แค่ได้ยินเสียงสายก็ทราบความนัย ยิ่งไปกว่านั้นซูเจิ้นถิงเป็นใครในฐานะอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางทหารอย่างลับๆ ที่องค์จักรพรรดิทิ้งไว้ให้ เขาคือจิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์เพียงแค่ฟังประโยคนี้ ก็คาดเดาเรื่องราวได้เจ็ดแปดส่วน “เรื่องนี้จะต้องตัดหางปล่อยวัด!”ซูเจิ้นถิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในราชสำนักก็มีกลุ่มพรรคอยู่แล้ว โดยมีจ้าวเสวียนจีเป็นผู้นำ ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับราชสำนักมานานกว่าสิบปี ในความคิดเห็นของกระหม่อม จะต้องไม่มีกลุ่มพรรคอื่นอีก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากพรรคนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ขนาดของมันอาจจะใหญ่กว่าของจ้าวเสวียนจี”หลี่เฉินยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “รัฐทายาทเหวินอ๋องถ่อมตัวมาหลายปี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปกปิดผลลัพธ์ของวันนี้ และตอนนี้สมาคมเหวินหยวนของเขาก็ได้จัดตั้งขึ้นมาแล้ว คงยากที่จะแก้ไขได้”“ในเมื่อเราไม่สามารถหยุดยั้งการก่อตั้งได้ งั้นก็ทำลายมันซะ”เวลานี้เอง ซูเจิ้นถิงได้แสดงพฤติกรรมเด็ดเดี่ยวของแม่ทัพใหญ่ผู้อาจหาญขึ้นมา เขาพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปล่อยให้มันเติบโตได้”“สิ่งที่นายพลท่านแม่ทัพใหญ่พูด คือสิ่งที่ข้าต้องการ”หลี่
“ฝ่าบาท ทรงประสงค์ให้กระหม่อมไปด้วยหรือไม่?”ซูเจิ้นถิงตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้จึงถามหลี่เฉินส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็น ตอนนี้ภาระของเจ้าหนักพอแล้ว จัดการเรื่องต่างๆ ในมือของเจ้าก่อนดีกว่า”ซูเจิ้นถิงได้ยินดังนั้นจึงหยุดยืนกราน และยืนขึ้นเพื่อส่งหลี่เฉินออกจากจวนเมื่อเห็นหลี่เฉินกลับไป ระหว่างทางกลับเดินกลับ ซูเจิ้นถิงก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ใครก็ตามที่มีสายตาที่เฉียบแหลมจะรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับสวีฉังชิงนั้นไม่มีมูลความจริงแต่เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง เพราะมันเป็นเรื่องง่ายที่จะสร้างคดีให้มั่นคง มีบางคนจงใจที่จะฆ่าสวีฉังชิง เพื่อตัดนิ้วของตำหนักบูรพาออกเมื่อกลับมาถึงห้องหนังสือของตัวเอง ซูเจิ้นถิงก็ถอนหายใจเบาๆ เขาตัดสินใจจะไม่แทรกแซงเรื่องนี้ และทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากองค์รัชทายาทให้ดีแม้ว่าเขาและองค์รัชทายาทจะเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วองค์รัชทายาทก็เป็นนาย ส่วนเขาก็คือลูกน้อง การยื่นมือเข้าไปยุ่งมากเกินไป มันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลี่เฉินกลับมาถึงตำหนักบูรพา เอกสารอย่างเป็นทางการจากกรมย
