เมื่อผู้ชายถึงขั้นอันธพาลแล้ว อย่าคาดหวังว่ามารยาททางโลกจะมีผลกับเขายิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของผู้ชายคนนี้ก็สามารถก้าวข้ามมารยาททางโลกได้ไกลกว่าคนอื่นได้จ้าวชิงหลานซึ่งสูญเสียความสามารถในการต้านทาน ก็ใกล้จะหมดหวังเต็มทีด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง นางรู้สึกได้ถึงความเป็นสัตว์ป่าที่แฝงอยู่ในเสียงหอบหายใจที่เริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ของชายคนนี้ นั่นคือแรงกระตุ้นโดยสัญชาตญาณทางชีววิทยาของผู้ชายนางกลัวกลัวแล้วจริงๆและในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องที่น่าสังเวชอย่างยิ่งดังมาจากด้านนอกประตู“พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! ข้าสมควรตาย ข้าอยากจะขอขมาเสด็จแม่ต่อหน้าแล้วค่อยตาย!”เสียงร้องอย่างกะทันหันและน่าสังเวชนี้ ได้ทำลายบรรยากาศในตำหนักเฟิ่งสี่โดยสิ้นเชิงดวงตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยจิตสังหาร ตอนนี้เขาแทบอยากจะสั่งให้ซานเป่าฆ่าไอ้สุนัขหลี่อิ๋นหู่ตัวนี้ซะแต่สำหรับจ้าวชิงหลานแล้ว นางรู้สึกขอบคุณกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลี่อิ๋นหู่ในเวลานี้มิฉะนั้น ความบริสุทธิ์ของนางคงจะถูกทำลายด้วยมือหมาป่าของหลี่เฉิน “ให้เขาเข้ามา!”จ้าวชิงหลานใช้พลังทั้งหมดของนางเพื่อ
คำพูดของหลี่เฉินเหมือนกับการตบหน้าเข้าอย่างจัง และการตบนี้ก็ตบด้วยถุงมือที่เต็มไปด้วยหนามเหล็ก หลี่อิ๋นหู่ไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น แต่ความเจ็บปวดนี้ยังแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาโดยตรง และกระทบต่อจิตวิญญาณของเขาด้วย ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความโกรธหรือว่าความกลัวแม้จะนอนอยู่บนพื้นและถูกหลี่เฉินเหยียบเอาไว้ แต่ดวงตาของเขาก็ดุร้ายราวกับงูพิษ แต่ปากกลับกล่าวคำพูดที่อ่อนแรงออกมา “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้จริงๆว่าฝ่าบาทหมายถึงอะไร”หลี่เฉินชักเท้ากลับมา แล้วนั่งยองๆ คว้าศีรษะของหลี่อิ๋นหู่เพื่อให้เงยหน้าขึ้นสบตาตัวเอง “ฟังไม่เข้าใจหรือ?”หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ เพราะข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะยอมรับอยู่แล้ว แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานหรอก ถูกต้องไหม?”“การหาหลักฐานเป็นเรื่องของกรมยุติธรรมและศาลต้าหลี่ แต่สิ่งที่ข้าอยากจะทำก็คือ กำจัดคนที่ข้าคิดว่าน่าสงสัย”ประโยคนี้ทำให้รูม่านตาของหลี่อิ๋นหู่พลันหดลง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและท่าทางน่าสมเพชของเขา เวลานี้ก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาลึกๆ นับตั้งแ
