เมื่อผู้ชายถึงขั้นอันธพาลแล้ว อย่าคาดหวังว่ามารยาททางโลกจะมีผลกับเขายิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของผู้ชายคนนี้ก็สามารถก้าวข้ามมารยาททางโลกได้ไกลกว่าคนอื่นได้จ้าวชิงหลานซึ่งสูญเสียความสามารถในการต้านทาน ก็ใกล้จะหมดหวังเต็มทีด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง นางรู้สึกได้ถึงความเป็นสัตว์ป่าที่แฝงอยู่ในเสียงหอบหายใจที่เริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ของชายคนนี้ นั่นคือแรงกระตุ้นโดยสัญชาตญาณทางชีววิทยาของผู้ชายนางกลัวกลัวแล้วจริงๆและในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องที่น่าสังเวชอย่างยิ่งดังมาจากด้านนอกประตู“พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! ข้าสมควรตาย ข้าอยากจะขอขมาเสด็จแม่ต่อหน้าแล้วค่อยตาย!”เสียงร้องอย่างกะทันหันและน่าสังเวชนี้ ได้ทำลายบรรยากาศในตำหนักเฟิ่งสี่โดยสิ้นเชิงดวงตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยจิตสังหาร ตอนนี้เขาแทบอยากจะสั่งให้ซานเป่าฆ่าไอ้สุนัขหลี่อิ๋นหู่ตัวนี้ซะแต่สำหรับจ้าวชิงหลานแล้ว นางรู้สึกขอบคุณกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลี่อิ๋นหู่ในเวลานี้มิฉะนั้น ความบริสุทธิ์ของนางคงจะถูกทำลายด้วยมือหมาป่าของหลี่เฉิน “ให้เขาเข้ามา!”จ้าวชิงหลานใช้พลังทั้งหมดของนางเพื่อ
คำพูดของหลี่เฉินเหมือนกับการตบหน้าเข้าอย่างจัง และการตบนี้ก็ตบด้วยถุงมือที่เต็มไปด้วยหนามเหล็ก หลี่อิ๋นหู่ไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น แต่ความเจ็บปวดนี้ยังแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาโดยตรง และกระทบต่อจิตวิญญาณของเขาด้วย ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความโกรธหรือว่าความกลัวแม้จะนอนอยู่บนพื้นและถูกหลี่เฉินเหยียบเอาไว้ แต่ดวงตาของเขาก็ดุร้ายราวกับงูพิษ แต่ปากกลับกล่าวคำพูดที่อ่อนแรงออกมา “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้จริงๆว่าฝ่าบาทหมายถึงอะไร”หลี่เฉินชักเท้ากลับมา แล้วนั่งยองๆ คว้าศีรษะของหลี่อิ๋นหู่เพื่อให้เงยหน้าขึ้นสบตาตัวเอง “ฟังไม่เข้าใจหรือ?”หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ เพราะข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะยอมรับอยู่แล้ว แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานหรอก ถูกต้องไหม?”“การหาหลักฐานเป็นเรื่องของกรมยุติธรรมและศาลต้าหลี่ แต่สิ่งที่ข้าอยากจะทำก็คือ กำจัดคนที่ข้าคิดว่าน่าสงสัย”ประโยคนี้ทำให้รูม่านตาของหลี่อิ๋นหู่พลันหดลง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและท่าทางน่าสมเพชของเขา เวลานี้ก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาลึกๆ นับตั้งแ
หลี่เฉินหรี่ตาลงและพูดอย่างช้าๆ ว่า “ในเมื่อฮองเฮากล่าวเช่นนี้...” หลังจากได้ยินคำพูดครึ่งประโยคนี้ หลี่อิ๋นหู่ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยอย่างน้อยก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ตอนนี้ถ้าหลี่เฉินยืนกรานที่จะฆ่าเขา ถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้านจากเหล่าขุนนางในราชสำนัก และผู้คนในใต้หล้าก็จะตำหนิองค์รัชทายาทว่าฆ่าพี่น้อง แต่นี่ก็ไม่ใช่การฆ่าโดยไร้เหตุผล มีนักฆ่าอยู่ตรงหน้าเขา และหน่วยบูรพาก็เป็นสุนัขรับใช้ของตำหนักบูรพา จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะรวบรวมหลักฐานบางอย่างเพื่อปิดปากผู้คนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนอกเหนือจากราคาเหล่านี้แล้ว หลี่เฉินไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไรอีกเพื่อฆ่าเขา ท้ายที่สุดเขายังอ่อนแอเกินไป!หากเขามีอำนาจอยู่ในมือ หลี่เฉินจะฆ่าเขาก็ต้องกลัวว่าจะขว้างหนูไปกระทบของมีค่าที่อยู่ข้างๆ มีหรือจะลงเอยเช่นนี้ได้!?หลี่อิ๋นหู่กำหมัดแน่นและก้มศีรษะลง ซ่อนความไม่พอใจและความเกลียดชังเอาไว้ภายใต้ความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา เขาไม่กล้าที่จะหย่อนยาน เพราะเขาเชื่อว่าหลี่เฉินมีวิธีที่จะทำให้ชีวิตของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าความตายอย่างแน่นอนแน่นอนว่าหลี่เฉินไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานเกินไป“เมื่อปีที่แล้ว ข้า
หากประโยคก่อนหน้านี่ที่หลี่เฉินพูด ได้สร้างความมึนงงให้กับหลี่อิ๋นหู่เช่นนั้นเมื่อได้ฟังหลี่เฉินพูดจบแล้ว ร่างกายของหลี่อิ๋นหู่ก็สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัดเขาตะโกนในใจว่าองค์รัชทายาทรู้ดีว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับสำนักบัวขาวและการปล่อยให้เขาเป็นผู้ควบคุมการประหาร ก็เท่ากับการเป็นฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด!ทุกคนในใต้หล้ารู้ดีว่าสำนักบัวขาวเป็นกลุ่มคนวิกลจริตที่ต้องการจะแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งหากเขาเป็นผู้นำในการประหารชีวิตสาวกของสำนักบัวขาวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขากับสำนักบัวขาวก็อยู่ร่วมกันไม่ได้อีกแล้วอะไรที่เรียกว่าอุบายอันชั่วร้าย? นี่ไงที่เรียกว่าอุบายอันชั่วร้าย! อะไรที่เรียกว่าฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด?นี่ไงที่เรียกว่าฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด!รูม่านตาของหลี่อิ๋นหู่หดแคบลง เขาคิดหามาตรการตอบโต้อย่างบ้าคลั่งเขารู้ดีว่าสำนักบัวขาวเต็มไปด้วยคนบ้า และไม่ควรจะไปยั่วยุแม้ว่าเขาจะร่วมมือกับอีกฝ่ายมาก่อน แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจในภายหลังอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ดำเนินการประหารสาวกของคนเหล่านั้นก็คือเขา เกรงว่าคงพวกนั้นคงจะตามล้างแค้นเขาอ
