่นั่งไท่เหอ ดวงตาของหลี่เฉินก็เป็นประกายขึ้นมา ราวกับชาวนาที่ทำงานหนักมาทั้งปีกำลังจะเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ปลูกไว้ เขากล่าวในลักษณะโน้มน้าวใจว่า “การลงทะเบียนจะได้รับการจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยบูรพา และข้าก็จะตรวจสอบทุกวัน แน่นอนว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น”“ปกติข้าก็ยุ่งกับงานราชกิจทั้งวัน แทบไม่ได้พบเจอขุนนางคนไหนเลย จึงมีบางส่วนตัดพ้อว่าไม่มีโอกาสได้แสดงพรสวรรค์ของตัวเองให้ข้าชม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสร้างความประทับใจให้กับข้า ทุกคนอย่างได้พลาดเป็นอันขาด”คำพูดเหล่านี้เกือบจะเหมือนเป็นการเอาเงินจากกระเป๋าของคนอื่น ทำให้พระที่นั่งไท่เหอตกอยู่ในความเงียบงันอย่างน่าขนลุกทุกคนล้วนเป็นนักวิชาการ และพวกเขาทั้งหมดต่างก็อ่านหนังสือของนักปราชญ์ ในวันปกติก็แสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษ แม้แต่ขุนนางทุจริตก็ยังให้ความสำคัญกับวิธีการและทักษะในการพูดเวลาขอสินบน แต่สิ่งที่องค์รัชทายาทพูดออกมานั้น มันช่างหยาบคายและโจ่งแจ้ง ทุกคนรู้สึกรับไม่ได้ ก็ยังคงเป็นสวีฉังชิงคนเดิมเขาเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบงัน และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงว่า “ฝ่าบ
“กระหม่อมรู้สึกตกใจที่เห็นสถานการณ์ที่น่าสลดใจทุกประเภท และรู้สึกเสียใจที่ภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นช่างโหดร้าย”“หลังจากที่กระหม่อมครุ่นคิดแล้ว จึงรู้สึกว่าต้นตอของทุกสิ่งคือ การไม่สามารถรักษาสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่ายของราชสำนักได้”“เมื่อภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้น ประชาชนจะไม่มีอาหารให้เก็บเกี่ยว หากประชาชนไม่มีอาหาร ราชสำนักก็จะเก็บภาษีไม่ได้ ในทางกลับกัน เรายังต้องจัดหาอาหารและเงินเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ วงจรที่เลวร้ายเช่นนี้ นำไปสู่ท้องพระคลังที่ว่างเปล่า ทำให้ผู้คนที่ยากจนอยู่แล้ว ยิ่งยากจนเข้าไปใหญ่ และเป็นแหล่งที่มาของท้องพระคลังที่ว่างเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ”“เพราะฉะนั้น กระหม่อมจึงอยากทูลฝ่าบาทว่าราชสำนักจำเป็นต้องเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย”ถานไถจิ้งจือพูดมาถึงตรงนี้ ขุนนางหลายคนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา มหาปราชญ์ก็คือมหาปราชญ์ เพิ่งจะเข้ารับราชการ วันแรกของประชุมราชการเช้า ก็กล้าที่จะจัดการกับปัญหาใหญ่ที่ทุกคนรู้ดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “สิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวมานั้นถูกต้อง ในเมื่อท่านพูดถึงเรื่องนี้ หรือว่ามีทางแก้ปัญหา?” หลี่เฉินถามด้วยสายตาและน้ำเสียงที่ให้กำลังใจเรื่องมาถึ