หลี่เฉินหรี่ตาลงและพูดอย่างช้าๆ ว่า “ในเมื่อฮองเฮากล่าวเช่นนี้...” หลังจากได้ยินคำพูดครึ่งประโยคนี้ หลี่อิ๋นหู่ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยอย่างน้อยก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ตอนนี้ถ้าหลี่เฉินยืนกรานที่จะฆ่าเขา ถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้านจากเหล่าขุนนางในราชสำนัก และผู้คนในใต้หล้าก็จะตำหนิองค์รัชทายาทว่าฆ่าพี่น้อง แต่นี่ก็ไม่ใช่การฆ่าโดยไร้เหตุผล มีนักฆ่าอยู่ตรงหน้าเขา และหน่วยบูรพาก็เป็นสุนัขรับใช้ของตำหนักบูรพา จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะรวบรวมหลักฐานบางอย่างเพื่อปิดปากผู้คนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนอกเหนือจากราคาเหล่านี้แล้ว หลี่เฉินไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไรอีกเพื่อฆ่าเขา ท้ายที่สุดเขายังอ่อนแอเกินไป!หากเขามีอำนาจอยู่ในมือ หลี่เฉินจะฆ่าเขาก็ต้องกลัวว่าจะขว้างหนูไปกระทบของมีค่าที่อยู่ข้างๆ มีหรือจะลงเอยเช่นนี้ได้!?หลี่อิ๋นหู่กำหมัดแน่นและก้มศีรษะลง ซ่อนความไม่พอใจและความเกลียดชังเอาไว้ภายใต้ความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา เขาไม่กล้าที่จะหย่อนยาน เพราะเขาเชื่อว่าหลี่เฉินมีวิธีที่จะทำให้ชีวิตของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าความตายอย่างแน่นอนแน่นอนว่าหลี่เฉินไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานเกินไป“เมื่อปีที่แล้ว ข้า
หากประโยคก่อนหน้านี่ที่หลี่เฉินพูด ได้สร้างความมึนงงให้กับหลี่อิ๋นหู่เช่นนั้นเมื่อได้ฟังหลี่เฉินพูดจบแล้ว ร่างกายของหลี่อิ๋นหู่ก็สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัดเขาตะโกนในใจว่าองค์รัชทายาทรู้ดีว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับสำนักบัวขาวและการปล่อยให้เขาเป็นผู้ควบคุมการประหาร ก็เท่ากับการเป็นฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด!ทุกคนในใต้หล้ารู้ดีว่าสำนักบัวขาวเป็นกลุ่มคนวิกลจริตที่ต้องการจะแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งหากเขาเป็นผู้นำในการประหารชีวิตสาวกของสำนักบัวขาวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขากับสำนักบัวขาวก็อยู่ร่วมกันไม่ได้อีกแล้วอะไรที่เรียกว่าอุบายอันชั่วร้าย? นี่ไงที่เรียกว่าอุบายอันชั่วร้าย! อะไรที่เรียกว่าฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด?นี่ไงที่เรียกว่าฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด!รูม่านตาของหลี่อิ๋นหู่หดแคบลง เขาคิดหามาตรการตอบโต้อย่างบ้าคลั่งเขารู้ดีว่าสำนักบัวขาวเต็มไปด้วยคนบ้า และไม่ควรจะไปยั่วยุแม้ว่าเขาจะร่วมมือกับอีกฝ่ายมาก่อน แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจในภายหลังอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ดำเนินการประหารสาวกของคนเหล่านั้นก็คือเขา เกรงว่าคงพวกนั้นคงจะตามล้างแค้นเขาอ