หลี่อิ๋นหู่ที่เพิ่งประสบกับความสยองขวัญและเกือบจะเอาตัวไม่รอด ถูกจ้าวชิงหลานโจมตีด้วยวาจาซ้ำอีกครั้ง ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้ามาก“เขาพูดไม่ผิด แม้เขาจะให้โอกาสเจ้า แต่เจ้าก็ไม่สามารถใช้มันได้” จ้าวชิงหลานเยาะเย้ยและพูดอย่างเย็นชา “ไสหัวไป!” หลี่อิ๋นหู่ไม่สามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบากและกำลังจะจากไป “ยังมีอีกอย่าง”จู่ๆ จ้าวชิงหลานก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง“องค์รัชทายาทพูดถูก เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง สถานที่สำคัญอย่างวังหลัง ไม่สามารถเข้ามาได้ง่ายๆ ในอนาคต หากข้าไม่ได้เรียกให้เข้าเฝ้า เจ้าก็ห้ามก้าวเข้ามาในวังหลังแม้แต่ก้าวเดียว เข้าใจหรือไม่?”หลี่อิ๋นหู่รู้สึกหนาวในใจ แต่ก็ยังฝืนตอบไปว่า “ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวชิงหลานไม่พูดอะไรอีกหลี่อิ๋นหู่จึงหมุนตัวเดินออกจากตำหนักเฟิ่งสี่ไปอย่างเงียบๆ หลังจากที่หลี่อิ๋นหู่จากไปแล้ว จู่ๆ จ้าวชิงหลานก็ลืมตาขึ้น และกัดฟันพูดว่า “เข้ามา”นางกำนัลคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาทันที นี่คือสาวใช้ที่จ้าวชิงหลานนำมาจากบ้านของนางเอง เป็นคนสนิทในหมู่คนสนิทของนาง และเชื่อถือได้อย
สีหน้าของซูเจิ้นถิงก็เคร่งขรึมไม่แพ้กัน เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องพิจารณาในตอนนี้ก็คือเราควรจะซ่อนข่าวนี้หรือไม่?”“ซ่อนไม่ได้หรอก”หลี่เฉินส่ายหน้า จ้องมองไปยังทิศทางของพระที่นั่งไท่เหอ และกล่าวเสียงเย็นว่า “ด้วยกองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ การจะแทรกสายสืบเข้าไปในกองทัพสักคนสองคนก็เป็นเรื่องง่าย ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ไม่มีทางจะปกปิดได้”ซูเจิ้นถิงพูดด้วยความโกรธว่า “ผิงเป่ยยังเด็กเกินไป จึงตกหลุมพรางของศัตรู”“ฝ่าบาท เมื่อไม่สามารถปกปิดการรบครั้งนี้ได้ เช่นนั้นเราก็ควรจะแก้ไขสถานการณ์”ซูเจิ้นถิงประสานมือและกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาทโปรดทรงมีรับสั่งให้เปลี่ยนจอมทัพเพื่อนำทัพในครั้งนี้ จากนั้นก็จับกุมซูผิงเป่ยส่งกลับมารับโทษที่เมืองหลวง!”หลี่เฉินโบกมือแล้วพูดว่า “การเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาในระหว่างการรบถือเป็นเรื่องต้องห้ามในหมู่นักยุทธศาสตร์ทางทหาร ท่านแม่ทัพจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? หรือเป็นเพราะซูผิงเป่ยเป็นลูกชายของท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพจึงจำใจต้องหลีกเลี่ยงความสงสัย แต่ท่านแม่ทัพไม่ต้องคิดมากไป ข้ามีแผนของข้าอยู่แล้ว”“ข้าจะส่งสาสน์ของข้าไปให้ซ
