“แม่ทัพใหญ่ซูห่วงใยลูกดุจไข่มุกบนฝ่ามือ”หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้[footnoteRef:1] ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปรารถนาอันแรงกล้าของบิดาอย่างท่านเลย” [1: เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้ หมายถึง เมื่ออยู่ในสนามรบ อำนาจของแม่ทัพอยู่เหนือกษัตริย์ ] “นับตั้งแต่ซูผิงเป่ยเข้าสู่เสียนเฉา เขาก็ผ่านศึกสงครามน้อยใหญ่มาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งล้วนประสบความสำเร็จ”“แม้ว่าตงอิ๋งจะอ่อนแอ แต่การที่สามารถเอาชนะติดต่อกันได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ซูผิงเป่ยมีความสามารถมากกว่าที่เราคิด ในเมื่อเขาเต็มใจที่จะเสี่ยง เราก็อาจปล่อยให้เขาลองได้เช่นกัน”เมื่อดูแผนการรบ หลี่เฉินก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คิดจะสู้ชี้ขาด มีทั้งความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยว การปล่อยให้เขาลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”“สิ่งที่ราชสำนักขาดไปในตอนนี้ไม่ใช่แม่ทัพ แต่เป็นแม่ทัพอายุน้อย มุ่งมั่น และกล้าได้กล้าเสียอย่างซูผิงเป่ย” เมื่อเห็นหลี่เฉินพูดเช่นนั้น ซูเจิ้นถิงก็ไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นซูเจิ้นถิงกำลังขมวดคิ้ว หลี่เฉินก็กล่าวด้ว
คำพูดของหลี่เฉินเหมือนเป็นการหยอกล้อ มากกว่าจะไปคารวะจ้าวชิงหลานจริงๆจ้าวชิงหลานเข้าใจได้ทันที ดวงตาหางหงส์ของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ในขณะจะระเบิดอารมณ์ออกมานั้น หลี่เฉินกลับหัวเราะเบาๆ และเดินไปที่แท่นบรรทมซึ่งองค์จักรพรรดิกำลังบรรทมอยู่ โดยไม่เปิดโอกาสให้จ้าวชิงหลานได้ระบายโทสะ จ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ไม่สามารถแสดงอาการออกมาได้ ซึ่งทำให้นางยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ตอนนี้เอง หลี่เฉินได้มาถึงด้านหน้าของแท่นบรรทมแล้ว องค์จักรพรรดิบนแท่นบรรทมก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อน ยกเว้นว่าเขาผอมลงเล็กน้อย ตอนนี้เขาก็ดูไม่ต่างจากผู้ประสบภัยข้างทางที่หลี่เฉินเคยเห็นถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความรักระหว่างพ่อลูกกับพ่อราคาถูกคนนี้ แต่ตอนนี้ หลี่เฉินเป็นคนที่อยากให้จักรพรรดิตายน้อยที่สุด ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วทันทีและพูดว่า “เหตุใดเสด็จพ่อถึงผอมลงเช่นนี้? พวกเจ้าปรนนิบัติรับใช้เสด็จพ่ออย่างไร?”เมื่ออำนาจของตำหนักบูรพาขยายตัว พลังของหลี่เฉินก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแค่ประโยคสั้นๆ ก็ทำให้นางกำนัลและหมอหลวงซึ่งรับผิดชอบในการปรนนิบัติรับใช้องค์จักรพรรดิหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าลง“ฝ่าบาทโ