หลี่อิ๋นหู่ที่เพิ่งประสบกับความสยองขวัญและเกือบจะเอาตัวไม่รอด ถูกจ้าวชิงหลานโจมตีด้วยวาจาซ้ำอีกครั้ง ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้ามาก“เขาพูดไม่ผิด แม้เขาจะให้โอกาสเจ้า แต่เจ้าก็ไม่สามารถใช้มันได้” จ้าวชิงหลานเยาะเย้ยและพูดอย่างเย็นชา “ไสหัวไป!” หลี่อิ๋นหู่ไม่สามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบากและกำลังจะจากไป “ยังมีอีกอย่าง”จู่ๆ จ้าวชิงหลานก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง“องค์รัชทายาทพูดถูก เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง สถานที่สำคัญอย่างวังหลัง ไม่สามารถเข้ามาได้ง่ายๆ ในอนาคต หากข้าไม่ได้เรียกให้เข้าเฝ้า เจ้าก็ห้ามก้าวเข้ามาในวังหลังแม้แต่ก้าวเดียว เข้าใจหรือไม่?”หลี่อิ๋นหู่รู้สึกหนาวในใจ แต่ก็ยังฝืนตอบไปว่า “ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวชิงหลานไม่พูดอะไรอีกหลี่อิ๋นหู่จึงหมุนตัวเดินออกจากตำหนักเฟิ่งสี่ไปอย่างเงียบๆ หลังจากที่หลี่อิ๋นหู่จากไปแล้ว จู่ๆ จ้าวชิงหลานก็ลืมตาขึ้น และกัดฟันพูดว่า “เข้ามา”นางกำนัลคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาทันที นี่คือสาวใช้ที่จ้าวชิงหลานนำมาจากบ้านของนางเอง เป็นคนสนิทในหมู่คนสนิทของนาง และเชื่อถือได้อย
สีหน้าของซูเจิ้นถิงก็เคร่งขรึมไม่แพ้กัน เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องพิจารณาในตอนนี้ก็คือเราควรจะซ่อนข่าวนี้หรือไม่?”“ซ่อนไม่ได้หรอก”หลี่เฉินส่ายหน้า จ้องมองไปยังทิศทางของพระที่นั่งไท่เหอ และกล่าวเสียงเย็นว่า “ด้วยกองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ การจะแทรกสายสืบเข้าไปในกองทัพสักคนสองคนก็เป็นเรื่องง่าย ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ไม่มีทางจะปกปิดได้”ซูเจิ้นถิงพูดด้วยความโกรธว่า “ผิงเป่ยยังเด็กเกินไป จึงตกหลุมพรางของศัตรู”“ฝ่าบาท เมื่อไม่สามารถปกปิดการรบครั้งนี้ได้ เช่นนั้นเราก็ควรจะแก้ไขสถานการณ์”ซูเจิ้นถิงประสานมือและกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาทโปรดทรงมีรับสั่งให้เปลี่ยนจอมทัพเพื่อนำทัพในครั้งนี้ จากนั้นก็จับกุมซูผิงเป่ยส่งกลับมารับโทษที่เมืองหลวง!”หลี่เฉินโบกมือแล้วพูดว่า “การเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาในระหว่างการรบถือเป็นเรื่องต้องห้ามในหมู่นักยุทธศาสตร์ทางทหาร ท่านแม่ทัพจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? หรือเป็นเพราะซูผิงเป่ยเป็นลูกชายของท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพจึงจำใจต้องหลีกเลี่ยงความสงสัย แต่ท่านแม่ทัพไม่ต้องคิดมากไป ข้ามีแผนของข้าอยู่แล้ว”“ข้าจะส่งสาสน์ของข้าไปให้ซ
“เหตุใดถึงเพิ่งพูด?” หลี่เฉินขมวดคิ้วถามซูเจิ้นถิงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “กระหม่อมกังวลว่าหากพูดไปแล้ว จะเหมือนเป็นการแก้ตัวแทนผิงเป่ย”“มันเกี่ยวข้องกับกิจทางทหาร ข้าจะตัดสินเองว่ามันเป็นเพราะความลับรั่วไหลหรือไม่ ท่านแม่ทัพกำลังสับสน” หลี่เฉินกล่าว ซูเจิ้นถิงประสาบมือกล่าว “กระหม่อมเลินเล่อ”หลังจากเดินเอามือไพล่หลังไปมาสองรอบ หลี่เฉินก็ถามว่า “ที่ว่ารั่วไหลนั้น เป็นเพียงการคาดเดา หรือว่ามีหลักฐานจริง?”