“เยี่ยมมาก”หลี่เฉินพยักหน้าและพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ในเอกสารระบุว่า สวีฉังชิงซื้อขายตำแหน่งขุนนาง มีหลักฐานหรือไม่?”เฉียนซื่อเหยียนตอบว่า “กระหม่อมได้สอบปากคำสมุบาญชีย์กรมครัวเรือนสองนาย พวกเขายอมรับสารภาพว่า ตำแหน่งของพวกเขาได้มาจากการติดสินบนสวีฉังชิงด้วยเงิน 500 ตำลึงและ 600 ตำลึงตามลำดับ โดยเงินสกปรกเหล่านั้นถูกค้นพบในบ้านของสวีฉังชิง และถูกอายัดไว้ในกรมยุติธรรม”“นอกจากนี้ ตามคำรับสารภาพของสมุบาญชีย์ทั้งสองคน ไม่ได้มีเพียงพวกเขาเท่านั้น แต่ยังมีคนอีกเจ็ดคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งพวกเขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับสวีฉังชิง และติดสินบนเขาผ่านช่องทางต่างๆ สวีฉังชิงยอมรับพวกเขาทีละคน และมอบตำแหน่งของพวกเขาในเจียงซู เจ้อเจียง หมิ่นเซิ่ง และชวนซี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหลักฐานที่หักล้างไม่ได้”หลี่เฉินฟังอย่างเงียบๆ และพูดว่า “เอาล่ะ นี่คือการขายตำแหน่ง แล้วการซื้อตำแหน่งล่ะ เจ้ารู้ไหมว่าตำแหน่งรองเสนาบดีกรมครัวเรือนฝ่ายซ้ายของเขา ซื้อมาจากใคร?” สีหน้าสงบนิ่งของเฉียนซื่อเหยียนก็พลันแข็งทื่อเขาไม่คาดว่าหลี่เฉินจะถามคำถามเช่นนี้ มีขุนนางในราชสำนักคนไหนบ้างที่ไม่ทราบว่า รองเสนาบด
ประโยคนี้ หนักแน่นดุจเขาไท่ซานใบหน้าของเฉียนซื่อเหยียนพลันกระตุก เขากำแขนเสื้อแน่น กัดฟันแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท พระองค์จะเริ่มจากตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ?” “สามหมื่นตำลึง!”หลี่เฉินยืนขึ้น และเดินเข้าไปหาเฉียนซื่อเหยียน กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ภัยพิบัติทางธรรมชาติยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง เงินที่เข้าและออกจากกรมครัวเรือนจะต้องได้รับการอนุมัติจากสวีฉังชิง ซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ 80,000 ถึง 100,000 ตำลึงทุกวัน หากมีการบรรเทาภัยพิบัติครั้งใหญ่ เงินเดือน หรือค่าจ้างทหาร ก็อาจจะเกินล้านตำลึงได้อย่างง่ายดาย”“เงินหมุนเวียนที่มากมายเช่นนี้ อีกทั้งสวีฉังชิงก็มีอำนาจในการอนุมัติการเข้าและออกแต่เพียงผู้เดียว หากเขาเกิดความโลภ บวกกับทำงานในกรมครัวเรือนมาครึ่งชีวิต เขาก็สามารถนำเงินจำนวนมากออกไปได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ถ้าหากไม่ใช่ราชสำนักตรวจสอบบัญชี คนธรรมทั่วไปก็คงไม่มีใครค้นพบ”“เงินทองกองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้ากลับไม่เอา แต่ดันไปหาหัวขโมยข้างนอกมาขโมยเงินในท้องพระคลังสามหมื่นตำลึง เจ้าคิดว่าเขาสมองหมูหรือไม่?”เมื่อมองไปที่เฉียนซื่อเหยียน หลี่เฉินก็ตะคอกใส่ว่า “หรือว่าเสนาบดีกรมยุติธรร
