“รายงานท่านจอมพล เราได้ทำการตรวจนับสนามรบเสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้กองทัพของพวกเรามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3,600 คน บาดเจ็บสาหัสกว่า 700 คน และมีผู้เสียชีวิตในการรบ 4,200 คน ส่วนฝ่ายศัตรูถูกสังหารรวมกว่า 10,000 คน จำนวนธัญพืชและสัมภาระที่ยึดได้ สามารถใช้เลี้ยงกองทัพพวกเราได้หกวัน”หลังจากฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ซูผิงเป่ยก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจเวลานี้เขานั่งอยู่ในกระโจมหลัก ขนาบด้วยแม่ทัพใต้บัญชาการทั้งซ้ายขวา ทุกคนต่างค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้“หนึ่งแลกสาม แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ดีเท่ากับตอนที่จักรวรรดิอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ แต่ผลการรบในตอนนี้ก็นับว่าไม่แย่” รองแม่ทัพคนสนิทที่ติดตามซูผิงเป่ยจากเมืองหลวงมาได้เปิดปากกล่าว“ในช่วงเวลานั้น? ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น แค่กองทัพของพวกเรามาถึง พวกตงอิ๋งก็คงโยนหมวกถอดเกราะยอมแพ้ไปนานแล้ว” ซูผิงเป่ยถอนหายใจและกล่าวว่า “ตอนนี้กองทัพของเราได้เข้าสู่เสียนเฉาและต่อสู้มาหลายวันแล้ว ถึงแม้ว่าจะกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียไปในเสียนเฉาได้เป็นจำนวนมาก แต่เมืองหลวงของเสียนเฉายังอยู่ภายใต้การควบคุมของตงอิ๋ง”“เมื่อเช้าเชื้อพระวงศ์เสียนเฉามาที่นี่อีกครั้ง
แผนการรบของซูผิงเป่ยไม่ได้เหนือชั้นอะไรนัก แต่การกรีฑาทัพทำสงคราม ขอเพียงสามารถเอาชนะได้ก็พอแล้ว ในบางครั้ง ชัยชนะก็มาจากแผนการเลิศล้ำเสียที่ไหนอย่างไรก็ตาม แม้แผนการรบนี้ดูเสถียรภาพมาก แต่ก็ยังเผยข้อบกพร่องใหญ่อยู่ ทันใดนั้นรองแม่ทัพก็สังเกตเห็นจุดนี้ เขากล่าวว่า “จอมพลซู ข้าน้อยคิดว่านี่ไม่เหมาะสม”“ถ้าแยกทหารม้าเบาและทหารราบชั้นยอด 10,000 นายออกไป กำลังรบที่เหลือของกองทัพจะอ่อนแอกว่ากองทัพตงอิ๋งอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น จอมพลซูยังเป็นผู้นำทัพบุกโจมตีด้วยตัวเอง ถ้าหากแผนการนี้ถูกตงอิ๋งมองขาดล่วงหน้า พวกเขาอาจจะมารวมตัวกันและบุกโจมตีทัพหลักของพวกเรา หากเป็นเช่นนั้นจะอันตรายมาก ท่านจอมพลโปรดใคร่ครวญอีกครั้งเถิด”ซูผิงเป่ยโบกมือแล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า “การกรีฑาทัพทำสงครามจะไม่มีความเสี่ยงได้อย่างไรกัน? คนที่มาในสนามรบไม่ใช่คนที่แสวงหาความสงบสุข หากต้องการความสงบและความมั่นคง ก็กลับบ้านไปนอนกอดภรรยาจะดีกว่า ใยต้องมาที่สนามรบเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ?”“ข้าตัดสินใจแล้ว หากแผนการรบครั้งนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ความเสี่ยงที่เจ้าพูดถึงก็จะไม่มี ทุกท่านไม่ต้องพูดอีกแล้ว”“ยิ่งไปกว่านั้น
“แม่ทัพใหญ่ซูห่วงใยลูกดุจไข่มุกบนฝ่ามือ”หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้[footnoteRef:1] ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปรารถนาอันแรงกล้าของบิดาอย่างท่านเลย” [1: เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้ หมายถึง เมื่ออยู่ในสนามรบ อำนาจของแม่ทัพอยู่เหนือกษัตริย์ ] “นับตั้งแต่ซูผิงเป่ยเข้าสู่เสียนเฉา เขาก็ผ่านศึกสงครามน้อยใหญ่มาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งล้วนประสบความสำเร็จ”“แม้ว่าตงอิ๋งจะอ่อนแอ แต่การที่สามารถเอาชนะติดต่อกันได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ซูผิงเป่ยมีความสามารถมากกว่าที่เราคิด ในเมื่อเขาเต็มใจที่จะเสี่ยง เราก็อาจปล่อยให้เขาลองได้เช่นกัน”เมื่อดูแผนการรบ หลี่เฉินก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คิดจะสู้ชี้ขาด มีทั้งความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยว การปล่อยให้เขาลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”“สิ่งที่ราชสำนักขาดไปในตอนนี้ไม่ใช่แม่ทัพ แต่เป็นแม่ทัพอายุน้อย มุ่งมั่น และกล้าได้กล้าเสียอย่างซูผิงเป่ย” เมื่อเห็นหลี่เฉินพูดเช่นนั้น ซูเจิ้นถิงก็ไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นซูเจิ้นถิงกำลังขมวดคิ้ว หลี่เฉินก็กล่าวด้ว