“เสด็จแม่ ลูกคารวะเสด็จพ่อเสร็จแล้ว ตอนนี้ให้ลูกไปส่งเสด็จแม่กลับตำหนักดีหรือไม่?”หลี่เฉินหันกลับมาพูดกับจ้าวชิงหลานเมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนี้ พวกเขาแค่รู้สึกว่าองค์รัชทายาททรงกตัญญู แต่จ้าวชิงหลานรู้ว่าในท้องของหลี่เฉินเต็มไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี และไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดเมื่อเห็นผู้คนรอบข้างยกย่องหลี่เฉิน จ้าวชิงหลานก็รู้สึกแค้นใจจนแทบคลั่งใบหน้าสวยพลันเย็นชาราวกับมีชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่ จ้าวชิงหลานกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ไม่จำเป็น องค์รัชทายาทมีราชกิจมากมายที่ต้องจัดการ เช่นนั้นก็รีบไปจัดการเถอะ” พูดจบ จ้าวชิงหลานก็หมุนตัวเดินออกไป หลี่เฉินก้าวตามทันและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในฐานะบุตรชาย ส่งเสด็จแม่กลับพระตำหนักแล้วค่อยไปสะสางราชกิจก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นหลี่เฉินตอแยไม่เลิก จ้าวชิงหลานก็ยิ่งโมโห ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด กลับได้ยินหลี่เฉินกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่ากั๋วจิ้วเหยีย ได้เข้าร่วมสมาคมที่เรียกว่าสมาคมเหวินหยวนเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากการสืบสวนของหน่วยบูรพาก็พบว่า สมาคมนี้จัดกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมตลอดทั้งวัน สมาคมาดังกล่าวไม่คิดจะรับใช้ประเทศ แต่กลับหารือเรื่องกิจของรัฐได้ทุ
จ้าวชิงหลานรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกหลี่เฉินปั่นหัว การถูกบดขยี้สติปัญญาเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธเป็นพิเศษ “ก็เจรจากันได้”หลี่เฉินดูเหมือนจะไม่กลัวถูกน้ำเดือดลวก เขากางมือแล้วพูดว่า “สมาคมเหวินหยวนจะถูกลงดาบอย่างแน่นอน แต่เมื่อไหร่ เคลื่อนไหวอย่างไร แล้วจะจัดการกับผู้นำสมาคมอย่างจ้าวไท่ไหลเช่นไรนั้น ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ”“หากฮองเฮาทรงมีความคิดดีๆ ก็สามารถพูดให้ข้าฟังได้”จ้าวชิงหลานอ่านสีหน้าของหลี่เฉินออก จึงกล่าวหัวเราะเยาะไปว่า “พูดให้ฟัง? ถ้ามันสอดคล้องกับความปรารถนาของเจ้า เจ้าก็จะรับฟัง แต่ถ้าหากไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของเจ้า เจ้าก็จะบอกว่าวังหลังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ใช่หรือไม่?” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ “เสด็จแม่ทรงพระปรีชา”“หลี่เฉิน!”จ้าวชิงหลานไม่สามารถระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านได้อีกต่อไป นางกัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าอยากจะดูสิว่า เจ้าจะหยิ่งผยองไปได้อีกนานแค่ไหน เจ้าทั้งสวนกระแสทั้งหุนพลันแล่นเช่นนี้ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ยิ่งไม่เห็นหัวเหล่าขุนนางอยู่ในสายตา เจ้าอย่าลืมไปว่า ทุกอย่างย่อมต้องถึงเวลาชำระสะสาง”“ชำระสะสาง”หลี่เฉินกล่า