ซูเจิ้นถิงตอบว่า “เป็นเพียงการคาดเดาไม่มีหลักฐาน แต่คนสนิทของกระหม่อมอยู่กับกระหม่อมมานานกว่าสิบปี สองพ่อลูกคู่นี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และถูกสอนโดยกระหม่อมและบิดาผู้ล่วงลับของกระหม่อม พวกเขาไม่ใช่คนไร้ความสามารถ กระหม่อมคิดว่ารายงานลับฉบับนี้ไม่ได้กล่าวอ้างลอยๆ คงจะมีข้อสงสัยอยู่บ้าง”“มันมีบางอย่างผิดปรกติเกี่ยวกับการรบในครั้งนี้ แผนการรบทั้งหมดนี้ถูกจัดทำขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่ผิงเป่ยจะเริ่มสงคราม หากศัตรูเห็นข้อบกพร่อง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะคาดเดาได้อย่างแม่นยำเช่นนี้”“ตามรายงาน ดูเหมือนว่ากองทัพตงอิ๋งจะคำนวณทิศทางการเดินทัพของเราอย่างได้สมบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะทำลายถนนท
“ข้ากำลังมีปัญหา”หลี่อิ๋นหู่กัดฟัน ในขณะนี้เขาเลิกเสแสร้งแล้ว ใบหน้าและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ลึกซึ้งที่สุด“จู่ๆ องค์รัชทายาทก็ไปปรากฏตัวที่นั่นระหว่างการลอบสังหาร เป็นเพราะเขาที่ทำให้แผนการทั้งหมดล้มเหลว การลอบสังหารในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ล้มเหลวเท่านั้น แต่ข้าก็ยังถูกลากไปเกี่ยวข้องอีกด้วย”“พรุ่งนี้ ข้าจะต้องไปลานด้านข้างตำหนักบูรพา และเริ่มสอนพวกเด็กๆ ที่ยังไม่หย่านมเรียนหนังสือ!”ชายชรามองสภาพที่โกรธเกรี้ยวของหลี่อิ๋นหู่ ก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องโกรธ นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย”ดวงตาของหลี่อิ๋นหู่ฉายแววลึกซึ้ง และถามว่า “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร?”ชายชราประสานมือกล่าว “มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ และเกือบจะทั้งหมดนี้ก็ไม่ดีต่อตัวพระองค์ ท่านอ๋องตกลงไปใจกลางวังน้ำวน และทุกการเคลื่อนไหวของพระองค์ก็จะดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ เป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่ามันขัดกับความอดทนอดกลั้นและการเก็บตัวเงียบของท่านอ๋องมานานกว่าสิบปี”“ตอนนี้องค์รัชทายาทได้ขังท่านอ๋องไว้ในตำหนักบูรพา ที่จริงแล้วมันก็ทำให้ท่านอ๋องมีโอกาสที่จะทำให้ตัวเองเก็บตัวเงียบได้
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านอ๋อง ข้ามั่นใจว่าสวีเว่ยต้องมีปัญหาแน่นอน เขาออกจากจวนบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย แม้เขาจะมีข้อแก้ตัวเสมอ แต่ข้ากล้าพูดได้ว่ามันต้องเป็นข้อแก้ตัวที่โกหก!”หลี่อิ๋นหู่มองชายชราอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องที่เขาเลี้ยงดูหญิงงามคนหนึ่ง ข้ารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ชายจะมีผู้หญิงคนที่ชอบมันก็ธรรมดา หากเป็นเจ้า เจ้าออกไปหาผู้หญิงเจ้าจะป่าวประกาศให้ใครๆ รู้หรือไม่?”คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ทำให้ชายชราพูดไม่ออก แต่เขายังยืนกรานว่า “โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าสัญญาว่าจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเขาให้ได้!”“เจ้าสืบเรื่องอ๋องแห่งแคว้นที่สนับสนุนหลงไหวอี้ให้ได้ก่อนเถอะ”หลี่อิ๋นหู่โบกมืออย่างรำคาญ “เอาเถอะ ออกไปซะ วันๆ เอาแต่ทำให้ข้าหนักใจ”ชายชราเปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ถอนหายใจ แล้วออกจากห้องไปคืนนั้น หลี่เฉินถูกปลุกขึ้นจากการนอนอีกครั้งแม้ว่าดวงตาจะล้าจนร้อนผ่าว แต่เขายังรับรายงานลับสุดยอดจากเฉินทงมาพิจารณาเมื่ออ่านรายงานที่สวีเว่ยส่งมา หลี่เฉินถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรายงานแบ่งเป็นสองส่วน
คำพูดของหลงไหวอี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่ตาวาวขึ้นมาทันที เขาลองถามหยั่งเชิงว่า “อ๋องแห่งแคว้นผู้ที่ท่านกล่าวถึงนั้นคือ…?”หลงไหวอี้ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะจัดให้ท่านพบกับท่านอ๋องผู้นั้น แต่ในเวลานี้ อ๋องฟานยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่าทีที่หลงไหวอี้ชอบปิดบังอะไรไว้เสมอ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจแต่ในเมื่อเขายังต้องพึ่งพาหลงไหวอี้ในหลายๆ เรื่อง หลี่อิ๋นหู่จึงกลืนความไม่พอใจลงไป และยิ้มแย้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ”ทั้งสองคนพูดคุยถึงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่หลงไหวอี้จะลุกขึ้นกล่าวลา “ท่านอ๋อง ข้าขอตัวลา”หลี่อิ๋นหู่รีบกล่าวขึ้น “เรื่องที่ข้าเคยขอให้ท่านช่วยเมื่อวันก่อน...”หลงไหวอี้หยิบตั๋วเงินชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “ท่านอ๋อง นี่คือตั๋วเงินสองแสนตำลึง ใบละหมื่นตำลึงรวมยี่สิบใบ เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นของอาจารย์ข้า อีกครึ่งมาจากท่านอ๋องผู้ที่ข้ากล่าวถึง อย่างไรก็ดี ทั้งอาจารย์ข้าและท่านอ๋องผู้นั้นก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเหลือเฟือ…”หลี่อิ๋นหู่ยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าเข้าใจดี
ในเมื่อไม่สามารถสังหารเย่ลู่กู่จ้านฉีได้ จ้าวเสวียนจีจึงเลือกที่จะตัดขาดช่องทางทั้งหมดที่เย่ลู่กู่จ้านฉีจะใช้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังแคว้นเหลียวแผนการที่ตามมาภายหลังจึงเกิดขึ้นแต่หากหลี่เฉินรู้แผนการนี้ล่วงหน้า เขาย่อมจะไม่ปล่อยให้จ้าวเสวียนจีสังหารสายลับแคว้นเหลียวสำเร็จเพราะถ้าเย่ลู่กู่จ้านฉีสามารถส่งข้อความกลับแคว้นเหลียวได้ และทำให้แคว้นเหลียวโกรธจนเกิดปัญหาที่เชื่อมโยงไปถึงจ้าวเสวียนจี นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อหลี่เฉินดังนั้น หากหลี่เฉินคิดจะขัดขวาง เขาย่อมต้องลงมือก่อนที่จ้าวเสวียนจีจะประสบความสำเร็จเมื่อปัดความเป็นไปได้ที่หลี่เฉินจะเกี่ยวข้อง จ้าวเสวียนจีเริ่มครุ่นคิดถึงผู้อื่นที่อาจมีส่วนร่วมอ๋องแห่งแคว้น? หรืออาจเป็นกลุ่มอิทธิพลในราชสำนัก?