คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จิตใจที่วุ่นวายของจ้าวชิงหลานระเบิดออกราวกับฟ้าร้อง ราวกับว่าหลายสิ่งหลายอย่างสว่างไสวด้วยสายฟ้าแลบทันใดนั้นสายตาหางหงส์ของนางก็พลันเย็นชา และปลดปล่อยจิตสังหารออกมา“เข้าใจแล้วใช่ไหม?”เมื่อเห็นท่าทางของจ้าวชิงหลาน หลี่เฉินก็รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจเขาอย่างชัดเจน“นักฆ่าไม่ลอบสังหารข้าหรือจ้าวเสวียนจี แต่เป็นเจ้า เพราะตอนนี้มีเพียงสองอย่างเท่านั้น ที่สามารถพลิกโต๊ะตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขาได้อย่างสมบูรณ์ อย่างแรกคือเสด็จพ่อทรงสวรรคต และข้าก็ขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งนั่นหมายความว่าจ้าวเสวียนจีจะไม่มีโอกาสเลย และเขาก็ทำได้เพียงเคลื่อนไหวอย่างสิ้นหวังเท่านั้น”“อย่างที่สองคือฮองเฮาสิ้นพระชนม์กะทันหัน หากเจ้าตาย ผู้ต้องสงสัยที่ใหญ่ที่สุดก็คือข้า ไม่ว่าจะมาจากความรู้สึกส่วนตัวหรือโอกาสในอนาคต บิดาของเจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อโค่นล้มข้า และแย่งชิงบัลลังก์”คำพูดที่น่าตกตะลึงหลุดออกมาจากปากของหลี่เฉินทีละประโยค แต่การแสดงออกของหลี่เฉินกลับสงบมาก ราวกับว่าเขากำลังพูดถึงบางสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา“สถานการณ์ปัจจุบัน สำนักราชเลขากับตำหนักบูรพาต่างฝ่ายต่างสูสีกัน เมื่อโต๊ะถูกพล
“หลี่เฉิน!”จ้าวชิงหลานต้องการต่อสู้ และต้องการจะผลักหลี่เฉินผู้ชั่วร้ายออกไป แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของนางแค่ขยับตัวนิดเดียวก็ปวดไปทั่วตัวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกแรงเลยทันใดนั้นนางก็รู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อยไม่มีใครอยู่รอบๆ และผู้คนข้างนอกก็ไม่กล้าเข้ามาหากหลี่เฉินเกิดบ้าขึ้นมา และคิดจะทำอะไรนางที่นี่ ตัวนางเองก็คงจะไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้าน “หากเจ้าทำอะไรข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”“ฟังดูคุกคามดี”น้ำเสียงของหลี่เฉินติดจะดูเหยียดหยามคล้ายกับพวกจอมยุทธ์ในยุทธภพพวกนั้นเขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แต่ใช้ไม่ได้ผลกับข้า”“มันจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างไหม หากข้าบอกว่าข้าไม่คิดจะทำอะไรเลย?”“เมื่อครู่ข้าช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ แต่เจ้าก็ยังคงมีทัศนคติกับข้าเช่นนี้”“ในเมื่อเจ้าบอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แล้วทำไมข้าถึงไม่ทำอะไรให้มันถูกต้องไปเลยล่ะ?”“อย่างน้อย ข้าก็ยังสามารถมีความสุขได้นี่ ใช่หรือไม่?”ขณะที่หลี่เฉินกำลังพูด เขาก็ยกมือข้างที่ว่างขึ้นมา แล้วใช้หลังมือลูบใบหน้าที่นุ่มนวลและเรียบเนียนของจ้าวชิงหลานเบาๆสัมผัสอันละเอียดอ่อน ทำให้หลี่เฉิน