แม้ว่าถานไถจิ้งจือจะรู้ดีว่ามันไม่เหมาะสม แต่เนื่องจากเขาหยิบยกมันขึ้นมาเอง และหวังเถิงฮ่วนก็ก่นด่าแบบไว้หน้า ถานไถจิ้งจือจึงจำเป็นต้องโต้กลับ “ใต้เท้าหวัง”ถานไถจิ้งจือหันหน้าไปมองหวังเถิงฮ่วนอย่างไม่แสดงอารมณ์และพูดว่า “นักปราชญ์กล่าวไว้ว่ามีโจรสามประเภทในประเทศ หนึ่งคือโจรลวงโลก สองคือโจรทรยศ สามคือโจรที่ก่อความเดือดร้อนให้กับใต้หล้า แล้วใต้เท้าหวังคิดว่าข้าเป็นโจรประเภทใด?”คำถามนี้ อิงมาจากคำว่าหัวขโมยของใต้หล้าเมื่อครู่ ทำเอาหวังเถิงฮ่วนตกตะลึงจนตาค้างเขาอึกอักอยู่นาน แต่กลับพูดอะไรไม่ออกถานไถจิ้งจือพูดอย่างเย็นชาว่า “ญัตตินี้ ข้าคำนึงถึงความยากลำบากที่แท้จริงของราชสำนัก หากจัดการดีๆ เมื่อความมั่งคั่งของใต้หล้าถูกรวบรวมไว้ในมือของราชสำนัก และถูกใช้เพื่อประชาชนและประเทศชาติ แล้วจะเป็นโจรไปได้อย่างไร? ใต้เท้าหวังได้โปรดชี้แนะ!”หวังเถิงฮ่วนถูกคำถามของถานไถจิ้งจือไล่บี้ก็พูดไม่ออก ด้วยความโกรธเขาจึงพูดอย่างเร่งรีบว่า “ถึงแม้ว่าจะเปิดธนาคาร ก็แค่ปล่อยให้ประชาชนมาฝากเงินเท่านั้น เงินเหล่านั้นไม่ใช่ของราชสำนัก มิหนำซ้ำ ราชสำนักยังต้องจ่ายดอกเบี้ยให้อีก เช่นนี้แล้วจะแก้ไขปัญห
แม้ว่าราชสำนักจะอนุมัติแล้ว แต่หลี่เฉินก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดีเขารู้ว่าการต่อต้านที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้ก็คือผู้คนผลกระทบที่ตามมาของมัน จะเกิดขึ้นหลังจากที่แพร่กระจายไปสู่ประชาชนแล้วนักวิชาการและประชาชนทั่วไปในใต้หล้าจะไม่สนใจเหตุผลของเจ้า พวกเขาจะด่าเจ้าในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าผิดโดยปกติแล้ว เสียงก่นด่าเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกค้าของธนาคาร ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลี่เฉินก็ไม่อาจยอมแพ้พวกเขาดังนั้นวิธีที่จะผลักดันไปข้างหน้าคือ ทำให้ผู้คนในใต้หล้ายอมรับรัฐวิสาหกิจแห่งแรกของจักรวรรดิ และทำให้พวกเขากลายเป็นลูกค้า ซึ่งนั่นคือปัญหาที่แท้จริงที่รออยู่เบื้องหน้าหลี่เฉินไม่สามารถเอามีดจ่อคอคนอื่นแล้วบังคับให้พวกเขาฝากเงินได้ เพราะเรื่องนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากเลิกการประชุมแล้ว หลี่เฉินก็เรียกถานไถจิ้งจือมาที่ตำหนักบูรพา“เรื่องเมื่อครู่ลำบากท่านอาจารย์แล้ว”ถานไถจิ้งจือยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ตราบใดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สิ่งนี้ก็ไม่นับเป็นอะไรได้”หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆ “แต่ท่วงทีที่สง่างามของท่านอาจารย์ยามโต้แย้ง ก็ทำให้หวังเถิงฮ่วนนั่นพูดไม่อ