ความคิดนับร้อยพันพุ่งเข้ามาในหัวเหมือนเงื่อนปมที่ซับซ้อน เขาไม่สามารถจับจุดได้แม้แต่เงื่อนเดียวในขณะนั้น เสียงไก่ขันดังขึ้นจากนอกหน้าต่างรุ่งอรุณกำลังมาเยือนเสียงไก่ขันทำให้จ้าวเสวียนจีราวกับถูกปลุกให้ตื่น เขาสงบจิตใจลงในทันทีหลังจากโลดแล่นในวงราชสำนักมานานหลายสิบปี แม้จะถูกสถานการณ์บีบคั้นจนเสียศูนย์ชั่วขณะ แต่จ้าวเ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงช่วงจิบชาเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและจบลงเร็วยิ่งกว่า ทิ้งไว้เพียงซากศพที่ถูกไฟเผาไหม้และบ้านที่กำลังลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านกลุ่มคนชุดดำกระจายตัวออกไปในความมืดหลังจากสังหารสายลับและชิงเอาสิ่งของได้สำเร็จ คนหนึ่งในนั้นที่ถือจดหมายสำคัญไว้ในมือ วิ่งผ่านค่ำคืนมุ่งหน้าไปยังจวนจ้าวเมื่อมาถึงประตูเมืองที่ปิดสนิทในยามค่ำคืน ต่อหน้าคำถามของทหารเฝ้ายาม เขาโยนป้ายออกไปโดยไม่พูดพล่ำ"ที่แท้เป็นคนจากจวนท่านอาวุโสนี่เอง ข้าน้อยเสียมารยาทนัก ข้าจะรีบเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้!"เมื่อเห็นป้ายที่สลักอักษรจ้าวตัวใหญ่ๆ ไว้ ทหารเฝ้าประตูไม่กล้าลังเล รีบส่งสัญญาณให้เปิดประตูทันทีหลังเก็บป้ายคืน คนชุดดำกำลังจะก้าวเข้าเมืองแต่ทันใดนั้น ทหารเฝ้าประตูที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม กลับเผยสีหน้าดุดัน ชักดาบยาวฟันคนชุดดำในทันทีเสียงปังดังขึ้น ร่างของคนชุดดำล้มลงกับพื้นทหารผู้โจมตีคุกเข่าลงค้นตัว หยิบซองจดหมายออกมา เขายิ้มอย่างพอใจและกล่าวกับทหารคนอื่นว่า"พี่น้องทั้งหลาย ขอบใจทุกคนมาก ท่านอ๋องของข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงาม!"หลังจากกล่าวคำจนจบต่อเหล่าทหารธรรมดาที่กำลังหว
หลี่เฉินหรี่ตามองเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยังคงพูดจาฉะฉานและแสดงความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่เขากลับไม่ได้ตอบโต้หรือขัดจังหวะจากท่าทีของเย่ลู่กู่จ้านฉี ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้เลยว่าจ้าวเสวียนจีมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเหลียวหลี่เฉินอดผิดหวังไม่ได้เดิมทีเขาหวังว่าจะสามารถหาหลักฐานความผิดของจ้าวเสวียนจีได้ และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีไม่รู้อะไรเลย แผนการนี้คงต้องพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ ทำได้เพียงรอให้ข่าวเรื่องเย่ลู่กู่จ้านฉีตกเป็นเชลยแพร่ไปถึงแคว้นเหลียว และหวังให้แคว้นเหลียวเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับเองแต่ปัญหาคือ หลี่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ว่าแคว้นเหลียวจะดำเนินการอย่างไรหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็หมดความสนใจที่จะสนทนากับเย่ลู่กู่จ้านฉีอีก เขาลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไปเย่ลู่กู่จ้านฉีที่เห็นหลี่เฉินจะจากไป