เมื่อผู้ชายถึงขั้นอันธพาลแล้ว อย่าคาดหวังว่ามารยาททางโลกจะมีผลกับเขายิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของผู้ชายคนนี้ก็สามารถก้าวข้ามมารยาททางโลกได้ไกลกว่าคนอื่นได้จ้าวชิงหลานซึ่งสูญเสียความสามารถในการต้านทาน ก็ใกล้จะหมดหวังเต็มทีด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง นางรู้สึกได้ถึงความเป็นสัตว์ป่าที่แฝงอยู่ในเสียงหอบหายใจที่เริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ของชายคนนี้ นั่นคือแรงกระตุ้นโดยสัญชาตญาณทางชีววิทยาของผู้ชายนางกลัวกลัวแล้วจริงๆและในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องที่น่าสังเวชอย่างยิ่งดังมาจากด้านนอกประตู“พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! ข้าสมควรตาย ข้าอยากจะขอขมาเสด็จแม่ต่อหน้าแล้วค่อยตาย!”เสียงร้องอย่างกะทันหันและน่าสังเวชนี้ ได้ทำลายบรรยากาศในตำหนักเฟิ่งสี่โดยสิ้นเชิงดวงตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยจิตสังหาร ตอนนี้เขาแทบอยากจะสั่งให้ซานเป่าฆ่าไอ้สุนัขหลี่อิ๋นหู่ตัวนี้ซะแต่สำหรับจ้าวชิงหลานแล้ว นางรู้สึกขอบคุณกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลี่อิ๋นหู่ในเวลานี้มิฉะนั้น ความบริสุทธิ์ของนางคงจะถูกทำลายด้วยมือหมาป่าของหลี่เฉิน “ให้เขาเข้ามา!”จ้าวชิงหลานใช้พลังทั้งหมดของนางเพื่อ
คำพูดของหลี่เฉินเหมือนกับการตบหน้าเข้าอย่างจัง และการตบนี้ก็ตบด้วยถุงมือที่เต็มไปด้วยหนามเหล็ก หลี่อิ๋นหู่ไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น แต่ความเจ็บปวดนี้ยังแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาโดยตรง และกระทบต่อจิตวิญญาณของเขาด้วย ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความโกรธหรือว่าความกลัวแม้จะนอนอยู่บนพื้นและถูกหลี่เฉินเหยียบเอาไว้ แต่ดวงตาของเขาก็ดุร้ายราวกับงูพิษ แต่ปากกลับกล่าวคำพูดที่อ่อนแรงออกมา “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้จริงๆว่าฝ่าบาทหมายถึงอะไร”หลี่เฉินชักเท้ากลับมา แล้วนั่งยองๆ คว้าศีรษะของหลี่อิ๋นหู่เพื่อให้เงยหน้าขึ้นสบตาตัวเอง “ฟังไม่เข้าใจหรือ?”หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ เพราะข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะยอมรับอยู่แล้ว แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานหรอก ถูกต้องไหม?”“การหาหลักฐานเป็นเรื่องของกรมยุติธรรมและศาลต้าหลี่ แต่สิ่งที่ข้าอยากจะทำก็คือ กำจัดคนที่ข้าคิดว่าน่าสงสัย”ประโยคนี้ทำให้รูม่านตาของหลี่อิ๋นหู่พลันหดลง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและท่าทางน่าสมเพชของเขา เวลานี้ก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาลึกๆ นับตั้งแ
หลี่เฉินหรี่ตาลงและพูดอย่างช้าๆ ว่า “ในเมื่อฮองเฮากล่าวเช่นนี้...” หลังจากได้ยินคำพูดครึ่งประโยคนี้ หลี่อิ๋นหู่ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยอย่างน้อยก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ตอนนี้ถ้าหลี่เฉินยืนกรานที่จะฆ่าเขา ถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้านจากเหล่าขุนนางในราชสำนัก และผู้คนในใต้หล้าก็จะตำหนิองค์รัชทายาทว่าฆ่าพี่น้อง แต่นี่ก็ไม่ใช่การฆ่าโดยไร้เหตุผล มีนักฆ่าอยู่ตรงหน้าเขา และหน่วยบูรพาก็เป็นสุนัขรับใช้ของตำหนักบูรพา จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะรวบรวมหลักฐานบางอย่างเพื่อปิดปากผู้คนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนอกเหนือจากราคาเหล่านี้แล้ว หลี่เฉินไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไรอีกเพื่อฆ่าเขา ท้ายที่สุดเขายังอ่อนแอเกินไป!