ทันใดนั้นหลี่เฉินก็ชี้ไปที่นางกำลังซึ่งอยู่ด้านหลังของหลี่อิ๋นหู่ และบอกให้นางเดินเข้ามาหา นอกจากหลี่อิ๋นหู่แล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและรู้สึกสงสัยในทางกลับกัน หลี่อิ๋นหู่กลับรู้สึกหวาดกลัวมากจนเหงื่อแตก เขาไม่เคยคาดหวังว่า หลี่เฉินจะสังเกตเห็นข้อบกพร่องก่อนที่สตรีศักดิ์สิทธิ์จะลงมือ ในเวลานี้ สมองของหลี่อิ๋นหู่ก็พลันวุ่นวาย ท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ข้างหลังเขา นางกำนัลคนนั้นก็ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ “หยุดอยู่ตรงนั้น” จู่ๆ หลี่เฉินก็พูดขึ้นมา “หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเข้ามาใกล้”อันที่จริงแล้ว หลี่เฉินไม่ได้ตระหนักว่านางกำนัลที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ปลอมตัวมาท้ายที่สุดแล้ว นางกำนัลคนนี้ก็เปลี่ยนใบหน้าด้วยศิลปะการปลอมตัว ทำให้ใบหน้าของนางดูธรรมดา ซึ่งใบหน้าดังกล่าวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างกันราวฟ้ากับเหวแต่เมื่อผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้ว ทั้งยังหนีพ้นเงื้อมมือของสตรีศักดิ์สิทธิ์ หลี่เฉินก็รู้สึกว่านางกำนัลคนนี้มีบางอย่างที่ผิดปรกติ และเป็นบางอย่างที่เขารู้สึกคุ้นเคยมาก่อน แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเขาไม่เคยพูดคุย
ความรู้สึกที่ตกอยู่ในอันตรายอันแรงกล้า ทำให้หลี่เฉินรู้สึกเหมือนกับว่าเขาตกลงไปในถ้ำงู ทั่วทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยงูพิษที่เย็นชา และพยายามจะกัดเขาซึ่งถ้าหากโดนกัด เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน จากหางตาของเขา เขามองเห็นฝ่ามือทั้งสองของสตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังส่งเสียงครั่นครื้นดุจฟ้าร้อง ฝ่ามือแรกกระแทกใส่ที่ด้านหลังของหลี่อิ๋นหู่ทันใดนั้นใบหน้าของหลี่อิ๋นหู่ก็พลันซีดเผือด เขากระอักเลือดออกมาทางปาก ในขณะที่ร่างกายก็กระเด็นออกไปเหมือนว่าวขาดสายป่าน โจมตีได้ดี โจมตีถึงตายได้ยิ่งดี! นี่เป็นแวบแรกที่หลี่เฉินคิด ในขณะที่เขาคิดว่าฝ่ามือที่สองนั้นจะฟาดใส่ร่างกายของเขาแต่สิ่งที่แปลกก็คือฝ่ามือนี้ไม่ได้โจมตีเขา แต่มุ่งเป้าไปที่จ้าวชิงหลานซึ่งยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆ เขา!ในเสี้ยววินาที หลี่เฉินไม่มีเวลามาใคร่ครวญว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องการจะฆ่าจ้าวชิงหลาน แต่ด้วยสัญชาตญาณทั้งหมด เขาจึงคว้าแขนของจ้าวชิงหลานแล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนของเขา และกอดนางไว้แน่นแม้จะล่าช้าไปเล็กน้อย แต่พลังฝ่ามือนั่นก็ฟาดใส่หลี่เฉินและจ้าวชิงหลาน ส่งพวกเขาทั้งสองคนกระเด็นออกไปพร้อมกัน หลี่เฉินรู้สึกว่าไหล่ข