หวังเถิงฮ่วนไม่มีความตั้งใจที่จะพูดอ้อมค้อมตั้งแต่แรก เพราะที่นี่คือพระที่นั่งสีเจิ้ง ไม่ใช่พระที่นั่งไท่เหอนี่เป็นการสนทนาส่วนตัวระหว่างเขาในนามของสำนักราชเลขากับตำหนักบูรพา ไม่ใช่ในราชสำนัก ซึ่งทุกอย่างจะต้องทำอย่างเป็นทางการ ทุกคำพูดต้องสมเหตุสมผล และการกระทำจะต้องมีเหตุผลที่ดีในเมื่อเป็นการสนทนาส่วนตัว แม้จะเป็นเกมเดียวกัน แต่กลับโหดร้ายมากกว่าและตรงประเด็นมากกว่า มันเป็นการเผชิญหน้ากันตรงๆ และถกกันเรื่องผลประโยชน์“ข้อสงสัยมาจากตำหนักบูรพา” คำพูดของหวังเถิงฮ่วนทำให้หลี่เฉินหัวเราะ “โอ้? ช่างน่าสนใจจริงๆ เกี่ยวข้องกับข้าเสียด้วย”หวังเถิงฮ่วนกล่าวต่อไปว่า “ฝ่าบาทควรรู้ว่าเรื่องนี้สามารถทำได้หรือไม่ แม้แต่นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง สวีฉังชิงแม้ไม่มีผลงานแต่ก็ทำงานหนัก หลายๆ เรื่องสามารถจัดการได้อย่างสบายๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของฝ่าบาท”ตาแก่หวังเถิงฮ่วนพูดอย่างชัดเจน ทำให้หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ความหมายนี้ก็คือ ใต้เท้าหวังทำผิด ตอนนี้จึงต้องการจะชดเชยความผิด?”เฉียนซื่อเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ตะลึงจนเซ่อ ปรากฏว่าตัวเองเข้าใจผิดแต่อย่า
เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับหวังเถิงฮ่วนในทันที เพราะว่าหลี่เฉินยังมีข้อพิจารณาอื่นอยู่สำนักราชเลขาได้ระบุเงื่อนไขแลกเปลี่ยนที่ชัดเจนมาก และหลี่เฉินก็เข้าใจดีว่าไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาต่อรองในเรื่องนี้มันจะเหมือนซื้อผักในตลาดสดได้อย่างไร ผัดกาดขาวหนึ่งจินคนขายบอกสองเหรียญทองแดงแต่คนซื้อจะให้แค่หนึ่งทองแดง?ทุกคนล้วนเป็นนักหมากรุก เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ก็มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้นสวีฉังชิงจะถูกทอดทิ้งแล้วออกจากกระดานหมากรุก และเรื่องที่สุนัขเฒ่าหวังเถิงฮ่วนที่หวังจะได้กลับคืนสู่สำนักราชเลขา ก็จะเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของเขาหรือหลี่เฉินจะยอมรับเงื่อนไขของสำนักราชเลขา ให้หวังเถิงฮ่วนกลับไป และนำสวีฉังชิงกลับมาทุกอย่างย้อนกลับไปที่ผลประโยชน์ ปัญหาที่หลี่เฉินต้องพิจารณาคือ สวีฉังชิงคุ้มค่ากับตำแหน่งมหาอำมาตย์ในสำนักราชเลขาหรือไม่? เมื่อมองเผินๆ ข้อตกลงนี้เป็นเรื่องที่ขาดทุนอย่างแน่นอน แต่หลายสิ่งหลายอย่างในระดับนี้ก็ไม่สามารถจัดการได้อย่างชัดเจนรากฐานของตำหนักบูรพานั้นตื้นเขิน ถึงแม้ว่าซูเจิ้นถิงจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ก็ทำได้เพียงฝืนยืนหยัดอยู่ในฝั่งของทหารเท่านั้น ซึ่งท
แต่ด้วยสถานะของสวีฉังชิงคงไม่มีปัญหาอะไรที่จะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ แต่ทว่าเขากลับอาศัยอยู่ที่เขตชั้นนอกที่คนธรรมดาตั้งถิ่นฐานอยู่เมื่อเทียบกับเขตชั้นในแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมหรือด้านอื่นๆ เขตชั้นนอกก็ยังด้อยกว่าเขตชั้นในมากบ้านของสวีฉังชิงไม่ได้ใหญ่มากนัก เพียงอยู่ติดกับถนนสายหลักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขตชั้นในเมื่อมองไปที่จวนตรงหน้าซึ่งมีป้ายคำว่าจวนสวี และประตูหน้าบ้านที่เปิดกว้างกับเสียงผู้หญิงร้องไห้อยู่ข้างใน หลี่เฉินก็โบกมือให้ซานเป่าตามเขาเข้าไป ในขณะที่คนอื่นๆ ให้รออยู่ข้างนอก จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปลานเล็กๆ ดูแย่มาก ดูยากจนและเรียบง่าย แทบไม่มีการตกแต่งใดๆ เลย ของบางอย่างที่ควรมี ครอบครัวธรรมดาๆ ก็ใช้เช่นกัน และทั้งหมดก็มีอายุพอสมควรแล้วข้ารับใช้ในจวนมีไม่มากนัก หลี่เฉินเดินเข้ามานานแล้ว ก่อนที่พ่อบ้านหลังค่อมวัยห้าสิบหรือหกสิบปีจะเดินเข้ามาพ่อบ้านชราเห็นหลี่เฉินมีออร่าไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะละเลย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม พ่อบ้านถามอย่างสุภาพว่า “คุณชายท่านนี้ มีธุระอันใดหรือไม่ขอรับ?” หลี่เฉินถาม “ที่นี่คือจวนของใต้เท้าสวีหรือ?”สีหน้าของพ
“เจ้าคือหลานชายของใต้เท้าสวีหรือ?”หลี่เฉินถาม โดยจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ตัวเองนั้นได้เปิดประตูหลังให้หลานชายของสวีฉังชิงไปการแสดงออกของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนไป เขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยสวีจวินโหลว”“พาข้าเข้าไปพบครอบครัวของใต้เท้าสวีหน่อย” คำขอที่ไม่สมเหตุสมผลของหลี่เฉิน ทำให้สวีจวินโหลวขมวดคิ้วในเวลานี้ หากเป็นสหายธรรมดาๆ ส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงเขา แต่หลี่เฉินกลับมีพฤติกรรมที่ไม่ธรรมดา สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แทนที่จะจากไป เขากลับขอพบสมาชิกในครอบครัวด้วยซ้ำนี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งแต่สวีจวินโหลวกลับมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ว่า ตัวเองนั้นไม่ควรปฏิเสธอีกฝ่าย“เชิญ”สวีจวินโหลวยกมือขึ้น และเชิญหลี่เฉินกับซานเป่าเข้าไปในห้องโถงด้านในภายในห้องโถง มีสตรีสามคนกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ซานเป่าโน้มเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของหลี่เฉินว่า “สามคนนี้เป็นภรรยาและอนุของสวีฉังชิง คนตรงกลางที่สวมชุดสีม่วงคือฮูหยิน ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ คืออนุภรรยา สวีฉังชิงไม่มีลูก ดังนั้นหลานชายที่ชื่อสวีจวินโหลว จึงได้รับการเลี้ยงดูเหมือนลูกชาย”หลี่เฉินพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเข้าใจแ
เมื่อเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น จ้าวเสวียนจีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากต้าสิงฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์เมื่อใดก็ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้หลังจากจัดระเบียบความคิดของตัวเอง จ้าวเสวียนจีก็หันมามองหลี่อิ๋นหู่ แม้ว่าภายในใจจะเบาใจขึ้น แต่สีหน้ากลับยังคงเคร่งเครียด“ดูเหมือนสถานการณ์จะพัฒนาไปในทิศทางที่เลวร้ายที่สุดแล้ว”จ้าวเสวียนจีถอนหายใจยาว สีหน้าที่หม่นหมองของเขาสร้างแรงกดดันให้หลี่อิ๋นหู่มากยิ่งขึ้นเห็นได้ชัดว่า จ้าวเสวียนจีเช่นนี้ ทำให้หลี่อิ๋นหู่กดดันยิ่งกว่าเดิม“ท่านผู้อาวุโส พวกเราไม่สามารถนั่งรอความตายได้!”