รีบร้อนพูดขึ้น "เจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเป็นพยานแล้วหรือ? เรื่องอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายชาติหรือการส่งข่าวกรอง หากเจ้าอยากให้ข้าร่วมมือ ข้าก็ยินดีทำให้"หลี่เฉินหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า "สมองของเจ้าเหมาะจะใช้เลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าเท่า
บางครั้ง คำพูดก็เป็นอาวุธที่ทำร้ายได้ลึกยิ่งกว่าคมดาบโดยเฉพาะเมื่อใช้จัดการกับคนอย่างเย่ลู่กู่จ้านฉีเขาเคยอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ไม่เคยมีใครกล้าทำให้เขาต้องอดทนต่อความอัปยศแต่หลังจากถูกนำตัวมายังเมืองหลวงต้าฉิน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง ความลำบากใจประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อนตอนนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็กลายเป็นเพียงเชลยศึกถึงอย่างนั้น เขาก็ยังถือดีว่าหลี่เฉินจะไม่ฆ่าเขา และพยายามรักษาศักดิ์ศรีในฐานะท่านอ๋องเอาไว้แต่ศักดิ์ศรีนั้นถูกหลี่เฉินบดขยี้จนป่นปี้เย่ลู่กู่จ้านฉีจ้องหลี่เฉินด้วยสายตาแข็งกร้าว หากไม่ใช่เพราะกำลังพลด้อยกว่า เขาคงได้ฉีกหลี่เฉินเป็นชิ้นๆ ไปแล้วเขาแสยะยิ้มเยือกเย็น ก่อนเอ่ยว่า "ดีๆๆ! แต่หากข้าจับโอกาสได้สักครั้ง ข้าจะบีบกระดูกเจ้าทีละข้อจนแหลกคามือ!""พูดจาข่มขู่ ใครๆ ก็พูดได้"หลี่เฉินหัวเราะเยาะ พลางกล่าวว่า "หากการพูดเพียงอย่างเดียวทำให้ชนะได้ แคว้นเหลียวของเจ้าไม่ต้องเลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าแล้ว แค่นั่งอยู่ในบ้านแล้วปล่อยคำพูดลอยลมออกไป ก็คงครองแผ่นดินได้ทั้งปวง"กร็อบเย่ลู่กู่จ้านฉีกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วลั่นเสียงดังเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองไม่ม
การมาถึงของหลี่เฉิน ทำให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรในบริเวณตำหนักบูรพาคุกเข่าลงราวกับคลื่นลูกใหญ่กงฮุยอวี่ที่อยู่บนหลังคาเหลือบมองหลี่เฉินเพียงครู่เดียว ก่อนจะหมุนตัวหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยหญิงผู้นี้ยังคงเย็นชา และดูเหมือนจะไม่เป็นมิตร นางพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอกับหลี่เฉินอยู่เสมอ ซึ่งหลี่เฉินเองก็หาได้ใส่ใจไม่เขาคิดในใจว่าน้ำอุ่นต้มกบ ค่อยๆ ทนรอไป สักวันคงมีโอกาสส่วนซานเป่าซึ่งอยู่หน้าประตูตำหนัก กลับไม่มีท่าทียโสเช่นนั้น เมื่อเห็นหลี่เฉินที่พาวั่นเจียวเจียวมาด้วย เขารีบลุกขึ้นมาทักทายทันที"บ่าวขอคารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ"หลี่เฉินโบกมือให้ซานเป่าลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า "ข้าจะไปพบเย่ลู่กู่จ้านฉี จดหมายของเขา ส่งออกไปแล้วหรือยัง?"ซานเป่ากล่าวตอบด้วยความเคารพว่า "ส่งออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นเขาเองที่สั่งให้หนึ่งในองครักษ์ของเขาดำเนินการ บ่าวปฏิบัติตามรับสั่งขององค์ชาย จึงไม่ได้ขัดขวางพ่ะย่ะค่ะ""สายลับของแคว้นเหลียวในเมืองหลวงมีอยู่ไม่น้อย ให้เขาใช้ช่องทางของเขาเองก็ดี พวกเขาถึงจะเชื่อ นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย"พูดพลาง หลี่เฉินก้าวเข้าไปในตำหนักปีกแม้จะเป็นตำหนักปีก แต่การตกแต่ง