แต่ลึกลงไปในใจของหลี่เฉิน เขายังคงมีข้อสงสัยสองฝ่ามือของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ฝ่ามือแรกฟาดไปที่หลี่อิ๋นหู่ ฝ่ามือสองฟาดไปที่จ้าวชิงหลาน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่เป้าหมายในการลอบสังหารนาง เหตุผลที่เขาได้รับบาดเจ็บก็เพราะช่วยจ้าวชิงหลานไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะหลบพ้นสิ่งนี้ทำให้ดวงตาของหลี่เฉินมืดลง และครุ่นคิดถึงจุดประสงค์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้เองคำพูดของซานเป่าก็ขัดจังหวะความคิดของหลี่เฉิน“บ่าวจะส่งผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดไปตามล่า บ่าวบังอาจถามฝ่าบาทว่าต้องการใช้กฎอัยการศึกหรือไม่” “ไม่ต้อง”หลี่เฉินหายใจออกมาและพูดว่า “คราวนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้ว คราวนี้มีเพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หากนางต้องการจะหนี ผู้เชี่ยวชาญธรรมดาก็ไม่สามารถหานางเจอ ส่งไปไล่ล่าก็เหมือนส่งไปตายเปล่า” ซานเป่ากัดฟันแล้วพูดว่า “ต้องโทษบ่าวที่ไม่มีทักษะแยกร่าง มิฉะนั้นบ่าวจะไล่ล่านางด้วยตัวเอง”“แล้วหลี่อิ๋นหู่ล่ะ?” หลี่เฉินถามอย่างเย็นชา “ทูลฝ่าบาท ตอนนี้จ้าวอ๋องหมดสติอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ซานเป่าตอบ “จับตาดูเขาให้ดี เมื่อเขาตื่นแล้ว ให้ส่งเขาไปที่ตำหนักบูรพาในทันที” หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “ข้ามีข้อสง
“ว่าอย่างไร? ยังจะงงอะไรอีก?”หลี่เฉินขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของผู้คนรอบตัวเขาเมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ทุกคนก็รีบก้มหน้าลงและหันหน้าหนีราวกับว่าพวกเขาไม่สมควรมองท้ายที่สุดแล้ว กฎเกณฑ์ถูกกำหนดโดยมนุษย์ และมนุษย์ก็ปฏิบัติตาม แต่ถ้าหากองค์รัชทายาททรงคิดว่าไม่ปัญหา แล้วพวกเขาจะกล้าพูดอะไรอีก? องค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา มีสถานะอยู่เหนือกฎเกณฑ์อย่างเห็นได้ชัดหมอหลวงเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง เขาจับชีพจรของหลี่เฉินก่อน จากนั้นจึงเลิกเสื้อผ้าของหลี่เฉินขึ้นเพื่อตรวจดูบาดแผล หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ประสานมือกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระโลหิตของพระองค์กำลังเดือดพล่าน แต่ด้วยสวรรค์คุ้มครอง พระองค์ยังทรงเยาว์วัยและพระพลานามัยแข็งแรง ควรได้รับการดูแลอย่างระมัดระวังจากผู้เชี่ยวชาญอย่างพวกเรา อาการบาดเจ็บในครั้งนี้เป็นเพียงอาการบาดเจ็บทางกาย แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐาน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”“เพียงแต่...ฝ่าบาททรงมีสถานะสูงศักดิ์ เมื่อพิจารณาจากอาการบาดเจ็บของฮองเฮาแล้ว ถือเป็นโชคดีจริงๆ ที่เลี่ยงจุดสำคัญมาได้ หากขยับลงกว่านี้อีกเล็กน้อย กระหม่อมก็ไม่กล้าจะคิด ดังนั้นกระ