หลี่อิ๋นหู่กล่าวอย่างเร่งร้อน จ้าวเสวียนจีพยักหน้า “ถูกต้อง เราไม่สามารถนั่งรอเฉยๆ ได้”“จากนี้ไป ข้าจะเริ่มรวบรวมกำลังคน ติดต่อขุนนางและพรรคพวกในแต่ละพื้นที่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เราจะยกทัพทันที”หลี่อิ๋นหู่รู้สึกหัวใจเต้นแรง ถามด้วยเสียงสั่น “ท่านผู้อาวุโส หมายถึงเมื่อใด?”จ้าวเสวียนจีหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “สิบวันจากนี้ พิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท”สิบวัน!เหลือเวลาเพียงสิบวันเท่านั้นหลี่อิ๋นหู่กลืนน้ำลาย สีหน้าเริ่มแดงระเรื่อเขารู้สึกตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกั
กงฮุยอวี่กล่าวเพียงคำเดียว ก่อนวางหนังสือในมือและก้าวออกจากพระที่นั่งสีเจิ้ง ร่างของนางหายไปในพริบตาหลี่เฉินที่รู้สึกถึงกลิ่นหอมบางเบาพัดผ่านใบหน้า และเมื่อกระพริบตาอีกครั้งก็ไม่เห็นร่างของกงฮุยอวี่ ทำให้เขาอดอิจฉาไม่ได้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายล้วนมีความสามารถที่ดูเหมือนจะหายตัวได้ หากเขาไม่ได้ถามซานเป่ามาก่อนว่าการฝึกเช่นนี้ต้องเริ่มตั้งแต่เจ็ดแปดขวบ และใช้เวลาสองสามสิบปีจึงจะสำเร็จ หลี่เฉินคงอยากลองฝึกดูบ้างเมื่อกงฮุยอวี่ออกไป วั่นเจียวเจียวก็รีบวิ่งไปหยิบหนังสือที่กงฮุยอวี่ทิ้งไว้ แล้วซ่อนมันไว้อย่างรวดเร็วเมื่อหันกลับมาเห็นหลี่เฉินที่มองมาด้วยสายตายิ้มๆ วั่นเจียวเจียวหน้าแดงก่ำจากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่านั่นคือหนังสือที่ตนหามาอย่างยากลำบาก จึงกระทืบเท้าแล้วกล่าวว่า “องค์ชาย ท่านดูสิ หญิงคนนั้น นางชอบแย่งหนังสือของบ่าวไปอ่าน! บ่าวขอคืนนางยังไม่สนใจเลย นางช่างหยิ่งยโสนัก!”หลี่เฉินมองดูวั่นเจียวเจียวที่พยายามฟ้องอย่างน่าสงสาร ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาหัวเราะออกมา “ถ้าเจ้าเก่งจริง ก็ไปแย่งคืนมาเองสิ มาฟ้องข้าไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าเองยังต้องต่อรองกับนางเล
ความดื้อรั้นของหลี่อิ๋นหู่ทำให้หลี่เฉินเกิดความสงสัยเขาหรี่ตาจ้องมองหลี่อิ๋นหู่ สังเกตเห็นว่าความพยายามของหลี่อิ๋นหู่นั้นย่อมมีจุดประสงค์บางอย่างแต่การพบจ้าวชิงหลานหรือฮ่องเต้ หลี่อิ๋นหู่จะมีจุดประสงค์ใดได้เล่า?หลี่เฉินมิใช่เซียนผู้หยั่งรู้ความคิดคนอื่นได้ แม้จะพยายามคาดเดาหลายประการในใจ แต่ในที่สุดเขาก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมหลี่อิ๋นหู่ถึงยืนกรานที่จะพบจ้าวชิงหลานและฮ่องเต้เช่นนี้ในเมื่อคิดไม่ออก หลี่เฉินก็ตัดสินใจ...“ข้ากำลังยุ่ง เจ้ากลับไปก่อนเถิด”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของหลี่อิ๋นหู่ร่วงลงสู่ก้นเหวในสายตาของเขา นั่นหมายความว่าเสด็จพ่อคงเกิดเหตุไม่ดีขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นองค์รัชทายาทคงไม่ขัดขวางเขาเช่นนี้หลี่อิ๋นหู่กัดฟันแน่น ราวกับอยากพูดบางสิ่งแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าเย็นชาของหลี่เฉิน คำพูดทั้งหมดก็จมหายไป“จ้าวอ๋องมีเรื่องอื่นอีกหรือ?”