หลี่อิ๋นหู่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เขาจะได้เห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักบูรพาในขณะนั้น หลี่อิ๋นหู่ยังรู้สึกว่าเขากำลังมีอาการประสาทหลอนจังหวะที่หลี่อิ๋นหู่คิดจะไล่ตามไป เขาก็พลันชะงักเท้าเสียก่อนเขานึกขึ้นได้ว่า ที่นี่คือตำหนักบูรพา ไม่ใช่อาณาเขตของเขาที่นี่ เขาจะต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว มิฉะนั้น ถ้าหากองค์รัชทายาทจับหางได้ ตัวเขานั้นคงต้องทุกข์ทรมานอีกครั้งแน่แต่ความสงสัยเกี่ยวกับการปรากฏตัวของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ก็เหมือนมีแมวข่วนอยู่ในใจของเขา เขาตระหนักได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่เข้าใจกำลังเกิดขึ้นในตำหนักบูรพา หรือว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังวางแผนที่จะทำอะไรบางอย่าง มิฉะนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์คงไม่ปรากฏตัวที่นี่หลี่อิ๋นหู่ซึ่งกำลังขมวดคิ้ว และอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ด้านนอกทางเข้าหลักของตำหนักบูรพา จู่ๆ ประตูของตำหนักบูรพาก็ถูกเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดและคนที่ออกมาก็ไม่ใช่ใคร คือถานไถจิ้งจือที่กำลังขมวดคิ้วเหตุผลที่ผู้เฒ่าขมวดคิ้วไม่ใช่เรื่องอะไร แต่เป็นเพราะในอีกไม่กี่วันข้าหน้า ตำหนักบูรพากำลังจะรับของขวัญอวยพรจากเหล่าขุนนาง ถานไถจิ้งจือผู้ซึ่งได้รับความเคารพอย่างสูงและมีน
คำพูดสุภาพก่อนหน้านี้เป็นเพียงผิวเผิน แต่คำพูดเกี่ยวกับการเป็นศิษย์นั้นคือเรื่องจริงถานไถจิ้งจือไม่คาดคิดว่าหลี่อิ๋นหู่จะพูดเช่นนี้ไม่ว่าหลี่อิ๋นหู่จะเป็นอย่างไร แต่ก็ยังเป็นท่านอ๋องแห่งต้าฉิน ซึ่งมีสถานะสูงส่งและไม่ว่าชื่อเสียงของถานไถจิ้งจือจะสูงส่งแค่ไหน แต่ในแง่ของสถานะ เขาก็เป็นเพียงคนบ้านนอกคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่หนึ่ง และเป็นมหาอำมาตย์ในสำนักราชเลขา เมื่ออยู่ต่อหน้าราชวงศ์ สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ขุนนางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน พูดกันตามตรงแล้ว ก็ยังคงเป็นนายบ่าว ดังนั้นการที่หลี่อิ๋นหู่ลดสถานะของตัวเองเช่นนี้ ก็นับว่าไม่คำนึงถึงสถานะของเขา ในมุมมองของถานไถจิ้งจือนั้น มันค่อนข้างกระตือรือร้นมากเกินไปเขาไม่รู้เกี่ยวกับข้อขัดแย้งระหว่างหลี่อิ๋นหู่และหลี่เฉิน แต่เข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันดี องค์จักรพรรดิหมดสติ ไม่รู้จะสิ้นพระชมน์ไปตอนไหน ส่วนองค์รัชทายาทแม้จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ก็ยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์ ดังนั้นการใกล้ชิดกับท่านอ๋องมากเกินไปในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่“ท่านอ๋องมีสถานะสูงศักดิ์ แต่กระหม่อมแก่ชราแ
หลี่เฉินต้องการถอดถอนอำนาจและตำแหน่งทั้งหมดของหลี่อิ๋นหู่ จำเป็นต้องผ่านสำนักคุมประพฤติเว้นแต่ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่สามารถใช้อำนาจแห่งราชบัลลังก์บังคับบัญชาได้โดยตรง มิฉะนั้น ต่อให้เป็นองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ยังต้องคำนึงถึงท่าทีของสำนักคุมประพฤติเรื่องของสำนักคุมประพฤติจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากง่ายตรงที่หากหาคนที่มีอำนาจตัดสินใจถูกต้อง และมอบผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายต้องการ เรื่องนี้ก็สามารถจัดการได้ทันที ยากตรงที่หากสำนักคุมประพฤติยืนกรานขัดขวาง หลี่เฉินก็แทบไม่มีหนทางจัดการกับพวกผู้เฒ่าที่สูงศักดิ์แต่หัวโบราณเหล่านั้น โชคดีที่ครั้งนี้หลี่เฉินเลือกถูกคน หลี่ชางหลานคือกุญแจสำคัญ และผลประโยชน์ที่เสนอให้ก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับการจัดการเรื่องนี้จึงสูงมากในช่วงเย็นของวัน สำนักคุมประพฤติส่งข่าวมาว่าพวกเขายอมรับบทลงโทษทั้งหมดที่ตำหนักบูรพากำหนดแก่หลี่อิ๋นหู่"องค์ชาย ได้ยินว่าครั้งนี้จงเหรินลิ่งต้องจ่ายไม่น้อย สำนักคุมประพฤติยังมีผู้อาวุโสบางคนที่เห็นว่าการกระทำขององค์ชายเป็นการทำร้ายสายเลือดเดียวกัน เกรงว่าฝ่าบาทอาจไม่พอพระทัย"
หลี่เฉินไม่ได้ยืนยันเรียกเขาว่าเสด็จปู่ใหญ่ และก็ไม่ได้เรียกตำแหน่งของเขา แต่เลือกใช้คำว่าผู้อาวุโสหลี่เมื่อปัญหาเรื่องสรรพนามถูกแก้ไขอย่างลงตัว หลี่ชางหลานจึงรับถ้วยชาด้วยสองมือ แล้วยกขึ้นจิบเบาๆหลังจากวางถ้วยชาลง เขากล่าวว่า “ชาดีจริงๆ”หลี่เฉินยิ้มพลางกล่าว “หากผู้อาวุโสหลี่ชอบ ข้าจะให้คนเตรียมไว้ให้ท่านนำกลับไป”หลี่ชางหลานโบกมือ “สุภาพชนไม่แย่งของรักของผู้อื่น ชาดีที่องค์ชายสะสมไว้ ข้าไม่ควรนำไป”“ก็ไม่ได้มีค่าอะไรมาก ก่อนหน้านี้ตอนข้าพระราชทานตำแหน่งท่านอ๋องให้หลี่อิ๋นหู่ เขามอบชานี้มาเป็นของขวัญขอบคุณ”เพียงประโยคเดียว ทำให้มือของหลี่ชางหลานที่กำลังจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มค้างอยู่กลางอากาศเมืองหลวงไม่มีความลับ โดยเฉพาะเหตุการณ์วันนี้ที่หลี่อิ๋นหู่ขึ้นไปเดินบนภูเขาจิ่งซานเพื่อขอพร แต่กลับเป็นต้นเหตุทำให้ราษฎรหลายพันคนต้องเสียชีวิตเรื่องนี้ทำให้ทั้งเมืองหลวงปั่นป่วนไปหมดแม้ว่าหลี่ชางหลานจะถูกเรียกตัวมาอย่างเร่งรีบ แต่เขาก็รับรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทและจ้าวอ๋องได้ขาดสะบั้นลงโดยสิ้นเชิงบัดนี้เมื่อได้ยินชื่อของหลี่อิ๋นหู่จากปากของหลี่เฉิน เขารู้สึกเหมือนมีดเห
"เมื่อครั้งกระหม่อมกวาดล้างหมู่บ้านเหมียว ก็เป็นเพียงฐานที่มั่นหลักของตระกูลโจวเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหญิงสาวจากตระกูลโจวแต่งงานออกไปมากมายจนยากจะนับได้ บุตรหลานของพวกนางหลายคนต่างก็มีอำนาจในมือ หากโจวสิงเจี่ยเปล่งวาจาเรียกหา พวกมันสามารถรวมกำลังคนจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น อย่างน้อยก็สามารถฟื้นฟูหมู่บ้านตระกูลโจวขึ้นมาใหม่ได้อย่างแน่นอน"ซานเป่าอธิบายอย่างละเอียด แต่สีหน้าของหลี่เฉินกลับไร้ความรู้สึกผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่เฉินกล่าวว่า "ปัญหาของเหมียวเจียงเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจลงมือโดยพลการได้ในตอนนี้ แต่โจวสิงเจี่ยและหลี่อิ๋นหู่ร่วมมือกันสังหารราษฎรไปนับพัน รวมถึงหลี่อิ๋นหู่ยังฆ่าองค์ชายเก้า เรื่องเหล่านี้ไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้"น้ำเสียงของหลี่เฉินเรียบเฉย "ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ประกาศจับตัวหลี่อิ๋นหู่และโจวสิงเจี่ย หน่วยบูรพาต้องไล่ล่าพวกมันอย่างเต็มกำลัง ผู้ใดพบร่องรอยและรายงานเข้ามาจะได้รับรางวัลใหญ่"ซานเป่าได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถาม "แต่ว่าตำแหน่งของจ้าวอ๋อง"การที่ราชสำนักประกาศจับท่านอ๋อง เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและถือเป็นเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์หลี่เฉินกล่าวเรี
ซานเป่ากัดฟันแน่น จำต้องล้มเลิกการไล่ตามหลี่อิ๋นหู่และโจวสิงเจี่ยเขากวาดตามองไปรอบๆ พบว่าฝูงแมลงที่หนาแน่นจนมองแทบไม่เห็นพื้นกำลังเริ่มถอยกลับ ทิ้งไว้เพียงซากศพจำนวนมากนับพันในคลื่นแมลงครั้งนี้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่โชคดีหรือมีฝีมือพอจะรอดพ้นจากหายนะได้ ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ รวมถึงต้าหลี่ซื่อชิง หวังฟู่ย่ง ต่างก็กลายเป็นวิญญาณใต้ฝูงแมลงไปทั้งหมดเมื่อฝูงแมลงสลายไป สิ่งที่เผยออกมาก็คือซากศพที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ซากศพเหล่านี้ไม่มีเลือดไหลออกมา แต่เนื้อหนังทั้งหมดถูกแมลงกัดแทะจนขาดวิ่นแทบไม่เหลือชิ้นดีที่โชคร้ายที่สุดคงเป็นหวังฟู่ย่ง ศพของเขาตอนนี้เหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น แม้แต่เศษเนื้อขนาดฝ่ามือก็ไม่เหลือกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นของแมลงลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ผสานกับภาพของซากศพที่เกลื่อนกลาดอยู่รอบตัว เป็นภาพที่สร้างแรงกระแทกให้จิตใจอย่างรุนแรง ใบหน้าของซานเป่าดำทะมึนจนแทบจะบีบหยดน้ำออกมาได้เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่แล้ว…พระที่นั่งสีเจิ้งหลี่เฉินมองดูซากศพของแมลงสีดำที่วางอยู่ตรงหน้า กับซานเป่าที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมานานกว่าครึ่งชั่วยาม ใบห
ผู้ที่ซุ่มโจมตีมีความชำนาญอย่างยิ่ง ขณะที่เขาจู่โจมออกมาอย่างกะทันหัน ซานเป่าทำได้เพียงบิดร่างหลบเลี่ยงจุดสำคัญ แต่ก็ยังไม่อาจหนีจากฝ่ามือที่พุ่งเข้ากระแทกไหล่ของเขาเสียงกระแทกหนักหน่วงดังขึ้น ท่ามกลางเสียงอุทานของซานเป่า ร่างทั้งสองแยกออกจากกัน ซานเป่าถูกกระแทกจนลอยกระเด็นไปไกลกว่าสิบก้าว เมื่อตกลงสู่พื้นยังต้องถอยหลังอีกสามก้าว แต่ละก้าวหนักแน่นราวขุนเขาถล่ม พื้นดินที่เหยียบย่ำแตกร้าวสะเทือนทันทีที่ซานเป่าตั้งหลักได้ ฝูงแมลงสีดำรอบตัวก็คล้ายได้รับคำสั่ง พวกมันพุ่งโจมตีเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งซานเป่าครางเสียงต่ำ พลังภายในพลุ่งพล่านออกจากร่าง ส่งแรงสั่นสะเทือนกระจายออกไป แมลงที่ไต่ขึ้นบนตัวเขาถูกสังหารจนหมดสิ้น ร่วงหล่นลงบนพื้นแต่ก่อนที่เขาจะทันได้หายใจ โลหิตของแมลงที่ถูกฆ่าล่อให้แมลงจำนวนมากยิ่งกว่าถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซานเป่ารู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้อ เขากลืนลมหายใจลงคอ พลังลมปราณรวมศูนย์ในปาก ก่อนจะเปล่งเสียงร้องกึกก้องเสียงคำรามแหลมสูงดั่งระเบิดเสียง สร้างคลื่นพลังที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คลื่นพลังกระจายออกไปทุกทิศทาง แมลงทุกตัวที่อยู่ในรัศมีของคลื่นพลังสั่นสะ
เมื่อฝูงแมลงสีดำเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้น ก็สร้างความหวาดกลัวอย่างรุนแรงในทันทีเพราะผู้คนพบว่า แมลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่กลัวมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมองมนุษย์เป็นเป้าหมายโจมตีโดยตรงทันทีที่พวกมันไต่ขึ้นบนร่างของผู้ใด ร่างนั้นจะรู้สึกคันอย่างรุนแรงเกินจะทนไหว และเมื่อพยายามใช้มือเกา ก็จะพบว่าแมลงเหล่านี้สามารถปล่อยของเหลวชนิดหนึ่งออกมา ทำให้ผิวหนังอ่อนแอลงอย่างมาก เพียงเกาเบาๆ ผิวก็ปริแตกกลายเป็นบาดแผลเลือดไหลและเมื่อได้กลิ่นเลือด แมลงพวกนี้ก็ยิ่งคลุ้มคลั่งพวกมันจะแทรกตัวเข้าไปในบาดแผลที่เปิดออก ยิ่งมีมันมากเท่าใด ความคันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จนเจ้าของร่างทนไม่ไหวและเผลอเกาจนแผลขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ ชาวบ้านจำนวนมากล้มลงกลางฝูงแมลงสีดำ แมลงเหล่านี้เลื้อยปกคลุมทั่วร่างผู้เคราะห์ร้าย ภายในพริบตาเดียว ทุกเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็เงียบหายไป ผู้ที่ล้มลงไปจะถูกแมลงปกคลุมจนมิดร่าง และเพียงไม่กี่อึดใจ ก็ไร้ซึ่งสัญญาณของชีวิตภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ซานเป่ากัดฟันแน่นด้วยความโกรธจัด"เจียวเจียว หนีไปเร็ว!"ซานเป่าฟาดฝ่ามือออกไป ปลดปล่อยพลังทำลายล้างเปิดเส้นทางออกจากวงล้อมของฝูงแมลง แมลงนับไม่ถ้วนถูก
“สิ่งใดเล่ายากจะปิดปากที่สุด ก็คือเสียงของปวงประชาที่เล่าขานไปทั่วแผ่นดิน!”“องค์รัชทายาทต้องการกำจัดข้า แต่กลับไม่ต้องการให้ถูกตราหน้าว่าฆ่าพี่น้องร่วมสายโลหิต จึงต้องใช้เล่ห์กลมากมาย เขาคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? คิดว่าผู้อื่นล้วนตาบอดกระนั้นหรือ!?”หลี่อิ๋นหู่ที่อยู่ในสภาพคล้ายคนเสียสติ กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ซานเป่าเพียงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จ้าวอ๋อง อย่าได้ทำตัวไร้สาระต่อหน้าฝูงชนไปมากกว่านี้เลย มีประโยชน์อันใด? หากพูดถึงเรื่องฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแล้ว จะมีผู้ใดเลือดเย็นและเหี้ยมโหดไปมากกว่าท่านที่ลงมือสังหารน้องชายแท้ๆ ของตนเองอีกหรือ?”สิ้นคำ ซานเป่าดูเหมือนไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป เขาก้าวเท้าเดินตรงไปหาหลี่อิ๋นหู่ยิ่งเดินยิ่งเร่งฝีเท้า เพียงก้าวไม่กี่ครั้ง ก็เข้ามาอยู่ในระยะไม่ถึงสองจั้งจากหลี่อิ๋นหู่หวังฟู่ย่งเห็นซานเป่าเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของตนเอง และคิดจะลงมือจับกุมหลี่อิ๋นหู่ให้ได้ จึงหวาดกลัวจนแทบวิญญาณหลุดจากร่างภายในดวงตาของซานเป่าเต็มไปด้วยประกายคมกล้า เขารู้ดีว่าระยะห่างนี้เพียงพอให้ตนเองจัดการทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ“อย่าหวังเลย!”หลี่อิ๋นหู่ตะโกนลั่