เมื่อถูกหลี่เฉินจับยกขึ้นไว้ ชายหนุ่มคนนั้นถึงกับชาดิกทั้งตัวเขามองหลี่เฉินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ขาทั้งสองอ่อนแรงจนเกือบทรุดลง หากไม่ใช่เพราะหลี่เฉินจับคอเสื้อไว้ เขาคงคุกเข่าลงกับพื้นไปแล้ว“ขะ...ข้า...”เขาอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายได้แต่หันไปมองจ้าวไท่ไหลด้วยสีหน้าอ้อนวอนและพูดเสียงเบาว่า “พี่จ้าว ช่วยข้าด้วย”จ้าวไท่ไหลขนลุกวาบเขาเป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่เฉินดี และการจะช่วยชายหนุ่มคนนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนนี้จ้าวไท่ไหลอยากจะชกเจ้าคนโง่ที่ดึงเขามาเดือดร้อนนี้ให้ตายไปเสีย“อย่าหวังให้เขาช่วยเจ้าเลย ตอนนี้ตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด”หลี่เฉินปล่อยคอเสื้อชายหนุ่มลง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้รับแขก ไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ แล้วกล่าวเรียบ ๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งหมด ไปคุกเข่าเรียงกันที่หน้าประตูร้าน คอยจับตาดูกันเอง ใครลุกขึ้นหรือขยับตัวผิดปกติ ให้คนที่รายงานกลับได้ ส่วนคนที่ถูกรายงาน ให้ลากออกไปทุบให้ตายซะ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มในกลุ่มเขียวคล้ำการที่ต้องไปคุกเข่าหน้าร้านหลันเยว่เซวียนให้คนทั้งถนนเห็น คงเป็นเรื่องที่เสียหน้าอย่างร้ายแรงสองคนใน
จ้าวไท่ไหลคิดจะหลบหนี แต่หลี่เฉินไม่มีทางปล่อยให้เขาไปง่ายๆหลี่เฉินยกมือวางบนบ่าของจ้าวไท่ไหล พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตร “ทำตัวอวดดีแล้วคิดจะหนีไปง่ายๆ? ใต้หล้านี้มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”จ้าวไท่ไหลตัวสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ขณะพูดว่า “ข้า...ข้ามีตาหามีแววไม่...”หลี่เฉินตบไหล่จ้าวไท่ไหลเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “เมื่อครู่เจ้ากร่างมากไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงดูขลาดเขลาไปล่ะ?”“ทำต่อสิ”“คนสุดท้ายที่พูดกับข้าเช่นเจ้า ข้าตัดหัวเขาเองกับมือ”หลี่เฉินยิ้มสดใสให้จ้าวไท่ไหล แต่คำพูดของเขาเย็นชาอย่างน่าสะพรึง “เจ้าก็อยากลองดูบ้างหรือ?”ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกจ้าวไท่ไหลตบหน้าไปก่อนหน้านี้ ยังคงโมโห แต่ไม่กล้าหันไปหาเรื่องจ้าวไท่ไหล จึงพาลไม่พอใจหลี่เฉินแทน“เจ้าเป็นใครกันแน่…”เพี๊ยะ!หลี่เฉินสวนกลับด้วยการตบหน้าชายหนุ่มคนดังกล่าว ทำให้เขาสงบปากได้ทันทีชายหนุ่มที่เพิ่งถูกตบหน้าทั้งซ้ายขวาภายในเวลาไม่นาน ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขามีรอยฝ่ามือที่ชัดเจนความเจ็บปวดร้อนผ่าวทำให้เขาสร่างเมาไปไม่น้อย เมื่อเขามองดูจ้าวไท่ไหลที่ไม่กล้าแม้แต่จะเ
เมื่อได้ยินเสียงนั้น จ้าวไท่ไหลรู้สึกคุ้นเคยทันทีแต่ไม่ว่าจะพยายามคิดแค่ไหน เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ใดฤทธิ์สุราทำให้ความคิดไม่แจ่มชัด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เปิดปากด่าทันที “ใครมันไม่เจียมตัวมาพูดพล่อยๆ ตรงนี้? เจ้ามีสิทธิ์พูดกับข้าหรือ? ออกมาให้ข้าต่อยจนฟันร่วงเดี๋ยวนี้!”