"นำรายงานจากกรมครัวเรือนมาให้ข้าดู"หลี่เฉินสั่งวั่นเจียวเจียวให้นำรายงานจากกรมครัวเรือนที่ส่งมาช่วงเช้าออกมา พลางเปิดอ่านดูเพียงครู่เดียว ใบหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นทันทีรายจ่ายอื่น ๆ ยังถือว่าอยู่ในงบประมาณตามปกติ แต่วันนี้ที่ต้องจัดเลี้ยงทหารทั้งสามกองทัพ เพียงวันแรกก็หมดเงินไปหลายหมื่นตำลึงแล้วอย่ามองว่าเป็นตัวเลขน้อย นี่เพียงแค่วันเริ่มต้นเท่านั้น ตามธรรมเนียม ทัพผู้ชนะจะต้องจัดเลี้ยงตามขนาดของศึก หากศึกเล็กจัดเจ็ดวัน หากศึกใหญ่จัดเลี้ยงได้นานถึงหนึ่งเดือน ของใช้ต่าง ๆ อาหาร สุรา สำหรับคนหลายหมื่นคน เพียงแค่ค่าใช้จ่ายปกติในหนึ่งวันก็มหาศาลแล้ว ยังไม่นับถึงอาหารเลี้ยงฉลอง เช่น ปลาตัวใหญ่ เนื้อสัตว์ เครื่องใน ต้องเชือดวัว เชือดแกะ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเงินของราชสำนักประกอบกับภัยพิบัติยังไม่ได้รับการฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ ราคาสินค้าต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้นยิ่งกว่าที่เคย ไม่เพียงชาวบ้านทั่วไปที่ลำบาก แม้แต่ราชสำนักเองยังแทบรับไม่ไหวตามที่กรมครัวเรือนคำนวณไว้ ค่าเลี้ยงฉลองทั้งหมดจะต้องใช้เงินอย่างน้อยสามถึงสี่แสนตำลึง และนี่เป็นเพียงค่าเลี้ยงฉลองเท่านั้น ยังมีค่าตอบแทนวีรกรรมรบ ค่าชดเชยสำห
สวีฉังชิง เป็นหนึ่งในขุนนางที่ซื่อสัตย์และใสสะอาดที่สุดในราชสำนักต้าฉินหลี่เฉินเคยเห็นกับตาตอนที่สวีฉังชิงตกอยู่ในปัญหาครั้งก่อน และหลี่เฉินได้ไปที่บ้านของเขาดังนั้น เมื่อได้ยินคำบ่นอย่างขุ่นเคืองของสวีฉังชิง หลี่เฉินก็เพียงแต่หัวเราะและปลอบโยนว่า “เขาทำหน้าที่ของเขา เจ้าจะไปถือสาอะไรกับเขา”ถ้าเปรียบเทียบกับสวีฉังชิง เหอคุนคือคนอีกขั้วหนึ่งโดยสิ้นเชิงเหอคุนเต็มไปด้วยความลื่นไหล ไหวพริบ และความโลภ ซึ่งทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับลักษณะของสวีฉังชิงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ สวีฉังชิงจึงไม่ชอบเหอคุนตั้งแต่แรกเห็นในแง่คุณสมบัติ เหอคุนอาจดูเหมือนเต็มไปด้วยข้อเสีย หลี่เฉินไม่มีทางสนใจแน่แต่สิ่งที่หลี่เฉินให้ความสำคัญคือ ความสามารถในการทำงานของเหอคุนคนอย่างเหอคุน หากไม่ได้มีพื้นเพต่ำต้อย คงจะมีอนาคตในราชสำนักที่ไกลกว่าสวีฉังชิงมากสวีฉังชิงเหมาะกับการทำงานหนักแบบไม่หวังผลตอบแทน แต่เหอคุน คือคนที่สามารถจับจุดอ่อนของปัญหา และหาทางแก้ไขให้หลี่เฉินได้อย่างชัดเจนและนี่คือสิ่งที่กลบข้อเสียส่วนใหญ่ของเหอคุนได้เมื่อเห็นว่าสวีฉังชิงยังคงแสดงความไม่พอใจ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “เจ้ากับเขามีบุคลิกแล