หากเขามีอำนาจอยู่ในมือ หลี่เฉินจะฆ่าเขาก็ต้องกลัวว่าจะขว้างหนูไปกระทบของมีค่าที่อยู่ข้างๆ มีหรือจะลงเอยเช่นนี้ได้!?หลี่อิ๋นหู่กำหมัดแน่นและก้มศีรษะลง ซ่อนความไม่พอใจและความเกลียดชังเอาไว้ภายใต้ความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา เขาไม่กล้าที่จะหย่อนยาน เพราะเขาเชื่อว่าหลี่เฉินมีวิธีที่จะทำให้ชีวิตของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าความตายอย่างแน่นอนแน่นอนว่าหลี่เฉินไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานเกินไป“เมื่อปีที่แล้ว ข้า
หากประโยคก่อนหน้านี่ที่หลี่เฉินพูด ได้สร้างความมึนงงให้กับหลี่อิ๋นหู่เช่นนั้นเมื่อได้ฟังหลี่เฉินพูดจบแล้ว ร่างกายของหลี่อิ๋นหู่ก็สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัดเขาตะโกนในใจว่าองค์รัชทายาทรู้ดีว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับสำนักบัวขาวและการปล่อยให้เขาเป็นผู้ควบคุมการประหาร ก็เท่ากับการเป็นฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด!ทุกคนในใต้หล้ารู้ดีว่าสำนักบัวขาวเป็นกลุ่มคนวิกลจริตที่ต้องการจะแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งหากเขาเป็นผู้นำในการประหารชีวิตสาวกของสำนักบัวขาวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขากับสำนักบัวขาวก็อยู่ร่วมกันไม่ได้อีกแล้วอะไรที่เรียกว่าอุบายอันชั่วร้าย? นี่ไงที่เรียกว่าอุบายอันชั่วร้าย! อะไรที่เรียกว่าฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด?นี่ไงที่เรียกว่าฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด!รูม่านตาของหลี่อิ๋นหู่หดแคบลง เขาคิดหามาตรการตอบโต้อย่างบ้าคลั่งเขารู้ดีว่าสำนักบัวขาวเต็มไปด้วยคนบ้า และไม่ควรจะไปยั่วยุแม้ว่าเขาจะร่วมมือกับอีกฝ่ายมาก่อน แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจในภายหลังอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ดำเนินการประหารสาวกของคนเหล่านั้นก็คือเขา เกรงว่าคงพวกนั้นคงจะตามล้างแค้นเขาอ
หลี่อิ๋นหู่ที่เพิ่งประสบกับความสยองขวัญและเกือบจะเอาตัวไม่รอด ถูกจ้าวชิงหลานโจมตีด้วยวาจาซ้ำอีกครั้ง ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้ามาก“เขาพูดไม่ผิด แม้เขาจะให้โอกาสเจ้า แต่เจ้าก็ไม่สามารถใช้มันได้” จ้าวชิงหลานเยาะเย้ยและพูดอย่างเย็นชา “ไสหัวไป!” หลี่อิ๋นหู่ไม่สามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบากและกำลังจะจากไป “ยังมีอีกอย่าง”จู่ๆ จ้าวชิงหลานก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง“องค์รัชทายาทพูดถูก เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง สถานที่สำคัญอย่างวังหลัง ไม่สามารถเข้ามาได้ง่ายๆ ในอนาคต หากข้าไม่ได้เรียกให้เข้าเฝ้า เจ้าก็ห้ามก้าวเข้ามาในวังหลังแม้แต่ก้าวเดียว เข้าใจหรือไม่?”หลี่อิ๋นหู่รู้สึกหนาวในใจ แต่ก็ยังฝืนตอบไปว่า “ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวชิงหลานไม่พูดอะไรอีกหลี่อิ๋นหู่จึงหมุนตัวเดินออกจากตำหนักเฟิ่งสี่ไปอย่างเงียบๆ หลังจากที่หลี่อิ๋นหู่จากไปแล้ว จู่ๆ จ้าวชิงหลานก็ลืมตาขึ้น และกัดฟันพูดว่า “เข้ามา”นางกำนัลคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาทันที นี่คือสาวใช้ที่จ้าวชิงหลานนำมาจากบ้านของนางเอง เป็นคนสนิทในหมู่คนสนิทของนาง และเชื่อถือได้อย