พูดไม่ทันขาดคำ เขาก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตูชายผู้นั้นสวมชุดยาวสีขาวมุกทอด้วยไหมชั้นดี มวยผมทรงนักปราชญ์คาดด้วยปิ่นหยกขาวที่ประณีตงดงาม ไม่ฉูดฉาดแต่กลับดูสูงส่งและสมบูรณ์แบบเสื้อชั้นในสีขาวงาช้างกับเข็มขัดหยกยิ่งเสริมให้ชายผู้นั้นดูโดดเด่นราวกับเทพบุตรในภาพวาดเขามีท่วงท่าที่สง่างาม ร่างกายสูงโปร่ง บารมีล้นเหลือทุกสายตาที่มองเห็น ต่างอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความงามสง่าของชายผู้นี้แต่เมื่อจ้าวไท่ไหลเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น ความเมา ความไม่พอใจ และความหยิ่งยโสบนใบหน้าก็หายไปหมดสิ้นร่างของเขาแข็งทื่อเหมือนถูกจับจ้องโดยสัตว์ร้ายยุคดึกดำบรรพ์ ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อยจ้าวไท่ไหลไม่มีวันคาดคิดเลยว่าจะได้พบกับองค์รัชทายาทหลี่เฉินในที่แห่งนี้!เขารู้สึกเหมือนลมหายใจหยุดชะงัก ร่างกายช
ในยามปกติ ต่อให้ให้หลิวซือต๋าจะมีความกล้าเป็นสิบเท่า เขาก็ไม่กล้าล่วงเกินจ้าวไท่ไหลแต่เวลานี้สถานการณ์ต่างออกไปเมื่อเห็นน้องสาวของตนกำลังจะถูกลวนลาม เขาในฐานะพี่ชาย หากยังนิ่งเฉย ก็เหมือนหาความอับอายใส่ตัวเองยิ่งไปกว่านั้น หลิวซือต๋ารู้ดีว่าผู้มีอิทธิพลสูงสุดที่เป็นกำลังสำคัญของตระกูลกำลังมองสถานการณ์ทั้งหมดจากด้านนอกเขามั่นใจว่า หลิวซือฉุนน้องสาวของตน ย่อมเป็นที่โปรดปรานขององค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา มิฉะนั้นตระกูลหลิวจะได้ประโยชน์มากมายเช่นนี้ได้อย่างไรด้วยเหตุนี้ เขายิ่งไม่มีทางถอยหลังจ้าวไท่ไหลแล้วอย่างไร? ตระกูลของเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีวันเทียบเท่ากับองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาได้เมื่อข้อมือถูกจับ พร้อมกับคำพูดกระทบกระเทียบอย่างไม่อ้อมค้อมของหลิวซือต๋า ทำให้จ้าวไท่ไหลถึงกับอึ้ง“นี่! ตระกูลหลิวช่างกล้าจริงๆ นะ แม้แต่ข้าก็กล้าขวาง?!”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด ก่อนจะกระชากมือกลับ แล้วฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของหลิวซือต๋าอย่างแรงแรงตบทำให้หลิวซือต๋าหมุนไปครึ่งรอบ และเกือบล้มลงกับพื้นหลิวซือฉุนที่ยืนอยู่ใกล้รีบพุ่งเข้ามาพยุงพี่ชายด้วยความตกใจ เพื่อป้องกันไ
หลันเยว่เซวียนสาขานี้ ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนต่อแถวยาวเหยียด เมื่อครู่ก็ถูก "เชิญ" ออกจากร้านอย่างสุภาพหลันเยว่เซวียนที่บรรยากาศคึกคักเมื่อครู่นี้ ตอนนี้กลับเงียบสงัดจ้าวไท่ไหลนั่งอยู่บนเก้าอี้รับรอง ไขว่ห้างพลางรอเวลาให้สร่างเมาเหล่าคุณชายที่ติดตามเขามาด้วย พูดคุยหัวเราะเสียงดังอย่างไม่สนใจใคร อาศัยฤทธิ์สุรา สั่งเอาของกินของดื่มจากร้านมาวางเกลื่อนพื้น ราวกับเป็นของส่วนตัวไม่เพียงแค่ลุงสามแห่งตระกูลหลิว แม้แต่พนักงานคนอื่นๆ ในร้านต่างก็เดือดดาลในใจ แต่ไม่มีใครกล้าแสดงออก ได้แต่ยืนกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง ปล่อยให้พวกอันธพาลในคราบคุณชายเหล่านี้ทำตามใจเมื่อเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป จ้าวไท่ไหลพลันแค่นเสียงเย็นชาออกมา พลางพูดขึ้นช้าๆ “ดูเหมือนว่าพวกตระกูลหลิวจะไม่เห็นหัวข้าจริงๆ สินะ”พูดจบ เขาฟาดมือลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรง จนน้ำชาในถ้วยกระเด็นหกเลอะเทอะ“หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำให้หลันเยว่เซวียนหายไปจากเมืองหลวงได้จริงๆ!?”