สายตาเย็นยะเยือกนั้นทำให้คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ถูกกลืนกลับไปเขาก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาหลี่เฉิน ก่อนกล่าวว่า “น้อง ไม่มีเรื่องใดแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปพักผ่อนเสีย”“น้อง...ขอลา”แม้จะรู้สึกไม่พอใจ หลี่อิ๋นหู่ก็ต้องยอมจำนน
หลี่อิ๋นหู่มีท่าทีตื่นตัวทันที ก่อนกล่าวว่า “น้องเพิ่งไปที่ตำหนักเฟิ่งสี่เพื่อจะเข้าไปถวายบังคมเสด็จแม่ แต่ขันทีที่นั่นกลับกล้าขัดขวางน้อง แถมยังพูดจาไม่เหมาะสม น้องจึงมาขอพระบัญชาองค์ชาย เพื่อให้น้องเข้าไปถวายบังคมเสด็จแม่ พร้อมทั้งลงโทษขันทีผู้นั้นด้วย”หลี่เฉินฟังคำกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “จ้าวอ๋องดูจะมีโทสะไม่น้อย เจ้าหมายความว่าขันทีผู้นั้นสมควรตายหรือ? เขาทำสิ่งใดให้เจ้า?”หลี่อิ๋นหู่รีบเสริมว่า “ขันทีผู้นั้นไม่เพียงแต่ขัดขวางน้อง แต่ยังพูดจาเสียดสีน้อง อย่างไรน้องก็คือองค์ชาย เป็นพระญาติราชวงศ์ ไฉนเลยขันทีจะมีสิทธิ์มาดูหมิ่นน้อง? ดังนั้นขอองค์ชายช่วยน้องจัดการเรื่องนี้ด้วย”หลี่เฉินถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าถามว่า เขาดูหมิ่นเจ้าด้วยวิธีใดหรือ? เขาด่าเจ้าหรือ เขาเยาะเย้ยเจ้าหรือ?”หลี่อิ๋นหู่สะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าของหลี่เฉินที่ไร้อารมณ์ใดๆแม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกว่า หลี่เฉินกำลังโกรธหลี่อิ๋นหู่รู้สึกหวาดกลัวและอึดอัดความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตผุดขึ้นในใจ เขาเคยถูกหลี่เฉินดุด่าจนกลัวหัวหดหลี่เฉินตบโต๊ะอย่างแรง ก่อนดุด่าว่า “คนทั้งตำหนักเฟิ
หลี่อิ๋นหู่เดินออกจากจวนจ้าวด้วยความตื่นเต้นในใจ และมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวงองครักษ์ของพระราชวังหลวงไม่ได้ขัดขวางเขา แต่เมื่อเขาไปถึงตำหนักเฟิ่งสี่กลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้า“บังอาจนัก!”หลี่อิ๋นหู่ตวาดใส่ขันทีที่ยืนขวางหน้า “เจ้าคนไร้ค่า กล้าขวางทางข้า? ข้าจะเข้าไปถวายบังคมต่อฮองเฮา เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาสั่งข้า?”ขันทีค้อมศีรษะด้วยความเคารพ แต่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “จ้าวอ๋องโปรดอภัย องค์ชายสั่งไว้ว่า หากไม่มีพระบัญชา ผู้ใดก็มิอาจเข้าเฝ้าฮองเฮาได้ หากท่านอ๋องต้องการเข้า โปรดแสดงพระบัญชาขององค์ชายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”หลี่อิ๋นหู่หรี่ตาลง ขันทีผู้นี้ยกองค์รัชทายาทขึ้นมาเป็นเกราะป้องกัน ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรเกินเลยหลี่อิ๋นหู่กัดฟันแน่นกล่าวว่า “ข้าเพียงต้องการเข้าไปถวายบังคมต่อเสด็จแม่ และจะออกมาโดยไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”พูดจบ เขาหยิบตั๋วเงินจากอกเสื้อออกมา ยื่นให้พร้อมกล่าว “กงกง ช่วยอำนวยความสะดวกให้ข้าสักครั้งเถิด”การที่หลี่อิ๋นหู่ในฐานะอ๋องต้องลดตัวลงมาส่งสินบนให้ขันทีนั้นนับเป็นการเสียศักดิ์ศรีอย่างมาก แต่ขันทีกลับถอยหลังคุกเข่าลงทันทีพร้อมกล่าวด้วยความกลัว “ท่านอ๋