สีหน้าของซูเจิ้นถิงก็เคร่งขรึมไม่แพ้กัน เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องพิจารณาในตอนนี้ก็คือเราควรจะซ่อนข่าวนี้หรือไม่?”“ซ่อนไม่ได้หรอก”หลี่เฉินส่ายหน้า จ้องมองไปยังทิศทางของพระที่นั่งไท่เหอ และกล่าวเสียงเย็นว่า “ด้วยกองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ การจะแทรกสายสืบเข้าไปในกองทัพสักคนสองคนก็เป็นเรื่องง่าย ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ไม่มีทางจะปกปิดได้”ซูเจิ้นถิงพูดด้วยความโกรธว่า “ผิงเป่ยยังเด็กเกินไป จึงตกหลุมพรางของศัตรู”“ฝ่าบาท เมื่อไม่สามารถปกปิดการรบครั้งนี้ได้ เช่นนั้นเราก็ควรจะแก้ไขสถานการณ์”ซูเจิ้นถิงประสานมือและกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาทโปรดทรงมีรับสั่งให้เปลี่ยนจอมทัพเพื่อนำทัพในครั้งนี้ จากนั้นก็จับกุมซูผิงเป่ยส่งกลับมารับโทษที่เมืองหลวง!”หลี่เฉินโบกมือแล้วพูดว่า “การเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาในระหว่างการรบถือเป็นเรื่องต้องห้ามในหมู่นักยุทธศาสตร์ทางทหาร ท่านแม่ทัพจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? หรือเป็นเพราะซูผิงเป่ยเป็นลูกชายของท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพจึงจำใจต้องหลีกเลี่ยงความสงสัย แต่ท่านแม่ทัพไม่ต้องคิดมากไป ข้ามีแผนของข้าอยู่แล้ว”“ข้าจะส่งสาสน์ของข้าไปให้ซ
ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ
เมื่อกงฮุยอวี่พูดจบ นางก็หลับตาลงพักผ่อนอีกครั้งโดยไม่สนใจหลี่เฉินแต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้นแอบมองเล็กน้อย และเห็นหลี่เฉินทำหน้าหม่นหมองอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างพึงพอใจ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้จะเบาบาง แต่ก็แสดงความลำพองได้ชัดเจน“องค์ชาย!”เสียงของวั่นเจียวเจียวที่ดังขึ้นอย่างจงใจ ทำลายความเงียบบนหลังคา“ถึงเวลาเสวยมื้อเช้าแล้วเพคะ เสร็จแล้วต้องเสด็จไปประชุมเช้าเพคะ”วั่นเจียวเจียวมองกงฮุยอวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลี่เฉินด้วยสายตาไม่พอใจ ในใจนางคิดว่า (นางจิ้งจอกนี่ เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ!)(ผู้หญิงที่ไหนจะไม่หลงเสน่ห์องค์ชายกัน!)(หน้าไม่อาย!)“มาแล้ว”หลี่เฉินลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุดแล้วปีนลงจากบันได“จริงสิ”หลี่เฉินที่อยู่กลางบรรไดเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับกงฮุยอวี่ “ส่งข่าวไปบอกเจ้าสำนักของเจ้าให้ไปฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหยินหยางที่ตงอิ๋งเสีย”กงฮุยอวี่ยังคงนิ่งเฉย แต่ในใจรู้สึกว่าหลี่เฉินช่างไร้เดียงสา นางคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบคำสั่งขององค์รัชทายาทคำขอเช่นนี้ช่างไร้สาระนัก“ไม่เช่นนั้น ราชสำ