คำพูดของหลี่เฉินเหมือนเป็นการหยอกล้อ มากกว่าจะไปคารวะจ้าวชิงหลานจริงๆจ้าวชิงหลานเข้าใจได้ทันที ดวงตาหางหงส์ของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ในขณะจะระเบิดอารมณ์ออกมานั้น หลี่เฉินกลับหัวเราะเบาๆ และเดินไปที่แท่นบรรทมซึ่งองค์จักรพรรดิกำลังบรรทมอยู่ โดยไม่เปิดโอกาสให้จ้าวชิงหลานได้ระบายโทสะ จ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ไม่สามารถแสดงอาการออกมาได้ ซึ่งทำให้นางยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ตอนนี้เอง หลี่เฉินได้มาถึงด้านหน้าของแท่นบรรทมแล้ว องค์จักรพรรดิบนแท่นบรรทมก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อน ยกเว้นว่าเขาผอมลงเล็กน้อย ตอนนี้เขาก็ดูไม่ต่างจากผู้ประสบภัยข้างทางที่หลี่เฉินเคยเห็นถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความรักระหว่างพ่อลูกกับพ่อราคาถูกคนนี้ แต่ตอนนี้ หลี่เฉินเป็นคนที่อยากให้จักรพรรดิตายน้อยที่สุด ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วทันทีและพูดว่า “เหตุใดเสด็จพ่อถึงผอมลงเช่นนี้? พวกเจ้าปรนนิบัติรับใช้เสด็จพ่ออย่างไร?”เมื่ออำนาจของตำหนักบูรพาขยายตัว พลังของหลี่เฉินก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแค่ประโยคสั้นๆ ก็ทำให้นางกำนัลและหมอหลวงซึ่งรับผิดชอบในการปรนนิบัติรับใช้องค์จักรพรรดิหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าลง“ฝ่าบาทโ
“เสด็จแม่ ลูกคารวะเสด็จพ่อเสร็จแล้ว ตอนนี้ให้ลูกไปส่งเสด็จแม่กลับตำหนักดีหรือไม่?”หลี่เฉินหันกลับมาพูดกับจ้าวชิงหลานเมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนี้ พวกเขาแค่รู้สึกว่าองค์รัชทายาททรงกตัญญู แต่จ้าวชิงหลานรู้ว่าในท้องของหลี่เฉินเต็มไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี และไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดเมื่อเห็นผู้คนรอบข้างยกย่องหลี่เฉิน จ้าวชิงหลานก็รู้สึกแค้นใจจนแทบคลั่งใบหน้าสวยพลันเย็นชาราวกับมีชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่ จ้าวชิงหลานกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ไม่จำเป็น องค์รัชทายาทมีราชกิจมากมายที่ต้องจัดการ เช่นนั้นก็รีบไปจัดการเถอะ” พูดจบ จ้าวชิงหลานก็หมุนตัวเดินออกไป หลี่เฉินก้าวตามทันและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในฐานะบุตรชาย ส่งเสด็จแม่กลับพระตำหนักแล้วค่อยไปสะสางราชกิจก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นหลี่เฉินตอแยไม่เลิก จ้าวชิงหลานก็ยิ่งโมโห ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด กลับได้ยินหลี่เฉินกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่ากั๋วจิ้วเหยีย ได้เข้าร่วมสมาคมที่เรียกว่าสมาคมเหวินหยวนเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากการสืบสวนของหน่วยบูรพาก็พบว่า สมาคมนี้จัดกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมตลอดทั้งวัน สมาคมาดังกล่าวไม่คิดจะรับใช้ประเทศ แต่กลับหารือเรื่องกิจของรัฐได้ทุ