ภายใต้การชักนำอย่างแยบยลและการปูทางอย่างละเอียด ในที่สุดหลี่อิ๋นหู่ก็เดินเข้าสู่กับดักที่จ้าวเสวียนจีวางไว้จ้าวเสวียนจีที่สร้างกับดักนี้อย่างประณีต พึงพอใจอย่างยิ่งเขากล่าวว่า “ท่านอ๋อง ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว”“มีคนมากมายที่มองไม่เห็นสิ่งนี้ จึงพลาดโอกาสครั้งใหญ่ ท่านอ๋องที่สามารถมองทะลุในชั้นนี้ นับว่าได้ก้าวไปอีกขั้นแล้ว”ในขณะนี้ หลี่อิ๋นหู่ดูเหมือนจะตกอยู่ในภาพมายาที่จ้าวเสวียนจีสร้างขึ้นเขาหันไปมองจ้าวเสวียนจีด้วยความกระตือรือร้นและตื่นเต้น กล่าวถามว่า “ท่านผู้อาวุโส เช่นนั้นพวกเราควรทำอะไรต่อไป?”จ้าวเสวียนจีมองเขาด้วยสายตาแน่วแน่ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ท่านอ๋อง ตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำนั้นเสี่ยงถึงชีวิต ต้องรอบคอบอย่างยิ่ง”หลี่อิ๋นหู่ส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนกล่าวว่า “หากพวกเราไม่ทำอะไรเลย จะไม่เสี่ยงตายหรือ? ท่านผู้อาวุโส ข้าพิจารณาข้อดีข้อเสียทั้งหมดแล้ว ในเมื่อจะทำ ก็ต้องลงมือก่อน อย่าปล่อยให้องค์รัชทายาทมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้”เมื่อเห็นว่าหลี่อิ๋นหู่ไม่เพียงแต่ตกหลุมพราง แต่ยังเสนอแผนด้วยตัวเอง จ้าวเสวียนจีถึงกับรู้สึกภูมิใจแต่การพูดอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แม้หลี่อิ๋นหู่
สีหน้าของหลี่อิ๋นหู่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีทั้งความโลภ ความหวาดกลัว และความลังเลจ้าวเสวียนจีที่ปูทางมาอย่างยาวนานเพื่อช่วงเวลานี้ ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป เขาเร่งเสียงและความหนักแน่นในน้ำเสียงขึ้น “นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง และเป็นโอกาสสุดท้ายที่ท่านจะสามารถตอบโต้กลับได้ จ้าวอ๋อง ท่านห้ามลังเลในเวลานี้เด็ดขาด!”“แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่มักเหยียบย่ำซากศพนับพันเพื่อความสำเร็จ ยิ่งตำแหน่งบัลลังก์มังกรด้วยแล้ว หากท่านก้าวข้ามขั้นตอนนี้ไป ข้าจะสนับสนุนท่านในการขึ้นครองราชย์ และในราชสำนักจะไม่มีเสียงคัดค้าน ท่านจะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่!”หลี่อิ๋นหู่ซึ่งหลงไปในความคิดเพ้อฝัน มองเห็นบัลลังก์ทองคำในพระที่นั่งไท่เหอราวกับกำลังเรียกหาเขาความคิดที่จะได้ลิ้มรสการนั่งบนบัลลังก์นี้ เป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอดชีวิตและในขณะนี้ เขากลับรู้สึกว่า เขาห่างจากบัลลังก์นั้นเพียงแค่การเปล่งคำเรียกร้องเท่านั้นหลี่อิ๋นหู่หายใจถี่ขึ้น ดวงตาเริ่มแดงก่ำในการเผชิญกับสิ่งล่อใจอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ หลี่อิ๋นหู่รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของเขากำลังพังทลายเขากลืนน้ำลาย ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสั่น “แต่... แต่แม้องค์