กงฮุยอวี่ยิ้มบางๆ ก่อนตอบเรียบๆ “การบรรลุถึงระดับเซียนบนดินนั้น พรสวรรค์สำคัญกว่าความพยายาม และที่สำคัญยิ่งกว่าพรสวรรค์ คือโชคชะตา การฝึกฝนเพียงลำพังไม่อาจพาให้เข้าสู่ระดับนี้ได้ หากสวรรค์ไม่มอบโอกาส หรือหากตนเองไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะฝึกหนักเพียงใดก็ไม่มีทางไปถึง และเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันของสำนักบัวขาว ก็คือผู้ที่บรรลุถึงระดับเซียนบนดิน”“ในระดับนี้ เขาสามารถอยู่ในสภาพที่คมดาบและหอกธรรมดาทำอะไรไม่ได้ ใช้ดอกไม้หรือใบไม้เป็นอาวุธสังหารได้ทุกชนิด เพียงแค่ปล่อยแรงกดดันจากพลังลมปราณออกมาก็สามารถสังหารผู้อื่นได้”คำอธิบายของกงฮุยอวี่ทำให้หลี่เฉินรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ยิ่งใหญ่ในทันที เขาชี้ไปที่เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ยืนคุ้มกันอยู่โดยรอบก่อนถาม “ถ้าหากเจ้าสำนักของเจ้ามาที่นี่ เหล่าองครักษ์เหล่านี้จะสามารถต้านทานเขาได้กี่คน?”กงฮุยอวี่ดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินคิดอะไร นางตอบเสียงเรียบว่า “หากเป็นเพียงนักยุทธ์ธรรมดา ต่อให้มาหลายร้อยก็เป็นเพียงการมอบชีวิต แต่หากเป็นกองทัพที่มีการฝึกอย่างดีและครบเครื่อง ทั้งกำลังพลและอาวุธ เพียงไม่กี่พันก็สามารถทำให้เซียนบนดินต้องจบชีวิตได้”เมื่อไ
เป็นที่พิสูจน์ว่า หากต้องการยั่วโทสะหญิงสาว เพียงแค่เรียกนางด้วยชื่อที่ไม่น่าฟังเท่านั้นก็เพียงพอแม้ว่ากงฮุยอวี่จะเป็นคนเยือกเย็นปานใด แต่นางก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่เซียนที่ลอยอยู่เหนือวิถีแห่งโลกียะ และยิ่งถ้าหากแม้แต่เซียนจริงๆ ได้ยินคำเรียกเช่นนี้จากหลี่เฉิน ก็คงอดที่จะเกิดโทสะไม่ได้เมื่อเห็นแววตาขุ่นเคืองของกงฮุยอวี่ หลี่เฉินหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ยว่า “ทำไม เจ้าโปรดปรานการนั่งอยู่บนหลังคามากนักหรือ?”กงฮุยอวี่ส่งเสียงฮึเบาๆ อย่างเย็นชา ก่อนจะหลับตาลงนั่งสมาธิต่อ โดยไม่สนใจหลี่เฉินหลังจากนางหลับตา หลี่เฉินกลับเงียบไปอย่างน่าประหลาดเดิมที กงฮุยอวี่คิดว่าหลี่เฉินคงเบื่อและเดินจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา และลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางกลับเห็นหลี่เฉินสั่งให้คนยกบันไดขึ้นมา และเขากำลังปีนบันไดขึ้นมาบนหลังคากงฮุยอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองดูหลี่เฉินที่กำลังปีนขึ้นมา และเริ่มชั่งใจว่าควรจะลุกออกไปจากที่นี่หรือไม่แต่ก่อนที่นางจะตัดสินใจ หลี่เฉินก็ขึ้นมาถึงบนหลังคาแล้ว“บนนี้ วิวทิวทัศน์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว”ตำหนักบูรพาตั้งอยู่ในที่สูงอยู่แล้ว และเมื่อขึ้นมาบนหล
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านอ๋อง ข้ามั่นใจว่าสวีเว่ยต้องมีปัญหาแน่นอน เขาออกจากจวนบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย แม้เขาจะมีข้อแก้ตัวเสมอ แต่ข้ากล้าพูดได้ว่ามันต้องเป็นข้อแก้ตัวที่โกหก!”หลี่อิ๋นหู่มองชายชราอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องที่เขาเลี้ยงดูหญิงงามคนหนึ่ง ข้ารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ชายจะมีผู้หญิงคนที่ชอบมันก็ธรรมดา หากเป็นเจ้า เจ้าออกไปหาผู้หญิงเจ้าจะป่าวประกาศให้ใครๆ รู้หรือไม่?”คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ทำให้ชายชราพูดไม่ออก แต่เขายังยืนกรานว่า “โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าสัญญาว่าจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเขาให้ได้!”“เจ้าสืบเรื่องอ๋องแห่งแคว้นที่สนับสนุนหลงไหวอี้ให้ได้ก่อนเถอะ”หลี่อิ๋นหู่โบกมืออย่างรำคาญ “เอาเถอะ ออกไปซะ วันๆ เอาแต่ทำให้ข้าหนักใจ”ชายชราเปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ถอนหายใจ แล้วออกจากห้องไปคืนนั้น หลี่เฉินถูกปลุกขึ้นจากการนอนอีกครั้งแม้ว่าดวงตาจะล้าจนร้อนผ่าว แต่เขายังรับรายงานลับสุดยอดจากเฉินทงมาพิจารณาเมื่ออ่านรายงานที่สวีเว่ยส่งมา หลี่เฉินถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรายงานแบ่งเป็นสองส่วน
คำพูดของหลงไหวอี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่ตาวาวขึ้นมาทันที เขาลองถามหยั่งเชิงว่า “อ๋องแห่งแคว้นผู้ที่ท่านกล่าวถึงนั้นคือ…?”หลงไหวอี้ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะจัดให้ท่านพบกับท่านอ๋องผู้นั้น แต่ในเวลานี้ อ๋องฟานยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่าทีที่หลงไหวอี้ชอบปิดบังอะไรไว้เสมอ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจแต่ในเมื่อเขายังต้องพึ่งพาหลงไหวอี้ในหลายๆ เรื่อง หลี่อิ๋นหู่จึงกลืนความไม่พอใจลงไป และยิ้มแย้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ”ทั้งสองคนพูดคุยถึงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่หลงไหวอี้จะลุกขึ้นกล่าวลา “ท่านอ๋อง ข้าขอตัวลา”หลี่อิ๋นหู่รีบกล่าวขึ้น “เรื่องที่ข้าเคยขอให้ท่านช่วยเมื่อวันก่อน...”หลงไหวอี้หยิบตั๋วเงินชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “ท่านอ๋อง นี่คือตั๋วเงินสองแสนตำลึง ใบละหมื่นตำลึงรวมยี่สิบใบ เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นของอาจารย์ข้า อีกครึ่งมาจากท่านอ๋องผู้ที่ข้ากล่าวถึง อย่างไรก็ดี ทั้งอาจารย์ข้าและท่านอ๋องผู้นั้นก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเหลือเฟือ…”หลี่อิ๋นหู่ยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าเข้าใจดี
ในเมื่อไม่สามารถสังหารเย่ลู่กู่จ้านฉีได้ จ้าวเสวียนจีจึงเลือกที่จะตัดขาดช่องทางทั้งหมดที่เย่ลู่กู่จ้านฉีจะใช้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังแคว้นเหลียวแผนการที่ตามมาภายหลังจึงเกิดขึ้นแต่หากหลี่เฉินรู้แผนการนี้ล่วงหน้า เขาย่อมจะไม่ปล่อยให้จ้าวเสวียนจีสังหารสายลับแคว้นเหลียวสำเร็จเพราะถ้าเย่ลู่กู่จ้านฉีสามารถส่งข้อความกลับแคว้นเหลียวได้ และทำให้แคว้นเหลียวโกรธจนเกิดปัญหาที่เชื่อมโยงไปถึงจ้าวเสวียนจี นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อหลี่เฉินดังนั้น หากหลี่เฉินคิดจะขัดขวาง เขาย่อมต้องลงมือก่อนที่จ้าวเสวียนจีจะประสบความสำเร็จเมื่อปัดความเป็นไปได้ที่หลี่เฉินจะเกี่ยวข้อง จ้าวเสวียนจีเริ่มครุ่นคิดถึงผู้อื่นที่อาจมีส่วนร่วมอ๋องแห่งแคว้น? หรืออาจเป็นกลุ่มอิทธิพลในราชสำนัก?