สำหรับหลี่อิ๋นหู่ในยามนี้ เรื่องของแผนการในอนาคตหรือการรักษาสถานการณ์ให้อยู่ในมือ ล้วนไม่สำคัญอีกต่อไปสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ตรงหน้าเขารู้ดีว่าหากตนถูกจับตัวไปโดยไม่มีทางขัดขืน สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าคือหายนะอันมิอาจหลีกเลี่ยงถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่การแย่งชิงแผ่นดินกับองค์รัชทายาทเลย แม้แต่การมีชีวิตรอดไปจนเห็นแสงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาดังนั้นหลี่อิ๋นหู่จึงตัดสินใจทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตของตนเองและขั้นตอนแรก คือการทำให้หวังฟู่ย่งไม่สามารถเดินทางไปยังตำหนักบูรพาได้หวังฟู่ย่งมีสีหน้าลำบากใจ เขาพูดเสียงเบา “จ้าวอ๋อง ข้าน้อยเองก็ไม่อยากไป แต่หากข้าขัดขืนคำสั่งของตำหนักบูรพาตรงๆ เกรงว่าเหล่าหน่วยบูรพาจะมีข้ออ้างในการสังหารข้า ณ ที่นี้ทันที ถึงตอนนั้นเราทั้งสองคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่าเดิม”“เช่นนั้นแล้ว จ้าวอ๋องโปรดเดินทางไปกับข้าก่อน แล้วค่อยดูสถานการณ์เป็นขั้นๆ หากแย่ที่สุด อย่างน้อยเราก็สามารถถ่วงเวลาให้ผู้อาวุโสได้เตรียมการรองรับไว้ ผู้อาวุโสไม่มีทางนั่งมองให้จ้าวอ๋องถูกตำหนักบูรพากลืนกินไปแน่”“เจ้าหุบป
เพียงแค่เป็นบุคคลสำคัญผู้มีอำนาจ ย่อมต้องมีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองคนที่มีสถานะพิเศษอยู่เคียงข้างเช่น ซานเป่าผู้ติดตามข้างกายฮ่องเต้องค์ก่อน หรือวั่นเจียวเจียวที่อยู่เคียงข้างหลี่เฉินในตอนนี้วั่นเจียวเจียว แม้จะมีตำแหน่งเป็นข้าราชสำนักสตรี แต่เมื่อครั้งที่ได้รับเลือกให้ติดตามหลี่เฉิน นางก็ไม่ได้ถูกบรรจุเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักต้าฉินกล่าวคือ วั่นเจียวเจียวไม่มีตำแหน่ง ไม่มีฐานะขุนนางในระบบหากจะกล่าวให้ถูกต้อง วั่นเจียวเจียวขึ้นตรงต่อตำหนักบูรพา ได้รับเงินเดือนจากตำหนักบูรพา และหน้าที่ของนางโดยแท้จริงก็คือการรับใช้ข้างกายองค์รัชทายาทแต่เพราะนางอยู่ใกล้ชิดองค์รัชทายาท วันหนึ่งสิบสองชั่วยาม นอกจากเวลานอนแล้ว นางแทบไม่ห่างจากพระองค์เลย ดังนั้น แม้จะไม่มีตำแหน่งเป็นทางการ แต่กลับเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากไม่มีผู้ใดอยากขัดใจคนที่ติดตามองค์รัชทายาทตลอดเวลา เผลอๆ ในช่วงเวลาสำคัญ นางอาจกล่าวเพียงประโยคเดียวก็สามารถกำหนดชะตาชีวิตผู้คนได้ยิ่งไปกว่านั้น หากวั่นเจียวเจียวปรากฏตัวอยู่ที่ใด ก็เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนขององค์รัชทายาท คำพูดของนาง ย่อมศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใดวั่นเจียวเจียวม