“ถูกต้อง”จ้าวเสวียนจียืนยันความคิดเห็นของหลี่อิ๋นหู่ที่มีต่อหลี่เฉินเขากล่าวต่อไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ องค์รัชทายาทกลับเงียบหาย นั่นเพราะเขากำลังรอ รออะไรล่ะ?”เสียงของเขาต่ำลง ราวกับเสียงกระซิบของปีศาจ จ้าวเสวียนจีกล่าวกับหลี่อิ๋นหู่ว่า “เขากำลังรอจนแน่ใจว่าได้กำจัดพวกเราออกไปทั้งสองคนเสียก่อน จากนั้นจึงประกาศให้โลกรู้ เมื่อถึงเวลานั้น ย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวางเขาจากการขึ้นครองราชย์ได้อีก”แม้จะมีการเกริ่นนำมาสองครั้งก่อนหน้า แต่เมื่อหลี่อิ๋นหู่ได้ยินคำพูดนี้ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงในใจ เขาพูดออกมาด้วยความตกใจว่า “เป็นไปไม่ได้!”“ไม่มีทาง!”จ้าวเสวียนจียิ้มเยาะเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบและสีหน้าของหลี่อิ๋นหู่ที่ดูคุ้นเคย ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้“ทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้เล่า?” จ้าวเสวียนจีย้อนถามด้วยรอยยิ้มเย็นชาหลี่อิ๋นหู่กล่าวเสียงแข็ง “ไม่พูดถึงพวกเรา ตอนนี้บรรดาอ๋องแห่งแคว้นต่างก็จ้องมองด้วยความโลภ ภัยพิบัติครั้งก่อนทำให้ราชสำนักอ่อนแอลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เสียงคัดค้านราชสำนักในหมู่ราษฎรดังกึกก้องเป็นประวัติการณ์ สิ่งนี้ทำให้บรรดาอ๋อง
"ท่านอยากเป็นฮ่องเต้หรือไม่?"นี่คือคำถามแรกที่จ้าวเสวียนจีเอ่ยขึ้นทันทีที่ได้พบกับหลี่อิ๋นหู่หลี่อิ๋นหู่ที่เพิ่งมาถึงยังหอบหายใจไม่ทัน ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความตกใจ เขามองจ้าวเสวียนจีอย่างงุนงง ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร"บอกข้ามา ท่านอยากหรือไม่!"จ้าวเสวียนจีเร่งเร้า เขาก้าวเข้ามาใกล้หลี่อิ๋นหู่และถามซ้ำด้วยน้ำเสียงกดดันหลี่อิ๋นหู่ไม่รู้ว่าจ้าวเสวียนจีเป็นบ้าอะไร แต่เมื่อบรรยากาศและสถานการณ์มาถึงจุดนี้ เขาก็เผลอตอบตามความจริงที่อยู่ในใจออกมา"อยาก"การยอมรับว่าต้องการเป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องน่าอายยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสองคนก็เป็นพันธมิตรกันในทางลับหากหลี่อิ๋นหู่ไม่ได้อยากเป็นฮ่องเต้ เขาคงไม่มาปรากฏตัวที่นี่สีหน้าของจ้าวเสวียนจียังคงเคร่งขรึม เขาจ้องมองหลี่อิ๋นหู่และกล่าวว่า "พวกเราเหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้าคาดการณ์ว่า ฝ่าบาทอาจสวรรคตไปแล้ว"หลี่อิ๋นหู่ที่เพิ่งถูกเรียกตัวมาด้วยความเร่งด่วน ยังไม่ทันได้คาดเดาว่าจ้าวเสวียนจีต้องการทำอะไรกันแน่ แต่ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เขาก็ถูกโยนระเบิดสองลูกเข้าใส่จนหัวหมุน"เป็นไปไม่ได้!"หลี่อิ๋นหู่รู้สึกราวกับขนทั่วร่างลุกชัน เขาตะโก