ลุงสามแห่งตระกูลหลิวรีบก้าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกล่าวอ้อนวอน “คุณชายจ้าว โปรดระงับโทสะ โปรดระงับโทสะเถิด ข้าน้อยได้ส่งคนไปแจ้งหัวหน้าตระกูลแล้ว นางก
ระบบเงินตราของจักรวรรดิต้าฉินยังคงมีเสถียรภาพโดยทั่วไป เงินหนึ่งพันอีแปะ หรือหนึ่งก้วนเงิน สามารถแลกได้หนึ่งตำลึงเงินต้นทุนการผลิตสบู่หนึ่งก้อนอยู่ที่หนึ่งตำลึงเงิน แต่เมื่อขายออกไป กลับได้กำไรถึงห้าเท่า โดยสบู่หนึ่งก้อนสร้างกำไรสุทธิถึงสี่ตำลึงเงิน ไม่เพียงแต่หลี่เฉินที่พอใจยิ่งนัก แม้แต่สมาชิกตระกูลหลิวเองก็ยังรู้สึกทึ่งพวกเขาทำการค้ามาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยพบธุรกิจใดที่ทำกำไรได้มหาศาลเช่นนี้มาก่อนที่สำคัญ ตอนนี้ความต้องการสบู่ในตลาดมีมากกว่าปริมาณที่ผลิตได้ ขายดีจนไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่หมดเพียงแค่ผลิตออกมาก็จะถูกซื้อหมดในทันทีเรื่องนี้แทบไม่ต่างจากการค้นพบภูเขาทองคำหลี่เฉินวางถ้วยชาลงก่อนพูดขึ้นว่า “ดีมาก จงรักษาสถานการณ์นี้ไว้ แต่อย่าเพิ่มกำลังการผลิตอีก รอจนช่างฝีมือของตระกูลหลิวชำนาญเสียก่อน แล้วค่อยเริ่มพัฒนาวิธีการผลิตใหม่สำหรับสบู่ราคาถูกที่เข้าถึงคนทั่วไปได้”หลิวซือฉุนตาเป็นประกาย กล่าวว่า “องค์ชายหมายความว่า ของหายากย่อมมีค่ามากใช่หรือไม่เพคะ?”หลี่เฉินยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวว่า “ของที่ดีเพียงใด หากมีมากเกินไปก็ย่อมหมดความน่าสนใจ สบู่ในราคาห้าตำลึงไม่ใช่ของถูก ยิ่
ความโกรธเกรี้ยวและการโจมตีอย่างกะทันหันของจ้าวไท่ไหล ทำให้ลุงสามแห่งตระกูลหลิวได้รับบาดเจ็บอย่างหนักท้องของเขาถูกเตะอย่างจังด้วยพลังอันมหาศาล ร่างกายที่ชราภาพอยู่แล้วไม่อาจทนรับไหว ขาทั้งสองถึงกับทรุดลงจนเข่ากระแทกพื้นเขาเอามือกุมท้อง ใบหน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด แต่ปากยังคงร้องขอความเมตตาไม่หยุด “คุณชายจ้าวโปรดอภัย โปรดอภัย ข้าน้อยจะรีบนำชาร้อนที่ดีที่สุดมาให้เดี๋ยวนี้”“ไม่ต้องแล้ว!”จ้าวไท่ไหลตั้งใจมาหาเรื่องตั้งแต่แรกอยู่แล้วที่พูดเรื่องชาไปก็แค่หาข้ออ้างเท่านั้นเขาแค่นเสียงเย็นชา “ตาแก่คนนี้ตาบอดหรืออย่างไร? หวังว่าคนในตระกูลหลิวของเจ้าจะไม่มีใครตาบอดเหมือนเจ้าอีก!”“ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ ให้เวลาเจ้าเพียงหนึ่งเค่อ รีบไปตามหัวหน้าตระกูลของเจ้ามา หากช้าแม้เพียงเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ข้าจะทำให้หลันเยว่เซวียนของตระกูลหลิวหายไปจากเมืองหลวงทันที!”“เข้าใจหรือไม่!?”ลุงสามแห่งตระกูลหลิวรู้ว่าวันนี้คงไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์ได้ง่ายๆ เขากัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดในท้อง ก่อนตอบด้วยเสียงแหบพร่า “เข้าใจแล้ว...เข้าใจแล้ว”เขาลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก โดยมีลูกจ้างร้านสองคนช่วยพยุง แม้พนัก