“เหตุใดถึงเพิ่งพูด?” หลี่เฉินขมวดคิ้วถามซูเจิ้นถิงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “กระหม่อมกังวลว่าหากพูดไปแล้ว จะเหมือนเป็นการแก้ตัวแทนผิงเป่ย”“มันเกี่ยวข้องกับกิจทางทหาร ข้าจะตัดสินเองว่ามันเป็นเพราะความลับรั่วไหลหรือไม่ ท่านแม่ทัพกำลังสับสน” หลี่เฉินกล่าว ซูเจิ้นถิงประสาบมือกล่าว “กระหม่อมเลินเล่อ”หลังจากเดินเอามือไพล่หลังไปมาสองรอบ หลี่เฉินก็ถามว่า “ที่ว่ารั่วไหลนั้น เป็นเพียงการคาดเดา หรือว่ามีหลักฐานจริง?”ซูเจิ้นถิงตอบว่า “เป็นเพียงการคาดเดาไม่มีหลักฐาน แต่คนสนิทของกระหม่อมอยู่กับกระหม่อมมานานกว่าสิบปี สองพ่อลูกคู่นี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และถูกสอนโดยกระหม่อมและบิดาผู้ล่วงลับของกระหม่อม พวกเขาไม่ใช่คนไร้ความสามารถ กระหม่อมคิดว่ารายงานลับฉบับนี้ไม่ได้กล่าวอ้างลอยๆ คงจะมีข้อสงสัยอยู่บ้าง”“มันมีบางอย่างผิดปรกติเกี่ยวกับการรบในครั้งนี้ แผนการรบทั้งหมดนี้ถูกจัดทำขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่ผิงเป่ยจะเริ่มสงคราม หากศัตรูเห็นข้อบกพร่อง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะคาดเดาได้อย่างแม่นยำเช่นนี้”“ตามรายงาน ดูเหมือนว่ากองทัพตงอิ๋งจะคำนวณทิศทางการเดินทัพของเราอย่างได้สมบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะทำลายถนนท
“ข้ากำลังมีปัญหา”หลี่อิ๋นหู่กัดฟัน ในขณะนี้เขาเลิกเสแสร้งแล้ว ใบหน้าและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ลึกซึ้งที่สุด“จู่ๆ องค์รัชทายาทก็ไปปรากฏตัวที่นั่นระหว่างการลอบสังหาร เป็นเพราะเขาที่ทำให้แผนการทั้งหมดล้มเหลว การลอบสังหารในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ล้มเหลวเท่านั้น แต่ข้าก็ยังถูกลากไปเกี่ยวข้องอีกด้วย”“พรุ่งนี้ ข้าจะต้องไปลานด้านข้างตำหนักบูรพา และเริ่มสอนพวกเด็กๆ ที่ยังไม่หย่านมเรียนหนังสือ!”ชายชรามองสภาพที่โกรธเกรี้ยวของหลี่อิ๋นหู่ ก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องโกรธ นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย”ดวงตาของหลี่อิ๋นหู่ฉายแววลึกซึ้ง และถามว่า “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร?”ชายชราประสานมือกล่าว “มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ และเกือบจะทั้งหมดนี้ก็ไม่ดีต่อตัวพระองค์ ท่านอ๋องตกลงไปใจกลางวังน้ำวน และทุกการเคลื่อนไหวของพระองค์ก็จะดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ เป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่ามันขัดกับความอดทนอดกลั้นและการเก็บตัวเงียบของท่านอ๋องมานานกว่าสิบปี”“ตอนนี้องค์รัชทายาทได้ขังท่านอ๋องไว้ในตำหนักบูรพา ที่จริงแล้วมันก็ทำให้ท่านอ๋องมีโอกาสที่จะทำให้ตัวเองเก็บตัวเงียบได้
ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้สวีฉังชิงอยากชักดาบออกมาฆ่าหลานชายของตัวเองทันที จากนั้นก็ฆ่าตัวตายต่อหน้าองค์รัชทายาทแม้ว่าชีวิตของเขาและหลานชายจะต้องจบลง แต่ตระกูลสวียังอาจมีโอกาสรอดพ้นจากการถูกทำลายล้างคำพูดประโยคแรกของสวีจวินโหลวหมายความว่าอย่างไร!?เข้าใจง่ายมากนั่นก็คือ มนุษย์ล้วนต้องตาย และแคว้นย่อมมีวันล่มสลาย เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของกลางวันกลางคืน และการผลัดเปลี่ยนฤดูกาล ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้!คำพูดนี้ ไม่ว่ากษัตริย์พระองค์ใดได้ยิน ย่อมถือเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรงไม่ใช่แค่ตัดหัวแต่ถึงขั้นล้างโคตรตระกูล!หากเจอกษัตริย์ที่มีอารมณ์ร้อน อาจถึงขั้นสังหารเก้าชั่วโคตรโดยไม่มีใครกล้าเรียกร้องความเป็นธรรมนี่มันการดูหมิ่นที่ร้ายแรงที่สุด!แม้เข่าของสวีฉังชิงจะอ่อนจนแทบทรุดลงไปกับพื้น แต่เขาก็พยายามอดทนไม่คุกเข่าต่อหน้าองค์รัชทายาทเขาแอบเหลือบมองสีหน้าของหลี่เฉิน แต่กลับเห็นว่าองค์รัชทายาทไม่ได้แสดงความโกรธใดๆ แถมยังมีท่าทีสนุกสนาน หยิบลิ้นจี่ที่นางกำนัลยื่นให้เข้าปากด้วยความผ่อนคลายในมุมมองของหลี่เฉิน ประโยคเปิดเรื่องนี้แม้จะดูเหมือนเป็นการดูหมิ่
เวลาสอบทั้งหมดกำหนดไว้หนึ่งชั่วยาม หรือราวๆ สองชั่วโมงในหน่วยเวลาสมัยใหม่แต่โจทย์ที่ยากลำบากขนาดนี้ กลับมีคนส่งกระดาษคำตอบตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบ ย่อมดึงดูดความสนใจจากทุกคนในทันทีองครักษ์รีบรับกระดาษคำตอบของเขา นำส่งให้เสนาบดีกรมขุนนาง หูพี่ ก่อนที่หูพี่จะหมุนตัวและนำเสนอด้วยความเคารพต่อหลี่เฉินหลี่เฉินหยุดการเขียนนิยายของตน ช้อนตามองนักศึกษาร่างเล็กหน้าตาเรียบๆ คนหนึ่งที่ยืนเก็บของเตรียมตัวออกจากสนามสอบ ก่อนจะรับกระดาษคำตอบมาเมื่อเห็นตัวอักษรบนกระดาษคำตอบเป็นครั้งแรก หลี่เฉินเอ่ยชมออกมาเบาๆ ว่า "ลายมือช่างงดงามยิ่งนัก"ไม่ว่าจะเป็นการสอบจอหงวนในยุคโบราณหรือการสอบระดับชาติในยุคปัจจุบัน การที่มีคะแนนจากความเรียบร้อยของกระดาษคำตอบย่อมมีส่วนสำคัญ และลายมือที่สวยงามย่อมทำให้ผู้ตรวจรู้สึกชื่นชมเพราะอย่างน้อยก็ไม่เหนื่อยเวลาอ่านในยุคโบราณยิ่งเป็นเช่นนั้นนักศึกษาจะใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีฝึกฝนลายมือ ถ้าหากพวกเขาไม่มีลายมือที่สวยงาม ก็ย่อมไม่มีทางก้าวมาถึงการสอบจอหงวนรอบสุดท้าย"นักศึกษาจากแคว้นเจียงเจ๋อ ฟู่หมิ่นชิง ตอบคำถามในหัวข้อ 'ปรัชญาแห่งชาติ' ต่อเบ
มีขุนนางที่กล้ากล่าวความจริงและตักเตือนอย่างตรงไปตรงมา สามารถช่วยกษัตริย์มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งในตัวเองและนโยบายและยังมีขุนนางที่มีความสามารถเฉพาะด้านสูงมาก งานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เมื่อมอบหมายให้พวกเขาแล้วแทบไม่ต้องกังวลนอกจากนี้ ยังมีขุนนางประเภทที่สามารถช่วยกษัตริย์จัดการเรื่องที่กษัตริย์ไม่สะดวกจะลงมือเอง แม้ว่าคนเหล่านี้อาจมีความสามารถระดับปานกลาง หรือแม้แต่มีข้อเสียหลายประการ พวกเขาก็ยังนับเป็นคนสำคัญ เช่น เหอคุนจักรวรรดิที่กว้างใหญ่เกินไป ย่อมต้องการผู้คนที่หลากหลายมาช่วยหลี่เฉินบริหารจัดการ ไม่เช่นนั้น ต่อให้เขาเป็นเทพเซียนก็คงไม่สามารถขับเคลื่อนจักรวรรดิได้ด้วยตัวเองสำหรับสถานการณ์ที่ต้าฉินกำลังเผชิญ หลี่เฉินต้องการคนที่มีสายตากว้างไกลและความสามารถเชิงกลยุทธ์ระดับสูงบุคคลประเภทนี้ โจวผิงอันถือว่าเป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่คนอื่นๆ อย่างสวีฉังชิงและกวนจือเหวยเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้นคนเหล่านี้ หากใช้อย่างเหมาะสม จะกลายเป็นอาวุธสำคัญ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจกลายเป็นหายนะ ดูได้จากตัวอย่างของจ้าวเสวียนจีแม้ว่าหลี่เฉินอยากให้จ้าวเสวียนจีตายไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เข
"เมื่อข้าอ่านโจทย์การสอบจบแล้ว นักศึกษาทุกคนจึงจะเริ่มเขียนคำตอบได้ เวลาที่กำหนดคือหนึ่งชั่วยาม เมื่อครบเวลา ทุกคนต้องหยุดเขียนและส่งกระดาษคำตอบ อนุญาตให้ส่งก่อนเวลาได้ แต่ห้ามส่งช้ากว่าเวลาที่กำหนด""ต่อไป ข้าจะอ่านโจทย์การสอบ"เมื่อคำกล่าวของหูพี่จบลง ไม่เพียงแต่นักศึกษาทุกคนจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมดก็ยังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในอดีต การสอบจอหงวนรอบสุดท้าย โจทย์จะถูกจัดเตรียมโดยสำนักราชเลขา ซึ่งมักเสนอโจทย์หลายชุดให้ฮ่องเต้เลือกหนึ่งชุดเป็นโจทย์สอบแต่ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนสำหรับการสอบครั้งนี้ โจทย์ทั้งหมดถูกตัดสินโดยองค์รัชทายาท โดยไม่มีการเกี่ยวข้องจากสำนักราชเลขาเลยดังนั้น แม้แต่ขุนนางในราชสำนักหรือสำนักราชเลขาก็ยังไม่รู้ว่าโจทย์จะเป็นเช่นไรกระทั่งหูพี่เองก็ไม่ทราบเนื้อหาโจทย์จนกระทั่งซานเป่ามอบซองปิดผนึกให้แก่เขาหลังจากเปิดซองออก หูพี่ก็กลายเป็นบุคคลที่สองรองจากหลี่เฉินที่รู้เนื้อหาโจทย์เมื่อเห็นเนื้อหาโจทย์ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่กลุ่มนักศึกษาด้วยสีหน้าประหลาดใจปนความเห็นใจเขาเข้าใจทันทีว่าทำไมองค์รัชทายาทจึงเลือกให้เขาเ
"พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นยอดคนที่ถูกคัดเลือกจากนับร้อยในพัน หากมองทั่วแผ่นดินที่มีประชากรนับสิบล้าน พวกเจ้าย่อมเป็นหนึ่งในแสน!"คำกล่าวของหลี่เฉินทำให้เลือดลมของเหล่านักศึกษาเดือดพล่านทุกคนล้วนตระหนักดีว่าหนทางที่ผ่านมานั้นไม่ง่ายเลย บางคนถึงกับต้องขายสมบัติทั้งครอบครัวเพื่อให้สามารถเดินทางมาถึงจุดนี้หากการสอบจอหงวนล้มเหลว พวกเขาส่วนใหญ่อาจต้องจบชีวิตไปพร้อมกับความยากจนและไร้หนทางดังนั้น แม้ว่าการสอบจอหงวนจะไม่ใช่สมรภูมิที่มีคมดาบ แต่ความโหดร้ายของมันก็แทบไม่แตกต่างจากสนามรบเมื่อย้อนระลึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมา นักศึกษาทั้งหมดล้วนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกส่วนเหล่าขุนนางที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกันเพราะในอดีต พวกเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนเดินมาบนเส้นทางการสอบจอหงวนเช่นเดียวกันแต่โชคชะตาของพวกเขาดีกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างมาก เพราะในวันนี้ พวกเขาสามารถยืนอยู่หน้าพระที่นั่งไท่เหอ และเข้าร่วมราชสำนักได้เมื่อมองย้อนกลับไป ผู้คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันในรุ่นเดียวกันนั้น บัดนี้เหลืออยู่ข้างกายน้อยมาก"การสอบจอหงวนเป็นเส้นทางที่ราชสำนักใช้ในการคัดเลือกบุคคลที่มีค