ความคิดนับร้อยพันพุ่งเข้ามาในหัวเหมือนเงื่อนปมที่ซับซ้อน เขาไม่สามารถจับจุดได้แม้แต่เงื่อนเดียวในขณะนั้น เสียงไก่ขันดังขึ้นจากนอกหน้าต่างรุ่งอรุณกำลังมาเยือนเสียงไก่ขันทำให้จ้าวเสวียนจีราวกับถูกปลุกให้ตื่น เขาสงบจิตใจลงในทันทีหลังจากโลดแล่นในวงราชสำนักมานานหลายสิบปี แม้จะถูกสถานการณ์บีบคั้นจนเสียศูนย์ชั่วขณะ แต่จ้าวเ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงช่วงจิบชาเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและจบลงเร็วยิ่งกว่า ทิ้งไว้เพียงซากศพที่ถูกไฟเผาไหม้และบ้านที่กำลังลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านกลุ่มคนชุดดำกระจายตัวออกไปในความมืดหลังจากสังหารสายลับและชิงเอาสิ่งของได้สำเร็จ คนหนึ่งในนั้นที่ถือจดหมายสำคัญไว้ในมือ วิ่งผ่านค่ำคืนมุ่งหน้าไปยังจวนจ้าวเมื่อมาถึงประตูเมืองที่ปิดสนิทในยามค่ำคืน ต่อหน้าคำถามของทหารเฝ้ายาม เขาโยนป้ายออกไปโดยไม่พูดพล่ำ"ที่แท้เป็นคนจากจวนท่านอาวุโสนี่เอง ข้าน้อยเสียมารยาทนัก ข้าจะรีบเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้!"เมื่อเห็นป้ายที่สลักอักษรจ้าวตัวใหญ่ๆ ไว้ ทหารเฝ้าประตูไม่กล้าลังเล รีบส่งสัญญาณให้เปิดประตูทันทีหลังเก็บป้ายคืน คนชุดดำกำลังจะก้าวเข้าเมืองแต่ทันใดนั้น ทหารเฝ้าประตูที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม กลับเผยสีหน้าดุดัน ชักดาบยาวฟันคนชุดดำในทันทีเสียงปังดังขึ้น ร่างของคนชุดดำล้มลงกับพื้นทหารผู้โจมตีคุกเข่าลงค้นตัว หยิบซองจดหมายออกมา เขายิ้มอย่างพอใจและกล่าวกับทหารคนอื่นว่า"พี่น้องทั้งหลาย ขอบใจทุกคนมาก ท่านอ๋องของข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงาม!"หลังจากกล่าวคำจนจบต่อเหล่าทหารธรรมดาที่กำลังหว
หลี่เฉินหรี่ตามองเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยังคงพูดจาฉะฉานและแสดงความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่เขากลับไม่ได้ตอบโต้หรือขัดจังหวะจากท่าทีของเย่ลู่กู่จ้านฉี ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้เลยว่าจ้าวเสวียนจีมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเหลียวหลี่เฉินอดผิดหวังไม่ได้เดิมทีเขาหวังว่าจะสามารถหาหลักฐานความผิดของจ้าวเสวียนจีได้ และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีไม่รู้อะไรเลย แผนการนี้คงต้องพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ ทำได้เพียงรอให้ข่าวเรื่องเย่ลู่กู่จ้านฉีตกเป็นเชลยแพร่ไปถึงแคว้นเหลียว และหวังให้แคว้นเหลียวเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับเองแต่ปัญหาคือ หลี่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ว่าแคว้นเหลียวจะดำเนินการอย่างไรหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็หมดความสนใจที่จะสนทนากับเย่ลู่กู่จ้านฉีอีก เขาลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไปเย่ลู่กู่จ้านฉีที่เห็นหลี่เฉินจะจากไป รีบร้อนพูดขึ้น "เจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเป็นพยานแล้วหรือ? เรื่องอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายชาติหรือการส่งข่าวกรอง หากเจ้าอยากให้ข้าร่วมมือ ข้าก็ยินดีทำให้"หลี่เฉินหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า "สมองของเจ้าเหมาะจะใช้เลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าเท่า