สิ่งที่เห็นย่อมเป็นสิ่งที่จริงแท้ เมื่อเห็นว่าหลันเยว่เซวียนมียอดขายที่ดีถึงเพียงนี้ ดวงตาของจ้าวไท่ไหลถึงกับแดงฉานด้วยความอิจฉา“ลูกค้าท่านนี้อยากได้อะไรหรือ? หากต้องการซื้อสบู่ ขอความกรุณาท่านลูกค้าไปต่อคิวด้านนอกด้วย”เด็กหนุ่มผู้ช่วยร้านคนหนึ่งเห็นจ้าวไท่ไหลพาผู้ติดตามวัยหนุ่มอีกสี่ห้าคนมาด้วย ทุกคนแต่งกายด้วยชุดหรูหราสะดุดตา ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่กล้าละเลย รีบเดินเข้ามายิ้มต้อนรับพลางกล่าวด้วยท่าทีสุภาพจ้าวไท่ไหลเหลือบมองเด็กหนุ่มคนนั้น ก่อนเดินลอยหน้าลอยตาไปนั่งลงบนเก้าอี้สำหรับรับรองแขก แล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้ามีธุระกิจใหญ่จะเจรจากับหลันเยว่เซวียน ตัวเจ้ายังไม่คู่ควรจะพูดกับข้า รีบไปเรียกเจ้าของร้านออกมา!”เด็กหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ แม้จะไม่พอใจกับท่าทีของจ้าวไท่ไหลที่ดูหยิ่งยโส แต่ด้วยความที่เขาเป็นเพียงลูกจ้างร้าน เขาจึงชินกับการเจอคนอย่างนี้มานานแล้ว และรู้ว่าตนไม่อาจมีปัญหากับคนที่แต่งกายสูงศักดิ์พวกนี้ได้ จึงรีบขานรับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปเรียกเจ้าของร้านไม่นานนัก ชายชราครึ่งร้อยผู้หนึ่งก็รีบร้อนเดินเข้ามาชายผู้นี้คือลุงสามแห่งตระกูลหลิวหลังจากโลดแล่นอยู่
“ไม่นานมานี้ ตระกูลหลิวต้องขายทรัพย์สินแทบทั้งหมดเพื่อหาเงินมาลงทุนในธนาคาร ถึงขั้นกลายเป็นเรื่องหัวเราะเยาะในเมืองหลวง หากองค์รัชทายาทตำหนักบูรพาให้ความสำคัญกับพวกเขาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นให้ตระกูลหลิวขายทรัพย์สินเช่นนั้นหรอก?”จ้าวไท่ไหลคิดว่าคำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผลถ้าองค์รัชทายาทตำหนักบูรพาให้ความสำคัญกับตระกูลหลิวจริงๆ ก็คงไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องขายทรัพย์สินจนหมดตัวคนพูดเริ่มยุแยงอีกครั้ง “พี่จ้าว สมมติว่าหากพ่อของท่าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโส ท่านพ่อของพวกข้าก็เป็นคนของผู้อาวุโสและกำลังต่อสู้กับตำหนักบูรพาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่หรือ หากท่านสามารถสร้างปัญหาให้ตระกูลหลิวได้ ก็เท่ากับช่วยตระกูลท่านไปในตัวมิใช่หรือ?”เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนกดเสียงต่ำลง “อีกอย่าง ท่านกำลังจะไปจินหลิงในเดือนหน้า ต่อให้มีเรื่องใหญ่ในเมืองหลวง ใครจะสนใจท่านล่ะ?”“หากได้สูตรมา ธุรกิจนี้ทำเงินได้ปีละน้อยสุดก็หลักล้านตำลึง”ยิ่งฟัง จ้าวไท่ไหลยิ่งรู้สึกหวั่นไหวโดยเฉพาะคำว่าธุรกิจปีละล้านตำลึง ทำให้เขาอดใจไม่ไหวอีกต่อไป“ไป! ไปพบกับตระกูลหลิวสักหน่อยดีกว่า!”จ้าวไท่ไหลวางแก้วสุราลงกับโต๊ะเสียงดัง ก่อนลุกขึ้นยืนเหล่าคุณชาย