จ้าวชิงหลานรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกหลี่เฉินปั่นหัว การถูกบดขยี้สติปัญญาเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธเป็นพิเศษ “ก็เจรจากันได้”หลี่เฉินดูเหมือนจะไม่กลัวถูกน้ำเดือดลวก เขากางมือแล้วพูดว่า “สมาคมเหวินหยวนจะถูกลงดาบอย่างแน่นอน แต่เมื่อไหร่ เคลื่อนไหวอย่างไร แล้วจะจัดการกับผู้นำสมาคมอย่างจ้าวไท่ไหลเช่นไรนั้น ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ”“หากฮองเฮาทรงมีความคิดดีๆ ก็สามารถพูดให้ข้าฟังได้”จ้าวชิงหลานอ่านสีหน้าของหลี่เฉินออก จึงกล่าวหัวเราะเยาะไปว่า “พูดให้ฟัง? ถ้ามันสอดคล้องกับความปรารถนาของเจ้า เจ้าก็จะรับฟัง แต่ถ้าหากไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของเจ้า เจ้าก็จะบอกว่าวังหลังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ใช่หรือไม่?” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ “เสด็จแม่ทรงพระปรีชา”“หลี่เฉิน!”จ้าวชิงหลานไม่สามารถระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านได้อีกต่อไป นางกัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าอยากจะดูสิว่า เจ้าจะหยิ่งผยองไปได้อีกนานแค่ไหน เจ้าทั้งสวนกระแสทั้งหุนพลันแล่นเช่นนี้ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ยิ่งไม่เห็นหัวเหล่าขุนนางอยู่ในสายตา เจ้าอย่าลืมไปว่า ทุกอย่างย่อมต้องถึงเวลาชำระสะสาง”“ชำระสะสาง”หลี่เฉินกล่า
ทันใดนั้นหลี่เฉินก็ชี้ไปที่นางกำลังซึ่งอยู่ด้านหลังของหลี่อิ๋นหู่ และบอกให้นางเดินเข้ามาหา นอกจากหลี่อิ๋นหู่แล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและรู้สึกสงสัยในทางกลับกัน หลี่อิ๋นหู่กลับรู้สึกหวาดกลัวมากจนเหงื่อแตก เขาไม่เคยคาดหวังว่า หลี่เฉินจะสังเกตเห็นข้อบกพร่องก่อนที่สตรีศักดิ์สิทธิ์จะลงมือ ในเวลานี้ สมองของหลี่อิ๋นหู่ก็พลันวุ่นวาย ท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ข้างหลังเขา นางกำนัลคนนั้นก็ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ “หยุดอยู่ตรงนั้น” จู่ๆ หลี่เฉินก็พูดขึ้นมา “หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเข้ามาใกล้”อันที่จริงแล้ว หลี่เฉินไม่ได้ตระหนักว่านางกำนัลที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ปลอมตัวมาท้ายที่สุดแล้ว นางกำนัลคนนี้ก็เปลี่ยนใบหน้าด้วยศิลปะการปลอมตัว ทำให้ใบหน้าของนางดูธรรมดา ซึ่งใบหน้าดังกล่าวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างกันราวฟ้ากับเหวแต่เมื่อผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้ว ทั้งยังหนีพ้นเงื้อมมือของสตรีศักดิ์สิทธิ์ หลี่เฉินก็รู้สึกว่านางกำนัลคนนี้มีบางอย่างที่ผิดปรกติ และเป็นบางอย่างที่เขารู้สึกคุ้นเคยมาก่อน แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเขาไม่เคยพูดคุย
ความรู้สึกที่ตกอยู่ในอันตรายอันแรงกล้า ทำให้หลี่เฉินรู้สึกเหมือนกับว่าเขาตกลงไปในถ้ำงู ทั่วทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยงูพิษที่เย็นชา และพยายามจะกัดเขาซึ่งถ้าหากโดนกัด เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน จากหางตาของเขา เขามองเห็นฝ่ามือทั้งสองของสตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังส่งเสียงครั่นครื้นดุจฟ้าร้อง ฝ่ามือแรกกระแทกใส่ที่ด้านหลังของหลี่อิ๋นหู่ทันใดนั้นใบหน้าของหลี่อิ๋นหู่ก็พลันซีดเผือด เขากระอักเลือดออกมาทางปาก ในขณะที่ร่างกายก็กระเด็นออกไปเหมือนว่าวขาดสายป่าน โจมตีได้ดี โจมตีถึงตายได้ยิ่งดี! นี่เป็นแวบแรกที่หลี่เฉินคิด ในขณะที่เขาคิดว่าฝ่ามือที่สองนั้นจะฟาดใส่ร่างกายของเขาแต่สิ่งที่แปลกก็คือฝ่ามือนี้ไม่ได้โจมตีเขา แต่มุ่งเป้าไปที่จ้าวชิงหลานซึ่งยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆ เขา!ในเสี้ยววินาที หลี่เฉินไม่มีเวลามาใคร่ครวญว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องการจะฆ่าจ้าวชิงหลาน แต่ด้วยสัญชาตญาณทั้งหมด เขาจึงคว้าแขนของจ้าวชิงหลานแล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนของเขา และกอดนางไว้แน่นแม้จะล่าช้าไปเล็กน้อย แต่พลังฝ่ามือนั่นก็ฟาดใส่หลี่เฉินและจ้าวชิงหลาน ส่งพวกเขาทั้งสองคนกระเด็นออกไปพร้อมกัน หลี่เฉินรู้สึกว่าไหล่ข