เสียงเขาสัตว์อันแสนเศร้าสร้อยดังก้องไปทั่วบริเวณเหล่านักศึกษาค่อยๆ เดินเข้าสู่พื้นที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่จากสำนักฮั่นหลิน พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในลำดับอย่างเหมาะสมและมายืนประจำตำแหน่งในจัตุรัสสะพานจินสุ่ยในเวลานั้น ราชสำนักช่วงเช้าทั้งหมดได้ถูกย้ายออกจากพระที่นั่งไท่เหอ มาจัดขึ้นภายนอกแทน หลี่เฉินนั่งอยู่ที่ประตูใหญ่ของพระที่นั่งบริเวณนี้เองคือสถานที่ที่เขาเคยใช้ปืนจ่อยิงฮาเล่ย์ต้าลี่จนเสียชีวิตในวันนั้นเมื่อทุกคนประจำตำแหน่งแล้ว จ้าวเสวียนจีและถานไถจิ้งจือในฐานะผู้นำฝ่ายบุ๋น ซูเจิ้นถิงในฐานะผู้นำฝ่ายบู๊ ทั้งสามคนโค้งคำนับพร้อมเปล่งเสียงดังว่า"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"เมื่อฮ่องเต้ไม่อยู่ องค์รัชทายาทในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ย่อมเป็นผู้แทนของฮ่องเต้ในสถานการณ์อันเป็นทางการเช่นนี้หลังจากนั้น บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมด รวมถึงนักศึกษาที่เข้าสอบจอหงวนต่างก็กล่าวถวายบังคมไม่มีผู้ใดกล้าละเลย"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"ที่จัตุรัสสะพานจินส
กงฮุยอวี่ที่แสดงท่าทางออกมานั้น หลี่เฉินมองเห็นทุกสิ่งในสายตา แต่เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงให้กระจ่าง ในใจนั้นกลับเข้าใจอย่างแจ่มชัด ทว่ากลับไม่คิดสนใจนางต่อไปกงฮุยอวี่มองหลี่เฉินที่หันหลังกลับไปจัดการงานราชการในทันที ดวงตาที่เย็นเยียบของนางปรากฏความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาส่วนวั่นเจียวเจียวนั้น... นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้นางมีความสุขมากกว่านี้อีกแล้วในการรับมือกับสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีเช่นกงฮุยอวี่ การเร่งร้อนย่อมไม่เป็นผลดีไม่เช่นนั้น ความพยายามทั้งหมดอาจสิ้นเปลืองจนกลายเป็นแรงเกินไป ทำให้ทุกอย่างย้อนกลับและต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างน่าอึดอัดหลี่เฉินในตอนนี้ได้ก้าวไปอีกหนึ่งก้าว สำเร็จในการก่อกวนจิตใจของกงฮุยอวี่ ดังนั้นต่อไปจึงควรปล่อยให้อารมณ์คลี่คลายไปก่อน ทิ้งให้นางได้ครุ่นคิด จะได้ไม่เร่งร้อนเกินไปในมุมมองของหลี่เฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกงฮุยอวี่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักล่าและเหยื่อนักล่าต้องการจับเหยื่อ แต่เหยื่อกลับระแวดระวังสูงมาก หากผิดพลาดเพียงนิด ไม่เพียงแค่เหยื่อจะหนีไป แต่อาจจะหันกลับมาเล่นงานนักล่าเ
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความคิดของหลี่เฉินที่จะเอาชนะใจของกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นในชีวิตของผู้ชาย ย่อมต้องการผู้หญิงหลากหลายแบบอ่อนโยนและมีเสน่ห์อย่างจ้าวหรุ่ย เด็ดเดี่ยวและมั่นคงอย่างซูจิ่นพ่า และดื้อรั้นไม่ยอมคนอย่างกงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงหน้า"นิยายเล่มนั้น สนุกไหม?" หลี่เฉินถามเหมือนไม่มีอะไรจะพูดกงฮุยอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ก็ดี"หลี่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะบอกให้วั่นเจียวเจียวไปหยิบสมุดเล่มหนึ่งมา แล้วส่งให้กงฮุยอวี่ "ลองดูนี่สิ"กงฮุยอวี่มองสมุดที่เห็นได้ชัดว่าเป็นงานเขียนด้วยมือ แล้วมองหน้าหลี่เฉิน แต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับ"ข้าเขียนเอง"คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในห้องตกใจวั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับตาโตนางรู้ดีว่าหลี่เฉินยุ่งแค่ไหน งานราชกิจในพระที่นั่งสีเจิ้งแทบจะทำให้เขาไม่มีเวลาหายใจ แล้วเขายังมีเวลามาเขียนนิยายได้ด้วยหรือ?และยิ่งไปกว่านั้น … องค์รัชทายาทยังเขียนนิยายเป็น!วั่นเจียวเจียวมองหลี่เฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม รู้สึกว่าองค์รัชทายาทที่ดูเหมือนจะไร้ที่ติ ตอนนี้ดูเหมือนจะไร้ข้อบกพร่องอย่างแท้จริงรูปงาม สถานะสูงส่ง มีความ
ซูผิงเป่ยยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดากล่าว และเพียงเปิดปากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ซูเจิ้นถิงก็ยกมือขึ้นห้ามและกล่าวว่า "เรื่องพวกนี้ เจ้าเดินตามข้ากับองค์ชายไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ซึมซับและเข้าใจเอง ตอนนี้เจ้าคิดไม่ออก ต่อให้ข้าอธิบายมากเท่าใด เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี""การเมืองนั้นแตกต่างจากการรบ มันต้องใช้ความเข้าใจลึกซึ้ง และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างช้าๆ""ในตอนนี้ สิ่งที่เจ้าควรทำคือ ฟังให้มาก ดูให้มาก พูดให้น้อย และถามให้น้อยเข้าไว้""เอาล่ะ ในช่วงนี้ หากเจ้าไม่มีเรื่องจำเป็น ก็อย่ากลับบ้าน จงไปอยู่ในค่ายทหาร เข้าไปใกล้ชิดกับเหล่าทหารให้มากขึ้น การเมืองถึงที่สุดแล้วก็ต้องพึ่งกำลังทหาร""รู้ไหมว่าทำไมองค์ชายถึงฝากคนหนึ่งพันนายที่เจ้าพามาไว้กับหน่วยบูรพา? นั่นเพราะเพื่อเป็นแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน เจ้าต้องรับรองได้ว่า ในยามจำเป็น คนหนึ่งพันนายนี้ต้องยอมตายเพื่อองค์ชายโดยไม่ลังเล"ซูผิงเป่ยกลืนคำถามทั้งหมดกลับไป และรับคำอย่างนอบน้อม…เมื่อหลี่เฉินกลับถึง พระที่นั่งสีเจิ้ง วั่นเจียวเจียวกำลังสั่งการให้เหล่าขันทีนำก้อนน้ำแข็งมาวางทั่วทั้งท้องพระโรงในยุคโบราณ การผลิตน้